“อิซซุนโบชิ” หรือ “หนุ่มน้อยหนึ่งนิ้ว” เป็นนิทานพื้นบ้านชื่อดังของญี่ปุ่น ที่เล่าถึงเด็กชายตัวจิ๋วผู้เกิดจากคำอธิษฐานของตากับยาย แม้จะตัวเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่อิซซุนโบชิกลับมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เกินตัว เขากล้าหาญ มุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ เรื่องราวของเขาเต็มไปด้วยจินตนาการ การผจญภัย และข้อคิดดี ๆ เหมาะสำหรับเด็กทุกวัย รวมถึงผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบนิทานแสนอบอุ่น อ่านแล้วจะพบว่าขนาดของร่างกายไม่สำคัญเท่ากับ “ความกล้าหาญของหัวใจ” ที่แท้จริง
มาอ่านนิทานเรื่อง “อิซซุนโบชิ” กันเถอะ…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตากับยายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ กลางป่าลึก ตากับยายเฝ้าอธิษฐานต่อเทพเจ้าทุกคืน เพื่อขอมีลูกสักคน ต่อให้ตัวเล็กเท่าหัวแม่มือก็ยินดีที่จะรักและเลี้ยงดูเด็กคนนั้นอย่างเต็มที่
“ขอให้เรามีลูกสักคนเถิด แม้จะตัวเล็กแค่นิ้วเดียว เราก็จะรักเขาสุดหัวใจเลยล่ะ”
และแล้ววันหนึ่ง คำอธิษฐานก็เป็นจริง ในขณะที่ยายกำลังต้มน้ำอยู่ในครัว มีเสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาว่า “ยายจ๋า หนูหิวข้าวจัง”
เมื่อยายมองและเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กเท่ากับนิ้วโป้ง กำลังนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างถ้วยชา ยายก็ตกใจ แต่ความดีใจมีมากกว่า ยายจึงรีบเรียกตาให้มาดู
เมื่อตาเห็น ตาก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่พอเห็นว่าเด็กน้อยพูดได้ ยิ้มได้ แถมยังน่ารักน่าชัง ทั้งคู่ก็ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มใจ เพราะมันเหมือนทั้งคู่ได้ลูกที่เฝ้ารอคอยมาชั่วชีวิต ตากับยายตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า “อิซซุนโบชิ” ซึ่งแปลว่า “เจ้าหนูหนึ่งนิ้ว” หลังจากนั้น ครอบครัวของตากับยายก็มีเด็กน้อยตัวจิ๋วมาเป็นความสุขในทุก ๆ วัน
แม้อิซซุนโบชิจะตัวเล็กจิ๋ว และแทบจะไม่โตขึ้นเลย แต่เขาเป็นเด็กฉลาด ร่าเริง แถมมีหัวใจที่กล้าหาญ ทุกวัน อิซซุนโบชิจะช่วยทำงานบ้านอย่างเต็มที่ และทุกคืน อิซซุนโบชิมักขอให้ยายเล่านิทานเกี่ยวกับเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ รวมถึงการผจญภัยของเหล่านักรบ ให้เขาได้ฟัง
เมื่ออิซซุนโบชิเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อย อิซซุนโบชิได้บอกตากับยายว่า เขาอยากออกเดินทางไปยังเมืองหลวง เพื่อแสวงหาความรู้และโอกาสในชีวิต
