Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

นิทาน โฉมงามกับอสูร | Beauty and the Beast นิทานก่อนนอนสุดคลาสสิก

โฉมงามกับอสูร (Beauty and the Beast) เป็นนิทานคลาสสิกจากฝรั่งเศสที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยเนื้อหาที่สื่อถึงความรักแท้ ความเมตตา และการมองเห็นคุณค่าภายในมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก นิทานเรื่องนี้ปรากฏครั้งแรกในรูปแบบลายลักษณ์อักษรเมื่อปี ค.ศ. 1740 โดย มาดามกาเบรียล-ซูซาน เดอ วิลล์เนิฟ (Gabrielle-Suzanne de Villeneuve) ซึ่งเขียนเป็นนิยายแฟนตาซีขนาดยาว มีโครงเรื่องซับซ้อนและแฝงด้วยรายละเอียดทางเวทมนตร์และการเมือง

ต่อมาในปี ค.ศ. 1756 มาดามฌานน์-มารี เลอแปรงซ์ เดอ โบมง (Jeanne-Marie Leprince de Beaumont) ได้เรียบเรียงและย่อเรื่องให้เหมาะกับเด็ก โดยตัดทอนส่วนที่ซับซ้อนออกไป และเน้นคุณธรรม ความเสียสละ และการเรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างเบลล์กับอสูร ฉบับของโบมงจึงกลายเป็นเวอร์ชันที่แพร่หลายที่สุด และเป็นต้นแบบของการดัดแปลงในสื่อร่วมสมัยหลายรูปแบบ

นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่า Beauty and the Beast เป็นนิทานที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยที่ผู้หญิงถูกจำกัดบทบาท ไปสู่การยอมรับความกล้าหาญและความคิดของผู้หญิงผ่านตัวละครเบลล์ นักวิจารณ์ร่วมสมัยยังชื่นชมการที่นิทานเรื่องนี้เปิดพื้นที่ให้ “ความรักที่ไม่ขึ้นกับรูปลักษณ์” และเป็นหนึ่งในนิทานไม่กี่เรื่องที่ตัวเอกหญิงมีอำนาจในการเลือกอย่างแท้จริง

เวอร์ชันที่คนทั่วโลกคุ้นเคยมากที่สุดคือฉบับแอนิเมชันของดิสนีย์ (1991) ซึ่งตีความอสูรให้มีรูปลักษณ์คล้ายสัตว์ผสม เช่น มีเขา ขน และกรงเล็บ เพื่อเน้นความแตกต่างจากมนุษย์อย่างชัดเจน ภาพประกอบในสื่อร่วมสมัยจึงมักสะท้อนความน่ากลัวทางกายภาพของอสูร และความงามแบบเจ้าหญิงของเบลล์

นิทาน โฉมงามกับอสูร ในเวอร์ชัน “นิทานนำบุญ” ยังคงยึดโครงเรื่องตามฉบับของ มาดามโบมง อย่างเคร่งครัด โดยรักษาเจตนารมณ์ของผู้เรียบเรียงไว้ครบถ้วน ทั้งในด้านเนื้อหา อารมณ์ และบทเรียนชีวิต แต่สิ่งที่ตีความแตกต่างออกไปคือ รูปลักษณ์ของตัวละคร ซึ่งตั้งใจออกแบบให้สื่อถึง “ความแตกต่างที่เข้าใจได้” มากกว่าความน่ากลัวแบบสัตว์ประหลาด

ในเวอร์ชันนี้ อสูรถูกตีความใหม่ให้เป็น ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี แต่ถูกสาปให้มี ผิวด่างขาว ซึ่งทำให้ดูผิดปกติในสายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะในยุคที่ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ยังมีน้อย เขาอาจถูกมองว่าเป็น “สัตว์ประหลาด” และต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธจากสังคม จนเลือกที่จะเก็บตัวและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว

การตีความนี้ไม่ได้มีเจตนาเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของผู้แต่ง แต่เป็นความพยายามในการ สร้างภาพประกอบที่สื่ออารมณ์ร่วมสมัย และเปิดพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ว่า “ความแตกต่างไม่ใช่ความอัปลักษณ์” หากการตีความนี้ไม่ตรงกับความรู้สึกของผู้อ่านบางท่าน ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยความเคารพ

