Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานสอนใจ, นิทานอินเดีย

ซาวิตรีและสัตยาวัน : นิทานความรัก ความกตัญญู และชัยชนะเหนือโชคชะตา

นิทานเรื่อง ซาวิตรีและสัตยาวัน ไม่ได้เป็นเพียงนิทานความรักที่เล่าขานกันในอินเดียเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งในเรื่องย่อยอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏอยู่ใน มหากาพย์มหาภารตะ — วรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ยาวที่สุดในโลก และเป็นเสาหลักของวัฒนธรรมฮินดู มหากาพย์นี้มีความลึกซึ้งทั้งในด้านศาสนา ปรัชญา และจริยธรรม โดยเรื่องของซาวิตรีถูกบรรจุไว้ใน “วนบรรพ” หรือ “บรรพแห่งป่า” ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวละครหลักของมหากาพย์ถูกเนรเทศและได้เรียนรู้ธรรมะผ่านเรื่องเล่าจากฤๅษีผู้ทรงภูมิ

แม้จะเป็นเพียงเรื่องย่อยในมหากาพย์ แต่ ซาวิตรีและสัตยาวัน กลับได้รับการยกย่องจากนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในนิทานที่สะท้อน “ธรรมะในชีวิตจริง” ได้อย่างงดงามที่สุด ตัวละครหญิงในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เลอโฉม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ประกอบด้วยสติปัญญา ความกตัญญู และความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับโชคชะตา นิทานเรื่องนี้จึงถูกนำไปตีความและดัดแปลงในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก รวมถึงในไทย

สำหรับคนไทย นิทานเรื่องนี้อาจมีบริบทบางอย่างที่แตกต่างจากค่านิยมไทย เช่น การเลือกคู่ครองด้วยตนเอง หรือการสนทนากับเทพแห่งความตาย แต่เมื่อเข้าใจพื้นฐานของมหากาพย์มหาภารตะและวัฒนธรรมอินเดียแล้ว จะพบว่าเรื่องนี้มีคุณค่าอันเป็นสากลและเข้าถึงใจของคนทุกเชื้อชาติ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เราเข้าใจความรัก ความเสียสละ และพลังของปัญญาในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอัศวปตี ที่รุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์ มีพระราชาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระราชาอัศวปตี” พระองค์ทรงมีทุกสิ่งครบถ้วน ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว นั่นคือบุตรหรือธิดาที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์

ทุกค่ำคืน พระราชาอัศวปะตีจะทรงสวดมนต์ภาวนาและบำเพ็ญตบะ ด้วยความหวังอันแรงกล้าที่จะได้ทายาทผู้เปี่ยมด้วยปัญญามาสืบทอดวงศ์ตระกูล

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระแม่แห่งปัญญาได้เสด็จมาในความฝันของพระราชาอัศวปตี แล้วตรัสว่า “เจ้าจะได้ธิดา ผู้เปล่งประกายดุจจันทรา แต่จงรู้ไว้เถิด…นางมีโชคชะตาอันท้าทายรอคอยอยู่”

ในเวลาต่อมา พระราชาอัศวปตีก็ได้พระธิดาสมดังใจ พระธิดาผู้เลอโฉมพระองค์นั้นมีนามว่า “ซาวิตรี” นางงดงามเหนือหญิงใดโลกหล้า ทั้งยังเฉลียวฉลาด กตัญญู ซื่อตรง และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรจึงพากันรักใคร่ชื่นชมพระองค์มาก

ครัันเมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีเติบโตถึงวัยอันสมควร พระราชาได้ตรัสกับพระธิดาว่า “เจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญา หากไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อมถึงดวงจันทร์อย่างเจ้า เจ้าจงออกเดินทางเถิด แล้วเลือกชายผู้คู่ควร ด้วยหัวใจของเจ้าเอง”

เมื่อพระบิดาตรัสเช่นนั้น เจ้าหญิงซาวิตรีจึงออกเดินทางพร้อมเหล่าข้าราชบริพาร ท่องไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ และได้พบชายหนุ่มเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกว่า “คือคนที่ใช่” สำหรับพระองค์

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ท่ามกลางป่าลึกที่สงบงาม เจ้าหญิงซาวิตรีได้พบชายหนุ่มผู้หนึ่ง นามว่า “สัตยาวัน” สัตยาวันไม่ได้มีสมบัติใด ๆ ที่เทียบเคียงกับเจ้าหญิงได้ แต่เขามีหัวใจที่อ่อนโยน, มีมือที่ขยันขันแข็ง และมีดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา

จริง ๆ แล้ว สัตยาวันเป็นโอรสของกษัตริย์ผู้ถูกโค่นอำนาจ เขาจึงต้องมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในป่า และต้องดูแลบิดามารดาผู้ชราภาพด้วยความรักและความกตัญญู เจ้าหญิงซาวิตรีรู้ในทันทีว่า… นี่คือผู้ชายที่หัวใจของพระองค์เฝ้าตามหา

เมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีกลับไปกราบทูลพระราชาและขออนุญาตแต่งงานกับสัตยาวัน โหรหลวงประจำราชสำนักได้ทูลว่า “สัตยาวันเป็นบุรุษที่มีบุญ แต่ดวงชะตากำหนดไว้แล้วว่า…เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น!”