แม้ตากับยายจะเป็นห่วง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ห้ามอิซซุนโบชิ ตากับยายตั้งใจที่จะสนับสนุนความตั้งใจของอิซซุนโบชิทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้ นอกจากตากับยายจะอนุญาตแล้ว ตากับยายยังช่วยกันเย็บเสื้อผ้าขนาดจิ๋วให้อิซซุนโบชิไว้ใส่ แถมเตรียมดาบที่ทำจากเข็มเย็บผ้าให้หนึ่งเล่ม และหาถ้วยชาให้อิซซุนโบชิใช้แทนเรือสำหรับการเดินทาง โดยคุณตาดัดแปลงตะเกียบให้กลายเป็นไม้พาย ส่วนคุณยายได้เตรียมข้าวปั้นห่อจิ๋วไว้ให้อิซซุนโบชิใช้เป็นเสบียง ครั้นเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว อิซซุนโบชิก็โบกมือลาตากับยาย แล้วลงเรือถ้วยชาออกเดินทางตามกระแสน้ำในลำธารมุ่งสู่เมืองหลวงด้วยใจมุ่งมั่น
เมื่อถึงเมืองหลวง อิซซุนโบชิได้พบกับผู้คนมากมายที่ตัวสูงใหญ่ ซึ่งเดินกันขวักไขว่จนเขาต้องคอยหลบให้พ้นจากการโดนเหยียบ
ระหว่างที่อิซซุนโบชิเดินผ่านวัดแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ เขาเห็นขุนนางคนหนึ่งและบุตรสาวผู้รักการอ่านกำลังไหว้พระอยู่ อิซซุนโบชิจึงรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าขออาสาเป็นผู้อารักขาและรับใช้นายท่านจะได้ไหม”
ในตอนแรก ไม่มีใครเห็นอิซซุนโบชิเลย เพราะเขาตัวสูงแค่หนึ่งนิ้ว แต่เสียงของเขาดังพอสมควร ทำให้ทุกคนเอะใจและมองไปรอบตัว จนกระทั่งบุตรสาวของขุนนางเห็นอิซซุนโบชิตัวจิ๋วยืนอยู่บนรองเท้าไม้ บุตรสาวของขุนนางจึงเผลอยิ้ม เพราะรู้สึกว่าอิซซุนโบชิน่ารักดี จากนั้น บุตรสาวของขุนนางจึงขอให้พ่อรับอิซซุนโบชิไว้ เพื่อให้เป็นผู้ติดตาม
เมื่ออิซซุนโบชิได้ไปอยู่ในบ้านของขุนนาง เขามีหน้าที่ดูแลบุตรสาวของขุนนางซึ่งถือว่าเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ ยิ่งนานวัน ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
วันหนึ่ง บุตรสาวขุนนางต้องเดินทางไปยังวิหารร้างหลังป่าเพื่อนำของไปถวาย อิซซุนโบชิจึงติดตามไปด้วย แต่ในช่วงที่บุตรสาวขุนนางกำลังสวดมนต์ มียักษ์สองตนส่งเสียงคำรามพร้อมกับกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ ยักษ์ทั้งคู่มีดวงตาแดงก่ำและมีเขี้ยวยาวดูน่ากลัว พวกมันพูดว่า “พวกข้าจะจับแม่สาวน้อยไปขังเพื่อกินหัวใจ”
บุตรสาวขุนนางตกใจมาก แต่ทั้ง ๆ ที่ตกใจและกลัวพวกยักษ์ บุตรสาวขุนนางกลับยืนบังอิซซุนโบชิเอาไว้ พร้อมกับพูดอย่างกล้าหาญว่า “พวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าทำร้ายเขานะ”
เมื่อพวกยักษ์ได้ฟัง พวกมันก็พากันหัวเราะและยื่นมือทำท่าจะจับตัวบุตรสาวของขุนนางเอาไว้ เมื่ออิซซุนโบชิเห็นเช่นนั้น เขาก็รีบกระโดดออกมาขวาง แล้วพุ่งตัวเข้าหาพวกยักษ์อย่างว่องไว เขาหลบหลีกเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้ดาบที่ทำจากเข็มแทงตาของยักษ์ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามี
ยักษ์ที่ถูกแทงตาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ยักษ์อีกตนหนึ่งจึงคว้าอิซซุนโบชิเอาไว้ แล้วกลืนเขาเข้าไปในปากเพื่อแก้แค้น
