Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานเจ้าชายเจ้าหญิง

เจ้าชายหมีถัก – นิทานแฟนตาซีความรักอบอุ่น ซาบซึ้งใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

นิทานความรักคือหนึ่งในรูปแบบนิทานที่งดงามและเป็นอมตะที่สุดในโลกวรรณกรรม จาก “เจ้าชายกบ” ถึง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” นิทานความรักได้ถ่ายทอดคุณค่าของความเสียสละ ความกล้าหาญ และความรักแท้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก นิทานเหล่านี้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ แต่ยังปลอบโยนหัวใจของผู้ใหญ่ที่เคยผ่านความรักและการสูญเสียมาแล้ว นิทานความรักจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัย และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปลูกฝังความเมตตาและความเข้าใจในมนุษย์

แต่การแต่งนิทานความรักเรื่องใหม่ให้มีคุณค่าเทียบเท่านิทานอมตะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้แต่งต้องสร้างเรื่องราวที่ทั้งสนุก ชวนติดตาม และซาบซึ้งใจ โดยไม่ซ้ำกับนิทานคลาสสิกที่ผู้คนคุ้นเคย การออกแบบตัวละครต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเนื้อเรื่องต้องมีจังหวะที่พาให้ผู้อ่านอยากรู้ว่า “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อต้องแต่งนิทานที่เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายกับความลึกซึ้งคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักเล่าเรื่อง

นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” คือหนึ่งในนิทานความรักร่วมสมัยที่กล้าฉีกกรอบเดิมอย่างน่าทึ่ง ตัวเอกฝ่ายชายไม่ใช่เจ้าชายรูปงาม แต่เป็นตุ๊กตาหมีที่ถักจากไหมพรม ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวานตามแบบฉบับนิทานคลาสสิก แต่เป็นเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดที่กล้าทดสอบหัวใจของผู้ชายทุกคน เรื่องราวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเสียสละ และความรักที่งดงามเหนือรูปลักษณ์ภายนอก ตอนจบของนิทานนี้ชวนให้ประทับใจอย่างลึกซึ้ง และองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” กลายเป็นนิทานแฟนตาซีอบอุ่นที่เหมาะสำหรับทุกวัย และควรค่าแก่การจดจำ

นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดองค์หนึ่ง ทรงวางแผนเพื่อค้นหาเจ้าชายที่รักพระองค์ยิ่งชีวิตมาเป็นคู่ครอง เจ้าหญิงขอร้องให้พระบิดาเชื้อเชิญเจ้าชายผู้กล้าหาญเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ของพระองค์ และในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงก็ทรงขอร้องให้พ่อมดหลวงกับเทพธิดาตัวจิ๋ว ร่วมมือกับพระองค์ในการเฟ้นหาเจ้าชายผู้มีจิตใจมั่นในรัก

เจ้าชายหมีถักแห่งอาณาจักรไหมพรมเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่งที่ตัดสินใจเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ จริง ๆ แล้ว เจ้าชายหมีถักไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ใดใดมาก่อนเลย ( เพราะเจ้าชายหมีถักทรงคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คงไม่มีเจ้าหญิงองค์ใดอยากแต่งงานกับเจ้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหมีอย่างพระองค์เป็นแน่) แต่ด้วยความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ดลใจเจ้าชายจนมิอาจอยู่เฉยได้ เจ้าชายจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นขี่ม้าแกลบคู่ชีพ แล้วควบม้าตรงไปยังงานเลือกคู่ของเจ้าหญิง…ทันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น

ทันทีที่เจ้าหญิงปรากฏกายให้เจ้าชายทุก ๆ องค์ได้ยลโฉม เจ้าชายต่างก็ถึงกับตกตะลึงในความงามของเจ้าหญิงจนเกือบจะลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เจ้าชายหมีถักเองก็ไม่แตกต่างไปจากเจ้าชายองค์อื่น ๆ พระองค์ทรงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของเจ้าชายหมีถักเต้นตูมตามอยู่ภายในร่างไหมพรมที่แสนอ่อนนุ่ม เจ้าชายหมีถักทรงบอกกับตัวเองว่า พระองค์ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงองค์นี้เข้าให้เสียแล้ว

เจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดทรงกล่าวทักทายเจ้าชายทุก ๆ พระองค์ที่ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเลือกคู่ จากนั้น เจ้าหญิงก็ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า เจ้าชายที่พระองค์ต้องการจะเลือกเป็นคู่ครองนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเก่งกาจฉลาดเฉลียวหรือมีบุคลิกที่สง่างามแต่อย่างใด พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งงานกับเจ้าชายธรรมดา ๆ ที่รักพระองค์อย่างสุดหัวใจ…ก็เพียงเท่านั้น

ไม่ทันที่เจ้าชายแต่ละพระองค์จะมีโอกาสพรรณนาถึงความรักที่ตนเองมีต่อเจ้าหญิง จู่ ๆ พ่อมดหลวงซึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้น และจัดการคาบเจ้าหญิงบินตรงไปยังหุบเหวมังกร แล้วปล่อยเจ้าหญิงให้ร่วงลงไปในเหวลึกตามแผนที่เจ้าหญิงทรงวางเอาไว้

เจ้าชายหมีถักทรงตกใจมากจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วตามไปช่วยเจ้าหญิงเป็นคนแรก แต่ด้วยความที่พระองค์ตัวเล็กกว่าเจ้าชายองค์อื่น ๆ ดังนั้น กว่าที่เจ้าชายหมีถักจะเดินทางไปถึงหุบเหวมังกร เจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็สามารถไล่มังกรยักษ์ซึ่งเฝ้าปากเหวให้บินหนีไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีเจ้าชายองค์ใดรู้เลยว่า ที่ด้านล่างของหุบเหวมังกร มีเทพธิดาตัวจิ๋วแอบเตรียมฟูกหนา ๆ เอาไว้รองรับตัวของเจ้าหญิงตามแผนที่เจ้าหญิงได้เตรียมการเอาไว้ เมื่อเจ้าหญิงรู้ว่ามีเจ้าชายติดตามมาช่วยพระองค์เป็น    จำนวนมาก เจ้าหญิงจึงดำเนินการตามแผนขั้นสุดท้ายเพื่อวัดใจเจ้าชายผู้มีรักแท้

