Posted in การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, ทิศทางเว็บไซต์นิทานนำบุญ, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

จดหมายน้อย

วันที่ 1 กรกฎาคม 2567

สวัสดีครับ พี่นำบุญนั่งเขียน “จดหมายน้อย” ฉบับนี้ ในเช้าต้นเดือนกรกฎาคม 2567

อีกราว 10 วัน พี่นำบุญก็จะมีอายุเข้าวัย 54 ปี (เรียกว่า 54 ขวบก็ได้ เพราะใจยังเป็นเด็กอยู่ ฮิฮิ)

หลังจากวัย 50 พี่นำบุญเตือนตัวเองเสมอว่า เราอาจต้อง “เดินทางไกล” ได้ทุกเมื่อ ตามกฎของธรรมชาติ ที่คนทุกคนต่างหนีไม่พ้น

การจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขพอประมาณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

………

หลายปีมานี้ คุณผู้อ่านน่าจะทราบมาบ้างว่า “นิทานนำบุญ” พบปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมีคนนำนิทานในเว็บไซต์นี้ไปทำคลิปหรือเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

พี่นำบุญเขียนคำเตือน เขียนบทความเกี่ยวกับกฎหมายและโทษที่หนักมากของการละเมิด แต่ก็ยังคงมีคนนำนิทานไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ในวันที่พี่นำบุญยังมีชีวิตและมีเรี่ยวแรง พี่นำบุญจึงพยายามปกป้องนิทานที่ตัวเองแต่ง ด้วยการเก็บหลักฐาน – แจ้งความ – ติดต่อให้ผู้ละเมิดมาเจรจา – แจ้งระบบให้ลบคลิปละเมิดออกจากแพลตฟอร์มนั้น ๆ ฯลฯ

คลิปการละเมิด มีอยู่เป็นร้อยคลิป คลิปบันทึกหน้าจอเก็บหลักฐานรวม ๆ แล้วก็น่าจะเกิน 100 ชั่วโมง (พี่นำบุญต้องซื้อฮาร์ดดิสมาเก็บข้อมูลเพิ่ม) การแจ้งให้แพลตฟอร์มลบคลิปก็น่าจะเกิน 100 เคส

สิ่งที่พบมาตลอดหลายปี คือ มันเป็นเรื่องที่ “เสียเวลาในชีวิต” และ “เสียความตั้งใจที่ดีในการ ทำงานเด็กมาก ๆ”

การแจ้งความต่อตำรวจ ก็แทบจะเป็นเรื่อง “ว่างเปล่า” เพราะคดีบางคดีแทบไม่คืบหน้านานถึง 2 ปีเศษ (ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานครบถ้วน) พี่นำบุญเคยทำจดหมายติดตามความคืบหน้าไปที่โรงพักหลายครั้ง ทุกอย่างก็ยังคงนิ่ง จนกระทั่งทำจดหมายไปยัง “ตำรวจภูธรภาค” ซึ่งกำกับดูแลโรงพักที่ไปแจ้งความอีกที ตำรวจจึงเริ่มขยับ และให้เดินทางไปเซ็นเอกสาร “ไม่ติดใจเอาเรื่องตำรวจ”

บางครั้งที่ไปแจ้งความ ตำรวจบางคนบอกว่า เคยเห็นมาแจ้งความแล้ว จะแจ้งทำไม แจ้งเอาเงินเหรอ?

คำพูดบางคำที่ได้ฟัง มันไม่น่ารักเลย สิ่งที่พี่นำบุญอยากให้เกิดขึ้น คือ การหยุดยั้งไม่ให้เกิดการละเมิดอีก และถ้าเลือกได้ระหว่างการให้คนทำผิดเสียเงินในคดีแพ่ง กับการให้ติดคุกในคดีอาญา พี่นำบุญขอเลือกอย่างหลัง

การเป็นนักเขียน (โดยเฉพาะนักเขียนนิทานเล็ก ๆ) ที่แม้จะมีกฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองผลงาน แต่ในแง่ปฏิบัติ กลับได้รับการดูแลน้อยมาก

