Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

สกปรกที่สุดในโลก : นิทานอบอุ่นที่เหมาะสำหรับอ่านก่อนนอน

นิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” ถือเป็นหนึ่งในนิทานเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้มีโอกาสเขียนลงในนิตยสาร ขวัญเรือน (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเรื่องที่สอง) ตอนนั้นผมยังเป็นนักเขียนนิทานมือใหม่ ทุกคำ ทุกประโยคที่เขียนลงไปเต็มไปด้วยความยากและความท้าทาย ผมค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ เลือกคำ เหมือนกำลังต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น ๆ จนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ แม้นิทานเรื่องนี้จะเป็นเพียงนิทานสั้น ๆ แต่ผมใช้เวลานานมากในการสร้างมันขึ้นมา

หากสังเกตการใช้ภาษาในเรื่อง จะเห็นการเล่นคำซ้ำ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละย่อหน้า ซึ่งเป็นความตั้งใจเพื่อสร้างจังหวะและความรู้สึกพิเศษให้กับผู้อ่าน ตัวละครเองก็มีความแปลกอยู่นิด ๆ เพราะทุกตัวละครมีกลิ่นตุ ๆ ติดตัว นั่นคือความพยายามของผมที่จะสร้างตัวละครที่แตกต่างจากนิทานเด็กทั่วไปในยุคนั้น รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และการแก้ปมปัญหาที่ดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วซ่อนความคิดที่ดึงเอาสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบมาเป็นฉากสำคัญของเรื่อง

แรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง คือ การอยากให้นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่เล่าก่อนชวนเด็ก ๆ ไปอาบน้ำ เพราะมีภาพของสายฝนและฟองสบู่ที่เชื่อมโยงกับความสะอาดและความสนุก แต่หากจะอ่านก่อนนอนก็ไม่ว่ากัน เพราะนิทานเรื่องนี้ยังคงอบอุ่นและน่าจะสร้างรอยยิ้มได้เสมอ ไม่ว่าจะอ่านในเวลาใดก็ตาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแมวอยู่ตัวหนึ่งเป็นแมวที่สกปรกที่สุดในโลก ไม่มีใครอยาก เข้าใกล้แมวน้อยตัวนี้เลย เพราะเพียงแค่เดินผ่าน กลิ่นเหม็นตุๆ ก็ลอยคลุ้งออกมาจากตัวของเจ้าแมวน้อยเสียแล้ว แต่เจ้าแมวน้อยก็ไม่เคยสนใจ เพราะเจ้าของของมัน ก็มีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเหมือนกัน

เจ้าของของแมวน้อยเป็นเด็กผู้หญิงที่ตัวสกปรกที่สุดในโลก เธอเคยอาบน้ำบ้างเหมือนกัน แต่เธอจำไม่ได้แล้วว่าเธออาบน้ำครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไร ถึงเธอจะมีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออก มาจากตัวเหมือนกับแมวของเธอ แต่เธอก็ไม่เคยสนใจ เพราะที่อยู่ของเธอเองก็มีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออกมาเหมือนกัน

ที่อยู่ของเด็กผู้หญิงคนนี้ เป็นบ้านที่สกปรกที่สุดในโลก แต่เดิมบ้านหลังนี้เคยเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่น่าอยู่มาก จนกระทั่งเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คือคุณพ่อและคุณแม่ของเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ ด่วนขึ้นสวรรค์ไปเสียก่อน บ้านจึงไม่มีใครดูแล เด็กผู้หญิงจึงไม่มีใครดูแล และแมวน้อยจึงไม่มีใครดูแล ดังนั้น พวกเค้าจึงมีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเหมือนๆ กัน

วันหนึ่งในฤดูฝน ฝนตกลงมาดังเปาะแปะ เปาะแปะ แมวน้อยนึกสนุกจึงวิ่งออกไปเล่นน้ำฝน เด็กผู้หญิงนึกสนุกบ้าง จึงเอากระป๋องกับสบู่ ไปเล่นเป่าลูกโป่งกลางสายฝน ส่วนบ้านหลังน้อยไม่ต้องวิ่งไปไหน เพราะฝนตกทีไร บ้านหลังน้อยได้ยืนเล่นน้ำฝนทุกที

