Posted in นิทานครู, นิทานสร้างแรงบันดาลใจ, นิทานเด็ก, นิทานแฝงข้อคิด

คุณครูดอกไม้กับวิชานักสืบ : นิทานสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษ

นิทานเรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนในช่วงที่กำลังเรียนปริญญาโท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้พบว่าเพื่อนหลายคนมีความกลัวภาษาอังกฤษอย่างฝังใจ บางคนถึงขั้นมองว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นฝันร้าย และเมื่อถึงเวลาเรียน สมองก็จะปิดรับทันทีโดยอัตโนมัติ

ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มตั้งคำถามว่า…ถ้าเด็ก ๆ ก็รู้สึกแบบเดียวกัน เราจะช่วยให้พวกเขาเปิดใจเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างไร โดยไม่ต้องใช้ความกดดันหรือความกลัวเป็นตัวขับเคลื่อน

จากคำถามนั้น จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งนิทานเรื่องนี้ขึ้นมา นิทานที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม โดยใช้จินตนาการและความสนุกเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนรู้

“คุณครูดอกไม้กับวิชานักสืบ” จึงไม่เพียงแค่เป็นนิทานสำหรับเด็ก แต่ยังเป็นข้อความที่อยากส่งถึงครู ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่ทุกคน เพื่อชวนให้ลองมองการเรียนภาษาอังกฤษผ่านมุมใหม่ มุมที่เต็มไปด้วยความสุข ความท้าทาย และแรงบันดาลใจ

ผู้เขียนหวังว่าเด็ก ๆ จะสนุกกับเรื่องราวในนิทาน และได้รับแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ส่วนผู้ใหญ่อาจได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็ก ๆ เปิดใจและเรียนรู้อย่างมีความสุขมากขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีโรงเรียนเล็ก ๆ  แห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งดอกไม้ที่แสนงดงาม  โรงเรียนแห่งนี้มีครูสาวชื่อ  “คุณครูดอกไม้”  คอยดูแลและสอนหนังสืออยู่เพียงลำพัง   แม้เด็ก ๆ จะตั้งใจเรียนมาก   แต่ก็มีบางวิชาที่เด็ก ๆ ไม่ถนัดและรู้สึกเครียดทุกครั้งที่ถึงวิชานี้ ซึ่งวิชาดังกล่าวก็คือวิชาภาษาอังกฤษ  คุณครูดอกไม้จึงคิดว่าเธอควรทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่

คุณครูดอกไม้คิด..คิด..แล้วก็คิด  คุณครูดอกไม้ใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน  ในที่สุด คุณครูดอกไม้ก็ได้วิธีแก้ปัญหา

วิธีของคุณครูดอกไม้เริ่มจากการยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษ แล้วเปลี่ยนชั่วโมงภาษาอังกฤษเป็นวิชานักสืบ!

ทันทีที่เด็ก ๆ ทราบข่าว  เด็ก ๆ ต่างก็ดีใจที่ไม่ต้องทนเรียนวิชาภาษาอังกฤษต่อไปอีก  ส่วนพ่อแม่ของเด็ก ๆ กลับไม่เห็นด้วย พวกเขาคิดว่าคุณครูดอกไม้กำลังหนีปัญหา เพราะการยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษเช่นนี้จะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีทางเก่งภาษาอังกฤษได้เลยตลอดชั่วชีวิต

หลังจากคุณครูดอกไม้ยืนยันว่าจะยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษ  คุณครูดอกไม้ก็ดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปด้วยการทำภาพคำศัพท์จำนวน 100 ภาพ โดยวาดภาพและเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษลงบนกระดาษแข็ง แล้วนำไปติดไว้ตามที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งโรงเรียน

เมื่อถึงชั่วโมงนักสืบ  คุณครูดอกไม้ก็ทำตามแผนการขั้นที่สาม ด้วยการชวนเด็ก ๆ เล่นเป็นนักสืบ โดยคุณครูแจกบัตรคำศัพท์ปริศนาซึ่งมีแต่คำศัพท์…ไม่มีภาพ ให้เด็ก ๆ คนละ 1 ใบ เด็ก ๆ มีเวลา 1 ชั่วโมงในการเดินสืบหาคำศัพท์ปริศนาที่ตัวเองถืออยู่ว่ามันตรงกับภาพคำศัพท์ภาพใดในจำนวน 100 ภาพที่คุณครูแปะอยู่ทั่วทั้งโรงเรียน ซึ่งหากเด็ก ๆ ทำได้สำเร็จ คุณครูก็จะมอบรางวัลให้ด้วยการอนุญาตให้เด็ก ๆ ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษแสนสนุกเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเต็ม

