นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ตั้งใจแต่งมาก ๆ เพื่อมอบให้คุณพ่อ คุณแม่ และเด็ก ๆ (รวมทั้งผู้อ่านที่ชอบอ่านนิทานนำบุญให้คนที่รักฟัง) ผมเขียนสิ่งที่อยากมอบให้ไว้ในนิทานเรื่องนี้หมดแล้ว หวังว่าจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ
เรามาอ่านนิทานเรื่อง “ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงทนอ่านนิทานให้พวกเราฟัง ได้ทุกคืนนะ” ด้วยกันนะครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวกระต่ายครอบครัวหนึ่ง มีสมาชิกประกอบไปด้วย คุณพ่อกระต่าย คุณแม่กระต่าย และลูกกระต่ายอีก 4 ตัว ลูกกระต่ายตัวพี่มีชื่อว่า “ข้าวปั้น” ลูกกระต่ายตัวที่สองมีชื่อว่า “ ข้าวปุ้น” ลูกกระต่ายตัวที่สามมีชื่อว่า “ข้าวเปียก” และลูกกระต่ายตัวสุดท้องน้องสุดท้ายมีชื่อว่า “ข้าวแฉะ”
ทุก ๆ คืน คุณพ่อกระต่ายและคุณแม่กระต่ายจะผลัดกันอ่านนิทานให้ลูก ๆ ฟังคืนละ 3 – 4 เรื่อง แล้วจึงค่อยบอกให้ลูก ๆ เข้านอนอย่างมีความสุข
อยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อกระต่ายกับคุณแม่กระต่ายติดธุระสำคัญพร้อม ๆ กัน คุณพ่อกระต่ายกับคุณแม่กระต่ายจึงขอให้ข้าวปั้นซึ่งเป็นลูกคนโตช่วยอ่านนิทานให้น้อง ๆ ฟัง และส่งน้อง ๆ เข้านอนแทนคุณพ่อกับคุณแม่
ข้าวปั้นรู้สึกว่าการอ่านนิทานไม่ใช่เรื่องยาก มันจึงรับปากทำตามที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมาย
เมื่อถึงเวลาก่อนนอน ข้าวปั้นชวนน้อง ๆ ให้มารวมกันที่ห้องนอนเหมือนทุกวัน จากนั้น มันก็ทำท่าเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ แล้วเริ่มอ่านนิทานให้น้อง ๆ ฟัง
ในการอ่านนิทานเรื่องแรก ข้าวปั้นเริ่มต้นอ่านนิทานด้วยเสียงที่สดใส แต่พออ่านไปได้สักพัก มันก็เริ่มระคายคอ อ่านตะกุกตะกัก งึกงึกงักงัก เสียงแหบเสียงแห้ง เรี่ยวแรงร่อยหรอ คันคอยิบยิบ ข้าวปั้นเพิ่งรู้ว่า การอ่านนิทานไม่ได้ง่ายอย่างที่มันคิด เมื่อข้าวปั้นอ่านนิทานเรื่องแรกจบ มันจึงบอกน้อง ๆ ว่า “ไม่ไหวแล้ว อ่านนิทานเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าวปุ้นมาอ่านนิทานแทนพี่ได้ไหม”
เมื่อข้าวปุ้นได้ฟังคำของพี่ ข้าวปุ้นจึงรับช่วงอ่านนิทานเรื่องที่สองอย่างไม่อิดออด
ในการอ่านนิทานเรื่องที่สอง ข้าวปุ้นเริ่มต้นอ่านนิทานด้วยเสียงที่สดใส แต่พออ่านไปได้สักพัก มันก็เริ่มระคายคอ อ่านตะกุกตะกัก งึกงึกงักงัก เสียงแหบเสียงแห้ง เรี่ยวแรงร่อยหรอ คันคอยิบยิบ ข้าวปุ้นเพิ่งรู้ว่า การอ่านนิทานไม่ได้ง่ายอย่างที่มันคิด เมื่อข้าวปุ้นอ่านนิทานจบ มันจึงบอกน้อง ๆ ว่า “ไม่ไหวแล้ว อ่านนิทานเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าวเปียกมาอ่านนิทานแทนพี่จะได้ไหม”
