Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข: นิทานสอนใจเรื่องความเมตตาและการเสียสละ

นิทานเรื่อง “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” (The Happy Prince) เป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกว่าเปี่ยมด้วยคุณค่าทางจิตใจและแฝงแง่คิดลึกซึ้งเกี่ยวกับความเมตตาและการเสียสละ ผู้แต่งคือ Oscar Wilde นักเขียนชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในยุควิกตอเรีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมมีความเหลื่อมล้ำสูง นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนภาพชีวิตของผู้คนในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงกับผู้ยากไร้ในเมืองใหญ่

เรื่องราวของเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขและนกนางแอ่นตัวน้อย เป็นการเล่าเรื่องผ่านสัญลักษณ์ของความงามภายนอกที่ซ่อนความเจ็บปวดภายใน เจ้าชายที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง กลับต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายเมื่อกลายเป็นรูปปั้นที่มองเห็นความทุกข์ของผู้คนจากที่สูง การตัดสินใจเสียสละสิ่งมีค่าของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยมีนกนางแอ่นเป็นผู้ส่งต่อความเมตตา กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์และการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กวัย 7 ปีขึ้นไปที่เริ่มเรียนรู้เรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับผู้ใหญ่ นิทานนี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีจิตใจงดงาม และเป็นเครื่องเตือนใจให้เรามองเห็นคุณค่าของการเสียสละและความเมตตาในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน นิทาน “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าสำหรับเด็ก แต่เป็นตำนานแห่งความดีงามที่ควรส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยอาคารสูงและถนนคดเคี้ยว มีรูปปั้นเจ้าชายองค์หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเสาสูงกลางจัตุรัส รูปปั้นนั้นงดงามจนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่างพากันหยุดมองด้วยความชื่นชม เจ้าชายองค์นั้นถูกปิดทองทั่วทั้งร่าง ดวงตาทำจากไพลินสีฟ้า และที่ด้ามดาบมีทับทิมสีแดงสดประดับอยู่ ทุกคนเรียกพระองค์ว่า “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” เพราะเชื่อว่าพระองค์คงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและไม่เคยรู้จักความทุกข์เลยแม้แต่น้อย

ในยามกลางวัน แสงแดดส่องกระทบแผ่นทองบนร่างของเจ้าชายจนเปล่งประกายระยิบระยับ ส่วนในยามค่ำคืน แสงจันทร์ก็ช่วยขับให้รูปปั้นดูสง่างามราวกับเทวดา เด็ก ๆ จากโรงเรียนใกล้เคียงมักจะชี้ชวนกันดูรูปปั้นและพูดว่า “พระองค์ดูเหมือนเทวดาเลยเนอะ” แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมว่า “พระองค์คือความงามของเมืองนี้”

แต่อนิจจา….ไม่มีใครรู้เลยว่า ภายใต้ความงามนั้น เจ้าชายกำลังเฝ้ามองโลกด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเศร้า

คืนหนึ่ง มีนกนางแอ่นตัวหนึ่งบินผ่านเข้ามาในเมือง จริง ๆ แล้ว นกนางแอ่นควรจะบินไปอียิปต์กับเพื่อน ๆ แต่เมื่อมันบินมาถึงเมืองใหญ่แห่งนี้ มันเห็นรูปปั้นเจ้าชายตั้งเด่นอยู่ มันจึงเลือกเกาะใต้เท้าของรูปปั้นเพื่อนอนพักสักนิด

ในขณะที่นกนางแอ่นกำลังจะหลับ นกนางแอ่นรู้สึกถึงหยดน้ำเย็น ๆ ที่ตกใส่ตัวของมัน นกนางแอ่นจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า แต่มันก็ไม่เห็นเมฆหรือฝนเลย ครั้นเมื่อมันมองไปยังรูปปั้น มันกลับพบว่าเจ้าชายผู้งามสง่ากำลังร้องไห้

น้ำตาของเจ้าชายไหลลงมาตามแก้มทองคำอย่างช้า ๆ นกนางแอ่นตกใจจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงร้องไห้ล่ะ” เจ้าชายตอบด้วยเสียงเศร้าว่า “ตอนที่ฉันมีชีวิต ฉันอยู่ในวังจึงไม่เคยเห็นความทุกข์ของผู้คนเลย ฉันคิดว่าความสุขเป็นเรื่องปกติของทุก ๆ คน แต่ตอนนี้ เมื่อฉันได้เห็นเมืองจากที่สูง ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย และหัวใจของฉันก็ไม่อาจนิ่งเฉยต่อไปได้อีก”