สนุกกับสายฝนกันอยู่นาน ลูกโป่งฟองสบู่ก็เลยล่องลอยไปติดตามเนื้อตามตัวของทุกๆ คน สายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่ ก็เลยกลายเป็นความสะอาดเอี่ยมอ่อง

ถึงตอนนี้ แมวที่เคยสกปรกที่สุดในโลก ก็กลายเป็นแมวน้อยตัวสะอาดที่มีกลิ่นสบู่ติดอยู่ด้วย เด็กผู้หญิงที่เคยตัวสกปรกที่สุดในโลกก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวสะอาดที่มีกลิ่นสบู่ติดตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน ส่วนบ้านที่เคยสกปรกที่สุดในโลก ก็กลับกลายเป็นบ้านหลังเล็กแสนสะอาดที่มีกลิ่นสบู่หอมฟุ้งอยู่ทั้งหลัง

นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครเคยเห็นแมวน้อย, เด็กผู้หญิงและบ้านที่สกปรกที่สุดในโลกอีกเลย.

อสุรกายขนฟูยิ้มกว้างถือของเล่นอยู่ท่ามกลางฟองสบู่และของเล่นหลากสี
มอมแมมกับของเล่นแสนสนุกในดินแดนฟองสบู่ อสุรกายผู้มีหัวใจอ่อนโยน กำลังสร้างความสุขให้เด็ก ๆ ด้วยของเล่นที่มันประดิษฐ์ขึ้นเอง

เด็กหญิงผมสีส้มถือไม้เป่าฟองสบู่ วิ่งเล่นกลางสายฝนกับแมวดำหน้าบ้านหลังเล็ก
Posted in นิทานหมา, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

เรื่องเล่าของเจ้าหมูอ้วน : นิทานเพื่อนแท้ที่ถูกลืม

ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน สัตว์เลี้ยงยังคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนความหมายของคำว่า “รักแท้” สำหรับหลายครอบครัว สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่เพื่อนเล่น แต่คือสมาชิกในบ้าน ผู้เฝ้ารอ ผู้ฟังเงียบ ๆ และผู้มอบความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

โดยเฉพาะ “หมา” สัตว์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความภักดีและความเสียสละ มันไม่สนว่าเราจะยุ่งแค่ไหน ไม่สนว่าเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้เฝ้าดู ได้รอคอย… ก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรัก

สำหรับเด็ก ๆ การมีสัตว์เลี้ยงคือการเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ ความอ่อนโยน และความผูกพันที่ไม่ต้องใช้คำพูด สัตว์เลี้ยงสอนให้เด็กรู้จักการดูแลผู้อื่น รู้จักความเศร้าเมื่อใครบางคนเจ็บป่วย และรู้จักความสุขจากการได้เห็นใครบางคนฟื้นกลับมา

แต่ในบางครั้ง… เมื่อความสนใจของเด็กเปลี่ยนไป เมื่อของใหม่เข้ามาแทนที่ สัตว์เลี้ยงที่เคยเป็นโลกทั้งใบก็อาจถูกมองข้าม ถูกลืม ถูกปล่อยให้เฝ้ารออยู่เงียบ ๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความรักจะกลับมา

นิทานเรื่องนี้คือบทบันทึกของ “เพื่อนแท้” ผู้ไม่เคยหายไปจากหัวใจ แม้จะถูกลืมไปจากสายตา…

ผมชื่อ “หมูอ้วน” ผมเป็นหมาของน้องพี ตอนที่ผมเป็นเด็ก น้องพีคอยดูแลผมไม่เคยห่าง เรากินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน และเล่นสนุกด้วยกัน น้องพีรักผมมาก ส่วนผมก็รักน้องพีสุดหัวใจ