เมื่อข้าวเปียกได้ฟังคำของพี่ ข้าวเปียกจึงรับช่วงอ่านนิทานเรื่องที่สามอย่างไม่อิดออด ในการอ่านนิทานเรื่องที่สาม ข้าวเปียกเริ่มต้นอ่านนิทานด้วยเสียงที่สดใส แต่พออ่านไปได้สักพัก มันก็เริ่มระคายคอ อ่านตะกุกตะกัก งึกงึกงักงัก เสียงแหบเสียงแห้ง เรี่ยวแรงร่อยหรอ คันคอยิบยิบ ข้าวเปียกเพิ่งรู้ว่า การอ่านนิทานไม่ได้ง่ายอย่างที่มันคิด เมื่อข้าวเปียกอ่านนิทานจบ มันจึงบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว อ่านนิทานเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าวแฉะมาอ่านนิทานแทนพี่จะได้ไหม”
แทนที่ข้าวแฉะจะรับช่วงอ่านนิทานต่อจากพี่ ข้าวแฉะกลับทำหน้าสงสัย แล้วพูดกับพี่ ๆ ว่า “หนูแปลกใจจัง ทำไมพี่ ๆ อ่านนิทานกันแค่คนละเรื่อง แล้วกลับบอกว่าอ่านนิทานต่อไปไม่ไหว หนูเห็นคุณพ่อกับคุณแม่อ่านนิทานคืนนึงตั้ง 3-4 เรื่อง ทำไมท่านถึงไม่หยุดอ่านเลยล่ะ”
ข้อสงสัยของข้าวเปียกทำให้ลูกกระต่ายทุกตัวพากันครุ่นคิด
ข้าวปั้นบอกว่า “คงเป็นเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ชอบฟังนิทานเหมือนเด็ก ๆ แต่เพราะท่านโตแล้ว (ดูริ้วรอยที่หางตาคุณแม่สิ) พอไม่มีใครอ่านนิทานให้ฟัง ก็เลยต้องอ่านเองยังไงล่ะ แต่ทำเป็นมาอ่านให้พวกเราฟัง จะได้ไม่เขิน”
ข้าวปุ้นบอกว่า “ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ ฉันว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงอยากโชว์ให้พวกเราเห็นว่าท่านอ่านหนังสือเก่ง ท่านเลยอ่านโชว์คืนละหลาย ๆ เรื่อง เหมือนที่คุณแม่ชอบเอฟของแบรนด์เนมในเน็ต แล้วโชว์ให้เพื่อน ๆ เห็นว่าตัวเองมีของเด็ด ๆ ยังไงล่ะ”
ข้าวเปียกบอกว่า “ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ ฉันว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงขี้เกียจอาบน้ำ แต่ถ้าจะพูดว่าเดี๋ยวก่อน ๆ พวกเราก็จะทำตาม คุณพ่อกับคุณแม่เลยชวนพวกเรามาฟังนิทาน ท่านจะได้อาบน้ำช้าอีกหน่อยยังไงล่ะ”
ข้าวแฉะฟังคำตอบของพี่ ๆ ด้วยสีหน้าระอาใจ แม้ข้าวแฉะจะเป็นกระต่ายตัวสุดท้องน้องสุดท้าย แต่มันเป็นกระต่ายน้อยช่างคิดที่มีหัวใจละเอียดอ่อนมาก ๆ เมื่อข้าวแฉะเห็นว่าพี่ ๆ คิดอะไรไม่เข้าท่า มันจึงพูดกับพี่ ๆ ว่า “การที่ใครสักคนจะยอมทำอะไรเพื่อคนอื่นได้ แม้มันจะเหนื่อยหรือลำบากสักเพียงไร เหตุผลเดียวที่หนูคิดได้ ก็คงเป็นเพราะความรักที่มีให้แบบมากมายมหาศาล”
ข้าวแฉะนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า “คุณพ่อคุณแม่ต้องรักพวกเรามาก ๆ ท่านจึงยอมเหนื่อยทำงาน ยอมเหนื่อยดูแลบ้าน ยอมเหนื่อยหาอาหารให้พวกเรา แถมยังยอมเหนื่อยเล่านิทานให้พวกเราฟัง พวกเราเองต่างหาก ที่ปากบอกว่ารักคุณพ่อคุณแม่ แต่พวกเราเคยยอมเหนื่อยทำอะไรเพื่อท่านบ้างไหมนะ”
คำพูดของข้าวแฉะ ทำให้ข้าวปั้น ข้าวปุ้น ข้าวเปียก ถึงกับสลด “คำว่ารัก….พูดกันง่าย แต่ความรักจริง ๆ ทำได้ไม่ง่ายหรอก” ลูกกระต่ายทุกตัวคิด
……..
