นิทานเรื่อง ซาวิตรีและสัตยาวัน ไม่ได้เป็นเพียงนิทานความรักที่เล่าขานกันในอินเดียเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งในเรื่องย่อยอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏอยู่ใน มหากาพย์มหาภารตะ — วรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ยาวที่สุดในโลก และเป็นเสาหลักของวัฒนธรรมฮินดู มหากาพย์นี้มีความลึกซึ้งทั้งในด้านศาสนา ปรัชญา และจริยธรรม โดยเรื่องของซาวิตรีถูกบรรจุไว้ใน “วนบรรพ” หรือ “บรรพแห่งป่า” ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวละครหลักของมหากาพย์ถูกเนรเทศและได้เรียนรู้ธรรมะผ่านเรื่องเล่าจากฤๅษีผู้ทรงภูมิ
แม้จะเป็นเพียงเรื่องย่อยในมหากาพย์ แต่ ซาวิตรีและสัตยาวัน กลับได้รับการยกย่องจากนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในนิทานที่สะท้อน “ธรรมะในชีวิตจริง” ได้อย่างงดงามที่สุด ตัวละครหญิงในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เลอโฉม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ประกอบด้วยสติปัญญา ความกตัญญู และความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับโชคชะตา นิทานเรื่องนี้จึงถูกนำไปตีความและดัดแปลงในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก รวมถึงในไทย
สำหรับคนไทย นิทานเรื่องนี้อาจมีบริบทบางอย่างที่แตกต่างจากค่านิยมไทย เช่น การเลือกคู่ครองด้วยตนเอง หรือการสนทนากับเทพแห่งความตาย แต่เมื่อเข้าใจพื้นฐานของมหากาพย์มหาภารตะและวัฒนธรรมอินเดียแล้ว จะพบว่าเรื่องนี้มีคุณค่าอันเป็นสากลและเข้าถึงใจของคนทุกเชื้อชาติ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เราเข้าใจความรัก ความเสียสละ และพลังของปัญญาในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
มาอ่านนิทานเรื่อง “ซาวิตรีและสัตยาวัน” ด้วยกันนะครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอัศวปตี ที่รุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์ มีพระราชาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระราชาอัศวปตี” พระองค์ทรงมีทุกสิ่งครบถ้วน ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว นั่นคือบุตรหรือธิดาที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์
ทุกค่ำคืน พระราชาอัศวปะตีจะทรงสวดมนต์ภาวนาและบำเพ็ญตบะ ด้วยความหวังอันแรงกล้าที่จะได้ทายาทผู้เปี่ยมด้วยปัญญามาสืบทอดวงศ์ตระกูล
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระแม่แห่งปัญญาได้เสด็จมาในความฝันของพระราชาอัศวปตี แล้วตรัสว่า “เจ้าจะได้ธิดา ผู้เปล่งประกายดุจจันทรา แต่จงรู้ไว้เถิด…นางมีโชคชะตาอันท้าทายรอคอยอยู่”
ในเวลาต่อมา พระราชาอัศวปตีก็ได้พระธิดาสมดังใจ พระธิดาผู้เลอโฉมพระองค์นั้นมีนามว่า “ซาวิตรี” นางงดงามเหนือหญิงใดโลกหล้า ทั้งยังเฉลียวฉลาด กตัญญู ซื่อตรง และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรจึงพากันรักใคร่ชื่นชมพระองค์มาก
ครัันเมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีเติบโตถึงวัยอันสมควร พระราชาได้ตรัสกับพระธิดาว่า “เจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญา หากไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อมถึงดวงจันทร์อย่างเจ้า เจ้าจงออกเดินทางเถิด แล้วเลือกชายผู้คู่ควร ด้วยหัวใจของเจ้าเอง”
เมื่อพระบิดาตรัสเช่นนั้น เจ้าหญิงซาวิตรีจึงออกเดินทางพร้อมเหล่าข้าราชบริพาร ท่องไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ และได้พบชายหนุ่มเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกว่า “คือคนที่ใช่” สำหรับพระองค์
จนกระทั่งวันหนึ่ง…ท่ามกลางป่าลึกที่สงบงาม เจ้าหญิงซาวิตรีได้พบชายหนุ่มผู้หนึ่ง นามว่า “สัตยาวัน” สัตยาวันไม่ได้มีสมบัติใด ๆ ที่เทียบเคียงกับเจ้าหญิงได้ แต่เขามีหัวใจที่อ่อนโยน, มีมือที่ขยันขันแข็ง และมีดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
จริง ๆ แล้ว สัตยาวันเป็นโอรสของกษัตริย์ผู้ถูกโค่นอำนาจ เขาจึงต้องมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในป่า และต้องดูแลบิดามารดาผู้ชราภาพด้วยความรักและความกตัญญู เจ้าหญิงซาวิตรีรู้ในทันทีว่า… นี่คือผู้ชายที่หัวใจของพระองค์เฝ้าตามหา
เมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีกลับไปกราบทูลพระราชาและขออนุญาตแต่งงานกับสัตยาวัน โหรหลวงประจำราชสำนักได้ทูลว่า “สัตยาวันเป็นบุรุษที่มีบุญ แต่ดวงชะตากำหนดไว้แล้วว่า…เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น!”