เมื่อน้องพีโตขึ้น ผมก็โตขึ้นด้วย ตอนนี้…ผมไม่ใช่ลูกหมาแล้วนะ แต่ผมเป็นหมาหนุ่มที่แข็งแรงไม่ใช่เล่น ผมคอยเฝ้าบ้านให้น้องพีทุก ๆ คืน ส่วนน้องพีก็ยุ่งกับการบ้านจนเราไม่ค่อยได้เล่นกันสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม…ผมก็ยังรักน้องพีไม่มีเปลี่ยน

อยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อซื้อหมาหุ่นยนต์มาให้น้องพีเป็นของขวัญวันเกิด น้องพีตื่นเต้นมากเพราะหมาหุ่นยนต์ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและส่งเสียงโต้ตอบได้ราวกับมันมีชีวิต ผมดีใจที่เห็นน้องพีมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน…ผมก็กลัวว่าน้องพีอาจลืมผมไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง

นับจากวันนั้น น้องพีก็รีบทำการบ้านเพื่อที่จะได้มีเวลาเล่นกับหมาหุ่นยนต์ให้มากที่สุด น้องพีสนุกกับการป้อนข้อมูลให้หมาหุ่นยนต์ทำนู่นทำนี่ เจ้าหมาหุ่นยนต์ชอบหมุนตัวไปรอบ ๆ และเห่าด้วยเสียงประหลาด น้องพีมักจะหัวเราะเมื่อได้เห็น แต่พอผมแกล้งหมุนตัวและเห่าบ้าง น้องพีกลับทำหน้าเบื่อ ๆ แล้วเอาหมาหุ่นยนต์ขึ้นไปเล่นในห้องนอนโดยไม่ให้ผมตามไปด้วย น้องพีหลงเจ้าหมาหุ่นยนต์จนลืมหมาที่มีหัวใจอย่างผมไปเสียแล้ว!

ผมร้องไห้อยู่หลายวันจนไม่มีน้ำตาจะไหล ในที่สุด ผมก็เริ่มทำใจได้และรู้ตัวดีว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ยังคงรักน้องพีไม่มีเปลี่ยน ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงยอมอยู่ห่างจากน้องพีและตั้งใจที่จะเฝ้าบ้านให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องน้องพีให้นอนหลับฝันดีทุก ๆ คืน

แต่แล้วคืนหนึ่ง (ซึ่งเป็นคืนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้าน) จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนแปลกหน้าปีนกำแพงเข้ามาและแอบลอบเข้าไปในตัวบ้าน ผมตกใจมากเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับโจรเช่นนี้มาก่อน แต่ทันทีที่ผมได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของน้องพี ผมก็ได้สติและรีบกระโจนเข้าไปในบ้านอย่างเร็วจี๋

เมื่อผมวิ่งขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของน้องพี สิ่งที่ผมเห็นก็คือน้องพีกำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงโดยมีเจ้าโจรร้ายยืนขวางประตูพร้อมกับถือมีดเงาวับอยู่ในมือ

เสี้ยววินาทีนั้น…ผมกลัวจนตัวสั่น แต่เพราะผมรักน้องพียิ่งกว่าชีวิต ผมจึงตัดสินใจกระโดดเข้ากัดเจ้าโจรร้ายอย่างสุดแรงเกิด

แม้เจ้าโจรจะเจ็บและทำมีดหลุดมือ แต่มันก็ยังมีพิษสงรอบตัว เจ้าโจรทั้งทุบทั้งถีบผมเพื่อให้ผมปล่อยมันออกจากคมเขี้ยว ผมถูกโจรทำร้ายจนสะบักสะบอมไปหมด แต่เพื่อปกป้องน้องพีที่ผมรัก ผมจึงยอมสู้ตายถวายชีวิต

และแล้ว…โชคดีก็เป็นของผม เพราะก่อนที่ผมจะหมดแรงเฮือกสุดท้าย คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องพีก็ขับรถกลับมาถึงบ้าน ซึ่งทำให้เจ้าโจรตกใจและรีบเผ่นหนีไปในทันที

เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่เข้ามาเห็นสภาพภายในห้อง ท่านทั้งสองก็รีบโผเข้ากอดน้องพีที่ได้แต่ร้องไห้และชี้มือมาที่พื้น คุณพ่อมองเห็นหมาหุ่นยนต์ที่พังยับเยินอยู่ตรงนั้น ท่านจึงปลอบน้องพีว่าจะซื้อหมาหุ่นยนต์ให้ใหม่ แต่น้องพีไม่เอา น้องพีกลับร้องไห้ฟูมฟายพร้อม ๆ กับร้องเรียกชื่อผมไม่ยอมหยุด!ในตอนนั้น ผมดีใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ น้องพียังห่วงผม น้องพียังจำหมาอย่างผมได้ ผมดีใจได้สักพัก แล้วภาพต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ มืดหายไปจนหมด

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในร้านหมอโดยมีน้องพีคอยลูบตัวของผมเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง คุณหมอรักษาผมเป็นอย่างดี ท่านยืนยันว่าผมจะต้องหายเป็นปกติได้แน่ ๆ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน น้องพีเฝ้าดูแลผมเหมือนตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมอบอุ่นใจมากเมื่อน้องพีกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน และผมมีความสุขเหลือเกินเมื่อน้องพีบอกผมว่า ขอโทษนะเจ้าหมูอ้วน ฉันจะไม่ลืมเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันอีกแล้ว

ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ฟังถ้อยคำอันแสนวิเศษของน้องพี ผมจะต้องหายให้เร็วที่สุดเพราะผมไม่อยากให้น้องพีต้องเป็นห่วง

หลังจากนั้นไม่นาน…ผมก็ค่อย ๆ หายวันหายคืนจนแข็งแรงเหมือนเก่าไม่มีผิด ส่วนน้องพีก็ไม่เคยลืมเพื่อนสี่ขาที่แสนดีอย่างผมอีกเลย

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

นิทานกริมส์: ชายซื่อตรงกับหงส์ทองคำ | นิทานก่อนนอนสำหรับเด็ก

นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี โดยปรากฏในชุดนิทานของพี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ซึ่งเป็นนักสะสมและเรียบเรียงนิทานพื้นบ้านที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้มีชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมันว่า “Die goldene Gans” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “หงส์ทองคำ” แต่ในฉบับภาษาอังกฤษกลับมีชื่อหลากหลาย เช่น The Golden Goose หรือ The Simpleton ซึ่งเน้นไปที่ตัวละครเอกที่เป็นคนซื่อและถูกดูแคลน ความหลากหลายของชื่อเรื่องในแต่ละภาษา ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในบางครั้ง เช่น บางฉบับเน้นหงส์ทองคำเป็นสิ่งวิเศษ บางฉบับกลับเน้นตัวละคร “ชายซื่อบื้อ” ที่กลายเป็นผู้ชนะอย่างไม่คาดคิด

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในกลุ่มนิทานแนว “ซื่อตรงแล้วได้ดี” หรือ “คนดีมีโชค” ซึ่งเป็นโครงเรื่องที่พบได้บ่อยในนิทานยุโรป โดยเฉพาะใน Grimm’s Fairy Tales เช่นเดียวกับเรื่อง Hans in Luck, The Three Brothers, หรือ The Queen Bee นิทานแนวนี้มักมีตัวเอกที่ถูกดูแคลนในตอนต้น แต่ด้วยความเมตตา ความกล้าหาญ หรือความซื่อแท้ ๆ ทำให้เขาได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในท้ายเรื่อง นิทานประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ เพราะให้ความหวังและปลอบโยนว่า “ความดีไม่สูญเปล่า” และ “โชคชะตาอาจพลิกผันได้เสมอ”