เจ้าชายเล่าว่า พระองค์เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในบ้านหลังเล็ก ๆ เธอกำลังเย็บชุดให้ลูกสาวของขุนนาง แต่เธอไม่มีเงินซื้อยาให้ลูกชายที่ป่วยนอนตัวร้อนอยู่บนเตียง เจ้าชายอยากช่วยหญิงสาวคนนั้น พระองค์จึงขอให้นกนางแอ่นช่วยเอาทับทิมจากดาบของพระองค์ไปให้หญิงสาว

ในตอนแรก นกนางแอ่นลังเล เพราะมันต้องบินไปอียิปต์ แต่นกนางแอ่นรู้สึกสงสารเจ้าชายและหญิงสาวคนนั้น มันจึงตัดสินใจจิกและดึงทับทิมจากดาบของเจ้าชาย แล้วบินไปยังบ้านหลังหญิงสาว จากนั้น มันก็วางทับทิมไว้บนโต๊ะ แล้วบินวนรอบตัวลูกชายที่ป่วย เพื่อให้อากาศไหลเวียน เด็กชายจะได้หลับสบายขึ้น

เมื่อนกนางแอ่นบินกลับมาหาเจ้าชาย เจ้าชายได้ก็ขอให้มันอยู่ต่ออีกคืนหนึ่ง เพราะยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก

เจ้าชายเล่าว่า พระองค์เห็นชายหนุ่มนักเขียนที่ทั้งหนาวและอดอยาก เขาไม่มีเงินซื้อทั้งฟืนและอาหาร เจ้าชายจึงขอให้นกนางแอ่นช่วยเอาไพลินจากดวงตาของพระองค์ไปให้ชายหนุ่มคนนั้น

นกตกใจแต่ก็ทำตาม เมื่อนักเขียนหนุ่มได้รับไพลินจากนก เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจและมีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ต่อ

คืนถัดมา เจ้าชายขอให้นกนางแอ่นช่วยอีกครั้ง ในคราวนี้ เจ้าชายขอให้นกเอาไพลินจากตาอีกข้างไปให้เด็กชายที่ขายไม้ขีดไฟซึ่งกำลังร้องไห้เพราะทำไม้ขีดไฟตกลงไปในท่อระบายน้ำ

นกตกใจแต่ก็ทำตาม ซึ่งเมื่อมันบินกลับมา มันก็พบว่า เจ้าชายมองอะไรไม่เห็นแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องตาบอด แต่เจ้าชายก็ยังคงยืนอยู่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ความเสียสละของเจ้าชาย ทำให้นกนางแอ่นครุ่นคิด ในที่สุด นกนางแอ่นก็ตัดสินใจทำเรื่องที่สำคัญมาก ๆ นั่นก็คือ มันตัดสินใจอยู่กับเจ้าชาย โดยไม่คิดที่จะบินไปอียิปต์อย่างที่ควรจะเป็น

ในเวลาต่อมา เมื่ออากาศเริ่มหนาวจัด เจ้าชายทรงขอร้องให้นกนางแอ่นช่วยจิกเอาทองจากตัวของพระองค์ไปแจกจ่ายให้แก่คนยากจน นกนางแอ่นไม่พูดอะไร มันทำตามเจ้าชายอย่างสุดกำลัง และผู้คนที่ได้รับทองคำต่างก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในฤดูหนาวนั้น

แต่ความหนาวก็ทำให้นกนางแอ่นอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด นกนางแอ่นก็รู้ว่าตัวของมันกำลังจะตาย

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต นกนางแอ่นบินขึ้นไปหาเจ้าชายที่มันศรัทธา นกนางแอ่นจุมพิตเจ้าชายที่ริมฝีปาก แล้วมันก็ร่วงลงมาตายที่เท้าของรูปปั้นเจ้าชาย พร้อม ๆ กับหัวใจของเจ้าชายที่แตกสลายเพราะความเศร้าและความรักที่มีต่อเจ้านกน้อย

เช้าวันรุ่งขึ้น นายกเทศมนตรีเดินผ่านรูปปั้นเจ้าชาย พร้อมกับสมาชิกสภาเมือง พวกเขามองขึ้นไปที่รูปปั้นแล้วพูดว่า “รูปปั้นเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขดูทรุดโทรมเหลือเกิน” พวกเขาจึงสั่งให้รื้อรูปปั้นลง และนำไปหลอมในเตาหลอม แต่เปลวไฟไม่อาจหลอมหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้าชายได้ มันจึงถูกโยนทิ้งไว้กับร่างของนกนางแอ่นที่ตายอยู่ตรงนั้น

ณ สรวงสวรรค์ พระเจ้าตรัสกับเทวดาองค์หนึ่งว่า “จงนำสิ่งล้ำค่าที่สุดจากเมืองนั้นมาให้เรา” เมื่อเทวดากลับมา เทวดาได้นำหัวใจของเจ้าชายและร่างของนกนางแอ่นกลับมาด้วย เมื่อพระเจ้าเห็นเช่นนั้น พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าทำได้ดีมาก นกตัวนี้จะอยู่ในสวนสวรรค์ของเรา และเจ้าชายจะได้อยู่ในนครทองคำของเรา”

