วันนี้ ตรงกับวันที่ 8 กันยายน 2568 ผมได้ดูคลิปข่าวของนักมวยชื่อ “ชาโด้ สิงห์มาวิน” แล้วได้ยินเขาพูดว่า “ผมไม่ได้แข็งแกร่ง เพราะคนที่แข็งแกร่งจริง ๆ คือแม่ของผม” ผมนิ่งไปนานมาก คำพูดที่ได้ฟัง มันสะเทือนใจจนผมรู้สึกว่า…อยากเขียนนิทานสักเรื่องเพื่อบอกโลกว่า ความรักของแม่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
มาอ่านนิทานเรื่อง “สัญญาปิศาจกับความรักของแม่” ด้วยกันนะครับ
กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แห้งแล้งกลางหุบเขา มีแม่ลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเก่า พวกเขายากจนมาก ต้องขุดหัวมันไปขายเป็นรายได้หลัก แม้แดดจะแผดเผา หรือฝนจะตกหนักเพียงไร แม่ก็ยังคงต้องออกไปขุดดินเก็บมันด้วยมือเปล่า ส่วนลูกชายวัยสิบสองปีก็ได้แต่ช่วยแม่และเฝ้ามองแม่ของเขาด้วยความรักสุดหัวใจ
วันหนึ่ง เด็กชายล้มป่วยจากการทำงานกลางฝน แม่รีบหาผ้าห่มเก่า ๆ มาห่มตัวให้ลูก และพูดกับลูกอย่างอ่อนโยนว่า “พักเถอะลูก แม่จะไปทำงานเอง” จริง ๆ แล้ว ในวันนั้น แม่เองก็ป่วยมาก แม่ไอหนักจนยืนแทบไม่ไหว แต่เด็กชายเห็นแม่ทำท่าทางแข็งแรงเหมือนปกติ แล้วลุกขึ้นคว้าจอบออกไปขุดมันต่อ เพราะแม่รู้ดีว่า หากเธอหยุดทำงาน ลูกจะไม่มีข้าวกิน
คืนแล้วคืนเล่า เด็กชายเริ่มฝึกฝนร่างกายด้วยตนเอง เขาวิ่งรอบหมู่บ้าน ยกหินแทนตุ้มน้ำหนัก ฝึกหมัดและเท้าด้วยความมุ่งมั่น เขาอยากแข็งแกร่ง เพื่อสักวัน เขาจะได้ทำงานและปกป้องแม่จากความเหนื่อยยากที่ไม่เคยปรานีใคร
คืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งเหม่อมองฟ้า ปิศาจตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากเงามืด มันมีร่างสูงใหญ่ ดวงตาแดงฉาน และมีเสียงแหบต่ำที่เย็นยะเยียบ “เจ้าหนุ่ม หากเจ้าขายวิญญาณให้ข้า ไปเป็นนักรบให้ข้า ข้าจะให้แม่เจ้าอยู่สุขสบาย มีบ้านใหม่ มีเงินทอง ไม่ต้องทำงานอีกเลย” เด็กชายลังเล แต่เมื่อปิศาจพูดเสริมว่า “แต่หากเจ้าปฏิเสธหรือผิดสัญญา ข้าจะเอาชีวิตของแม่เจ้าไป” เด็กชายห่วงแม่ เขาจึงยอมตกลงรับข้อเสนอของปิศาจ
รุ่งเช้า แม่ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังใหม่ มีอาหารเต็มโต๊ะ และเงินทองมากมาย เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนลูกชายก็หายไปจากหมู่บ้าน โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปที่ไหน
หลายปีผ่านไป เด็กชายเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก เขาเป็นนักรบของปิศาจ ยึดครองเมืองต่าง ๆ ด้วยพลังที่ไม่มีใครต้านได้ ชื่อของเขากลายเป็นตำนาน ทุกเมืองที่เขาไปเยือนล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของปิศาจ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ปิศาจหมายจะยึดเมืองสุดท้ายที่ยังไม่ยอมจำนน มันส่งชายหนุ่มไปเป็นตัวแทนในการประลอง พระราชาแห่งเมืองนั้นกลุ้มใจมาก เพราะไม่มีใครกล้าสู้กับนักรบไร้พ่ายผู้นี้เลยสักคน จนมีนักสู้ลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาสวมผ้าคลุมจากหัวจรดเท้า เสียงแหบพร่า เขากล่าวว่า “ข้าขออาสาสู้เพื่อเมืองนี้”
เมื่อถึงวันประลอง เวทีถูกตั้งกลางลานหลวง ชายหนุ่มขึ้นเวทีด้วยท่าทีสง่างาม ปิศาจหัวเราะเยาะนักสู้ตัวเล็กที่เดินขึ้นมาบนเวทีอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสื้อคลุมที่ปิดบังใบหน้าและร่างกายเอาไว้ “เมืองนี้คงหมดหวังแล้ว” มันกล่าวอย่างเย้ยหยัน
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น นักสู้ลึกลับเดินเข้าหาชายหนุ่มอย่างสุขุม เมื่อเข้าใกล้ เขายื่นมือจับไหล่ทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ชายหนุ่มมองหน้าคู่ต่อสู้ที่อยู่ใต้เสื้อคลุม จากนั้น เขาก็ยืนนิ่ง ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้าง น้ำตารินไหลเหมือนโลกแตกสลาย สามวินาทีต่อมา เขาก็ทรุดลงกับพื้น เหมือนคนเข่าอ่อนที่ไร้เรี่ยวแรง
ปิศาจตกใจสุดขีด มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “เจ้ามีเวทมนตร์อะไร” มันตะโกนลั่น “ข้าขอยกเลิกสัญญา! เขาไม่ใช่พวกข้าอีกต่อไป! ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว! อย่าเอาชีวิตของข้าเลย” เมื่อพูดจบ ปิศาจก็รีบหายตัวไปในเงามืด โดยทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง
เมื่อปิศาจจากไป นักสู้ลึกลับจึงย่อตัวลงไปที่ชายหนุ่ม เสื้อคลุมที่ปกปิดใบหน้าค่อยๆ หลุดลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ชายหนุ่มเฝ้าคิดถึงทุกคืนวัน
ใช่แล้ว…นักสู้ลึกลับก็คือแม่ของเขาเอง แม่ที่เคยขุดมันกลางฝน แม่ที่ไม่เคยพักแม้จะป่วยหนัก
ชายหนุ่มโผเข้ากอดแม่ด้วยความรักสุดหัวใจ เขาน้ำตาไหลไม่หยุด “แม่…ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน” เขาร้องไห้ “ผมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย เพราะคนที่แข็งแกร่งจริง ๆ คือแม่ของผม แม่ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม ผมรักแม่ ผมคิดถึงแม่”
ในที่สุด ชายหนุ่มก็ได้กลับมาอยู่ดูแลแม่อีกครั้ง และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยดี
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- ความรักของแม่คือความรักอันยิ่งใหญ่
- คนที่แข็งแกร่งที่สุด อาจไม่ใช่คนที่มีพละกำลังมากที่สุด