พี่นำบุญจึงเริ่มเข้าใจว่า การที่นักเขียนหลายคนจำเป็นต้องมองข้ามเมื่อถูกละเมิดลิขสิทธิ์ น่าจะเป็นเพราะ “มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด”

การเผชิญหน้ากับการละเมิด จะต้องเสียเวลาเก็บหลักฐาน (เช่น แคปหน้าจอ ตามสืบ ตามเก็บข้อมูล) เสียอารมณ์ (ทำให้เขียนงานไม่ออก) เสียความรู้สึก (กับเจ้าหน้าที่ที่แทบไม่ใส่ใจ) เสียสุขภาพ (ในการติดตามเรื่องต่าง ๆ)

แต่…พี่นำบุญในวัย 50 เศษ ไม่อยากปล่อยผ่านเรื่องนี้ให้เป็นภาระรุงรังกับครอบครัว พี่นำบุญอยากรักษานิทานนำบุญเอาไว้ที่นี่ ให้เด็ก ๆ และคุณผู้อ่านได้เข้ามาอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน และไม่อยากให้ใครไม่รู้ “ขโมยนิทานไปใช้ตามอำเภอใจ”

พี่นำบุญจึงตัดสินใจ จ้างทีมทนาย เพื่อปกป้องผลงานนิทานนำบุญ โดยเตรียมเงินเก็บส่วนตัวรวมแล้วประมาณ 6 หลัก ในการฟ้องดำเนินคดีกับผู้ละเมิดให้ถึงที่สุด

พี่นำบุญเชื่อว่า คงมีนักเขียนไม่มากนัก ที่พร้อมจะใช้เงินหลักแสน ในการต่อสู้กับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะค่าตอบแทนในการเขียนหนังสือมีราคาเพียงหลักพัน และการต้องพัวพันกับการดำเนินคดีน่าจะทำให้นักเขียนหมดแรงในการสร้างผลงานชิ้นใหม่ ๆ เพื่อยังชีพ

แต่พี่นำบุญเป็นคนที่ไม่เคยยอมกับเรื่องเหล่านี้ ยิ่งยากก็จะยิ่งสู้ ถ้าเราไม่ผิด เราก็ต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง

พี่นำบุญทำงานเด็กมาราว 30 ปี ทำงานแต่งนิทานมาราว 20 ปี การทำงานเพื่อเด็กเป็นสิ่งที่พี่นำบุญตั้งใจทำและภูมิใจที่ได้ทำ ถ้ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก พี่นำบุญก็คงหยุดทำงานเด็กไปนานแล้ว พี่นำบุญดีใจที่ตัวเองไม่ยอมแพ้ ทำจนผลงานได้รางวัลรับรองว่านิทานนำบุญเป็น “สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน” ทำจนเด็กบางคนโตเป็นคุณแม่แล้วย้อนมาอ่านนิทานนำบุญให้ลูกฟัง ทั้งหมดนี้ คือ ผลจากความตั้งใจในชีวิตนี้ ที่ผลิดอกออกผล ซึ่งทำให้พี่นำบุญอยากดูแลปกป้องผลงานนิทานที่ทำไว้ให้ดีที่สุด โดยสร้างภาระให้ครอบครัวน้อยที่สุด แม้ในวันที่พี่นำบุญจะไม่อยู่แล้ว

ปัจจุบัน พี่นำบุญจึงเริ่มให้ทีมทนายช่วยดูแลคดีแรกที่ค้างคามานาน ซึ่งหลังจากคดีนี้ผ่านไป พี่นำบุญตั้งใจจะขอให้ทีมทนายช่วยดูแลเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญทั้งหมด เพื่อให้พี่นำบุญไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้อีก (และไม่ต้องคอยห่วงคนละเมิด ว่าจะต้องโดนปรับหรือโดนโทษหนักขนาดไหน คือปล่อยวางไปเลย) พี่นำบุญจะได้กลับมาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ อย่างจริงจัง และใช้เวลาในช่วงบั้นปลายทำสิ่งที่ควรทำเสียที (เช่น การกินขนม)