เด็ก ๆ ต่างตื่นเต้นและสนุกกับการเป็นนักสืบคำศัพท์กันมาก ๆ  พวกเขาเล่นเกมนักสืบคำศัพท์กันได้ทุกวันโดยไม่รู้เบื่อ  ซึ่งสามเดือนหลังจากนั้น  กระทรวงความรู้ได้ส่งข้อสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษมาที่โรงเรียนของคุณครูดอกไม้  และเมื่อเด็ก ๆ ทำข้อสอบ  เด็ก ๆ แต่ละคนก็ทำคะแนนภาษาอังกฤษได้เกือบเต็มทั้ง ๆ ที่ทางโรงเรียนได้ยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษไปแล้ว

ผู้ปกครองหลายคนพากันสงสัยว่าทำไมลูก ๆ จึงทำคะแนนภาษาอังกฤษได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ คุณครูดอกไม้จึงอธิบายให้ทุกคนฟังว่า  “นับตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ข่าวว่าโรงเรียนของเราจะยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษ สมองที่เคยปิดเพราะความเครียดก็เปิดออก  และเมื่อเด็ก ๆ ได้สวมบทบาทเป็นนักสืบค้นหาคำศัพท์ปริศนารอบโรงเรียน  ความท้าทาย (แต่ไม่กดดัน) นี้ก็ทำให้สมองเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น  ดังนั้น นอกจากคำศัพท์ที่ตัวเองค้นหา เด็ก ๆ ก็ได้ซึมซับคำศัพท์อื่น ๆ ที่มองเห็นผ่านตาไปโดยไม่รู้ตัว  นอกจากนี้ การได้ดูหนังการ์ตูนเป็นรางวัลยังเป็นตัวเสริมแรงให้เด็กอยากค้นหาคำศัพท์ปริศนาและทำให้เด็กคุ้นเคยกับการฟัง รวมทั้งสำเนียงภาษาอังกฤษมากขึ้นด้วย”   

คำอธิบายและวิธีที่คุณครูดอกไม้เลือกใช้ทำให้ทุก ๆ คนหมดข้อกังขา  แม้โรงเรียนแห่งนี้จะไม่มีวิชาภาษาอังกฤษ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เด็ก ๆ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มพูนขึ้นไม่ได้

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต่างยกย่องว่าคุณครูดอกไม้เป็นคุณครูที่เก่งมาก ๆ  และทุกคนก็เชื่อมั่นว่าคุณครูสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้จะดูแลลูกของพวกเขาให้เฉลียวฉลาดได้ไม่แพ้เด็กนักเรียนในโรงเรียนอื่นแน่ ๆ

ในที่สุด  คุณครูดอกไม้ก็ช่วยเด็ก ๆ ให้เก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นได้ตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนเด็ก ๆ ก็มีความสุขที่ได้เล่น แถมยังได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น จนเด็กทุกคนเริ่มรู้สึกว่าภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่พวกเขาเคยกลัวเลย

หมายเหตุ : อ่านนิทานจบแล้ว ช่วยกดดูโฆษณาสักนิด จะช่วยให้เว็บมีรายได้ครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานแฝงข้อคิด

ความฝันของพู : นิทานก่อนนอนสำหรับเด็กที่อยากเป็นยอดมนุษย์

เด็กหลายคนเคยฝันอยากเป็นยอดมนุษย์ ที่มีพลังวิเศษ บินได้ หรือช่วยโลกจากเหล่าร้าย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กธรรมดาคนหนึ่งไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่ยังคงเชื่อมั่นในความฝันของตัวเอง

“ความฝันของพู” เป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กที่อยากเป็นยอดมนุษย์ นิทานอบอุ่นหัวใจที่สอนให้รู้ว่า พลังที่แท้จริงอาจไม่ใช่พลังเหนือธรรมชาติ แต่คือ “พลังแห่งความคิด” และ “ความตั้งใจจริง”

นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับเด็กวัยประถม ผู้ปกครอง และครูที่ต้องการปลุกแรงบันดาลใจในใจเด็ก ๆ ผ่านเรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า ‘พู’

พูเป็นเด็กธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักอย่าง เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง, เล่นกีฬาก็แค่พอใช้ได้, หน้าตาก็เหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาน่าสนใจคือ เขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ ความฝันที่อยากจะเป็น “ยอดมนุษย์”

พูรู้ดีว่า ยอดมนุษย์ต้องมีพลังพิเศษอะไรสักอย่าง พูจึงพยายามค้นหาพลังพิเศษที่อาจหลับไหลอยู่ในตัวของเขา