ในการเรียบเรียงนิทานครั้งนี้ เราเลือกใช้ชื่อว่า “ชายซื่อตรงกับหงส์ทองคำ” เพื่อรักษาแก่นแท้ของเรื่องและให้ความเคารพต่อชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมัน ขณะเดียวกันก็ใช้ภาษาที่อ่อนโยนและเข้าใจง่ายสำหรับผู้อ่านไทย โดยเฉพาะเด็ก ๆ และผู้ปกครองที่อยากอ่านนิทานก่อนนอน เราปรารถนาให้นิทานเบา ๆ เรื่องนี้เป็นพื้นที่แห่งความสุข ความขำขัน และความอบอุ่นใจ ที่จะช่วยปลุกจินตนาการและปลอบโยนหัวใจในยามค่ำคืน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงชราผู้ยากจนคนหนึ่ง มีลูกชายสามคน พี่สองคนแรกฉลาดหลักแหลมและขยันขันแข็ง ส่วนคนเล็กกลับซื่อ ๆ ที่ไม่ค่อยทันใคร ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ ผู้คนต่างเรียกเขาว่า “เจ้าคนซื่อบื้อ”

วันหนึ่ง หญิงชราอยากกินแพนเค้ก แต่ในบ้านไม่มีน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมไว้ราด หญิงชราจึงสั่งลูกชายคนโตให้ไปป่าเพื่อตามหาน้ำผึ้ง

ลูกชายคนโตจึงออกเดินทางจนถึงป่าลึก เขาพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากในลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้บอกว่า หากเขาต้องการน้ำผึ้ง ต้องเปิดโพรงและดูข้างในเสียก่อน แต่ชายหนุ่มเกิดกลัวขึ้นมา คิดว่าคำพูดของต้นไม้นั้นเป็นสิ่งประหลาดอันตราย เขาจึงหนีเตลิดกลับบ้านมือเปล่า

หญิงชราจึงสั่งลูกชายคนกลางให้ไปแทน เขาจึงออกเดินทางเข้าป่าจนไปถึงต้นไม้ต้นเดียวกัน ต้นไม้พูดประโยคเดียวกันกับที่บอกพี่ชายคนโต แต่ชายหนุ่มหวาดหวั่น เขาคิดว่ามีภูตผีหรือปีศาจอยู่ในนั้น เขาจึงรีบวิ่งหนีกลับบ้าน

ในที่สุด เจ้าคนซื่อบื้อก็อาสาจะไปบ้าง แม่กับพี่ชายหัวเราะเยาะ “คนซื่อบื้ออย่างเจ้า ไปแล้วจะได้อะไรกลับมา”

แต่เจ้าคนซื่อบื้อก็ยืนยันที่จะไป เมื่อเขาเดินทางไปถึงต้นไม้และได้ยินเสียงพูด เขาไม่ได้กลัวเลย ตรงกันข้าม ด้วยความซื่อของเขา เขาจึงทำตามคำพูดที่ได้ยิน โดยเปิดโพรงไม้ออก และพบว่ามี หม้อทองคำ ซึ่งมีเหรียญทองคำซ่อนอยู่เต็มไปหมด เขาดีใจมาก จึงในใจว่า “ถ้าแม่และพี่ชายทั้งสองได้เห็น ทุกคนคงตะลึงแน่ ๆ”

ระหว่างทางกลับบ้าน เจ้าคนซื่อบื้อได้พบกับทหารสามคนที่กำลังเดินทางอย่างยากลำบาก เจ้าคนซื่อบื้อจึงแบ่งทองให้พวกเขา และพูดด้วยความซื่อว่า “ทองคำเหล่านี้ข้าเพิ่งได้มาจากป่า เอาไปเถิด ท่านทั้งหลาย” ทหารทั้งสามปลื้มใจ และสาบานว่าจะติดตามรับใช้เจ้าซื่อบื้อไปทุกที่