แต่อิซซุนโบชิผู้กล้าหาญไม่ยอมแพ้ เขาใช้ดาบแทงท้องยักษ์จากข้างใน จนเจ้ายักษ์ร้องลั่น บิดตัวไปมา สุดท้าย ยักษ์ก็พ่นอิซซุนโบชิออกจากท้อง แล้วพากันวิ่งหนี โดยเผลอทำค้อนวิเศษตกเอาไว้ที่พื้น
อิซซุนโบชิดีใจที่ตนเองปกป้องบุตรสาวขุนนางได้สำเร็จ อิซซุนโบชิเป็นห่วงว่าบุตรสาวขุนนางจะได้รับอันตราย ส่วนบุตรสาวขุนนางก็เป็นห่วงอิซซุนโบชิไม่แพ้กัน ครั้นเมื่อทั้งคู่เห็นว่าเพื่อนของตนปลอดภัยดี ทั้งคู่ก็สบายใจ แต่อิซซุนโบชิเพิ่งสังเกตเห็นว่า พวกยักษ์ได้ทำค้อนตกเอาไว้ เขาจึงมองค้อนอันนั้นด้วยความสงสัย
เมื่อบุตรสาวขุนนางเห็นสีหน้าของอิซซุนโบชิ บุตรสาวขุนนางก็อธิบายว่า “นี่คือ ค้อนแห่งความปรารถนาที่ผู้ครอบครองสามารถขอสิ่งใดก็ได้หนึ่งอย่าง”
อิซซุนโบชิฟังแล้วพยักหน้ารับ จากนั้น เขาก็กล่าวกับบุตรสาวขุนนางว่า “เมื่อยักษ์พ่ายแพ้ แล้วทิ้งค้อนไว้เช่นนี้ ท่านหญิงจึงถือได้ว่าเป็นผู้ครอบครองค้อนวิเศษ ว่าแต่…ท่านหญิงอยากขอพรอันใดเล่า”
บุตรสาวขุนนางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า
“ข้าเองมีทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้ว หากข้าต้องขอพรจากค้อนวิเศษ ข้าอยากขอพรให้ บุคคลสำคัญคนหนึ่งของข้า ตัวโตเหมือนคนทั่วไป เพื่อให้โลกได้เห็นว่า จิตใจของเขากล้าหาญและยิ่งใหญ่เพียงใด”
อิซซุนโบชิหน้าแดง แล้วหัวเราะแก้เก้อ ส่วนบุตรสาวขุนนางก้มตัวลงแตะค้อน แล้วขอพรตามที่คิด หลังจากนั้น ร่างของอิซซุนโบชิก็เปล่งประกาย แล้วเขาก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ดวงตาฉายแววแห่งความกล้าหาญ
เมื่อบุตรสาวขุนนางและอิซซุนโบชิกลับมาที่บ้าน บุตรสาวขุนนางเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อและทุกคนฟัง ทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญของอิซซุนโบชิ และทุกคนก็ตื่นเต้นกับร่างกายของอิซซุนโบชิ ที่เปลี่ยนจาก “หนุ่มน้อยหนึ่งนิ้ว” เป็น “หนุ่มน้อยสุดคิ้วท์” (ที่แปลว่า หนุ่มน้อยน่ารัก)
หลายปีต่อมา อิซซุนโบชิและบุตรสาวขุนนางค่อย ๆ สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน โดยทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานที่แสนอบอุ่น ท่ามกลางกลีบดอกซากุระที่โปรยปราย โดยมีตากับยายนั่งยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความปลื้มปิติ
นับจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องราวของ “อิซซุนโบชิ” ก็ทำให้ผู้คนได้รู้ว่า “ขนาดของร่างกายไม่สำคัญเท่ากับความกล้าหาญและยิ่งใหญ่ของหัวใจ”
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- ขนาดของร่างกายไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
- ความกล้าหาญ ความดี และความพยายามจะนำไปสู่ความสำเร็จ
- ความรักที่แท้จริงเกิดจากการมองเห็นคุณค่าในหัวใจ
#นิทานนำบุญ