เวลาว่าง…พูจึงมักทดสอบพลังด้วยการเพ่งมองช้อนกินข้าว เพื่อทำให้ช้อนงอ บางครั้งเขาจะวิ่งแล้วกระโดดพร้อมกับกระพือแขนพึ่บพั่บเผื่อว่าตัวเองจะบินได้ บางคราวเขาถึงกับลองบีบจมูกและอธิษฐานให้ตัวของเขากลายเป็นมนุษย์ล่องหน พูทดสอบตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เด็กน้อยก็ไม่เคยพบว่าตัวของเขามีพลังพิเศษอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม แม้ความพยายามค้นหาพลังยอดมนุษย์ของพูจะล้มเหลวมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นยอดมนุษย์ให้จงได้

วันหนึ่ง เมื่อคุณครูประจำชั้นของพูให้นักเรียนเขียนเรียงความในหัวข้อ “ความฝันของฉัน”

พูจึงตัดสินใจเขียนเล่าความฝันและความพยายามในการค้นหาพลังพิเศษส่งให้คุณครูได้อ่าน

เมื่อคุณครูได้อ่านเรียงความของพู คุณครูก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะในขณะที่เด็กส่วนใหญ่ฝันอยากเป็นคุณหมอ, คุณครู, ทหาร, ตำรวจ วิศวกร, นักธุรกิจหรือดารานักร้อง แต่เด็กนักเรียนตัวผอมกะหร่องอย่างพูกลับฝันอยากเป็นยอดมนุษย์

คุณครูชื่นชมที่พูมีความฝันและมีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ คุณครูจึงอยากช่วยพูค้นหาพลังยอดมนุษย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเขา

วันรุ่งขึ้น เมื่อคุณครูนำเรียงความกลับมาที่ชั้นเรียนแล้วให้นักเรียนอ่านเรียงความให้เพื่อนฟัง เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังเรียงความของพู แทนที่เด็ก ๆ จะตื่นเต้นหรือชื่นชม เด็กทั้งชั้นกลับหัวเราะขบขัน เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเด็กผู้ชายอย่างพูจะโตขึ้นเป็นยอดมนุษย์ผู้ต่อสู้กับเหล่าร้ายได้เลย

เมื่อคุณครูเห็นท่าไม่ดี คุณครูจึงบอกเด็กทุกคนว่า “ความฝันบางความฝันอาจดูเหมือนเป็นไปได้ยาก แต่หากเราแน่วแน่และตั้งใจ ความฝันทั้งหลายก็มีโอกาสเป็นจริงได้ด้วยกันทั้งนั้น”

คำพูดของคุณครูทำให้พูมีกำลังใจมากขึ้น แต่เพียงครู่เดียว นักเรียนคนหนึ่งก็ยกมือแล้วพูดว่า “ในเมื่อพูไม่มีพลังพิเศษแบบยอดมนุษย์ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับพวกผู้ร้ายล่ะครับ ถึงจะฝึกร่างกายสักแค่ไหน แต่คนธรรมดาก็ไม่มีทางแข็งแรงแบบยอดมนุษย์ได้หรอกครับ ผมว่ายังไงพูก็เป็นยอดมนุษย์ไม่ได้”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะจ๊ะ” คุณครูของเด็ก ๆ ยิ้ม จากนั้น คุณครูก็หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาแผ่นหนึ่งพร้อมกับถามเด็ก ๆ ว่า “ครูไม่ใช่ยอดมนุษย์และไม่มีพลังพิเศษ ถ้าครูเอากระดาษแผ่นนี้จุ่มลงไปในอ่างปลาบนโต๊ะ มันมีทางไหมที่กระดาษจะไม่เปียก”

เด็กนักเรียนมองกระดาษเปล่าและอ่างปลาพลางคิดภาพตาม เพียงครู่เดียว เด็ก ๆ ก็พร้อมใจกันตอบคุณครูว่า “ยังไงกระดาษก็ต้องเปียกอยู่แล้ว”

ในขณะที่เด็กทั้งหลายเลิกคิดและมั่นใจว่ากระดาษต้องเปียกแน่ ๆ แต่พูซึ่งยืนอยู่ที่หน้าชั้นกลับไม่ยอมหยุดคิด เขาพยายามคิด…คิด…แล้วก็คิด ในที่สุด พูก็เกิดความคิดที่แตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ

พูค่อย ๆ รวบรวมสิ่งที่คิดได้ แล้วเอ่ยปากบอกคุณครูว่า “คุณครูครับ… ผมคิดว่ามีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้กระดาษไม่เปียก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอากระดาษใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น พอจุ่มน้ำ กระดาษก็จะไม่เปียก หรืออีกวิธีนึง ถ้าเราเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้นิดหน่อย กระดาษก็จะไม่เปียกเหมือนกัน ผมอยากทดลองให้ดู…ไม่ทราบว่าคุณครูจะอนุญาตไหมครับ”