……

ในวัยใกล้ 54 เป็นวัยที่ยังพอมีเรี่ยวแรงปกป้องผลงานนิทานของตัวเองด้วยกำลังของตัวเอง (คือเดินทางไปขึ้นศาลไหว) พี่นำบุญหวังว่า การตัดสินใจพึ่งทีมทนาย จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่จะช่วยทำให้ “นิทานนำบุญ” ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม และทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์หมดไปเสียที

ท้ายสุด พี่นำบุญต้องขอขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่าน (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) ที่ส่งกำลังใจเป็นข้อความในกล่องข้อความ รวมทั้งทุกคนที่สนับสนุน “โครงการนิทานเรื่องละบาท” ที่พี่นำบุญเริ่มต้นในปีนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่นำบุญรู้สึกจริง ๆ ว่า “มีคนรู้และรักในสิ่งที่ตัวเราตั้งใจทำอยู่”

เมื่อต้นปี พี่นำบุญได้ทำเว็บนิทานนำบุญสาขา 2 โดยลงนิทานใหม่มากถึง 40 เรื่อง พร้อมภาพประกอบที่ตรงใจมาก ๆ (แต่ก็เหนื่อยมาก ๆ) พี่นำบุญจึงบอกกับตัวเองว่า ถ้าพี่นำบุญจัดการกับคดีเรียบร้อยและส่งมอบการดูแลนิทานให้ทีมทนายจัดการต่อได้จริง ๆ พี่นำบุญก็จะกลับมาทำให้เว็บนิทานนำบุญ (สาขา 1) มีความสมบูรณ์ สวยงาม น่าอ่านมากขึ้น ให้สมกับที่คุณผู้อ่านหลาย ๆ คน ให้เกียรติรักและให้การสนับสนุนนักเขียนเล็ก ๆ วัย 54 ขวบ….คนนี้

รักและขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะครับ

นำบุญ นามเป็นบุญ

Posted in การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเด็ก, การละเมิดลิขสิทธิ์และการปกป้องผลงาน, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

สรุปปี 2566 : ยิ้มบ้าง-ไม่ยิ้มบ้าง

สวัสดีครับ

ปี 2566 เป็นปีที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ผมขอเล่าให้คุณผู้อ่านได้ทราบ ดังนี้

-เว็บไซต์นิทานนำบุญเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2017 หรือ พ.ศ.2560 เท่ากับทำมาแล้ว 6 ปีเศษ ยอดการรับชมเป็นไปตามภาพสถิติ ต่อไปนี้

*สังเกตว่า ยอดผู้ชมในปีแรก ๆ มีน้อยมาก ๆ

*วันที่ 20 พฤศจิกา 2566 ยอดผู้ชมพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ คือมียอดผู้ชมมากถึง 4785 คน (ปกติมีราว 3000 คน)

*นิทานที่มีคนอ่านมากที่สุดในปีนี้ คือเรื่อง เมื่อเจ้าหญิงนอนไม่หลับ (น่าทำเป็นหนังสือมาก ๆ)

-ปี 2566 พี่นำบุญได้กลับมาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ อีกครั้ง ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี (ยอดผู้ชมเพิ่มแบบก้าวกระโดดหลังจากลงนิทานเรื่องใหม่ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่า มีฐานผู้อ่านเก่า ๆ ที่ย้อนกลับมาอ่านนิทานเรื่องใหม่)

-นิทานเรื่องใหม่แต่ละเรื่อง ใช้เวลาคิดและเขียนประมาณ 7-14 วัน เป็นการทำงานที่เกือบเท่ากับสมัยที่เขียนนิทานให้ขวัญเรือน ผลงานในปีนี้ มีดังนี้

-ปี 2566 พี่นำบุญได้ติดตามเอาผิดผู้ละเมิดลิขสิทธิ์รวม 4 เคส :

เคสที่ 1 ละเมิดนิทานมากถึง 30 เรื่อง (สรุปที่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย แต่เหนื่อยในการเจรจามาก)

เคสที่ 2 ละเมิดลิขสิทธิ์ราว 10 เรื่อง (สรุปที่ยอมรับผิดชอบทุกอย่าง จึงจบลงด้วยดี)

เคสที่ 3 ละเมิดนิทาน 4 เรื่อง (สรุป ต้องแจ้งความ เพราะโยกโย้ ไม่ตรงไปตรงมา)

เคสที่ 4 ละเมิดนิทาน 1 เรื่อง (สรุป ต้องแจ้งความ เพราะแจ้งให้ติดต่อกลับ แต่เพิกเฉย)

-การจับคดีลิขสิทธิ์ เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก ๆ เพราะเมื่อพบการละเมิดลิขสิทธิ์ พี่นำบุญต้องเก็บหลักฐานโดยการแคปหน้าจอทั้งหมด แล้วสืบหาเจ้าของช่องที่ละเมิดให้ได้ (ใช้เวลาหลายวัน) จากนั้น ทำการแจ้งให้ผู้ละเมิดติดต่อกลับ เจรจากับผู้ละเมิด โดยเสนอทางเลือกที่เบาที่สุด (เพราะสงสาร) แต่หากจบไม่ได้ ก็จะต้องเสียเวลารวบรวมหลักฐานเป็นไฟล์ แล้วร่างเอกสารทำไทม์ไลน์เพื่อนำเรื่องไปแจ้งความ (ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลามาก และเสียความรู้สึกมาก)

-การทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ซึ่งเกิดจากความตั้งใจที่ดี จึงกลายเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นในวัยที่ควรจะได้พัก ทำให้ต้องเสียอารมณ์ เสียเวลา และเสียเงินหลักแสน ในการติดตามคดีต่าง ๆ (เงินที่เตรียมไว้จ่ายค่าทนาย เป็นเงินเก็บส่วนตัวที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ในยามชรา)

-ปลายปี 2566 มีผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อออนไลน์ (มืออาชีพ) ติดต่อพี่นำบุญเพื่อขอนำนิทานไปพัฒนาเป็นสื่อสำหรับเด็กในรูปแบบต่าง ๆ (แบบหารายได้) ท้ั้งยังจะช่วยดูแลเว็บนิทานนำบุญให้มีรายได้จากโฆษณาเข้ามา ซึ่งในตอนแรก พี่นำบุญปฏิเสธ (เหมือนที่เคยปฏิเสธบริษัทจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์) แต่ครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่ติดต่อมาเป็นอาจารย์ที่สอนพี่นำบุญตอนป.โท สุดท้าย พี่นำบุญจึงตกลงในเบื้องต้น (แต่ยังไม่ตกลงเรื่องมีโฆษณาในเว็บไซต์)

……………………………..

-ปี 2566 พี่นำบุญได้ทำประกาศขอรับการสนับสนุนจากผู้อ่าน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่านตลอดทั้งปี ประมาณ 140 ท่าน (ขอบคุณมาก ๆ นะครับ)

-แม้ยอดจำนวนผู้สนับสนุนและรายได้จะไม่มาก (เมื่อเทียบกับการเปิดให้มีโฆษณาอัตโนมัติ) แต่สิ่งที่พี่นำบุญรับรู้ได้คือ ความรักจากผู้อ่านที่มีต่อผลงานนิทานในเว็บไซต์นี้ (นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีผู้อ่านส่งข้อความเข้ามาให้กำลังใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขอบคุณมาก ๆ นะครับ

-ปี 2566 พี่นำบุญเคยคิดจะแต่งนิทานโดยนำ “มงคลชีวิต38ประการ” มาใช้เป็นแก่นเรื่อง แต่หลังจากพบการละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยครั้ง พบการทำงานของตำรวจที่ล่าช้ามาก พบปัญหาเรื่องการเงินที่ตัวเองต้องเตรียมไว้ต่อสู้ในคดีต่าง ๆ พี่นำบุญจึงตัดสินใจ “หยุด” การคิดนิทานเอาไว้ก่อน เพราะหากแต่งนิทานออกมา ก็คงโดนละเมิดอีก และกฎหมายก็ไม่ได้ดูแลอะไรนักเขียนที่ถูกละเมิดเลย

ขอบคุณครับ