พระราชาทรงตกใจ และพยายามหว่านล้อมให้เจ้าหญิงซาวิตรีเปลี่ยนใจ แต่เจ้าหญิงกลับกล่าวด้วยสายตาอันมั่นคงว่า “แม้จะมีเพียงหนึ่งปีแห่งความสุขที่แท้จริงกับคนที่หม่อมฉันรัก ก็ยังดีกว่ามีชีวิตทั้งชีวิตกับคนที่หม่อมฉันไม่ได้รัก” ในที่สุด…เจ้าหญิงซาวิตรีก็ตัดสินใจแต่งงานกับสัตยาวัน โดยพระองค์ได้ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง แล้วไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในป่าร่วมกับสามีและบิดามารดาของเขาอย่างเต็มใจ

หนึ่งปีผ่านไป วันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง…ได้เวียนมาถึงวาระ วันนั้น สัตยาวันออกไปตัดไม้ในป่าตามปกติ แต่ซาวิตรีรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซาวิตรีจึงขอตามสามีไปด้วย

ตลอดทั้งวัน…ยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในขณะที่สัตยาวันกำลังแบกฟืนกลับบ้าน เขากลับทรุดลงด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง

ในวินาทีนั้น “ยมราช” ผู้เป็นเทพแห่งความตาย ได้ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางลมพัดเย็นยะเยือก

“ถึงเวลาของสัตยาวันแล้ว เจ้าจงถอยไปเถิด” ยมราชพูดกับซาวิตรี พร้อม ๆ กับเตรียมนำวิญญาณของสัตยาวันออกจากร่าง

แต่ซาวิตรีไม่ยอม นางจึงกล่าวกับยมราชว่า “ท่านเป็นเทพแห่งธรรมะและความยุติธรรมมิใช่หรือ? ภรรยาผู้สัตย์ซื่อต้องตามสามีไปทุกแห่ง แม้แต่โลกหลังความตาย ข้าย่อมต้องติดตามเขา”

หัวใจที่มุ่งมั่นและสายตาที่เอาจริงของซาวิตรี ทำให้ยมราชประทับใจในความเด็ดเดี่ยว ยมราชจึงกล่าวว่า “หัวใจของเจ้าช่างประเสริฐ เอาล่ะ…ข้าจะให้พรแก่เจ้า เจ้าจะขอพรอะไรก็ได้ 3 ประการ…ยกเว้นการขอชีวิตของสัตยาวัน”

ซาวิตรีประนมหัตถ์ขอบคุณและกล่าวว่า “ข้าขอให้พระบิดาของข้าได้ทายาทอีกองค์ เพื่อสืบสันตติวงศ์” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญู

ข้อที่สอง “ข้าขอให้บิดาของสัตยาวันได้อาณาจักรคืน เพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของตระกูลเขา” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อสามีและครอบครัวของสามี

ข้อสุดท้าย “ข้าขอให้ข้ามีบุตรกับสัตยาวัน”

ยมราชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะหากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป ซาวิตรีก็ย่อมไม่มีโอกาสมีบุตรกับสัตยาวันเป็นแน่

ยมราชไม่ให้ซาวิตรีขอชีวิตของสัตยาวัน นางจึงเลี่ยงการขอชีวิตสามี โดยผูกตรรกะที่ไม่อาจโต้แย้งได้ พระองค์รับรู้ในทันทีว่า ซาวิตรีเป็นสตรีที่มีสติปัญญาสูงส่ง หากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป พรข้อสามก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้!

ยมราชยิ้มอย่างชื่นชม “เจ้าชนะแล้ว ซาวิตรี…ข้าจะคืนชีวิตให้สัตยาวัน”

เมื่อสัตยาวันฟื้นคืนชีวิต ซาวิตรีก็รีบประคองเขาไว้แนบกาย พร้อมกับขอบคุณยมราชที่เมตตา

ครั้นเมื่อซาวิตรีและสัตยาวันเดินทางกลับสู่อาณาจักร บิดาและมารดาของสัตยาวันที่ได้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ ก็รอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่นั่น ส่วนบิดาของซาวิตรีได้มีพระโอรสองค์น้อยตามที่ซาวิตรีขอพรเอาไว้