………….
………………..
เช้าวันต่อมา คุณพ่อกับคุณแม่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ คุณพ่อกระต่ายกับคุณแม่กระต่ายต่างประหลาดใจมาก ๆ เพราะลูกกระต่ายทั้งสี่ตัวตื่นขึ้นมาก่อนคุณพ่อคุณแม่
ข้าวปั้น ข้าวปุ้น ข้าวเปียกและข้าวแฉะ ช่วยกันทำความสะอาดบ้านจนบ้านดูเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำ ลูกกระต่ายทั้งสี่ตัวยังผลัดกันอาบน้ำแต่งตัวจนพวกมันพร้อมไปโรงเรียนโดยที่ไม่ต้องให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อย
ลูกกระต่ายทั้งสี่ตั้งใจจะทำหน้าที่ของลูกที่ดี และช่วยทำงานบ้านต่าง ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ที่พวกมันรัก เหนื่อยน้อยลงอีกนิด เพราะพวกมันรู้ว่า “แม้ความรักจริง ๆ จะทำได้ไม่ง่าย แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ ถ้าเรารักใครสักคนมากพอ”
พ่อกระต่ายกับแม่กระต่ายสัมผัสได้ถึงความพยายามและความรักที่ลูก ๆ มีให้ คุณพ่อกับคุณแม่จึงเรียกลูก ๆ มาใกล้ ๆ จากนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ก็ “กอดและจุ๊บเหม่ง” ลูก ๆ ทั้งสี่ด้วยความรัก
ข้าวปั้น ข้าวปุ้น ข้าวเปียก ข้าวแฉะ มีความสุขมากที่พวกมันทำให้คุณพ่อกับคุณแม่มีความสุข พวกมันพากันกอดและหอมแก้มคุณพ่อคุณแม่ทั้งแก้มซ้ายและแก้มขวาเพื่อบอกให้ท่านทั้งสองรู้ว่า “รักนะ จุ๊บจ๊บ”
ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็กระซิบถามลูก ๆ ด้วยความรักว่า “วันนี้วันหยุด ลูก ๆ อาบน้ำแล้วแต่งชุดนักเรียนแบบนี้ ลูก ๆ จะไปไหนกันเหรอจ๊ะ ฮิฮิ”
ลูกกระต่ายเพิ่งรู้ตัวว่าพวกมันแต่งตัวผิดวัน พวกมันพากันหัวเราะด้วยอาการขวยเขิน และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- ความรักของพ่อแม่ คือการยอมแลกความสบายของตัวเอง เพื่อความสุขของลูก
- การกระทำที่ดูเล็ก ๆ เช่น อ่านนิทานก่อนนอน คือสิ่งที่สะท้อนความรักยิ่งใหญ่ในใจพ่อแม่
- แม้ไม่มีใครขอ พ่อแม่ก็เลือกทำ…เพราะความรักไม่ต้องมีเงื่อนไข
#นิทานนำบุ

………………………………………………………………………………………………………….