คุณครูยิ้มแทนคำตอบ พูจึงขอกระดาษจากคุณครู แล้วเดินไปหยิบถ้วยพลาสติกที่ใต้โต๊ะของเขา จากนั้น พูก็ขยำกระดาษเป็นก้อน ยัดกระดาษเข้าไปในถ้วย คว่ำถ้วยแล้วกดลงไปในอ่างปลาตรง ๆ เมื่อพูยกถ้วยขึ้นจากน้ำ หยิบกระดาษออกมา เด็กทั้งห้องก็ถึงกับส่งเสียงร้อง “อู้หู” เพราะกระดาษแผ่นนั้นถูกแรงดันอากาศภายในถ้วยปกป้องไว้จนไม่มีร่องรอยว่าเปียกน้ำเลยสักนิด

เด็กทั้งห้องปรบมือให้พูด้วยความชื่นชม ส่วนคุณครูก็ส่งยิ้มให้ศิษย์รักแล้วพูดกับเด็กทั้งชั้นว่า “เห็นไหมจ๊ะ เรื่องบางเรื่องที่เราคิดว่ายากหรือเป็นไปไม่ได้ แต่หากเราไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ขึ้นมาเหมือนกัน ถึงเวลานี้ทุกคนคงรู้แล้วนะจ๊ะว่า พูจะเป็นยอดมนุษย์ได้รึเปล่าและพลังพิเศษของพูคือพลังอะไร”

เมื่อเด็กนักเรียนได้ฟังคำพูดของคุณครู เด็กทุกคนก็พยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้เพื่อนนักคิดของพวกเขา พูดีใจมากที่ทุก ๆ คนส่งกำลังใจให้ ในที่สุด พูก็ค้นพบว่า เขามีพลังพิเศษติดตัวมานานแล้ว ซึ่งมันก็คือพลังความคิดและพลังแห่งความตั้งใจจริงนั่นเอง

แม้การเป็นยอดมนุษย์จะไม่ใช่เรื่องง่ายและยังมีเรื่องท้าทายรอพูอีกมาก แต่พูก็เชื่อมั่นในความฝันและพลังที่เขามีอยู่

สิบกว่าปีต่อมา เด็กน้อยผู้ยึดมั่นในความฝันก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาใช้ความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์เพิ่มพลังให้ตัวเองมากมาย ทั้งยังใช้ความคิดแก้ปัญหาได้สารพัด

และแล้ว….พูก็ได้เป็นยอดมนุษย์สมดังที่เขาตั้งใจเอาไว้

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสัตว์, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก, นิทานแฝงข้อคิด

หมูชีต้าร์ | นิทานเด็กแสนอบอุ่น สอนเรื่องความพยายามและการพัฒนาตนเอง

ความพยายามที่จะพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร  แค่เรามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แล้วลงมือทำ นั่นก็เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว”

ตอนที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เป็นนักแต่งนิทาน วันหนึ่ง ผมนึกอยากแต่งนิทานเกี่ยวกับสัตว์ที่ตัวเองไม่เคยนำมาใช้เป็นตัวละคร   คิดไปคิดมา  ชื่อของเสือชีต้าร์ก็แว่บขึ้นมาในใจ  ตอนนั้น ผมยังไม่เคยแต่งนิทานเกี่ยวกับเสือชีต้าร์เลย   แต่ถ้าจะแต่งนิทานเกี่ยวกับเสือชีต้าร์  ผมควรจะหาตัวละครอีกสักตัวมาเป็นตัวละครในนิทานด้วย  เสือควรคู่กับตัวอะไร?  จู่ ๆ คำว่า “หมูชีต้าร์” ก็ขึ้นเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่มีเนื้อเรื่องใด ๆ เลย  หมูเป็นสัตว์ตัวอ้วนอุ้ยอ้าย ส่วนเสือชีตาร์เป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วว่องไว  ผมว่าชื่อนี้เท่ดี  ไม่เหมือนใคร  พอได้ชื่อนิทานว่า “หมูชีต้าร์” ผมจึงคิดเนื้อเรื่องต่อ จนได้เรื่องออกมา ดังนิทานต่อไปนี้  ลองไปอ่านกันดูนะครับ

Continue reading “หมูชีต้าร์ | นิทานเด็กแสนอบอุ่น สอนเรื่องความพยายามและการพัฒนาตนเอง”