ในเวลาไม่นาน ข่าวเรื่องชายหนุ่มผู้ค้นพบหม้อทองคำก็แพร่สะพัดไปถึงหูพระราชา พระราชาเห็นว่าน่าสนใจดี จึงให้ทหารไปเรียกเจ้าคนซื่อบื้อเข้ามาหาในวัง แต่ขุนนางทั้งหลายต่างพากันคัดค้าน เพราะเจ้าคนซื่อบื้อไม่น่ามีอะไรที่คู่ควรจะมาพูดคุยกับพระราชาเลยแม้สักนิด พระราชาจึงจำใจต้องหาเรื่องทดสอบเจ้าคนซื่อบื้อ ซึ่งหากทำได้ เขาก็คงเหมาะสมที่จะได้พบกับพระองค์โดยที่ไม่มีใครคัดค้านอีก ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงสั่งให้เจ้าคนซื่อไปนำหงส์ทองคำที่อาศัยอยู่ในป่าลึกมาถวาย และหากทำได้ พระองค์ก็จะมอบรางวัลให้ตามที่ใจปรารถนา

เมื่อเจ้าคนซื่อบื้อได้ฟังคำสั่งของพระราชา เจ้าคนซื่อบื้อกับทหารทั้งสามจึงออกเดินทางเข้าไปในป่าแบบ “ไม่คิดมาก” และด้วยโชคชะตากับความช่วยเหลือของทหารทั้งสาม เจ้าคนซื่อบื้อจึงสามารถนำหงส์ทองคำกลับมาได้

เมื่อเจ้าคนซื่อบื้อพาหงส์ทองคำตัวใหญ่เข้ามาในเมือง ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจ จนอดใจขอแตะขนที่ตัวของหงส์ไม่ได้

เมื่อชาวบ้านแตะหงส์ มือที่แตะ ก็ติดแน่น จนไม่สามารถดึงมือออกมาได้ พอเด็ก ๆ เห็น เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะ แล้วพยายามดึงหงส์ให้หลุดออกจากมือ แต่นั่นก็ทำให้เขาติดกับหงส์ไปด้วย พอหญิงสาวเดินผ่านและเห็นเช่นนั้น เธอก็หัวเราะ แต่เมื่อเธอพยายามจะช่วย มือของเธอก็ติดเข้าไปด้วย จนในที่สุด ขบวนของเจ้าคนซื่อบื้อที่เข้ามาในวังจึงมีทั้งหงส์ทองคำและผู้คนที่พ่วงตามมาด้วยอีกยาวเหยียด

เมื่อเจ้าหญิงผู้ไม่เคยยิ้มเห็นภาพเหตุการณ์ตลก ๆ ที่เกิดขึ้น เจ้าหญิงก็เผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งนั่นทำให้พระราชาถึงกับตะลึง เพราะนี่คือครั้งแรกที่พระธิดาหัวเราะอย่างมีความสุข

ตามสัญญา พระราชาจะต้องมอบรางวัลให้เจ้าคนซื่อบื้อตามที่ใจปรารถนา เพราะเขานำหงส์ทองมาถวายได้สำเร็จ เจ้าคนซื่อบื้อซึ่งเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึก มองเห็นเจ้าหญิงที่ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข เขาเห็นว่าเจ้าหญิงทั้งสวยและน่ารัก เขาจึงขอ “ขอเจ้าหญิงเป็นรางวัล” แบบซื่อ ๆ

พระราชาพูดแล้วคืนคำไม่ได้ ดังนั้น พระองค์จึงตั้งให้เจ้าคนซื่อบื้อเป็นราชบุตรเขย ทำให้พี่ชายทั้งสองคนได้แต่ยืนอิจฉา

แม้เจ้าคนซื่อบื้อจะถูกหัวเราะเยาะมาตลอดชีวิต แต่ด้วยซื่อตรงกับความรู้สึกนึกคิดและจิตใจที่ดีงาม เขาจึงได้รับรางวัลที่ไม่มีใครคาดคิด

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความซื่อและเมตตาอาจดูธรรมดา แต่เป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตได้
  • อย่าดูถูกคนที่ดูไม่เก่ง เพราะคุณค่าที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย