ปี 2566 ผมย้ายบ้านมาอยู่ที่ต่างจังหวัด และตั้งใจจะเริ่มจัดสรรเวลาเพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่าที่ตัวผมพอจะทำได้ หนึ่งในเรื่องที่ตั้งใจคือการกลับมาแต่งนิทานอีกครั้ง แต่เป็นการแต่งนิทานที่ไม่มีผู้จ้าง แค่รู้สึกว่ามีผู้อ่านหลายคนรอนิทานเรื่องใหม่ ๆ อยู่ ผมจึงพยายามแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ ออกมา แต่งแบบไม่กดดันตัวเองให้เร่งรีบ (แต่การไม่เร่งรีบก็ไม่ได้แปลว่าไม่เหนื่อย หรือไม่ตั้งใจนะครับ)
นิทานรื่องนี้ ใช้เวลาแต่งราว 1 สัปดาห์ คือคิดแก่นเรื่องและโครงเรื่องได้แล้ว ก็ลงมือพิมพ์ไปแต่งไป พอพิมพ์จบ อ่านแล้วไม่ชอบ รู้สึกว่าเยิ่นเย้อ ผมก็จัดการแต่งใหม่ แต่งเสร็จก็รู้สึกว่ายังแก้ให้ดีกว่าเดิมได้ ก็แต่งใหม่อีก เหนื่อย แต่ก็คอยพัก ไม่ให้เครียด
ผมเริ่มกลับมาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ ได้ 3 เรื่องแล้ว (เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3) แต่หลังจากโพสต์เรื่องแรกไป ก็พบว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เสียกำลังใจพอสมควร อย่างไรก็ตาม ปีนี้ ผมตั้งใจที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่ ดังนั้น ขอให้คุณผู้อ่านอ่านนิทานที่ผมแต่งเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น ขอให้มีความสุขกับนิทานนะครับ
นิทานเรื่อง เจ้าชายสัตว์ป่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าชายพระองค์หนึ่งทรงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลสัตว์ป่า พระองค์จึงใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรกลางป่า โดยมีต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์ทั้งหลายแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา การใช้ชีวิตในอาณาจักรกลางป่า ทำให้เจ้าชายมีร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว มีจิตใจที่กล้าหาญแต่อ่อนโยนกว่าใคร ๆ และมีความเข้าใจในธรรมชาติอย่างถ่องแท้
วันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินชมนกชมไม้อยู่เพลินๆ จู่ ๆ เจ้าชายก็ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก เจ้าชายสัตว์ป่ารู้สึกว่ากลิ่นดังกล่าวหอมอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายจึงแอบย่องไปสังเกตการณ์ว่าใครแอบเข้ามาในป่าของพระองค์ แต่ทันทีที่เจ้าชายเห็นว่า ผู้บุกรุกคือเจ้าหญิงที่แสนน่ารัก พระองค์ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างทำให้พระองค์หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อได้สติ เจ้าชายจึงรู้ตัวว่าตนเองคง “ตกหลุมรัก” เจ้าหญิงเข้าให้เสียแล้ว แต่เพราะเจ้าชายสัตว์ป่าเป็นเจ้าชายที่ไม่ใช่มนุษย์ เจ้าชายจึงรู้ดีว่า การจะไปขอแต่งงานกับเจ้าหญิง เป็นเรื่องที่ยากเสียจนไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่แล้ววันหนึ่ง โอกาสของเจ้าชายสัตว์ป่าก็มาถึง เพราะพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเจ้าหญิงที่แสนน่ารัก อยากให้ลูกสาวได้แต่งงานกับเจ้าชายที่เหมาะสม พระราชาจึงจัดงานเลือกคู่ให้เจ้าหญิง โดยพระองค์ตั้งใจหาคู่ครองให้ลูกสาวและเตรียมหาพระราชาองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เพื่อดูแลประชาชนของพระองค์ให้มีความสุขสืบไป
เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าทราบข่าว เจ้าชายสัตว์ป่าก็รู้สึกมีความหวัง แต่เจ้าชายรู้ดีว่าตนเองเป็นเจ้าชายสัตว์ป่าที่แตกต่างจากเจ้าชายอื่น ๆ พระองค์จึงใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน เพราะรู้สึกว่าตนอาจไม่เหมาะสมกับเจ้าหญิง แต่ความรักที่เจ้าชายมีต่อเจ้าหญิงมีอานุภาพมาก ในที่สุด เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลือกคู่