เจ้าหญิงทรงแกล้งร้องไห้โอดครวญให้เจ้าชายที่อยู่บนปากเหวลงมาช่วยพระองค์โดยเร็วที่สุด แน่นอน…เจ้าชายทั้งหลายทรงอยากช่วยเจ้าหญิงด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายก้มลงไปมองในเหวลึกที่มืดมิดราวกับว่ามันเป็นหุบเหวไร้ก้น เจ้าชายแต่ละองค์ต่างก็จนใจและไม่มีใครคิดที่จะเสี่ยงปีนลงไปเพื่อช่วยเจ้าหญิงเลยแม้แต่คนเดียว

ในขณะที่เจ้าชายทั้งหลายยอมพ่ายแพ้ เจ้าชายหมีถักกลับตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ยื่นกิ่งอยู่เหนือกึ่งกลางของปากเหว จากนั้น พระองค์ก็ใช้มือซ้ายกำกิ่งไม้ไว้แน่น พลางใช้มือขวาแก้ปมไหมที่ส่วนเท้าของตนเอง แล้วค่อย ๆ ปลดเส้นไหมพรมจากร่างของพระองค์ เพื่อหย่อนลงไปช่วยเจ้าหญิงที่พระองค์ทรงรักยิ่งชีวิต

เจ้าหญิงไม่รู้เลยว่า เส้นไหมพรมที่พระองค์ทรงใช้ไต่ขึ้นมาที่ปากเหวคือชีวิตของเจ้าชายผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยรัก

ทันทีที่เจ้าหญิงโผล่ขึ้นมายังพื้นดิน สิ่งที่เจ้าหญิงเห็นก็คือภาพของมือไหมพรมน้อย ๆ ที่เกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น…อย่างไม่มีวันปล่อย

เจ้าหญิงทรงร้องไห้และกอดเส้นไหมพรมเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความเสียใจอย่างที่สุด พระองค์ทรงเชื่อแล้วว่าเจ้าชายองค์นี้รักพระองค์ด้วยความจริงใจ แต่เจ้าหญิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แผนการของพระองค์จะทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหญิงเสียใจมากและคิดที่จะไม่ยอมให้อภัยตัวเองไปตลอดชั่วชีวิต

เรื่องราวทั้งหมดเกือบจะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่โชคยังดี…เพราะเมื่อน้ำตาของเจ้าหญิงสัมผัสกับเส้นไหมพรมสีน้ำตาลของเจ้าชายหมีถัก ปาฏิหาริย์แห่งความรักที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น! เส้นไหมพรมทั้งหมดค่อย ๆ รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมีแสงสว่างวูบวาบตลอดเวลาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ และหลังจากที่เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เจ้าชายหมีถักก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่คราวนี้ พระองค์ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมอีกแล้ว เจ้าชายหมีถักกลายสภาพเป็นเจ้าชายรูปงามด้วยอานุภาพแห่งความรักที่แท้จริง

เจ้าหญิงทรงกล่าวคำขอโทษเจ้าชายด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าชายกลับไม่คิดติดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เจ้าชายทรงให้อภัยเจ้าหญิงทุก ๆ อย่าง และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหญิงและเจ้าชายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดแบนเนอร์โฆษณาต่าง ๆ ที่ขึ้นมาให้เห็น เพื่อทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานนานาชาติ, นิทานโครเอเชีย

ป่าแห่งเทพผู้พิทักษ์ (Stribor’s Forest) : นิทานแห่งรักแท้และความลวง

Ivana Brlić-Mažuranić คือหนึ่งในนักเขียนหญิงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโครเอเชีย ผลงานของเธอได้รับการเปรียบเทียบกับ Hans Christian Andersen และ J.R.R. Tolkien ด้วยความสามารถในการสร้างโลกแห่งนิทานที่ทั้งลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยจินตนาการ เธอเกิดในปี ค.ศ. 1874 และเติบโตในครอบครัวนักคิดและนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในประเทศ Ivana เขียนนิทานด้วยภาษาที่ละเมียดละไมและแฝงปรัชญาอย่างแนบเนียน ผลงานชุด Priče iz davnine (“Tales of Long Ago”) ซึ่งรวมถึงเรื่อง Stribor’s Forest ได้รับการบรรจุในหลักสูตรการศึกษาของโครเอเชีย และยังถูกนำไปดัดแปลงเป็นละคร ภาพยนตร์ และงานศิลปะหลากหลายแขนง

นิทานเรื่อง Stribor’s Forest ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าของแม่และลูกชาย แต่เป็นภาพสะท้อนของแนวคิดพื้นบ้าน ความเชื่อทางศาสนา และคุณค่าทางศีลธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมสลาฟ นักวิชาการด้านวรรณกรรมชี้ว่าเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง “ความรักแท้ที่กล้าหาญ” และ “การเลือกความทุกข์เพื่อรักษาความผูกพัน” ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นแม่ในบริบทของสังคมโครเอเชีย เทพแห่งป่าสตรีบอร์ในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงตัวละครแฟนตาซี แต่เป็นตัวแทนของธรรมชาติที่มีจิตวิญญาณ และเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมเหนือมนุษย์ นิทานเรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนทางจริยธรรมที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของนิทานพื้นบ้านอย่างงดงาม

การเรียบเรียงใหม่ในครั้งนี้จัดทำขึ้นด้วยความเคารพอย่างสูงต่อต้นฉบับ โดยคงไว้ซึ่งโครงเรื่อง ตัวละคร และอารมณ์หลัก พร้อมปรับภาษาให้ร่วมสมัยและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านไทยได้สัมผัสเสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบที่เข้าถึงได้มากขึ้น เราแบ่งเรื่องออกเป็น 6 ตอนเพื่อให้ผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับอารมณ์และความหมายอย่างลึกซึ้ง และพยายามรักษาสัญลักษณ์และปรัชญาเดิมให้มากที่สุด เราขอเชิญชวนให้ผู้อ่านลองค้นหาต้นฉบับมาอ่านเพิ่มเติม หรือศึกษาวัฒนธรรมโครเอเชียและประเทศอื่น ๆ เพราะในโลกใบนี้มีภูมิปัญหาที่มีค่าซ่อนอยู่มากมายในนิทาน เรื่องเล่า และความเชื่อของแต่ละชนชาติ ซึ่งล้วนเป็นประตูสู่ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