ภาพเหมือนชายหนุ่มผู้มีผิวด่างขาว สวมเสื้อคลุมสีเข้ม ใช้เป็นภาพประกอบตัวละครอสูรในนิทานโฉมงามกับอสูร เวอร์ชันนิทานนำบุญ
ภาพเหมือนของชายหนุ่มผู้มี vitiligo สื่อถึงการตีความใหม่ของตัวละครอสูรในนิทาน “โฉมงามกับอสูร” โดยนิทานนำบุญ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวสามคนในเมืองใหญ่ ลูกสาวสองคนแรกมีนิสัยหยิ่งยโส รักความหรูหราและชอบเข้าสังคม ส่วนลูกสาวคนเล็กชื่อว่า “เบลล์” เป็นหญิงสาวผู้เรียบร้อย อ่อนโยน และรักการอ่าน เธอไม่สนใจเครื่องประดับหรือการแต่งตัว แต่กลับหลงใหลในหนังสือและความรู้

เมื่อกิจการของพ่อค้าประสบภัยทางทะเล เขาสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด ครอบครัวจึงต้องย้ายไปอยู่ในชนบทอันเงียบสงบ ลูกสาวสองคนแรกบ่นไม่หยุด แต่เบลล์กลับปรับตัวได้ดี เธอช่วยงานบ้าน ทำอาหาร และดูแลพ่อด้วยความรักอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

วันหนึ่ง พ่อค้าได้รับข่าวว่าเรือของเขาอาจรอดจากภัย เขาจึงเดินทางกลับเมืองด้วยความหวัง ก่อนออกเดินทาง เขาถามลูกสาวว่าอยากได้อะไรเป็นของฝาก ลูกสาวสองคนขอเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ส่วนเบลล์ขอเพียง “ดอกกุหลาบ” เพราะไม่มีดอกไม้ใดในชนบทที่งามเท่ากุหลาบในเมือง

เมื่อพ่อค้าไปถึงเมือง เขาพบว่าเรือของเขาถูกยึดไปแล้ว เขาจึงเดินทางกลับด้วยความเศร้า ระหว่างทาง เขาหลงเข้าไปในป่ามืดและพบปราสาทลึกลับที่มีสวนงามและอาหารจัดเตรียมไว้ เขาเข้าไปพักโดยไม่พบเจ้าของ

ก่อนออกจากปราสาท เขาเห็นดอกกุหลาบงามสะพรั่ง จึงเด็ดดอกหนึ่งเพื่อมอบให้เบลล์ ทันใดนั้น อสูรเจ้าของปราสาทปรากฏตัวขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าขโมยสิ่งที่ข้าเฝ้าดูแล เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” พ่อค้าร้องขอความเมตตาและเล่าเรื่องลูกสาว อสูรจึงเสนอทางเลือก “หากลูกสาวเจ้ามาอยู่ที่นี่แทนเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

พ่อค้ากลับบ้านด้วยความเศร้า เมื่อเบลล์รู้เรื่อง เธอไม่ลังเลที่จะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยพ่อ “พ่อไม่ผิดเลยค่ะ หนูจะไปอยู่กับอสูรเอง” เธอออกเดินทางพร้อมพ่อ และเมื่อถึงปราสาท อสูรต้อนรับเธอด้วยความสุภาพเกินคาด

เบลล์พบว่าปราสาทนั้นงดงามและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องของเธอถูกตกแต่งอย่างวิจิตร มีหนังสือ ดนตรี และภาพวาดให้เลือกตามใจ ทุกเย็น อสูรจะมานั่งพูดคุยกับเธอ แม้รูปลักษณ์ของเขาจะน่ากลัว แต่เขากลับมีน้ำใจและอ่อนโยน

อสูรไม่เคยบังคับหรือแสดงความโกรธ เขาเพียงถามเบลล์ทุกคืนว่า “เจ้าจะยอมแต่งงานกับข้าหรือไม่?” และทุกครั้งเบลล์จะตอบว่า “ข้ายังไม่พร้อม” อสูรจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ขอให้เจ้ามีความสุข”

วันเวลาผ่านไป เบลล์เริ่มเห็นความดีของอสูร เธอเห็นว่าเขาใส่ใจในความสุขของเธออย่างแท้จริง เขาไม่เคยขัดใจเธอ ไม่เคยทำให้เธอหวาดกลัว และมักฟังเธอเล่าเรื่องด้วยความตั้งใจ เธอเริ่มรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้เขา แม้จะยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นดีนัก