และแล้ว เรื่องราวของเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขกับนกนางแอ่นผู้เสียสละก็กลายเป็นตำนานแห่งความเมตตาที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของผู้คน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความเมตตาและการเสียสละคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
  • การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม
  • ความรักที่แท้จริงไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เกิดจากหัวใจที่บริสุทธิ์
Illustration of the Happy Prince, Oscar Wilde's fairy tale
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับผู้ใหญ่

นิทานสอนใจ: ฮันส์กับเจ้าของโรงสี – มิตรภาพที่ไม่เท่ากัน

นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นโดยนักเขียนชื่อก้องโลก ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) ผู้เปี่ยมด้วยสายตาเสียดสี และสำนวนที่ลึกซึ้งจนหลายคนเข้าใจผิดว่า “แค่เรื่องเด็ก”… แท้จริงแล้ว นิทานของเขา โดยเฉพาะ The Devoted Friend ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1888 คือบทเรียนแห่งชีวิต และคำถามที่สะเทือนใจคนอ่านทุกวัย

Wilde เริ่มเรื่องนี้ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา เขาให้สัตว์สามตัวในสวน ได้แก่ นกกระเรียน เม่น และหนูน้ำ (Water-rat) สนทนาถกเถียงกันเรื่อง “คุณธรรม” และ “มิตรภาพที่แท้จริง” ก่อนจะเล่าเรื่องราวของชายชื่อ “ฮันส์” กับเจ้าของโรงสีที่พูดจาอ่อนหวาน แต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ในหัวใจ

คุณจะเห็นว่า ทุกฉาก ทุกคำพูด ไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่อง แต่คือการตั้งคำถามถึง ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่ากัน ความดีที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ความอ่อนโยนที่กลายเป็นจุดอ่อน และมิตรภาพ…ที่ไม่มีความยุติธรรม

นิทานเรื่องนี้แต่งมาแล้วกว่า 135 ปี แต่ประเด็นยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อ่านจบแล้ว คุณอาจอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า เราเป็นเหมือนฮันส์ไหม หรือเราเป็นเจ้าของโรงสีที่อ้างคำว่าเพื่อนเพื่อใช้คนอื่นให้คุ้ม หรือแย่กว่านั้น…เราเคยเป็น “หนูน้ำ” ที่ตัดสินทุกอย่างจากความเชื่อของตัวเอง โดยไม่เข้าใจความจริงเลยสักนิด?

หวังว่าเรื่องเล่าก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้คุณ ๆ ได้แง่คิดดี ๆ นะครับ

วันหนึ่ง ในช่วงเย็นที่สระน้ำใหญ่ นกกระเรียนผู้เงียบขรึมเดินเข้ามาที่ริมสระ เม่นขดตัวอยู่บนดินพลางมองโลกผ่านหนามของตน หนูน้ำ (Water-rat) ออกมาเดินข้ามท่อนซุงด้วยท่าทีทะนง เมื่อหนูน้ำเห็นนกกระเรียนและเม่น มันจึงนั่งลงอย่างลำพอง

“ฉันคิดว่าคนดีควรเสียสละอย่างเต็มใจเพื่อเพื่อน” หนูน้ำเอ่ยขึ้น “เพื่อนที่ดีไม่ควรถามว่าจะได้อะไรตอบแทนจากความดี นั่นคือมิตรภาพที่แท้จริง”

นกกระเรียนไม่ได้ตอบอะไรในทันที มันได้แต่มองหนูน้ำด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่ฉันเคยฟัง อาจช่วยให้เธอเข้าใจ ‘ความดี’ และ ‘มิตรภาพ’ ได้ชัดเจนขึ้น”

หนูน้ำตกลงให้เล่าเรื่อง และเรื่องนั้นก็คือ “ฮันส์กับเจ้าของโรงสี”

……..

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน โลกช่างงดงามเหลือเกิน ดอกไม้แย้มบานทั่วแปลงสวนเล็กของลิตเติลฮันส์ ชูสีชมพู แดง และขาวเหมือนผ้าปักอันละเอียด เสียงนกขับขานจากพุ่มไม้ และผีเสื้อบินวนจากดอกหนึ่งสู่อีกดอกหนึ่ง

เจ้าของโรงสีผู้มั่งคั่งมาที่บ้านของฮันส์พร้อมตะกร้าใบใหญ่

“ฮันส์เพื่อนรัก” เขากล่าว “ดูสิว่าดอกไม้ของนายสวยเพียงใดในฤดูนี้ ขอดอกไม้สักช่อได้ไหม? ฉันอยากนำไปตกแต่งโต๊ะให้ภรรยาของฉันมีความสุข”