พระราชาทรงตกใจ และพยายามหว่านล้อมให้เจ้าหญิงซาวิตรีเปลี่ยนใจ แต่เจ้าหญิงกลับกล่าวด้วยสายตาอันมั่นคงว่า “แม้จะมีเพียงหนึ่งปีแห่งความสุขที่แท้จริงกับคนที่หม่อมฉันรัก ก็ยังดีกว่ามีชีวิตทั้งชีวิตกับคนที่หม่อมฉันไม่ได้รัก” ในที่สุด…เจ้าหญิงซาวิตรีก็ตัดสินใจแต่งงานกับสัตยาวัน โดยพระองค์ได้ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง แล้วไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในป่าร่วมกับสามีและบิดามารดาของเขาอย่างเต็มใจ
หนึ่งปีผ่านไป วันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง…ได้เวียนมาถึงวาระ วันนั้น สัตยาวันออกไปตัดไม้ในป่าตามปกติ แต่ซาวิตรีรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซาวิตรีจึงขอตามสามีไปด้วย
ตลอดทั้งวัน…ยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในขณะที่สัตยาวันกำลังแบกฟืนกลับบ้าน เขากลับทรุดลงด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง
ในวินาทีนั้น “ยมราช” ผู้เป็นเทพแห่งความตาย ได้ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางลมพัดเย็นยะเยือก
“ถึงเวลาของสัตยาวันแล้ว เจ้าจงถอยไปเถิด” ยมราชพูดกับซาวิตรี พร้อม ๆ กับเตรียมนำวิญญาณของสัตยาวันออกจากร่าง
แต่ซาวิตรีไม่ยอม นางจึงกล่าวกับยมราชว่า “ท่านเป็นเทพแห่งธรรมะและความยุติธรรมมิใช่หรือ? ภรรยาผู้สัตย์ซื่อต้องตามสามีไปทุกแห่ง แม้แต่โลกหลังความตาย ข้าย่อมต้องติดตามเขา”
หัวใจที่มุ่งมั่นและสายตาที่เอาจริงของซาวิตรี ทำให้ยมราชประทับใจในความเด็ดเดี่ยว ยมราชจึงกล่าวว่า “หัวใจของเจ้าช่างประเสริฐ เอาล่ะ…ข้าจะให้พรแก่เจ้า เจ้าจะขอพรอะไรก็ได้ 3 ประการ…ยกเว้นการขอชีวิตของสัตยาวัน”
ซาวิตรีประนมหัตถ์ขอบคุณและกล่าวว่า “ข้าขอให้พระบิดาของข้าได้ทายาทอีกองค์ เพื่อสืบสันตติวงศ์” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญู
ข้อที่สอง “ข้าขอให้บิดาของสัตยาวันได้อาณาจักรคืน เพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของตระกูลเขา” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อสามีและครอบครัวของสามี
ข้อสุดท้าย “ข้าขอให้ข้ามีบุตรกับสัตยาวัน”
ยมราชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะหากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป ซาวิตรีก็ย่อมไม่มีโอกาสมีบุตรกับสัตยาวันเป็นแน่
ยมราชไม่ให้ซาวิตรีขอชีวิตของสัตยาวัน นางจึงเลี่ยงการขอชีวิตสามี โดยผูกตรรกะที่ไม่อาจโต้แย้งได้ พระองค์รับรู้ในทันทีว่า ซาวิตรีเป็นสตรีที่มีสติปัญญาสูงส่ง หากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป พรข้อสามก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้!
ยมราชยิ้มอย่างชื่นชม “เจ้าชนะแล้ว ซาวิตรี…ข้าจะคืนชีวิตให้สัตยาวัน”
เมื่อสัตยาวันฟื้นคืนชีวิต ซาวิตรีก็รีบประคองเขาไว้แนบกาย พร้อมกับขอบคุณยมราชที่เมตตา
ครั้นเมื่อซาวิตรีและสัตยาวันเดินทางกลับสู่อาณาจักร บิดาและมารดาของสัตยาวันที่ได้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ ก็รอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่นั่น ส่วนบิดาของซาวิตรีได้มีพระโอรสองค์น้อยตามที่ซาวิตรีขอพรเอาไว้
ในที่สุด เรื่องราวความรักของซาวิตรีและสัตยาวันก็จบลงอย่างมีความสุข
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- รักแท้มีค่ากว่าทุกสิ่ง
- รักแท้เอาชนะโชคชะตาได้
- ผู้กตัญญูจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
- สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
#นิทานนำบุญ