วันหนึ่ง เบลล์ขออนุญาตกลับไปเยี่ยมพ่อ อสูรยอมให้ไปโดยมีเงื่อนไขว่าเธอต้องกลับภายในเจ็ดวัน เขามอบแหวนวิเศษให้เธอใช้เดินทางกลับ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า “หากเจ้าไม่กลับมา ข้าจะตายด้วยหัวใจที่แตกสลาย”

เบลล์กลับบ้านและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น พ่อของเธอดีใจที่ได้เห็นลูกสาวปลอดภัย ส่วนพี่สาวสองคนกลับอิจฉาเมื่อเห็นว่าเบลล์มีชีวิตที่ดีขึ้น พวกเธอวางแผนให้เบลล์อยู่เกินกำหนด โดยแสร้งทำเป็นเศร้าและป่วย เพื่อให้เบลล์สงสารและอยู่ดูแล

เบลล์หลงเชื่อและอยู่ต่ออีกสองวัน เมื่อเธอรู้ตัวว่าเลยกำหนด เธอรีบใช้แหวนวิเศษกลับไปยังปราสาททันที แต่เมื่อมาถึง เธอพบว่าอสูรนอนแน่นิ่งอยู่ในสวน ดอกไม้รอบตัวเขาเหี่ยวเฉา และอากาศเย็นเฉียบ

เธอร้องไห้และกล่าวว่า “ข้ารักท่าน ได้โปรดอย่าตายไป” น้ำตาของเธอหยดลงบนใบหน้าของอสูร และทันใดนั้น แสงวิเศษก็ส่องรอบตัวเขา

อสูรกลับกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เขาเล่าว่าเขาถูกสาปให้มีรูปลักษณ์อัปลักษณ์จนกว่าจะมีหญิงสาวรักเขาโดยไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก และเบลล์คือผู้ปลดปล่อยคำสาปนั้น

ทั้งสองแต่งงานกันอย่างมีความสุข และเบลล์ได้ใช้ชีวิตในปราสาทที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา และความเข้าใจที่แท้จริง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก
  • ความเมตตาและความเสียสละนำไปสู่ความรักแท้
  • ความรักแท้เกิดจากการเข้าใจและยอมรับกัน


Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานนานาชาติ

นิทานอบอุ่นหัวใจ : เจ้าหญิงนิทราและคำสัญญาแห่งรัก : นิทานที่ถูกลืม

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา เป็นหนึ่งในเทพนิยายคลาสสิกที่ถูกเล่าขานและดัดแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานหลายศตวรรษ โดยเวอร์ชันที่คนส่วนใหญ่รู้จักมักมาจากปลายปากกาของ Charles Perrault (ฝรั่งเศส, ค.ศ. 1697) และ Brothers Grimm (เยอรมนี, ค.ศ. 1812) ซึ่งทั้งสองได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับเด็กและสังคมในยุคนั้น โดยตัดทอนฉากที่อาจขัดแย้งกับจริยธรรมร่วมสมัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงในขณะหลับใหล

แต่ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปี นิทานเรื่องนี้เคยปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในหนังสือชื่อ Perceforest ซึ่งเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส เขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1330–1344 โดยนักเขียนนิรนามในยุคกลาง Perceforest ไม่ใช่ชื่อของนิทาน แต่เป็นชื่อของหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวิน ความรัก และเวทมนตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงตำนานของกษัตริย์อาเธอร์กับประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส

หนึ่งในเรื่องราวที่โดดเด่นใน Perceforest คือเรื่องของ เจ้าหญิง Zellandine และ เจ้าชาย Troylus ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องโชคชะตา ความรักที่มั่นคง และคำมั่นสัญญาในบริบทของยุคกลาง โดยเจ้าหญิงตกอยู่ในห้วงนิทราเพราะเสี้ยนป่าน และฟื้นขึ้นมาเมื่อบุตรของเธอดูดนิ้วและดึงเสี้ยนออกโดยบังเอิญ

แม้เรื่องราวจะมีความงดงามในเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ขณะหลับ ซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเนื้อหาโดยนักแต่งนิทานรุ่นหลังอย่าง Perrault และ Grimm เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมทางศีลธรรมและการเลี้ยงดูเด็กในยุคของตน