ในที่สุด เรื่องราวความรักของซาวิตรีและสัตยาวันก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • รักแท้มีค่ากว่าทุกสิ่ง
  • รักแท้เอาชนะโชคชะตาได้
  • ผู้กตัญญูจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
  • สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้


จ้าหญิงซาวิตรีเจรจากับยมราชในป่า เพื่อช่วยชีวิตสามีสัตยาวัน – ภาพประกอบนิทานจากมหาภารตะ

Posted in นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ตุ๊กตาไร้แขน

นิทานก่อนนอนเรื่อง ตุ๊กตาไร้แขน เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นความตั้งใจที่ผมอยากจะลองเริ่มต้นกลับมาแต่งนิทานอย่างจริงจังอีกครั้ง พร้อม ๆ กับการที่ตัวเองมาอยู่ที่จังหวัดนครพนม

นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานเรื่องแรกที่แต่ง โดยใช้ตุ๊กตาเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างแรงบันดาลใจ ผมใช้เวลาในการแต่งนิทานเรื่องนี้อยู่หลายสัปดาห์ เพราะต้องวิ่งวุ่นกับการสร้างบ้านไปด้วย และต้องต่อสู้กับความขี้เกียจ รวมถึงความรู้สึกน้อยใจที่นิทานถูกละเมิดลิขสิทธิ์อยู่บ่อยครั้ง แต่ในที่สุด ผมก็แต่งนิทานเรื่องนี้เสร็จจนได้ (เสร็จก่อนที่บ้านจะพร้อมเข้าอยู่)

ผมหวังว่า นิทานที่ผมตั้งใจแต่งเรื่องนี้จะถูกใจคุณผู้อ่านบ้างนะครับ หลาย ๆ ส่วนอาจไม่สมบูรณ์เหมือนนิทานที่เคยแต่งลงในนิตยสารขวัญเรือน แต่เชื่อเถอะว่า ผมได้พยายามแต่งภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ ขอให้มีความสุขกับนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

นิทานเรื่อง ตุ๊กตาไร้แขน

กาลครั้งหนึ่ง ณ ร้านขายของเก่าซึ่งมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมอยู่เสมอ ๆ   มีตุ๊กตาเศษผ้าที่เก่าคร่ำคร่าตัวหนึ่ง ถูกวางปนอยู่กับตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ในร้านแห่งนั้น  ตุ๊กตาตัวนี้มีชื่อว่า “มินา”   มินาเป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ถูกเจ้าของเดิมทิ้งมานานแล้ว  ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเจ้าของ เดิมโตเป็นผู้ใหญ่จึงเลิกเล่นตุ๊กตาแบบเด็ก ๆ  หรืออาจเป็นเพราะมินาเป็นตุ๊กตาที่เก่าเสียจนแขนของมันหลุดหายไปทั้งสองข้าง ทำให้เจ้าของเดิมไม่อยากเก็บมันเอาไว้อีกต่อไป

แม้มินาจะเป็นตุ๊กตาที่ชำรุด ไร้แขน  แถมยังถูกทิ้งจนกลายมาเป็นสินค้ามือสองในร้านขายของเก่า  แต่มินาก็ยังคงมีความทรงจำที่ดีและมีความภูมิใจที่ครั้งหนึ่งมันเคยได้ทำหน้าที่ของตุ๊กตาผู้มอบความสุขให้แก่เจ้าของเดิมในสมัยที่เธอยังเป็นเด็กน้อย  มินาจึงมักนั่งอมยิ้มอยู่นิ่ง ๆ ในร้านขายของเก่าแห่งนั้นอย่างมีความสุข โดยหวังว่าสักวัน มันจะมีโอกาสได้พบกับเจ้าของใหม่ที่ต้องการได้มันไปเป็นเพื่อน

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี  แม้ตุ๊กตาในร้านจะถูกซื้อออกไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า  แต่มินาก็ยังเป็นตุ๊กตาที่คงค้างอยู่ในร้าน  โดยไม่มีใครสนใจรับมินาไปดูแลเลยแม้แต่คนเดียว  

จนกระทั่งวันหนึ่ง  เจ้าของร้านอยากระบายของในร้านออกไปให้ได้มาก ๆ   เจ้าของร้านจึงหยิบมินาแถมให้ลูกค้าที่ซื้อตุ๊กตาในวันนั้น 

“คุณลูกค้าซื้อตุ๊กตาไปตั้งเยอะ  ชั้นขอแถมตุ๊กตาผ้าตัวนี้ให้อีกตัวแล้วกันนะ”