ตอนที่ 1: บ้านกลางป่าที่เงียบงัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงชราผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายในบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมป่าลึก บ้านของพวกเขาเรียบง่าย ไม่มีสิ่งหรูหรา แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากความรักที่แม่มีต่อลูกชาย และความกตัญญูที่ลูกมีต่อแม่ ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยขาดสิ่งจำเป็น พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งที่มี และพึ่งพากันด้วยความเข้าใจที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด

หญิงชราเป็นคนใจดีและอดทน แม้จะมีอายุมากแล้ว แต่เธอยังทำงานบ้านด้วยตนเองทุกวัน เธออบขนมปัง ปลูกผัก และดูแลลูกชายด้วยความรักที่ไม่เคยลดน้อยลง ส่วนลูกชายก็เป็นชายหนุ่มที่ขยันขันแข็ง เขาออกไปทำงานในหมู่บ้านใกล้เคียง และกลับบ้านทุกเย็นพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้แม่รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย

วันหนึ่ง ลูกชายตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองใหญ่เพื่อซื้อของใช้บางอย่างที่หายากในหมู่บ้าน เขาออกเดินทางแต่เช้าตรู่ โดยสัญญากับแม่ว่าจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน หญิงชราจัดห่ออาหารให้เขาอย่างเงียบ ๆ และส่งเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

หลายวันผ่านไป หญิงชรานั่งรออยู่หน้าบ้านทุกเย็น เธอเฝ้ามองเส้นทางที่ทอดยาวเข้าสู่ป่าอย่างเงียบงัน หวังว่าจะเห็นลูกชายกลับมาในไม่ช้า และแล้ว ในเย็นวันหนึ่ง ลูกชายก็กลับมาจริง ๆ แต่เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว…

ตอนที่ 2: เงาลวงในรูปลักษณ์งดงาม

ลูกชายของหญิงชราเดินทางกลับมาถึงบ้านในยามเย็น พร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาแนะนำว่าเป็นภรรยาของเขา หญิงสาวผู้นั้นมีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวราวหิมะ และดวงตาสีดำสนิทที่ดูทั้งลึกลับและเย็นชา เธอสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแต่เรียบง่าย และมีท่าทีสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าสามี แต่ในแววตาของเธอกลับมีบางสิ่งที่ทำให้หญิงชรารู้สึกไม่สบายใจ

ลูกชายเล่าว่าเขาพบหญิงสาวคนนี้ระหว่างเดินทางในเมืองใหญ่ เธอเล่าให้เขาฟังว่าเคยเป็นลูกสาวของพ่อค้าที่มั่งคั่ง แต่ครอบครัวของเธอล่มสลายจนต้องระหกระเหินมาเพียงลำพัง เขารู้สึกสงสารและประทับใจในความงามและความอ่อนโยนของเธอ จึงตัดสินใจแต่งงานและพากลับมาบ้านโดยไม่ลังเล

หญิงชราฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยใจที่หนักอึ้ง แม้เธอจะไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในตัวหญิงสาวผู้นี้ แม้จะไม่มีหลักฐานใด ๆ แต่สัญชาตญาณของแม่บอกเธอว่า ความสงบสุขที่เคยมีอาจกำลังถูกคุกคาม

หลังจากนั้นไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มปรากฏชัด หญิงสาวแสดงท่าทีไม่เคารพหญิงชราอย่างเปิดเผย เธอมักพูดจาเสียดสี ใช้น้ำเสียงเย้ยหยัน และแสดงความรำคาญต่อการมีอยู่ของแม่สามี แม้ต่อหน้าลูกชาย เธอจะทำตัวอ่อนหวานและวางท่าทางเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ตามลำพังกับหญิงชรา เธอกลับกลายเป็นคนละคน

หญิงชราพยายามอดทนต่อพฤติกรรมเหล่านั้น เธอไม่อยากให้ลูกชายต้องลำบากใจ และยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งหญิงสาวจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความหวังนั้นก็ยิ่งเลือนรางลง หญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อย และบางครั้งก็พูดจาให้ลูกชายเข้าใจผิดแม่ของเขา

หญิงชรารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ร่วมกับเงาลวงที่แฝงตัวในรูปลักษณ์งดงาม เธอเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดในตัวหญิงสาว เช่น แววตาที่เย็นชาจนผิดธรรมชาติ และเสียงลมหายใจที่บางครั้งฟังดูคล้ายเสียงขู่ของสัตว์ร้ายในเงามืดของป่า

คืนหนึ่ง ขณะที่หญิงชราตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงกระซิบแปลก ๆ จากนอกบ้าน เธอแอบเดินตามเสียงนั้นไปจนถึงชายป่า และได้เห็นหญิงสาวกำลังพูดคุยกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นชัดเจน เสียงของหญิงสาวในยามนั้นไม่ใช่เสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อน มันเย็นชาและแฝงด้วยความเย้ยหยันที่ทำให้หญิงชราขนลุก

เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงชรานั่งนิ่งอยู่หน้ากองไฟที่ใกล้จะมอด เธอรู้แล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และสิ่งที่เธอหวาดกลัวอาจเป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย

ตอนที่ 3: ความรักที่ไม่ถูกมองเห็น

หลังจากหญิงชราได้เห็นพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงในบ้านของตน เธอเริ่มรู้สึกว่าความสงบสุขที่เคยมีนั้นกำลังถูกกลืนหายไปทีละน้อย แม้เธอจะพยายามอดทนและไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ แต่ความเจ็บปวดในใจกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน หญิงสาวที่ลูกชายพามาอยู่ด้วยไม่เพียงแค่หยาบคายและไม่เคารพ แต่ยังพยายามทำให้ลูกชายเข้าใจผิดแม่ของเขาอยู่บ่อยครั้ง

หญิงชราพยายามเตือนลูกชายด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน เธอเล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่เธอเห็นและรู้สึก แต่ลูกชายกลับไม่เชื่อ เขามองแม่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป และกล่าวหาว่าแม่ไม่ยอมรับภรรยาของเขาเพียงเพราะอคติ หญิงชรานิ่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่เธอก็ไม่โต้เถียง เพราะเธอรู้ว่าการเถียงจะยิ่งทำให้ลูกชายห่างไกลจากความจริง

วันต่อมา หญิงชราเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้นในตัวหญิงสาว เช่น เสียงลมหายใจที่คล้ายเสียงขู่ของงู และแววตาที่เปลี่ยนไปในยามค่ำคืน เธอเริ่มแน่ใจว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่แฝงตัวมาในคราบของมนุษย์

คืนหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวออกไปเดินในป่า หญิงชราตัดสินใจแอบสะกดรอยตามอย่างเงียบ ๆ เธอเดินตามแสงจันทร์ที่ลอดผ่านยอดไม้ และเสียงฝีเท้าที่เบาแต่มั่นคงของหญิงสาว จนกระทั่งถึงบริเวณที่เงียบงันที่สุดของป่า ที่นั่น หญิงชราได้เห็นหญิงสาวกำลังพูดคุยกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นชัดเจน เสียงของหญิงสาวในยามนั้นไม่ใช่เสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อน มันเย็นชาและแฝงด้วยความเย้ยหยันที่ทำให้หญิงชราขนลุก

เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงชรานั่งนิ่งอยู่หน้ากองไฟที่ใกล้จะมอด เธอรู้แล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และสิ่งที่เธอหวาดกลัวอาจเป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะลูกชายของเธอยังคงหลงใหลในหญิงสาวอย่างหมดใจ และไม่ยอมฟังคำเตือนใด ๆ จากแม่ของเขาเลย

สามเดือนผ่านไป หญิงชรายังคงอดทนอยู่ในบ้านหลังเดิมกับลูกชายและหญิงสาวผู้ลึกลับ เธอเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน และภาวนาให้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่วยเปิดเผยความจริงที่เธอไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยคำพูดเพียงลำพัง

ตอนที่ 4: ป่าแห่งการทดสอบ

หลังจากหญิงชราแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวที่ลูกชายแต่งงานด้วยไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เธอเริ่มรู้สึกหมดหนทางในการปกป้องลูกชายจากสิ่งที่เขาไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทุกคำเตือนของเธอถูกปฏิเสธด้วยความไม่เชื่อ และทุกความพยายามกลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่สะสมอยู่ในใจอย่างเงียบงัน

วันหนึ่ง ขณะที่หญิงชรานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมป่า เธอหลับตาและอธิษฐานด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักและความหวัง เธอไม่ได้ขอให้ลูกชายเปลี่ยนใจทันที ไม่ได้ขอให้หญิงสาวหายไป แต่ขอเพียงให้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่วยเปิดเผยความจริง เพื่อให้ลูกชายได้เห็นด้วยตนเอง

ในยามค่ำคืนที่เงียบงัน ขณะที่ลมพัดผ่านใบไม้ด้วยเสียงที่แผ่วเบา หญิงชรานั่งอยู่คนเดียวในป่าลึก เธอไม่ได้ร้องไห้ด้วยเสียง หากแต่หยดน้ำตาไหลลงบนมือที่สั่นเทาอย่างเงียบ ๆ และแล้ว ท่ามกลางความเงียบของธรรมชาติ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง เป็นเสียงที่ไม่ใช่เสียงของสัตว์ หรือเสียงของมนุษย์ แต่เป็นเสียงที่แฝงด้วยพลังและความสงบในคราเดียวกัน

เทพแห่งป่าสตรีบอร์ปรากฏตัวขึ้นในแสงจันทร์ที่สาดผ่านหมู่ไม้ ท่านมีรูปลักษณ์ที่งดงามและน่าเกรงขาม ผิวของท่านเปล่งประกายราวกับแสงของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง และดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความเมตตาที่ลึกซึ้ง ท่านมองหญิงชราด้วยสายตาที่ไม่ต้องการคำอธิบาย และกล่าวว่า “เจ้ามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความรักของเจ้าทำให้ข้าต้องมาหาเจ้าในคืนนี้”

หญิงชรานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับตัวหรือเอ่ยคำใดออกมา เทพแห่งป่าจึงกล่าวต่อว่า “ข้าจะให้เจ้าได้กลับสู่วัยเยาว์อีกครั้ง ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกที่ปราศจากความทุกข์ระทม เจ้าจะลืมความเศร้าทั้งหมด และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง”

หญิงชรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน แต่ข้ารักลูกชายของข้า ข้าจะไม่ทิ้งเขาไป แม้ต้องทนทุกข์ หากข้าละทิ้งความเจ็บปวดนี้เสีย ข้าจะเป็นแม่ได้อย่างไร”

คำตอบนั้นทำให้เทพแห่งป่าหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าช่างมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความรักของเจ้าทำให้ข้าต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”

ตอนที่ 5: ทางเลือกของแม่

หลังจากเทพแห่งป่ารับรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของหญิงชรา ท่านจึงตัดสินใจช่วยเปิดเผยความจริงที่ถูกปกปิดไว้ ท่านไม่ได้ใช้พลังเพื่อทำลาย หากแต่ใช้เพื่อปลดเปลื้องสิ่งลวงที่บดบังสายตาและหัวใจของผู้คน ท่านกล่าวกับหญิงชราว่า “เจ้าจงพาลูกชายของเจ้ามายังป่าแห่งนี้ แล้วข้าจะให้เขาได้เห็นความจริงด้วยตาของเขาเอง”

วันต่อมา หญิงชราตัดสินใจพาลูกชายเข้าไปในป่า แม้เขาจะลังเล แต่ก็ยอมตามแม่ไปด้วยความเคารพ เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า พวกเขาก็พบกับสถานที่ที่เงียบงันและงดงามราวกับอยู่ในโลกอื่น แสงแดดลอดผ่านยอดไม้ลงมาเป็นลำแสงอ่อน ๆ และเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ก็ฟังดูคล้ายเสียงกระซิบของธรรมชาติ

เมื่อทั้งสองมาถึงจุดที่เทพแห่งป่ารออยู่ ท่านปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ ลูกชายได้เห็นด้วยตาตนเอง และรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เทพแห่งป่ามองเขาด้วยสายตาที่สงบ และกล่าวว่า “เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่แม่ของเจ้ารู้มาโดยตลอด”

ทันใดนั้น ลมในป่าก็พัดแรงขึ้นราวกับเสียงโหยหวน เทพแห่งป่ายกมือขึ้น แล้วร่ายมนตร์เพื่อเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ในร่างของหญิงสาว ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงครู่หนึ่ง หญิงสาวที่เคยดูงดงามก็สะดุ้งตื่นจากการหลับใหล เธอร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด และร่างของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

ผิวของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีดำ ดวงตากลายเป็นดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน และร่างของเธอก็ยืดยาวออกจนกลายเป็นงูพิษที่น่ากลัว งูตัวนั้นเลื้อยหนีเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว และไม่เคยกลับมาอีกเลย

ลูกชายยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นด้วยความตกใจ เขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ในทันที เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ เขาหันไปมองแม่ของเขา และเห็นน้ำตาที่ไหลลงบนใบหน้าที่อ่อนล้าแต่เปี่ยมด้วยความรัก

เขาคุกเข่าลงต่อหน้าแม่ และกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่…ข้าขอโทษ ข้าไม่เคยฟังคำเตือนของแม่เลย ข้าไม่เคยเห็นความจริงจนกระทั่งวันนี้ ข้าทำให้แม่ต้องเจ็บปวดมากมายโดยไม่รู้ตัว”

หญิงชราลูบหลังลูกชายเบา ๆ และยิ้มทั้งน้ำตา “ลูกกลับมาแล้ว แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

ตอนที่ 6: การคืนสู่ความจริง

หลังจากเหตุการณ์ในป่า ลูกชายของหญิงชราได้เห็นความจริงที่เขาเคยปฏิเสธด้วยตาของตนเอง ร่างของหญิงสาวที่เขาหลงรักกลายเป็นงูพิษ และเลื้อยหายเข้าไปในเงามืดของป่าโดยไม่มีวันย้อนกลับมาอีก ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ใช่ความสงบ แต่เป็นความสำนึกที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของชายหนุ่ม

เขาหันไปมองแม่ของเขาอีกครั้ง และเห็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน แม้จะมีรอยน้ำตา แต่ในแววตานั้นกลับไม่มีความโกรธหรือตำหนิ มีเพียงความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขากอดแม่แน่น และกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ “แม่…ข้าทำผิดไปมาก ข้าไม่เคยฟังแม่เลย ข้าทำให้แม่ต้องเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว”

หญิงชราลูบหลังลูกชายเบา ๆ และยิ้มทั้งน้ำตา “ลูกกลับมาแล้ว แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

หลังจากนั้น ทั้งสองกลับไปใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็กที่เงียบงันริมป่า แม้จะไม่มีหญิงสาวคนนั้นอีกต่อไป แต่ความสงบสุขที่เคยหายไปก็กลับคืนมาอย่างช้า ๆ พวกเขาเรียนรู้ที่จะรักและปกป้องกันและกันมากยิ่งขึ้น และเข้าใจว่าความรักแท้ไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการยืนหยัดอยู่เคียงข้าง แม้ในวันที่อีกฝ่ายหลงทาง

ในป่าสตรีบอร์ เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ยังคงดังราวกับเสียงเพลง เป็นเสียงที่ไม่ใช่เพียงธรรมชาติ แต่เป็นเสียงของความรักที่ไม่ยอมแพ้ต่อความลวง เป็นเสียงของแม่ผู้เลือกความเจ็บปวดเพื่อรักษาความผูกพัน และเป็นเสียงของความจริงที่ไม่อาจถูกกลบด้วยรูปลักษณ์หรือคำพูดใด ๆ

นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าของหญิงชราและลูกชาย แต่เป็นบทเรียนของความรักที่กล้าหาญ ความอดทนที่ไม่หวังผลตอบแทน และความจริงที่รอคอยการเปิดเผยในเวลาที่เหมาะสม.

Posted in เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

วันที่ผมเขียนบทความนี้ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม 2564

หากย้อนไปในเดือนตุลาคมเมื่อ 4 ปีก่อน เป็นช่วงที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เพิ่งเริ่มหัดทำเว็บไซต์นี้ในวิชาเรียนระดับปริญญาโท โดยเป็นการทำเว็บไซต์ที่ผมไม่มีความรู้พื้นฐานใด ๆ เลย ทั้งในแง่การสร้างเว็บไซต์ การเขียนคอนเทนต์ การทำภาพประกอบ การหา KEYWORD การทำ SEO และอื่น ๆ

ในตอนนั้น ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผมมี คือ การเสียบปลั๊ก กดปุ่มสตาร์ท เปิด Word พิมพ์นิทาน กดเข้าเฟซบุ๊ก  กดดูยูทูบ และการโหลดคลิปจากยูทูบมาดู (ซึ่งตอนนั้น ผมยังใช้การแชร์ไวไฟจากโทรศัพท์มือถือเพื่อการเล่นเน็ต และไปใช้เน็ตความเร็วสูงที่มหาวิทยาลัยในการโหลดคลิปยูทูบมาดูที่บ้าน เพราะเสียดายเงิน) เรียกได้ว่า ผมเป็นคุณลุงตกยุคที่เริ่มมาทำสื่อดิจิทัลเป็นครั้งแรกแบบงงที่สุด

ในตอนนั้น อาจารย์ให้ทำเว็บไซต์ด้วย WordPress โดยให้คิดแนวทางของเว็บไซต์ ตั้งชื่อเว็บไซต์ และต้องมีคอนเทนต์ 2-3 คอนเทนต์อยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งในการสร้างเว็บไซต์ อาจารย์ได้เชิญอาจารย์พิเศษมาเป็นคนแนะนำและให้เริ่มสร้างไปทีละขั้นตอนพร้อม ๆ กัน (ผมเลยเปิดเว็บไซต์ได้สำเร็จ)

เมื่อสร้างเว็บไซต์ได้แล้ว นักศึกษาแต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเขียนคอนเทนต์เพื่อนำมาใส่ในเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งผมไม่เคยอ่านบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ มาก่อน (ปกติอ่านหนังสือกับเนื้อหาในเพจต่าง ๆ) จึงนึกภาพไม่ออกเลยว่า บทความในเว็บไซต์ควรเขียนอย่างไร ใช้ภาษาอย่างไร ทำภาพประกอบอย่างไร พาดหัวอย่างไร แถมยังไม่เข้าใจว่า “คอนเทนต์” หมายถึงอะไร (ตอนนั้นผมแปลว่า บทความ จึงคิดว่า คือ ข้อเขียนเหมือนบทความในหนังสือ ไม่เกี่ยวกับภาพประกอบ และคงใช้วิธีเขียนแบบการเขียนเรียงความก็ได้)

