“หมีสามตัวกับเด็กหญิงผมทอง” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษว่า Goldilocks and the Three Bears คือหนึ่งในนิทานคลาสสิกที่เด็กทั่วโลกคุ้นเคย ด้วยเนื้อเรื่องเรียบง่าย สนุก และแฝงแง่คิดเรื่องมารยาท การเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น และการเรียนรู้จากความผิดพลาดได้อย่างแนบเนียน
นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ และถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1837 โดยนักเขียนชาวอังกฤษชื่อว่า โรเบิร์ต เซาธีย์ (Robert Southey) ซึ่งเดิมทีตัวเอกไม่ใช่ “เด็กหญิงผมทอง” อย่างที่เราคุ้นเคย แต่เป็น “หญิงชราจอมจุ้น” (an old woman) ที่เข้าไปในบ้านของหมีสามตัว!
ภายหลัง ผู้เล่าเรื่องรุ่นใหม่ ๆ ได้เปลี่ยนตัวละครให้กลายเป็น “เด็กหญิงผมทอง” เพราะดูเหมาะกับเด็กมากกว่า และให้ความรู้สึกน่ารัก ขี้เล่น แต่ยังคงแก่นเรื่องเดิมเอาไว้ จนกระทั่งกลายเป็นเวอร์ชันที่แพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน
มาอ่านนิทานเรื่อง “หมีสามตัวกับเด็กหญิงผมทอง” กันเถอะ…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบ้านไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่กลางป่าที่เงียบสงบ ในบ้านหลังนั้น มีหมีสามตัวพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน
เช้าวันหนึ่ง พ่อหมีต้มโจ๊กหม้อใหญ่จนกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งบ้าน แม่หมีชิมโจ๊กที่พ่อหมีตักให้แล้วร้อง “อุ๊ย…ร้อนจังเลย” พ่อหมีจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เราออกไปเดินเล่นก่อนดีไหม รอให้โจ๊กเย็นลงสักนิด แล้วค่อยมากินกัน” หมีทั้งสามตัวจึงพากันออกไปเดินเล่นในป่า
หลังจากที่ครอบครัวหมีออกจากบ้านไปได้ไม่นาน มีเด็กหญิงผมทองคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอชื่อว่า “โกลดิล็อกส์” เธอเดินตามผีเสื้อสีฟ้าตัวเล็ก ๆ โดยไม่ทันสังเกตว่า…ตนเองเดินหลงไปยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเธอไม่รู้จริง ๆ ว่ามันคือบ้านของครอบครัวหมี
เมื่อเด็กหญิงผมทองเห็นว่าบ้านดูสวยดี เธอจึงเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบ ๆ แล้วเธอก็มองเห็นโต๊ะไม้ที่มีถ้วยโจ๊กตั้งอยู่สามใบ
เด็กหญิงผมทองชิมโจ๊กจากถ้วยใบโตของพ่อหมี แล้วเธอก็อุทานออกมาว่า “อุ๊ย…ร้อนจังเลย” เธอรีบเป่าปากเบา ๆ แล้ววางช้อนไว้ที่ถ้วยดังเดิม จากนั้น เธอก็ลองชิมโจ๊กจากถ้วยขนาดกลางของแม่หมี แล้วรำพึงออกมาว่า “อืมม…เย็นเกินไปนิดนึง ไม่อร่อยเท่าไร” สุดท้าย เธอชิมโจ๊กจากถ้วยใบเล็กของลูกหมี แล้วเธอก็พูดกับตัวเองว่า “ว้าว…อุ่นกำลังดี อร่อยที่สุดเลย”
เมื่อเด็กหญิงผมทองกินโจ๊กจากถ้วยใบเล็กจนหมด เธอเห็นเก้าอี้วางเรียงกันอยู่สามตัว มีเก้าอี้ตัวใหญ่ เก้าอี้ตัวกลาง และเก้าอี้ตัวเล็ก
เด็กหญิงผมทองลองนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ของพ่อหมี แล้วเธอก็พูดว่า “โอ๊ย…แข็งจัง นั่งแล้วเจ็บก้น” จากนั้น เธอก็ลองนั่งเก้าอี้ตัวกลางของแม่หมี แล้วเธอก็รำพึงว่า “อืม…นิ่มไปหน่อย นั่งแล้วปวดหลังยังไงไม่รู้” เมื่อพูดจบ เธอจึงลองนั่งเก้าอี้ตัวเล็กของลูกหมี จากนั้น เธอก็พูดว่า “พอดีเป๊ะเลย” เธอยิ้มแล้วทิ้งตัวลงไปอย่างเต็มที่ แต่ทันใดนั้น…เก้าอี้ก็หักเป๊าะ เด็กหญิงผมทองตกใจ จึงรีบลุกเดินออกจากบริเวณนั้นทันที
เมื่อเด็กหญิงผมทองเดินขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เธอพบเตียงนอนสามเตียงเรียงกันอยู่ เด็กหญิงผมทองที่เดินตามผีเสื้อมาจนเหนื่อยและได้กินโจ๊กจนอิ่ม เริ่มรู้สึกง่วง เธอจึงลองนอนบนเตียงใหญ่ของพ่อหมี แต่แค่หลังสัมผัสกับเตียง เด็กหญิงผมทองก็อุทานออกมาว่า “โอ้โห…แข็งเหมือนไม้กระดานเลย” ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงผมทองจึงรีบลุกไปนอนที่เตียงข้าง ๆ ซึ่งเป็นเตียงขนาดกลางของแม่หมี ทันทีที่เด็กหญิงผมทองนอนลงบนเตียงขนาดกลาง เธอก็ถึงกับอุทานออกมาว่า “โอ้โห ทำไมมันนุ่มยวบจนเหมือนจะไหลตกเตียงแบบนี้” เด็กหญิงผมทองรู้สึกไม่ปลอดภัย เธอจึงลองนอนที่เตียงขนาดเล็กของลูกหมี และแล้ว เธอก็ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “นี่มันเตียงที่นอนสบายที่สุดในโลกเลย” เด็กหญิงผมทองหลับตาลงช้า ๆ อย่างมีความสุข จากนั้น เธอก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปไม่นานนัก หมีทั้งสามก็กลับมาถึงบ้าน พ่อหมีมองโต๊ะอาหารแล้วรู้สึกผิดสังเกต พ่อหมีจึงพูดว่า “ใครมากินโจ๊กของฉันนะ” แม่หมีมองที่ถ้วยโจ๊กของตัวเอง แล้วพูดว่า “โจ๊กของฉันก็ถูกชิมไปเหมือนกัน” ส่วนลูกหมีได้แต่ทำปากเบะด้วยความเสียใจ แล้วพูดออกมาว่า “ใครมากินโจ๊กของหนูจนหมดถ้วยเลยนะ”
ท่ามกลางความงุนงง พ่อหมีสังเกตเห็นความผิดปกติที่เก้าอี้ของตน พ่อหมีจึงเดินไปดูแล้วพูดออกมาว่า “มันเหมือนจะขยับไปจากที่เดิมนะ” แม่หมีชี้ไปที่เก้าอี้ตัวกลางแล้วพูดว่า “ของฉันก็เหมือนกันนะ” ส่วนลูกหมีที่ปากเบะอยู่แล้ว เมื่อเห็นเก้าอี้ของตัวเอง มันก็ร้องออกมาว่า “ใครทำให้เก้าอี้ของหนูพังแบบนี้นะ”
ณ ขณะนั้น ครอบครัวหมีรู้แล้วว่าคงมีใครบางคนบุกรุกเข้ามาในบ้านของพวกมัน พ่อหมีแม่หมีและลูกหมีจึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นบนจนถึงห้องนอน
พ่อหมีพูดเสียงเข้ม “มีใครมานอนบนเตียงของฉันแน่ ๆ” แม่หมีบ่นว่า “เตียงของฉันก็เหมือนกันนะ” ส่วนลูกหมีร้องเสียงหลงว่า “เตียงของหนูมี…มีเด็กผู้หญิงผมทองนอนหลับอยู่!”
เด็กหญิงผมทองสะดุ้งตื่นเพราะเสียงของลูกหมี เธอรีบลุกขึ้นแล้วมองหมีสามตัวด้วยความตกใจ หมีทั้งสามมีท่าทางโมโหมาก เด็กหญิงผมทองตัวสั่นด้วยความกลัวแล้วพูดว่า “หนูขอโทษ หนูหลงเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเป็นบ้านของใคร หนูไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเลย”
พ่อหมีขมวดคิ้วแล้วตำหนิว่า “ไม่รู้ว่านี่เป็นบ้านของใคร แล้วเข้ามากินโจ๊กของเค้า นั่งเก้าอี้ของเค้า นอนบนเตียงของเค้า คำแก้ตัวของเธอฟังไม่ขึ้น” พ่อหมีโมโหจนตัวสั่นแล้วพูดต่อไปว่า “พ่อแม่ของเธอไม่เคยสอนเหรอว่า เด็กดีต้องไม่แตะต้องของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เด็กหญิงผมทองกลัวจนตัวสั่น เธอร้องไห้จนขี้มูกโป่งและคิดว่าตนเองคงโดนพ่อหมีทำโทษอย่างรุนแรงแน่ ๆ
แต่ในขณะที่พ่อหมีโกรธจัดและเด็กหญิงผมทองกลัวจนทำอะไรไม่ถูก แม่หมีก็ถอนหายใจยาว ๆ แล้วพูดออกมาว่า “เอาล่ะ ถือว่าเธอเป็นเด็ก ยังพอที่จะปรับปรุงตัวเองได้ ขอให้เธอเรียนรู้จากบทเรียนนี้ และอย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ออกจากบ้านของพวกเราไปเดี๋ยวนี้”
เด็กหญิงผมทองพยักหน้า แล้วรีบวิ่งออกจากบ้านไป โดยไม่กล้าหันกลับมามองหมีทั้งสามตัวอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เด็กหญิงผมทองได้บทเรียนครั้งสำคัญในชีวิต แล้วเด็ก ๆ ล่ะ ได้เรียนรู้อะไรจากนิทานเรื่องนี้บ้าง?
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- เราไม่ควรเข้าไปในบ้านของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
- การใช้ของของผู้อื่นโดยพลการเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
- หากเราทำผิด ควรยอมรับและขอโทษอย่างจริงใจ
- เด็กดีต้องรู้จักแยกแยะสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ แม้จะไม่มีใครเห็น
- การให้อภัยเป็นสิ่งที่งดงาม เมื่อเราพร้อมจะเรียนรู้จากความผิดพลาด