เมื่อลูกค้ามองมินา  ลูกค้าก็รีบบอกเจ้าของร้านว่า “ไม่เป็นไรค่ะ  เจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็น่ารักนะคะ แต่มันแขนขาดทั้งสองข้าง หมดสภาพความเป็นตุ๊กตาไปแล้ว  หนูขอไม่รับไว้นะคะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่มินาได้ฟังความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อมัน  และในวันนั้น  มินายังคงได้ฟังความรู้สึกที่ลูกค้าคนอื่น ๆ มีต่อมันอีกหลายต่อหลายครั้ง 

“หนูขอไม่รับไว้นะคะ ที่บ้านหนูมีตุ๊กตาเยอะแล้ว ถ้าจะเอาตุ๊กตาเข้าไปเพิ่ม ก็ขอคัดเอาตัวที่ชอบจริง ๆ  ส่วนตุ๊กตาแขนขาดแบบนี้  รับไปก็คงเอาไปทิ้ง เพราะบ้านไม่มีที่เก็บแล้วค่ะ”  ลูกค้าอีกคนปฏิเสธ

“พอดีผมซื้อตุ๊กตาไปเป็นของขวัญ  ถ้าเอาตุ๊กตาไร้แขนไปให้ใคร  เขาคงโมโหหาว่าเอาขยะไปให้  ผมต้องขอโทษจริง ๆ ที่รับมันไว้ไม่ได้ครับ”  ลูกค้าผู้ชายปฏิเสธอย่างสุภาพ

คืนวันนั้น หลังจากที่เจ้าของร้านปิดร้าน  โดยไม่มีใครยอมรับตุ๊กตาไร้แขนกลับไปบ้านด้วย  มินาที่เคยยิ้มแย้มด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข  ก็กลายเป็นตุ๊กตาที่มีสีหน้าอมทุกข์  เพราะมันได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงที่ผู้คนมีต่อมัน 

“ตุ๊กตาไร้แขน ก็คือขยะที่หมดสภาพความเป็นตุ๊กตาไปแล้ว  ไม่มีใครรัก ไม่มีใครต้องการ และไม่มีค่าใด ๆ อีกต่อไป”

มินาจมดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ของความท้อแท้  มันไม่เหลือความเชื่อมั่นหรือความภูมิใจใด ๆ ในตัวเองอีก  มินาอยากมีแขนเหมือนกับตุ๊กตาตัวอื่น ๆ  เพื่อที่มันจะได้กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง  มินาร้องไห้ตลอดทั้งคืน  มันร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาเลยแม้สักหยด  ในที่สุด  มินาก็หมดแรงหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัว

ค่ำคืนนั้น  เหล่านางฟ้าในดินแดนแห่งความสุขได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมาเกือบตลอดทั้งคืน  เสียงร้องไห้ของตุ๊กตาที่มีหน้าที่สร้างความสุขให้เด็ก ๆ เป็นเสียงร้องไห้ที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาเสียงร้องไห้ทั้งหลาย  นางฟ้าองค์หนึ่งจึงอาสาไปช่วยมินา เพื่อให้ตุ๊กตาที่น่าสงสารพ้นจากช่วงเวลาแห่งความหม่นหมอง

ในตอนรุ่งสาง  มินาตื่นขึ้นมาโดยมีนางฟ้าองค์น้อยปรากฏตัวอยู่ห่างจากมันไม่มากนัก  เมื่อนางฟ้าเห็นว่ามินาตื่นแล้ว  นางฟ้าจึงเอ่ยปากถามมินาว่า  “เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น  ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอตลอดทั้งคืน  เธอต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม  ฉันพอจะช่วยอะไรเธอได้ไหม”

เมื่อมินาได้ฟังถ้อยคำของนางฟ้า  มินาก็มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง  แต่มันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วอ้อนวอนนางฟ้าด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า  “นางฟ้าจ๋า ฉันเพิ่งรู้ว่าการที่ฉันไม่มีแขน ทำให้ใคร ๆ ต่างไม่ต้องการฉัน  ฉันคือสิ่งของไร้ค่า ที่หมดสภาพความเป็นตุ๊กตาไปแล้ว”  มินาหยุดพูดนิดหนึ่ง  มันพยายามกลั้นความทุกข์ที่ท่วมท้นอยู่ในใจ  จากนั้น มันจึงพูดต่อไปอย่างน่าสงสารว่า  “นางฟ้าจ๋า ฉันอยากจะกลับมาเป็นตุ๊กตาที่มีคุณค่าอีกครั้ง  นางฟ้าพอจะช่วยฉันได้ไหม  แค่เนรมิตแขนทั้งสองข้างให้ฉัน  มันคงไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไปนะจ๊ะ”

 นางฟ้ามองตุ๊กตาเศษผ้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสาร  ทุกคำพูดของมินาสะท้อนความรู้สึกของมันออกมาได้อย่างชัดแจ้ง  แม้การเนรมิตแขนทั้งสองข้างให้มินาจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่นางฟ้ามองเห็นปัญหาบางอย่างที่สำคัญกว่า  นางฟ้าผู้เมตตาจึงบอกกับมินาว่า  “ฉันยินดีที่จะเนรมิตแขนใหม่ให้เธอนะจ๊ะ  แต่ตามกฎของนางฟ้า  เธอต้องทำความดีมาแลก”  นางฟ้าส่งยิ้มให้มินา จากนั้น นางฟ้าจึงพูดต่อไปว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม  ถ้าเธอลองใช้ความเป็นตุ๊กตาในตัวเธอ ทำให้ผู้คนรู้สึกดีหรือมีความสุขได้สัก 3 คน  ฉันก็จะเนรมิตแขนใหม่ที่เข้ากับเธอให้ทันทีสู้ ๆ นะ ฉันเชื่อว่าเธอต้องทำได้”

กำลังใจจากนางฟ้าและโอกาสในการกลับมามีแขนอีกครั้ง  ทำให้มินารู้สึกมีความหวัง

แม้มินาจะสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปมาก  แต่นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้มันกลับมาเป็นตุ๊กตาที่มีค่าได้อีกครั้ง มันจึงตั้งใจที่จะทำหน้าที่ในฐานะของตุ๊กตาตัวหนึ่งอย่างเต็มที่

ช่วงสายของวันนั้น  มีคุณแม่คนหนึ่งอุ้มลูกน้อยเข้ามาในร้านขายของเก่า  ในขณะที่คุณแม่เลือกของอยู่นั้น  เด็กน้อยมองไปรอบ ๆ ตัวความด้วยรู้สึกหวาดกลัวสถานที่ที่ไม่คุ้นตา   มินาสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กน้อยที่เหมือนกำลังจะร้องไห้  มีนาจึงใช้พลังของตุ๊กตา ส่งเสียงร้องเพลงที่แสนน่ารัก เพื่อให้เด็กน้อยคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง

“มาซิมา มาซิมา  เชิญเธอเข้าสู่ดินแดนตุ๊กตา   มาซิมา มาซิมา  โลกจะสดใสถ้าเธอยิ้มออกมา” 

เสียงร้องเพลงของตุ๊กตาเป็นเสียงพิเศษที่มีแต่เด็กเล็ก ๆ เท่านั้นที่สามารถได้ยินได้   เมื่อเด็กน้อยได้ฟังเสียงเพลงจากมินา  และเมื่อเด็กน้อยมองไปยังตุ๊กตาไร้แขนที่ส่งยิ้มพร้อมกับทำหน้าตลก ๆ ชวนให้หัวเราะ เด็กน้อยก็ยิ้มตอบ แถมยังส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จนคุณแม่ถึงกับแปลกใจ

หลังจากที่คุณแม่กับเด็กน้อยออกจากร้านไปแล้ว  ในเวลาต่อมา  มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าเหมือนคนอมทุกข์   หญิงสาวก้มหน้าหยิบของเก่าในร้านขึ้นมาดูชิ้นแล้วชิ้นเล่า แต่ใจของเธอกลับล่องลอยไปอยู่ที่อื่น  มินาสังเกตเห็นสีหน้าของหญิงสาวและเห็นน้ำตาของเธอโดยบังเอิญ 

“สาวน้อยคงเจอเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมากแน่ ๆ”  มินาคิด  ด้วยเหตุนี้  มินาจึงตัดสินใจใช้พลังของตุ๊กตา ส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความห่วงใยว่า “สาวน้อย ถ้าเธอมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ เธอเล่าให้ฉันฟังได้นะ  ตุ๊กตาอย่างฉันเป็นนักฟังที่ดี และฉันก็ไม่เคยเอาเรื่องของใครไปเล่าต่อให้คนอื่นรู้ด้วยนะ”

เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงพิเศษของมินาที่คนอื่นไม่สามารถได้ยิน  หญิงสาวก็เดินตรงมาหามินาอย่างช้า ๆ  พลางเอื้อมมือมาหยิบมินาเข้าไปแนบไว้ที่อ้อมอก  จากนั้น หญิงสาวก็พูดในใจกับมินา ซึ่งมินาฟังคำพูดทุกคำของหญิงสาวด้วยความตั้งใจ 

หญิงสาวระบายความทุกข์ใจของเธอที่ต้องผิดหวังกับเรื่องหลาย ๆ เรื่องในชีวิต  จนเธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า  หญิงสาวอยากได้กำลังใจจากใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังความทุกข์ของเธอและยอมรับในตัวตนของเธอในแบบที่เธอเป็น  ซึ่งการที่มินายินดีรับฟังเสียงในใจของเธอ  มันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น เหมือนเธอไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงลำพัง

เมื่อหญิงสาวรู้สึกดีขึ้น เธอจึงวางมินาลงตรงที่เดิมแล้วยิ้มให้มินาด้วยความรู้สึกขอบคุณ  จากนั้น เธอก็เดินออกจากร้านไปอย่างเงียบ ๆ