บันทึกท้ายนิทาน :
ขอเขียนบันทึกเกี่ยวกับนิทานเรื่องนี้ไว้สักนิดนะครับ ตอนที่ผมคิดนิทานเรื่องนี้ได้ เป็นตอนที่ผมกำลังล้างและเช็ดรถอยู่ที่บ้าน คือจู่ ๆ นิทานก็แว่บเข้ามาในหัว ตอนนั้นรู้สึกว่าเนื้อเรื่องน่ารักดี และคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงคนที่ชอบอ่านนิทานให้คนที่รักฟังตอนก่อนนอน น่าจะมีนิทานสักเรื่องที่บอกให้คนฟังได้รู้ว่า “คนเล่าเหนื่อยนะ แต่ก็ยินดีอ่านนิทานให้ฟัง เพราะรักคนฟังมาก ๆ”
ในตอนที่ผมพิมพ์นิทานเรื่องนี้เพื่อนำมาโพสต์ในเว็บนิทานนำบุญ ผมนึกถึงตอนที่ผมเป็นเด็ก ตอนนั้น…ผมรู้ว่าผมรักพ่อ รักแม่ รักอาม่า ผมรู้ว่าแม่กับอาม่าทำอะไรต่อมิอะไรให้ผมสารพัด เวลามีของกินอร่อย ๆ ก็ให้ผมกินหมด (ตัวเองไม่ยอมกิน) ยอมเหนื่อยทำนู่นทำนี่ให้ผมตลอด ผมซึ่งไม่รู้จักคิด ก็เห็นการกระทำเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ! ไม่เคยรู้สึกว่า “คนทำเขาก็เหนื่อยนะ และที่เขาเหนื่อยก็เพราะรักเรานะ”
แน่นอนว่า ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมไม่เคยคิดช่วยแบ่งเบาภาระอะไรของแม่หรืออาม่าเลย ถ้าไม่ถูกเรียกให้ทำ ก็ไม่เคยคิดจะทำ
“แปลกจัง แม้ใจของเราจะรู้ว่ารัก ปากเราที่กล้าพูดว่ารัก แต่ทำไมการกระทำของเรา ไม่ได้แสดงถึงความรักที่มีต่อคนที่เรารักเลยนะ”
ความไร้เดียงสาที่ยาวนานของผม ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมควรนำประเด็นนี้มาใส่ในนิทานเรื่องนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจสอนให้เด็ก ๆ ทำงานบ้านหรือแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ แต่ผมอยากให้เด็ก ๆ ได้รู้สึกถึงสิ่งที่สำคัญกว่านั้น นั่นก็คือ “เมื่อเรารู้สึกว่าเรารักใคร อย่าลืมดูแลคนที่เรารักให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว”
ทีนี้ หากคุณผู้อ่านสังเกตเนื้อเรื่องของนิทาน ที่จะพบการสอดแทรกฉากตลก ๆ เอาไว้ (ไม่รู้ว่าผู้อ่านจะรู้สึกไหม) เช่น ตอนที่กระต่ายบอกว่าคุณพ่อคุณแม่อ่านนิทานเพราะตัวเองชอบฟังนิทานแต่โตแล้ว หรือ อ่านเพราะขี้อวด หรือ อ่านเพราะอยากประวิงเวลาในการอาบน้ำ รวมถึงการหักมุมในตอนท้ายเรื่องที่ลูกกระต่ายแต่งชุดนักเรียนผิดวัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นความพยายามของผมในการตกแต่งนิทานให้เหมาะกับเด็กมากขึ้น เหมือนการห่อของขวัญที่มีคุณค่า (แก่นเรื่อง) ด้วยกระดาษห่อของขวัญที่สวยงาม (มุกที่แทรกในเรื่อง) ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของผมที่อยากเขียนนิทานเรื่องนี้ให้ดีที่สุด (แม้จะไม่ใช่งานที่ส่งตีพิมพ์ในนิตยสารก็ตาม)
ผมหวังว่า นิทานเรื่องนี้จะให้แง่มุมที่เป็นประโยชน์และสร้างความสุขให้คุณผู้อ่านได้บ้างนะครับ แต่สำหรับผมเอง ผมตั้งใจและดีใจที่ได้แต่งนิทานเรื่องนี้ออกมา 🙂