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เป็นการเรียบเรียงใหม่ ที่เลือกจะกลับไปสำรวจความงามในต้นฉบับของ Perceforest ด้วยความเคารพและความเข้าใจในบริบทดั้งเดิม

ผู้เรียบเรียงไม่ได้มองความสัมพันธ์ในห้วงนิทราอย่างผิวเผิน แต่เห็นว่าเจ้าหญิงและเจ้าชายมีความรักและคำมั่นสัญญาต่อกันก่อนที่เจ้าหญิงจะหลับใหล การมีลูกจึงเป็นผลแห่งรักแท้ ไม่ใช่การละเมิด หากเป็นการรักษาสัญญาอย่างบริสุทธิ์ในรูปแบบที่สะท้อนความรักเหนือกาลเวลา

นิทานฉบับนี้จึงเป็นการตีความใหม่ที่เน้นความอ่อนโยน ความซื่อสัตย์ และการดูแลกันแม้ในยามที่อีกฝ่ายไม่อาจตอบสนองได้ เป็นการยืนยันว่า “คำมั่นสัญญา” นั้นมีพลังมากกว่าคำพูด—มันคือการกระทำที่ต่อเนื่องและมั่นคง

หากคุณกำลังมองหานิทานที่ไม่เพียงแต่เล่าเรื่อง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้หัวใจได้ไตร่ตรอง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก คือบทกวีแห่งความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นการฟื้นคืนความงามของวรรณกรรมยุคกลางในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเปี่ยมด้วยความเมตตา

นานมาแล้ว ในแผ่นดินที่ห้อมล้อมด้วยป่าใหญ่และท้องทะเล มีเจ้าหญิงนามว่า เซลลันดีน ผู้เปี่ยมด้วยความงดงามทั้งรูปกายและจิตใจ เธออ่อนโยน ชาญฉลาด และเต็มไปด้วยความเมตตา ราวกับเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในยามรัตติกาล

เจ้าหญิงมีคู่หมั้นคือ เจ้าชายทรอยลัส ผู้กล้าหาญจากแดนทรอย ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ต่อคำพูดและมีหัวใจที่มั่นคงราวหินผา ทั้งสองพบกันในยามสงบของบ้านเมือง และสัญญาต่อกันว่าจะร่วมสร้างครอบครัวอันเปี่ยมสุข ครองรักด้วยความเท่าเทียมและซื่อสัตย์ต่อกันจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

ทุกค่ำคืน เจ้าหญิงจะนั่งในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ และเจ้าชายจะมาร่วมสนทนา ทั้งสองกล่าวถึงความฝันอันเรียบง่าย คือการมีบ้านที่อบอุ่น มีบุตรชายหรือบุตรสาวที่วิ่งเล่นรอบห้องโถง และมีชีวิตที่มีเพียง “เรา” ไม่ว่าเวลาจะหมุนไปนานเพียงใด

แต่โชคชะตามักเล่นกล วันหนึ่ง เจ้าหญิงเซลลันดีนถูกเสี้ยนเวทมนตร์ตำ ทำให้เธอตกอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนาน ไม่มีใครสามารถปลุกเธอให้ตื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา คำวิงวอน หรือเพลงดนตรีจากขลุ่ยและพิณที่บรรเลงข้างพระแท่น

ข่าวแพร่ไปถึงแดนทรอย เมื่อเจ้าชายทรอยลัสได้ยิน เขารีบเดินทางฝ่าภูผาและท้องสมุทรเพื่อมาหาเจ้าหญิง เมื่อได้เห็นคนรักของตนเอนกายหลับนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน ดวงตาของเจ้าชายพรั่งพรูด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด

“โอ เซลลันดีนที่รัก… เหตุใดชะตาจึงโหดร้ายกับเราเช่นนี้ แต่ถึงเจ้าจะหลับใหล ข้าก็จะรักเจ้ามิเปลี่ยนแปร” เจ้าชายกล่าวพร้อมกุมมืออันเย็นชืดของเจ้าหญิง น้ำตาไหลหยดลงบนปลายนิ้วเธออย่างไม่รู้จบ