ระหว่างที่เจ้าชายสัตว์ป่าลังเลใจ เจ้าชายองค์อื่น ๆ จากทั่วทุกสารทิศต่างรีบไปร่วมงาน เพราะทุกคนรู้ดีว่า อาณาจักรของพระราชาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง และเจ้าหญิงก็เป็นเจ้าหญิงแสนน่ารัก ดังนั้น หากใครได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ก็หมายถึงว่า เขาจะมีโอกาสได้ภรรยาที่ดีและได้ครอบครองเมืองที่มั่งคั่ง
เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าไปถึงงาน เจ้าชายพบว่าตนเองมาถึงงานเป็นคนสุดท้าย ครั้นเมื่อถึงเวลา พระราชาได้แจ้งกติกาในการเลือกคู่ให้เจ้าชายทุกพระองค์ทราบว่า เจ้าชายที่สามารถนำอัญมณีสายรุ้งจากรังนกที่อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้ามามอบให้แก่เจ้าหญิงได้ จะมีสิทธิ์ได้พูดคุยทำความรู้จักเพื่อให้เจ้าหญิงตัดสินใจเลือกเป็นคู่ครองต่อไป
เจ้าชายทุกพระองค์รู้ดีว่า การเดินทางไปยังภูเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อนำอัญมณีสายรุ้งมาให้เจ้าหญิงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะก่อนไปถึงภูเขาสูงเสียดฟ้า เจ้าชายทุกพระองค์จะต้องผ่านป่าอาถรรพ์ที่มีแต่ปิศาจและวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่เต็มไปหมด ผู้ที่จะนำอัญมณีมาได้ จึงต้องแข็งแกร่ง กล้าหาญ และสามารถจัดการกับอุปสรรคต่าง ๆ ได้ดี
ทันทีที่เจ้าชายทั้งหลายได้ฟังเงื่อนไขจากพระราชา แม้เจ้าชายทุกพระองค์จะรู้ถึงความยากลำบาก แต่การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและการได้ครอบครองอาณาจักรต่อจากพระราชาเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่า เจ้าชายเกือบทั้งหมดจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าฝ่าพายุฝนที่ตกลงมาพอดี จนในท้องพระโรงเหลือเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกเดินทางไปไหน ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าชายสัตว์ป่า
เมื่อพระราชาเห็นว่าเจ้าชายสัตว์ป่ายังไม่ออกเดินทางเหมือนเจ้าชายองค์อื่น ๆ พระราชาจึงถามเจ้าชายว่า “ทำไมท่านจึงไม่รีบออกเดินทางแบบทุก ๆ คนล่ะ”
เจ้าชายสัตว์ป่าส่งยิ้มให้พระราชาด้วยความอ่อนน้อม จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตอบพระราชาไปว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในธรรมชาติ กระหม่อมจึงได้เรียนรู้ว่า บางครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทันที แต่ในบางกรณี การหยุดรอแทนการเข้าไปปะทะอย่างไรประโยชน์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เมื่อกระหม่อมเห็นพายุฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา และประเมินถึงภารกิจที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกหลายอย่าง กระหม่อมจึงขอเลือกเก็บแรงไว้ก่อน แล้วใช้เวลานี้วางแผน เตรียมสิ่งที่จำเป็น เพื่อใช้ในการเดินทาง ซึ่งน่าจะดีกว่าการออกไปปะทะกับพายุฝน”
พระราชาฟังคำตอบของเจ้าชายพลางพยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบอะไร ครั้นเมื่อพายุสงบลง เจ้าชายสัตว์ป่าจึงเริ่มขี่ม้าออกเดินทางออกจากเมืองมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสูงเสียดฟ้าเหมือนเจ้าชายองค์อื่น ๆ
หลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางมาได้ราวครึ่งวัน จู่ ๆ เจ้าชายก็พบว่ามีเจ้าชายบางพระองค์ที่ออกเดินทางมาก่อน ขี่ม้านำหน้าพระองค์อยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าแซงหน้าเจ้าชายเหล่านั้นไปได้ เจ้าชายจึงคาดเดาว่า เจ้าชายบางพระองค์ที่ขี่ม้าฝ่าพายุฝน คงสะบักสะบอมเพราะพลังของธรรมชาติ ทำให้หมดสภาพที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมาย
เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางไปได้อีกราวครึ่งวัน เจ้าชายก็เดินทางมาถึงทางเข้าป่าอาถรรพ์ตามที่ตั้งใจเอาไว้
ณ ลานทางเข้าป่าอาถรรพ์ มีเจ้าชายจำนวนมากที่เนื้อตัวมอมแมม (ซึ่งอาจเกิดจากการขี่ม้าฝ่าพายุฝนแล้วคลุกกับฝุ่นตอนขี่ม้ากลางแดด) กำลังครุ่นคิดว่าจะเดินทางผ่านป่าอาถรรพ์เพื่อมุ่งหน้าไปยังภูเขาเสียดฟ้าในทันที หรือจะหยุดพักค้างแรมที่ลานทางเข้านี้ก่อนสักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า
แต่ในขณะที่เจ้าชายทั้งหลายกำลังครุ่นคิด มีเจ้าชายผู้กล้าหาญพระองค์หนึ่ง ตัดสินใจกระโดดขึ้นม้า แล้วทะยานตัวมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าอาถรรพ์ด้วยพลังอันล้นเหลือ
เมื่อเจ้าชายองค์อื่น ๆ เห็น “คู่แข่ง” ออกเดินทางไปก่อน เจ้าชายทั้งหลายจึงเลิกคิดที่จะพัก แต่กลับพากันกระโดดขึ้นม้าแล้วควบตามเจ้าชายองค์แรกไป จนลานกว้างเหลือเจ้าชายอยู่เพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าชายสัตว์ป่า นั่นเอง
การที่เจ้าชายสัตว์ป่าไม่รีบเข้าป่าอาถรรพ์เหมือนดั่งเจ้าชายองค์อื่น ๆ เป็นเพราะพระองค์เห็นว่า การเดินทางเข้าป่าอาถรรพ์ในเวลากลางคืน มีอันตรายมากกว่าเวลากลางวันหลายเท่า ที่สำคัญ ม้าของเจ้าชายจำเป็นต้องพักผ่อน การฝืนใช้งานม้าหนักเกินไป ไม่เป็นผลดีต่อทั้งม้าและคนขี่แน่ ๆ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนอนพักเอาแรงที่ลานกว้าง
วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าคู่ใจเข้าไปในป่าอาถรรพ์ตั้งแต่เช้าตรู่ ระหว่างทาง เจ้าชายสัตว์ป่าพบร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเจ้าชายทั้งหลายกับเหล่าปิศาจปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ทั้งการได้เห็นกิ่งไม้หักระเนระนาด การพบเจ้าชายจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ หรือการได้เห็นม้าหวาดกลัวจนหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ฯลฯ เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าขี่ม้าพ้นออกมาจากเขตป่าอาถรรพ์และเดินทางต่อจนถึงตีนเขาสูงเสียดฟ้า พระองค์ก็พบว่ามีเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่เอาชนะเหล่าปิศาจได้จนหมด (ทำให้เจ้าชายสัตว์ป่าไม่ต้องสู้กับปิศาจเลย) ซึ่งเจ้าชายพระองค์นั้นกำลังควบม้าขึ้นสู่ยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อค้นหาอัญมณีสายรุ้ง
ในตอนแรก เจ้าชายสัตว์ป่าตั้งใจจะเร่งฝีเท้าม้าเพื่อขี่ตามขึ้นเขาไปให้ทัน แต่ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง สติได้เตือนใจเจ้าชายสัตว์ป่าให้รักษาจังหวะการขี่ม้าให้คงที่ เพราะหากเจ้าชายสัตว์ป่าเร่งฝีเท้าม้าจนขึ้นนำ เจ้าชายอีกพระองค์ก็คงเร่งฝีเท้าม้าเพื่อเอาชนะ ไป ๆ มา ๆ การปะทะกันก็อาจเกิดขึ้น แต่เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ คือการค้นหาอัญมณีสายรุ้งจากรังนกบนยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อนำไปมอบให้แก่เจ้าหญิง ซึ่งผู้ที่ขึ้นไปถึงยอดเขาก่อนก็มิได้หมายความว่าจะค้นหาอัญมณีได้ก่อน และผู้ที่หาอัญมณีได้ก่อนก็มิได้หมายความว่าจะเดินทางกลับไปถึงเมืองของเจ้าหญิงได้ก่อน ที่สำคัญ เจ้าหญิงมิได้เลือกเจ้าชายที่กลับไปถึงเมืองได้ก่อนเป็นคู่ครอง แต่ผู้ที่นำอัญมณีกลับไปถึงเมืองได้ทุกคนจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหญิงเพื่อให้พระองค์ทรงเลือกศึกษาดูใจต่อไปต่างหาก เมื่อได้สติ เจ้าชายสัตว์ป่าจึงขี่ม้าขึ้นสู่ด้วยยอดเขาสูงเสียดฟ้าโดยไม่เร่งรีบจนเกินไปนัก
ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางขึ้นไปถึงยอดเขา เจ้าชายสัตว์ป่าก็พบว่า รังนกจำนวนมากถูกรื้อค้นกระจุยกระจายไปหมด ส่วนลูกนกทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงร้องอยู่ที่พื้นอย่างน่าสงสาร เจ้าชายสัตว์ป่ามองเจ้าชายอีกพระองค์ที่รีบเร่งค้นหาอัญมณีจนลืมใส่ใจต่อชีวิตน้อย ๆ ของลูกนกด้วยความรู้สึกสังเวชใจ บุคคลเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ครองของเจ้าหญิงและคงเป็นพระราชาที่ดีไม่ได้แน่ ๆ
ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่ากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ เจ้าชายสัตว์ป่าก็ได้ยินเจ้าชายอีกพระองค์ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ เนื่องจากพระองค์ค้นพบอัญมณีที่มีสีถึง 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ชมพู แดง เจ้าชายผู้เก่งกาจจึงรีบกำอัญมณีเจ็ดสีที่พบ แล้วเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิงทันที
แม้เจ้าชายสัตว์ป่าจะเห็นว่าเจ้าชายอีกพระองค์ได้เดินทางนำหน้าไปก่อนแล้ว แต่แทนที่พระองค์จะรีบค้นหา อัญมณีสายรุ้งบ้าง เจ้าชายสัตว์ป่ากลับเลือกที่จะสร้างรังพักฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกนกที่สูญเสียรังไปได้มีที่อยู่ชั่วคราวก่อน เมื่อภารกิจสำเร็จ พระองค์จึงเริ่มค้นหาอัญมณีสายรุ้ง…แม้จะเป็นการเริ่มต้นค้นหาที่ช้ากว่าเจ้าชายองค์แรกมากก็ตาม
ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่าพยายามค้นหาอัญมณีสายรุ้งอยู่นั้น จู่ ๆ เจ้าชายสัตว์ป่าก็สังเกตได้ว่า มีเงาของบางสิ่งบางอย่างบินอยู่เหนือศีรษะของพระองค์ เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเงยหน้าขึ้นดู เจ้าชายก็พบพ่อนกแม่นกหลายตัวที่บินโฉบไปมาเหมือนอยากจะขอบคุณเจ้าชายสัตว์ป่าที่ช่วยสร้างรังให้ลูก ๆ ของพวกมัน และในขณะที่เจ้าชายมองพวกนกอยู่นั้น นกตัวหนึ่งได้บินลงมาที่พื้น แล้วเงยหน้ามองเจ้าชาย เหมือนต้องการสื่อสารให้เจ้าชายรู้ว่า มันได้คาบของสำคัญบางอย่างมามอบให้แก่เจ้าชายผู้มีจิตใจอันดีงาม
เมื่อเจ้าชายมองไปที่ปากของนก เจ้าชายก็พบอัญมณีที่มีสีถึง 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เจ้าชายแปลกใจ พลางตั้งสติพิจารณาสีของอัญมณีอีกครั้งอย่างรอบคอบ จนมั่นใจว่าอัญมณีที่นกนำมาให้เป็นอัญมณีสายรุ้งที่พระองค์กำลังค้นหา เจ้าชายรับอัญมณีมาจากนกด้วยความขอบคุณ จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงออกเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิง
หลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าขี่ม้ามาได้ราวครึ่งทาง พระองค์ก็พบกับภาพที่ไม่คาดคิด นั่นก็คือพระองค์ทรงเห็นเจ้าชายผู้เก่งกล้าที่นำอัญมณีเจ็ดสีลงมาจากยอดเขาก่อนพระองค์ กำลังเดินเท้ามุ่งหน้าไปยังเมืองของเจ้าหญิงโดยปราศจากม้าคู่ใจ เจ้าชายสัตว์ป่าแปลกใจและเป็นห่วง พระองค์จึงควบม้าไปหยุดที่เบื้องหน้าของเจ้าชาย พร้อมกับถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เจ้าชายผู้เก่งกล้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะพระองค์รู้ดีว่าตนเองคงไปถึงเมืองของเจ้าหญิงช้ากว่าคู่แข่งเป็นแน่ เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงเล่าความจริงให้เจ้าชายสัตว์ป่าฟังว่า “ข้าพเจ้าประมาทเกินไป จึงเอาแต่บุกตะลุยเพื่อหวังจะเอาชนะ จนม้าประจำตัวหมดกำลังไปต่อไม่ไหว ข้าพเจ้าคงแพ้ในการเลือกคู่ครั้งนี้แล้ว ท่านไปต่อเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”
เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าได้ฟัง เจ้าชายสัตว์ป่าก็รู้สึกเห็นใจเจ้าชายที่ทุ่มกำลังฝ่าฟันกับอุปสรรคต่าง ๆ มาอย่างเต็มที่ เจ้าชายสัตว์ป่าเห็นว่าการไปถึงก่อนหรือหลังไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การปล่อยให้เจ้าชายที่เหนื่อยล้ามาตลอดต้องเดินเท้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิงเป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงเชิญให้เจ้าชายผู้เก่งกล้าขึ้นม้าไปด้วยกัน
ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าชายผู้เก่งกล้าเดินทางไปถึงปราสาทของเจ้าหญิง พระราชาทรงออกมาต้อนรับเจ้าชายทั้งสองด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเจ้าชายทั้งสองได้พบพระราชา ทั้งคู่จึงนำอัญมณีสายรุ้งจากยอดเขาสูงเสียดฟ้ามอบให้พระราชาพิจารณาทันที
เมื่อพระราชาได้รับอัญมณีสายรุ้งจากเจ้าชายทั้งสอง พระองค์ทรงพิจารณาอัญมณีที่ได้จากเจ้าชายสัตว์ป่าก่อน ซึ่งมันเป็นอัญมณีที่มี 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ครบถ้วนตามสีรุ้ง หลังจากนั้น พระราชาทรงพิจารณาอัญมณีสายรุ้งที่ได้จากเจ้าชายผู้เก่งกล้า พระองค์ทรงสังเกตรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน จากนั้น พระราชาได้ประกาศว่า อัญมณีที่เจ้าชายผู้เก่งกล้านำมานั้น มิใช่อัญมณีสายรุ้ง เพราะขาดสีแสด แต่มีสีชมพูแปลกปลอมมา
เจ้าชายผู้เก่งกล้าตกใจและรู้สึกผิดที่ตนเองรีบร้อน ไม่ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีเสียก่อน บางที การใช้แต่พละกำลังบุกตะลุยสู้กับอุปสรรค โดยขาดความรอบคอบ อาจบทเรียนที่พระองค์ควรปรับปรุงแก้ไข ในขณะเดียวกัน เจ้าชายผู้เก่งกล้าก็รู้สึกว่า เจ้าชายสัตว์ป่าคือเจ้าชายที่เหมาะสมกับเจ้าหญิงจริง ๆ ทั้งในเรื่องความสามารถและจิตใจอันดีงาม ดังนั้น เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงยอมรับคำตัดสินของพระราชาแต่โดยดี
เมื่อมีเจ้าชายที่สามารถนำอัญมณีสายรุ้งกลับมาได้เพียงคนเดียว เจ้าชายสัตว์ป่าจึงเป็นเจ้าชายเพียงองค์เดียวที่มีโอกาสได้พูดคุยและทำความรู้จักกับเจ้าหญิง
หลังจากเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าหญิงได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอกัน และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟัง เจ้าหญิงทรงชื่นชมความสามารถของเจ้าชายที่รู้จักบุกเมื่อควรบุก รู้จักหยุดเมื่อควรตั้งรับ ทั้งยังรักในจิตใจอันดีงามของเจ้าชายที่มีต่อผู้อื่น (ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่แข่ง) รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อลูกนก ส่วนเจ้าชายสัตว์ป่าก็ทรงมีความสุขเมื่อได้คุยกับเจ้าหญิงที่ตนแอบหลงรัก ทั้งยังสบายใจเมื่อได้รู้ว่า เสด็จแม่ของเจ้าหญิงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนางเงือก ทำให้เจ้าหญิงมีเลือดผสมที่สามารถอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสัตว์ป่าได้
แต่ความรักของเจ้าหญิงและเจ้าชายสัตว์ป่าเพิ่งก่อตัวขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่จะได้แต่งงานกันหรือไม่ แต่อย่างน้อย สิ่งที่ทุก ๆ คนรู้คือ ทั้งเจ้าหญิงและเจ้าชายต่างมีความรู้สึกทีดีต่อกัน
และแล้ว นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข
#นิทานนำบุญ