ผมใช้เวลาทำเว็บไซต์และลงคอนเทนต์ 2-3 คอนเทนต์นานมาก ปุ่มต่าง ๆ ในการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์เป็นเรื่องใหม่ที่ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ (โชคดีที่มีเพื่อนบางคนช่วยแนะนำและปรับแก้ให้ในเบื้องต้น) หนำซ้ำ ผมเข้าเว็บหา Keyword เพื่อนำมาเขียนคอนเทนต์ตามที่อาจารย์สั่ง แต่ด้วยความไม่เข้าใจ ผมจึงหา Keyword ในเว็บนั้นนานเกินไป (คือหาติดต่อกันราว 8 ชั่วโมง) จนเว็บขึ้นข้อความว่า “ลุงค้นหาKeyword มากเกินไป ต้องหยุดพักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงจึงจะกลับมาใช้งานได้ใหม่” และผมอาจกดอะไรผิดพลาดไป ทำให้ต้องเสียเงินเพิ่ม จนเป็นเรื่องเป็นราวต้องขอยกเลิกการใช้งานกับทาง Google (เพราะกลัวจะทำผิดแล้วเขาตัดเงินจนหมดบัญชี)

หลังจากที่ส่งเว็บไซต์ให้อาจารย์ตรวจและจบวิชานั้นไป ผมก็ทิ้งเว็บไซต์ไว้เฉย ๆ มุ่งเรียนปริญญาโทให้จบ ตั้งใจทำวิทยานิพนธ์ และมุ่งที่จะนำวุฒิไปสมัครเป็นอาจารย์สอนด้านนิเทศศาสตร์ดิจิทัลในมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด

เมื่อผมเรียนจบปริญญาโท และรอเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครอาจารย์ ผมมีเวลาว่างจึงคิดว่า ถ้าเราอยากเป็นอาจารย์ด้านนี้ นอกจากความรู้เชิงวิชาการแล้ว เราก็ควรมีทักษะในการทำสื่อดิจิทัลที่ดีพอที่จะนำไปแนะนำนักศึกษาได้ ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจกลับมาทำเว็บไซต์อีกครั้ง (หลังจากหยุดไปเกือบ 2 ปี) โดยตั้งใจว่า จะทำเว็บไซต์นี้ให้เป็นเว็บไซต์นิทาน เพื่อให้เด็ก ๆ มีแหล่งรวมนิทานดี ๆ เอาไว้อ่านแบบฟรี ๆ โดยที่ตัวผมไม่คาดหวังว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน (ยกเว้นแค่คาดหวังว่าตัวเองจะได้เรียนรู้วิธีทำสื่อเว็บไซต์เพื่อนำความรู้ไปบอกเล่าให้นักศึกษาฟัง) ซึ่งในช่วงแรก ผมก็ยังคงทำคอนเทนต์อย่างงง ๆ เหมือนเดิม ทำทั้งคอนเทนต์นิทานและบทความเกี่ยวกับความรู้ด้านการศึกษาปฐมวัย (เพื่อดึงคนเข้ามาอ่านให้ได้มากที่สุด) ซึ่งหลังจากที่ทำไปหลายเดือน ยอดผู้ชมก็ขึ้นมาที่ 20 คนต่อวัน หรือราววันละ 70 วิว (ตอนนั้นคือดีใจมากแล้ว)

ในช่วงนั้น ผมพยายามทำภาพประกอบเพิ่ม โดยหาภาพฟรีจากเว็บไซต์ Pixabay การหาภาพให้ตรงกับนิทานหรือบทความที่เขียนเป็นเรื่องยาก แต่ผมก็พยายามทำ ทำจนมีคนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ราว 50 คนต่อวัน หรือราววันละ 100 วิว ผมดีใจมากจึงนำตัวเลขไปอวดเพื่อน แต่ต่อมา เพื่อนได้นำตัวเลขยอดผู้รับชมและยอดวิวของเว็บท่องเที่ยวที่เพื่อนทำมาให้ดู ซึ่งตัวเลขยอดผู้เข้าชมราว 1000 คนของเพื่อน ทำให้ผมได้รู้ว่า “ผมเหมือนกบในกะลา” เพราะโลกเกี่ยวกับสื่อดิจิทัลของผมคับแคบมาก (แล้วยังคิดจะไปเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาอีก) เมื่อผมรู้แบบนี้ ผมจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยการหาคอร์สเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ และการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น จากนั้น ผมก็ปรับปรุง Content และเรียนรู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นในการสร้างภาพปก ซึ่งภาพปกที่ผู้อ่านเห็นอยู่ในปัจจุบัน บางภาพเกิดจากการนำภาพฟรีไปปรับแต่งผ่านแอพต่าง ๆ มากถึง 5 แอพ!

หลังจากการเรียนวิชาทำเว็บไซต์และการทำ SEO เรียบร้อย ผมก็ลองนำความรู้มาใช้ ซึ่งผลที่ตามมาคือ ยอดผู้ชมพุ่งจาก 50 คนต่อวัน กลายเป็น 1000 คนต่อวัน และทะยานขึ้นสู่ยอดราว 2000 คนต่อวันในเวลาแค่ 1-2 เดือน

ในช่วงนั้น ผมพยายามสร้างคอนเทนต์โดยลงนิทานมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำภาพปกอย่างเต็มความสามารถ(ในขณะนั้น) รวมทั้งมีการปรับปรุงเว็บไซต์ จัดหมวดหมู่นิทานใหม่หลายรอบ จนปัจจุบัน มียอดเข้าชมนิทานราว 2800-3600 คนต่อวัน และมียอดวิวราว 10,000 วิวทุกวัน (ปัจจุบัน ยอดวิวรวมของเว็บไซต์อยู่ที่ 4 ล้านเศษ)

การทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำสื่อดิจิทัลในหลายแง่มุม ผมได้เข้าใจความหมายของคำว่า “Content is the king” ชัดเจนขึ้น เข้าใจความสำคัญของการทำ SEO และการทำงานของ Google รวมทั้งได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญและมีค่ามากที่สุด ในชีวิตของคนทำสื่อสำหรับเด็ก นั่นก็คือ……เมื่อเราตั้งใจทำสื่อที่มีคุณภาพดีสำหรับเด็กและทำด้วยความจริงใจ ทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อหาประโยชน์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่และเด็ก ๆ (รวมทั้งผู้อ่านท่านอื่น ๆ ) สัมผัสได้ ซึ่งมันทำให้ผมได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากพ่อแม่และผู้อ่านจำนวนมาก และทำให้ผมได้พบว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่ของเว็บไซต์คือ คุณพ่อคุณแม่ที่นำนิทานในเว็บไซต์ไปอ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