ด้วยหัวใจที่ไม่เคยสั่นคลอน เจ้าชายจึงทำตามคำมั่นสัญญา เขาจัดพิธีแต่งงาน แม้เจ้าหญิงจะยังคงหลับใหลอยู่บนพระแท่น แต่เขาก็ประกาศต่อฟ้าและแผ่นดินว่า “นับแต่นี้ไป เจ้าหญิงเซลลันดีนคือภรรยาของข้า ผู้เดียวตลอดกาล”

วันคืนล่วงผ่านไป เจ้าชายใช้ชีวิตในฐานะสามีผู้ซื่อสัตย์ เขาดูแลเจ้าหญิงด้วยความอ่อนโยน สวมช่อดอกไม้ไว้ข้างหมอนของเธอทุกเช้า ขับกล่อมด้วยเสียงพิณในยามค่ำคืน และเล่านิทานให้เธอฟังเสมอ แม้จะไม่ได้ยินคำตอบกลับ เขาก็ยังยิ้มให้อย่างมั่นคง

ราชสำนักต่างพากันประหลาดใจว่า ทำไมชายหนุ่มผู้สง่างามนี้จึงยึดมั่นอยู่กับหญิงสาวที่ไม่อาจตื่นขึ้นมา แต่สำหรับเจ้าชายแล้ว คำตอบนั้นง่ายดาย… เพราะเธอคือคำมั่นสัญญาแห่งชีวิต และเขาเลือกที่จะรักโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

กาลเวลาหมุนเวียน ฤดูหนาวแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ และในความเงียบงันนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เจ้าหญิงเซลลันดีนเริ่มมีชีวิตใหม่ก่อกำเนิดภายในร่างกายของเธอ แม้เธอจะยังคงหลับใหล แต่สายใยรักได้ผลิบานเป็นดั่งดวงดาวดวงน้อย

วันหนึ่ง เจ้าหญิงให้กำเนิดทารกน้อย ดวงตาสุกใสราวท้องฟ้ายามรุ่ง เด็กน้อยถูกวางไว้ในอ้อมแขนของแม่ผู้ยังคงหลับไหล แต่กลับอบอุ่นดุจเปลแก้ว เจ้าชายทอดมองภาพนั้นด้วยน้ำตาไหลพราก ลูกคือสัญลักษณ์แห่งรักแท้ของเขาและเจ้าหญิง

วันเวลาผ่านไป ทารกเติบโตขึ้นในอ้อมกอดของบิดา และบางครั้งในยามหิว เขาจะซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงที่มือของแม่ พลันวันหนึ่ง เด็กน้อยได้ดูดนิ้วของเธอด้วยความไร้เดียงสา เสี้ยนที่ตำอยู่ในเล็บตรงปลายนิ้วหลุดออกโดยบังเอิญ

ราวกับเสียงระฆังจากสวรรค์ เจ้าหญิงกระพริบตาช้า ๆ แสงแห่งชีวิตกลับมาสู่ดวงตาคู่สวย เจ้าชายที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานถึงกับทรุดตัวลงร้องไห้ด้วยความปิติ “เซลลันดีน… ที่รัก เจ้าฟื้นแล้ว”

เจ้าหญิงลืมตาขึ้นพบลูกน้อยในอ้อมแขน เธอปล่อยน้ำตาแห่งความสุขไหลริน พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าชายที่รัก… ข้ารู้สึกถึงเจ้า แม้ในห้วงนิทราอันยาวนาน ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ทอดทิ้ง ขอบคุณที่รักษาคำสัญญา”

เจ้าชายกุมมือของเธอแน่น “ข้าสัญญากับเจ้าในวันที่เราเคยฝัน… ว่าจะรักและสร้างครอบครัวไปกับเจ้า วันนี้สวรรค์ได้โปรดให้คำมั่นนั้นเป็นจริงแล้ว”

ราชสำนักทั้งเมืองร่วมกันเฉลิมฉลองการฟื้นคืนของเจ้าหญิง ทุกผู้คนต่างเห็นว่า ความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าคำสาปหรือเวทมนตร์ใด ๆ ลูกน้อยถูกขนานนามว่า “ดาวแห่งคำมั่น” เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งรักแท้ที่ไม่เสื่อมคลาย

และนับแต่นั้นมา เจ้าหญิงเซลลันดีน เจ้าชายทรอยลัส และลูกน้อยของพวกเขา ได้ครองชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น สมดังความฝันที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มว่า ความรักแท้จะไม่สยบต่อโชคชะตา หากจะส่องสว่างเป็นนิรันดร์