ในขณะนั้น  มินารู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้โอบกอดให้กำลังใจหญิงสาว และได้ส่งความรักให้สาวน้อย ในฐานะของตุ๊กตาตัวหนึ่งอย่างจริงใจที่สุด   มินารู้สึกว่าตัวเองได้ทำหน้าของตุ๊กตาอีกครั้ง  แต่ในขณะเดียวกัน  มันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า  ทำไมตุ๊กตาไร้แขนอย่างมันจึงรู้สึกเหมือนได้ใช้แขนโอบกอดให้กำลังใจหญิงสาวจนเธอรู้สึกดีขึ้นได้

ระหว่างที่มินากำลังแปลกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  จู่ ๆ ก็มีคุณครูคนหนึ่งพาเด็กนักเรียนตัวน้อยหลายต่อหลายคนเข้ามาในร้านขายของเก่า  คุณครูคงตั้งใจพานักเรียนมาทัศนศึกษา หรือเรียกง่าย ๆ ว่า พานักเรียนมาเปิดหูเปิดตา  แต่สิ่งหนึ่งที่มินาคาดไม่ถึงก็คือ  คุณครูอนุญาตให้เด็ก ๆ เลือกตุ๊กตาที่เหมาะกับตัวเองคนละตัว  เพราะคุณครูตั้งใจจะซื้อตุ๊กตามอบให้เด็กนักเรียนทุกคนเป็นของขวัญ ในฐานะที่เด็ก ๆ ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด

ทันทีที่เด็ก ๆ ได้ยินคำพูดของคุณครู  เด็ก ๆ ก็พากันเลือกตุ๊กตาที่ตัวเองชอบมากที่สุดจนทำให้ทั่วทั้งร้านมีแต่เสียงของเด็กน้อยที่พูดคำว่า “น่ารักจังเลย น่ารักจังเลย” ไม่ขาดปาก  

ในบรรดาเด็ก ๆ  เกือบยี่สิบคนที่คุณครูพามาเลือกตุ๊กตา  มีเด็กคนหนึ่งเดินมาหามินา พร้อมกับสังเกตแขนของมินา ซึ่งเป็นแขนที่ไม่มีใครมองเห็น!  หลังจากนั้น  เด็กน้อยก็เผลอพูดออกมาเบา ๆ ว่า “น่ารักจังเลย น่ากอดที่สุด ฉันชอบเธอที่สุดเลยนะ” 

มินาแปลกใจที่เด็กน้อยชมมันว่าน่ารัก  แต่เมื่อมินาสังเกตเด็กน้อยอย่างถี่ถ้วน    มินาก็พบว่าเด็กน้อยคนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ 

สิ่งที่มินาสังเกตเห็นและอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กน้อยชอบมินามากกว่าตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ก็คือ เด็กน้อยคนนั้นมีขาข้างหนึ่งเป็นขาเทียมที่ใช้แทนขาที่หายไป  

แม้เด็กน้อยจะไม่มีขาสมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่น แต่เด็กน้อยก็สามารถเดินมาหามินาได้ด้วยวิธีของตัวเอง  ในขณะเดียวกัน  แม้มินาจะไม่มีแขนแบบตุ๊กตาตัวอื่น ๆ   แต่มินาก็มีแขนที่มองไม่เห็นที่พร้อมจะกอดและปลอบใจทุก ๆ คนด้วยวิธีของตัวเอง

หลังจากที่เด็ก ๆ เลือกตุ๊กตาที่ชอบได้คนละตัวแล้ว  คุณครูได้ขอฝากตุ๊กตาทั้งหมดไว้ที่ร้านก่อน แล้วจะขับรถมารับตุ๊กตาทั้งหมดกลับไปในช่วงวันหยุด 

เมื่อคุณครูพาเด็กนักเรียนออกจากร้านไปหมดแล้ว  เจ้าของร้านก็ปิดร้าน  หลังจากนั้น  นางฟ้าก็มาปรากฏตัวต่อหน้าของมินาอีกครั้ง

ทันทีที่นางฟ้าปรากฏตัว  นางฟ้าก็พูดกับมินาว่า  “วันนี้ เธอได้ใช้ความเป็นตุ๊กตาในตัวเธอ ทำให้คนมีความสุขมากถึง 3 คนเลยนะ  ดังนั้น ฉันจะเนรมิตแขนใหม่ให้เธอตามสัญญา  ว่าแต่…เธอยังต้องการให้ฉันเนรมิตแขนให้เธออยู่ใช่ไหม”

มินาส่งยิ้มให้นางฟ้าแล้วตอบกลับไปว่า  “นางฟ้าจ๋า ถ้านางฟ้าไม่ว่าอะไร  ฉันอยากอธิษฐานขอสิ่งอื่นที่ไม่ใช่แขนจะได้ไหม”  

นางฟ้ามีสีหน้าแปลกใจ  มินาจึงอธิยายต่อไปว่า “เหตุการณ์วันนี้ ทำให้ฉันได้รู้แล้วว่า แม้ฉันจะเป็นตุ๊กตาไร้แขน แต่ฉันยังคงมีความเป็นตุ๊กตาอย่างเต็มเปี่ยม  ฉันเป็นตุ๊กตาที่พร้อมจะโอบกอดและมอบความรักให้แก่คนที่ต้องการ โดยที่ฉันไม่จำเป็นต้องมีแขนเลยด้วยซ้ำ”     มินาหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า  “ฉันคิดว่า ฉันมีความสุขกับทุกสิ่งที่ฉันเป็นอยู่  ดังนั้น  หากหากนางฟ้าจะกรุณา ฉันอยากขอให้นางฟ้าเนรมิตความสุขให้แก่สาวน้อยคนที่เล่าเรื่องราวทุกข์ใจให้ฉันฟังในวันนี้ เพื่อให้เธอกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งจะได้ไหมจ๊ะ”

นางฟ้ายิ้มให้มินา พลางพยักหน้าแทนคำตอบ 

นางฟ้าดีใจที่มินาค้นพบคุณค่าในตัวเอง คุณค่าของการเป็นผู้ส่งมอบความสุข ที่ไม่มีคำพูดของใครจะมาทำลายมันลงไปได้   ด้วยเหตุนี้  นางฟ้าจึงเนรมิตให้ความทุกข์ใจของสาวน้อยค่อย ๆ คลี่คลายลงตามคำขอของมินา 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน  คุณครูก็มารับตุ๊กตาทั้งหมดรวมทั้งมินา เพื่อนำไปมอบให้แก่เด็ก ๆ ที่เฝ้ารอตุ๊กตาแสนรักของพวกเขา  ส่วนสาวน้อยก็ค่อย ๆ คลายความทุกข์และกลับมามีความสดใสอีกครั้งด้วยพรของนางฟ้า

ในที่สุด เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานให้กำลังใจ

เรายังเป็นที่รักของใครบางคน – นิทานก่อนนอนให้กำลังใจสำหรับคนท้อแท้

ในช่วงชีวิตของคนเรา มักต้องเผชิญกับเรื่องราวหลากหลาย ทั้งสุข ทุกข์ และความผิดหวัง บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้เรารู้สึกหมดกำลังใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ หรือแม้กระทั่งจมอยู่กับความเศร้าจนไม่อยากก้าวเดินต่อไป สำหรับบางคน ความทุกข์นั้นหนักหนาถึงขั้นกลายเป็นโรคซึมเศร้า แต่แม้ในวันที่แย่ที่สุด สิ่งเล็ก ๆ อย่าง กำลังใจ ความห่วงใย และความรักจากใครบางคน ก็สามารถเป็นพลังสำคัญที่ช่วยประคับประคองหัวใจของเราได้

นิทานก่อนนอนเรื่องนี้ เป็น นิทานอบอุ่นหัวใจ ที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ตั้งใจเขียนขึ้น เพื่อมอบเป็น นิทานให้กำลังใจสำหรับคนท้อแท้หรือรู้สึกไร้ค่า ให้รู้ว่า “เรายังเป็นที่รักของใครบางคน” อยู่เสมอ แม้ในวันที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง

หากวันใดรู้สึกเหนื่อยล้า ลองยิ้มให้กับตัวเองเบา ๆ ใช้มือขวาลูบแขนซ้าย และใช้มือซ้ายลูบแขนขวาเหมือนจะบอกกับตัวเองว่า “ฉันก็รักเธอเหมือนกัน” หรือหาตุ๊กตานุ่ม ๆ มากอด แล้วส่งความรักให้เขา คุณจะพบว่า ความรักและความอบอุ่นจะค่อย ๆ ไหลย้อนกลับมาหาคุณเอง ยิ่งเรารู้จักรักและเมตตาตัวเองมากเท่าไร เราก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรักจากรอบตัวมากขึ้นเท่านั้น

ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้ ผ่านช่วงเวลาที่แย่ ๆ ไปให้ได้ และอย่าลืมโดยเด็ดขาดว่า…
“เรายังเป็นที่รักของใครบางคน” อยู่จริง ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแผงขายตุ๊กตามือสองแบกะดินแผงหนึ่ง เต็มไปด้วยตุ๊กตาเก่า ๆ ที่ถูกเจ้าของเดิมทอดทิ้ง ตุ๊กตาแต่ละตัวดูมอมแมม, ปุปะ แต่ก็ยังเหลือเค้าความน่ารักอยู่

beloved10-color-web6

วันหนึ่ง  มีตุ๊กตาตัวหนึ่งมีหูเพียงข้างเดียว มันถูกเจ้าของร้านนำมารวมกับตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ในแผง  เจ้าหูเดียวเพิ่งถูกทิ้งมาหมาด ๆ  มันจึงเสียใจมากและร้องไห้ตลอดเวลาอย่างน่าสงสาร

beloved10-color-web8

คืนนั้น มีคนเดินผ่านแผงตุ๊กตาเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครสนใจตุ๊กตาเก่า ๆ, ตุ๊กตามือสองหรือตุ๊กตาชำรุดเลยแม้แต่คนเดียว

ครั้นพอเจ้าของร้านเก็บร้าน  บรรยากาศก็ค่อย ๆ  เงียบลง ๆ เหลือเพียงแค่เสียงของเจ้าหูเดียวเท่านั้นที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

“ทำไมต้องทิ้งฉันด้วยนะ ทั้ง ๆ  ที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่ารักกัน พอฉันเก่าก็ไม่มีค่าแล้วเหรอ” เจ้าหูเดียวรำพึงรำพัน “ฉันยังอยากเป็นที่รักของใครสักคนอยู่นะ”

ในขณะที่เจ้าหูเดียวร้องไห้คร่ำครวญ จู่ ๆ ก็มีเสียงเล็ก ๆ ดังแว่วมาว่า “เธอจ๊ะเธอจ๋า หันมามองทางนี้หน่อย” เมื่อเจ้าหูเดียวหันไปมอง มันก็เห็นตุ๊กตาตัวหนึ่งส่งตาหวานและยิ้มให้มัน  “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อว่าตาหวาน ฉันเองก็ถูกทิ้งมาเหมือนกัน อย่าร้องไห้ไปเลย เธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่นะ”

ไม่ทันที่เจ้าหูเดียวจะหายแปลกใจ  จู่ ๆ ก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังมาจากที่ใกล้ ๆ  “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อปากจู๋”  พูดเสร็จ ตุ๊กตาที่ชื่อปากจู๋ก็หอมจุ๊บเข้าที่แก้มของเจ้าหูเดียว  “ยินดีต้อนรับนะ อย่าร้องไห้ไปเลย เธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่นะ”  พอฟังจบ เจ้าหูเดียวก็ยิ้มพร้อมกับรู้สึกว่าหน้าของมันอุ่น ๆ อย่างประหลาด

แต่ก่อนที่เจ้าหูเดียวจะตั้งตัวได้  จู่ ๆ ก็มีใครบางคนพูดเสียงทุ้ม ๆ ว่า  “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อฮักนะ”  พูดจบ เจ้าฮักซึ่งเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ขนปุกปุย (แต่ออกจะดูมอมแมมไปสักหน่อย) ก็รวบตัวเจ้าหูเดียวเข้ามาในอ้อมอก พร้อมกับกอดเจ้าหูเดียวอย่างแนบแน่นด้วยความรัก  ฮักบอกว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย ยิ้ม ๆ เข้าไว้ เพราะเธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่นะ”

นอกจากตุ๊กตาทั้งสามตัวแล้ว  ตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ก็ต้อนรับเจ้าหูเดียวเหมือนกัน  บางตัวก็ลูบเนื้อลูบตัวเจ้าหูเดียวเบา ๆ, บางตัวแอบหอมเจ้าหูเดียวดังจุ๊บ, บางตัวร้องเพลงให้เจ้าหูเดียวฟัง, บางตัวก็ชวนคุยให้หายเหงา, บางตัวเลือกที่จะเอาหัวอิงใกล้ ๆ แม้จะไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่ทั้งหมดทำให้เจ้าหูเดียวรู้สึกได้ว่า มันยังคงมีเพื่อนและยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่

การรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่รักของใครบางคนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  การสัมผัส, ส่งยิ้ม,โอบกอดหรือพูดคุยด้วย เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ทำให้คนอื่นรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อเขาและเขายังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่

beloved10-color-web20

เมื่อเจ้าหูเดียวได้สติ มันก็น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งและรู้สึกขอบคุณเพื่อนตุ๊กตาที่มอบมิตรภาพอันแสนวิเศษให้มัน

ณ เวลานี้  เจ้าหูเดียวรู้แน่ชัดแล้วว่าการเป็นที่รักของใครสักคนสำคัญมากเพียงไร มันจึงตั้งใจจะเข้มแข็งและทำหน้าที่มอบความรักให้แก่คนที่ต้องการบ้าง

เพราะการได้รู้ว่า เรายังเป็นที่รักของใครบางคน…เป็นสิ่งที่มีค่า…มากเหลือเกิน

beloved10-color-web22

#นิทานนำบุญ

………………………………….