ในช่วงหนึ่ง ที่ผมนำคอนเทนต์ไปแชร์ในเพจนิทานนำบุญ ช่วงนั้น มีคุณพ่อคุณแม่ คุณครู และผู้อ่านที่ติดตามนิทานทักมาพูดคุยในกล่องข้อความและชื่นชมนิทานนำบุญเป็นจำนวนมาก (ทำให้ผมรู้ว่า ผู้อ่านถนัดสื่อสารกับเราผ่านทางเพจมากกว่าทางเว็บไซต์ และมีผู้อ่านจำนวนมากติดตามนิทานนำบุญมานานเกิน 2 ปี และอยากขอบคุณการทำเว็บไซต์นี้มาโดยตลอด) การที่นิทานในเว็บไซต์นิทานนำบุญได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาพิเศษของหลาย ๆ ครอบครัว ทำให้ผม (ในฐานะผู้แต่งนิทานและผู้ทำเว็บไซต์) รู้สึกขอบคุณและรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

หลังจากที่เว็บไซต์เริ่มมีผู้ชมเข้ามาติดตามเป็นจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอราว 3000 คน ผมจึงเกิดความคิดว่า ถ้าผมทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญอยู่ได้อย่างยั่งยืนด้วยกำลังของผู้อ่าน ก็คงจะดีมาก ๆ กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ ผมจะนำเงินของตัวเองจ่ายค่าแพคเกจของ WordPress และค่า URL ชื่อเว็บไซต์ (ราว 4000 บาทต่อปี) เงิน 4000 บาทต่อปีสำหรับผมถือเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร และถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่แล้ว เว็บไซต์นี้ก็อาจล้มหายตายจากไปด้วย ดังนั้น ช่วงปลายปี 2563 ผมจึงคิดโครงการเชิญชวนให้ผู้อ่าน ช่วยเลี้ยงกาแฟผมคนละ 1 บาทต่อปี เพื่อที่ผมจะได้นำเงินค่ากาแฟนั้นมาจ่ายเป็นค่าดูแลเว็บไซต์ ซึ่งหลังจากที่ผมเริ่มโครงการดังกล่าวไปได้ราว 1 ปี ผลที่เกิดขึ้น ปรากฏตามข้อความที่ผมโพสต์ไว้ในเพจนิทานนำบุญ วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ดังต่อไปนี้

ภาพการคำนวณค่าใช้จ่าย หลังจากไปอัพเดทสมุดบัญชีธนาคาร


วันนี้ พี่นำบุญแวะไปธนาคารเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
เป้าหมายหลักในการแวะไป คือ การอัพเดทสมุดบัญชี ที่ใช้รับค่ากาแฟจากทุก ๆ คน
ยอดตัวเลขล่าสุด ทำให้ตกใจนิดหน่อย คือยอดขึ้นมาที่เลข 5
แต่บัญชีนี้ เป็นบัญชีที่มีเงินส่วนตัวของพี่นำบุญค้างอยู่ (เพราะเป็นบัญชีที่ใช้จ่ายค่าตู้นิรภัยของธนาคาร)
และในเดือนกรกฎา พี่นำบุญได้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นค่าดูแลเว็บ ด้วยเงินตัวเองในอีกบัญชีหนึ่ง
สรุปว่า ยอดเงินค่ากาแฟที่เหลือสุทธิในบัญชีนี้ เป็นเงิน
31, 036 บาท
…..
ปกติค่าแพกเกจและค่าโฮสต่อปีที่ใช้จะอยู่ที่ปีละ 3, 978 บาท ดังนั้น ยอดเงินที่มีอยู่ จึงน่าจะใช้ดูแลเว็บนิืทานนำบุญให้อยู่ต่อไปได้อีกอย่างน้อย 8 ปีครับ
…..
ขอบคุณกำลังใจและความเชื่อใจที่มอบให้นะครับ พี่นำบุญยังคงยืนยันว่า เงินค่ากาแฟทั้งหมด จะไม่เอามาใช้ส่วนตัว แต่ขอใช้ดูแลเว็บตามที่เคยให้สัญญาไว้
ถ้าวันนึงไม่อยู่ ก็จะฝากน้องชายให้ช่วยดูแลต่อ
ความตั้งใจที่ดี ทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญ กลายเป็นเว็บไซต์สำหรับเด็กและครอบครัว ที่อยู่ได้ด้วยกำลังของคนอ่านอย่างแท้จริง
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ช่วยกันสร้างตำนานสื่อสำหรับเด็กบทนี้ให้เกิดขึ้นนะครับ

(หมายเหตุ : วันที่ 1 มกราคม 2565 ผมตัดสินใจปิดโครงการเลี้ยงกาแฟ เพราะคิดว่าได้รับการสนับสนุนมามากพอสมควรแล้ว ถ้าในช่วงปีที่ 7หรือ 8 หากจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อดูแลเว็บไซต์ต่อไป ผมก็อาจจะมาขอการสนับสนุนใหม่นะครับ)

…………………………………..

หลังจากที่ผมได้เห็นว่า โครงการเลี้ยงกาแฟทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญ กลายเป็นเว็บไซต์ที่อยู่ได้ด้วยกำลังของผู้อ่านอย่างค่อนข้างยั่งยืนได้ ผมก็นึกถึงข้อความของผู้อ่านบางคนที่โอนเงินมาและถามผมเมื่อทราบว่า ผมจะนำเงินทั้งหมดไว้ใช้เพื่อดูแลเว็บ โดยไม่นำเข้ากระเป๋า ผู้อ่านถามว่า “แล้วพี่นำบุญเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายคะ”

คำถามจากความห่วงใยในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เพราะตอนที่เริ่มทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ผมก็คิดว่า ทำเพื่อให้เด็ก ๆ มีแหล่งรวมนิทานเอาไว้อ่าน ซึ่งเมื่อพ่อแม่จำนวนมากได้มาเห็นและนำไปอ่านให้ลูกฟังก่อนนอนจริง ๆ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้มันประสบความสำเร็จแล้ว (ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องรายได้ของตัวเองเลย)

ยิ่งพอเว็บไซต์อยู่ได้ด้วยกำลังของผู้อ่านอย่างยั่งยืน ผมก็ยิ่งรู้สึกว่า นี่คือความสำเร็จจริง ๆ ของคนทำสื่อ เพราะเว็บไซต์นิทานนำบุญเป็นสื่อสำหรับเด็ก ต้นทุนต่ำ แต่มีความตั้งใจสูง การที่เว็บไซต์นี้อยู่ได้อย่างค่อนข้างยั่งยืนด้วยกำลังของผู้อ่าน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า สื่อที่ดีและมีประโยชน์ต่อเด็ก ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เว็บไซต์นิทานนำบุญจึงเป็นเสมือนโมเดลของการทำเว็บไซต์ต้นทุนต่ำที่มีประโยชน์ต่อสังคม และอยู่ได้อย่างยั่งยืนด้วยกำลังของผู้อ่านอย่างแท้จริง (ซึ่งสิ่งนี้คือความภูมิใจมาก ๆ ของผมครับ)

เมื่อผมนึกถึงสิ่งที่ผู้อ่านทักถาม ผมจึงคิดต่อไปว่า หากผมลองทำโครงการหารายได้จากเว็บไซต์ เพื่อพิสูจน์แนวคิดบางอย่างว่า หากมีคนทำเว็บไซต์ขึ้นมาโดยเริ่มจากการคิดถึงประโยชน์ของผู้อ่าน เมื่อมีผู้อ่านพอสมควรและเว็บไซต์ได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่านให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนแล้ว หากคนทำเว็บไซต์จะหารายได้ให้ตัวเอง (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าอาหาร ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าซ่อมคอมพิวเตอร์) มันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน (ถ้าทำให้เกิดรายได้จริง มันอาจเกิดโมเดลของการทำสื่อเพื่อส่วนรวม แต่สามารถหล่อเลี้ยงคนทำสื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่สนใจหันมาทำสื่อแนวนี้มากขึ้นก็ได้ครับ)

แนวทางการหารายได้จากเว็บไซต์ที่ผมคิด ประกอบด้วย

  1. การขายสินค้า (เช่น ทำอีบุ๊คขาย หรือ หาสินค้ามาขาย)
  2. การขายพื้นที่โฆษณาให้ผู้ประกอบการรายย่อย (โดยเลือกที่เหมาะกับเด็กและครอบครัว)
  3. หาองค์กรธุรกิจมาเป็นผู้สนับสนุนเว็บไซต์ ในรูปแบบการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility)

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ผมได้ทำคลิปวิดีโอที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ไว้ ดังนี้ครับ

หลังจากทำคลิปออกมาแล้ว ผมได้นำสินค้าชิ้นแรกที่ทำไว้ออกมาวางจำหน่ายที่หน้าเพจ คือ หนังสืออีบุ๊กเรื่อง “นักเขียนนิทานและวิธีแต่งนิทานของเขา” ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสำคัญที่ผมดีใจมากที่ได้เขียนออกมาจนจบ เพราะมันเป็นเสมือนหนังสือบันทึกวิธีคิดและการทำงานในฐานะนักเขียนนิทานของผม ผมคิดว่า โลกของเรามีนักเขียนนิทานสำหรับเด็กไม่มากนัก การที่ผมเป็นนักเขียนนิทานและได้เล่าเรื่องราวรวมถึงวิธีคิดนิทานในแบบของผมให้ทุกคนได้อ่าน จึงเป็นหนังสือที่มีความหมายต่อตัวผม (อีบุ๊กฉบับนี้จะขายถึงวันที่ 31 มกราคม 2565 เท่านั้นครับ)

https://bit.ly/3qE5yT5

ในส่วนของการขายโฆษณา เมื่อผู้อ่านไม่ได้คัดค้านเรื่องการหารายได้จากขายพื้นที่โฆษณา ผมจึงลองกำหนดเงื่อนไขในการลงโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ โดยเป้าหมายไม่ใช่เรื่องการทำกำไรแบบร่ำรวย (สังเกตได้จากอัตราค่าโฆษณาที่ถูกมาก คือ 200 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 6 บาทเศษ) ซึ่งการตั้งราคาแบบนี้ น่าจะช่วยให้ผู้อ่านที่มีกิจการเล็ก ๆ หรือทำสินค้าขายในครัวเรือน สามารถซื้อโฆษณาได้โดยไม่ลำบากเกินไป ซึ่งการลงโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ที่มียอดวิววันละ 10000 วิว ก็อาจช่วยให้กิจการหรือสินค้านั้น ๆ เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้มากขึ้น

ผลจากการชักชวนให้ผู้สนใจลงโฆษณา ปรากฏว่า ณ วันนี้ มีผู้สนใจลงโฆษณาแล้ว 2 ราย ซึ่งทั้งสองรายมีความปรารถนาดีและอยากสนับสนุนการทำเว็บไซต์นิทานสำหรับเด็ก โดยข้าวมันไก่ไหหน่ำหนั่ง ต้องการให้กำลังใจเว็บไซต์เล็ก ๆ ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ส่วนกิจการ Rose Corner เป็นธุรกิจของคุณแม่ที่อ่านนิทานนำบุญกับลูกอยู่แล้ว เมื่อเห็นการเปิดรับโฆษณาจึงให้การสนับสนุนทันที (ขอบคุณมาก ๆ นะครับ)

https://www.facebook.com/hainumnangchickenrice
https://www.facebook.com/rosecornergarden

ในขณะเดียวกัน รุ่นพี่ของผมซึ่งเป็นนักเขียนนิทานก็เอ่ยปากว่า อยากซื้อโฆษณาด้วย โดยโฆษณาชิ้นแรกจะเป็นการโฆษณาให้ร้านขนมเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่รู้จักกัน ส่วนอีกชิ้นจะขอซื้อโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์นิทานของตัวเอง (จริง ๆ คืออยากสนับสนุนการทำงานของผม)

https://bit.ly/3qoMfi8

ผมไม่แน่ใจว่าโครงการลงโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญจะดำเนินไปได้ด้วยดีขนาดไหน แต่เมื่อครบ 1 ปี ผมจะมาสรุปผลว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “คนทำเว็บไซต์จะหารายได้ให้ตัวเองจากการทำเว็บไซต์ได้จริงหรือไม่” ยังไงรอติดตามกันนะครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ช่วยทำให้นิทานที่ผมแต่งมีค่ามากขึ้น เพราะนิทานที่เขียนเสร็จแล้วและวางไว้เฉย ๆ คงไม่มีค่าเท่ากับนิทานที่มีคุณพ่อคุณแม่นำไปอ่านกับลูก หรือ นิทานที่คุณครูนำไปอ่านกับนักเรียน รวมทั้งการที่น้อง ๆ บางคนนำนิทานนำบุญไปอ่านให้แฟนฟังก่อนนอน ขอบคุณทุก ๆ คนนะครับ

#นิทานนำบุญ

…………………