“ได้สิครับคุณฮิวจ์” ฮันส์ตอบ “ผมดีใจที่ดอกไม้เล็ก ๆ ของผมจะได้ทำให้คุณนายมีรอยยิ้ม”

เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าของโรงสีได้มายืมสิ่งต่าง ๆ จากฮันส์เป็นระยะ ทั้งกระถาง ปุ๋ย พลั่ว พร้อมกับคำว่า “เพื่อนแท้ย่อมช่วยเหลือกันได้เสมอ”

บางครั้ง เจ้าของโรงสีจะมาเยี่ยมฮันส์ พร้อมกับข้อเสนอใหม่ ๆ

“ฉันจะมอบล้อเกวียนเก่าของฉันให้เธอ เผื่อเธอจะเอาไปสร้างรถไว้ขนผลผลิต แต่ในฐานะเพื่อนที่ดี เธอช่วยฉันก่อนนะ ช่วยเอากระถาง 50 ใบใส่รถเข็น แล้วลากไปส่งที่โรงสีของฉันก่อน”

ฮันส์รับปาก แม้เขาจะต้องใช้เวลาทั้งวันในการนำกระถางไปส่ง แต่เขาก็ยินดีทำให้

ฮันส์ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือเจ้าของโรงสีทุกวัน จนไม่ได้วางแปลงสวนใหม่อย่างที่หวัง แต่เขาก็ยิ้มอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อว่า “ความดีคือสิ่งมีคุณค่า”

คืนหนึ่งฝนตกหนัก ลมพัดแรง และท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีเข้ม เจ้าของโรงสีนึกถึงล้อเกวียนที่เขาเคยให้ฮันส์ไว้เมื่อหลายเดือนก่อน แต่เขาต้องใช้ล้อเกวียนเพื่อขนของไปตลาดในวันพรุ่งนี้ เขาจึงเดินไปบ้านของฮันส์ แล้วเคาะประตูด้วยความรีบร้อน

“ฮันส์!” เขาตะโกน “ฉันมีเรื่องด่วน พรุ่งนี้ฉันต้องใช้ล้อเกวียนของฉัน อยากให้นายเอามันข้ามภูเขาไปไว้ที่โรงสีของฉันคืนนี้เลย”

“คืนนี้หรือครับ?” ฮันส์ถาม ขณะที่เปิดประตูและเห็นสายฝนเทอย่างต่อเนื่อง “ขอโทษนะครับคุณฮิวจ์ ฝนตกหนักมาก และทางก็ลื่น มันอันตรายนะครับ”

“เหลวไหล” เจ้าของโรงสีตะโกนกลับ “นายลืมไปหรือว่านายตกลงจะคืนมันแก่ฉันเมื่อฉันต้องการเพื่อนแท้ย่อมไม่ลังเลเมื่ออีกฝ่ายขอความช่วยเหลือนะ”

ฮันส์ก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าเถียง เขาสวมเสื้อกันฝนเก่า ๆ แล้วก้าวออกไปในความมืด พร้อมนำล้อเกวียนขึ้นรถลาก

กลางทาง มีลมกรรโชก ฮันส์เดินฝ่าความมืดอย่างมุ่งมั่น แต่ถนนเฉอะแฉะ น้ำท่วมขัง แล้วเขาก็ลื่นเสียหลัก

ล้อเกวียนหล่นจากรถลาก กระแทกหิน แล้วร่างของฮันส์ก็จมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยว

ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง และฝนยังก็ยังคงตกต่อไป

เช้าวันถัดมา เจ้าของโรงสีจิบกาแฟอย่างสบายใจ เขาเล่าเรื่องการเสียสละของฮันส์ให้ภรรยาฟังด้วยน้ำเสียงที่แฝงความภาคภูมิ

“เขาคือเพื่อนแท้ ยอมฝ่าฝนเพื่อนำล้อไปให้ฉัน แม้สุดท้ายเขาจะจมน้ำตาย…แต่ก็เป็นเพราะเขาทำหน้าที่ของคนดีอย่างสมบูรณ์”

ภรรยาไม่ได้กล่าวอะไร เธอแค่มองสามี ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ

……….

เมื่อนกกระเรียนเล่าเรื่องจบ หนูน้ำเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า:

“ฮันส์โง่เอง ไม่ใช่ความผิดของเพื่อนเขาหรอก ถ้าฮันส์ใช้สมองมากกว่านี้ เขาก็คงไม่มีต้องจมน้ำตาย ฉันไม่เห็นว่าจะได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้เลย” หนูน้ำกล่าว แล้วเดินจากไป

นกกระเรียนไม่พูดอะไร เม่นพลิกตัวและกลับสู่ความเงียบ เหลือเพียงเสียงน้ำกระเซ็นเบา ๆ และดอกไม้แห้งหนึ่งดอกที่ร่วงลงจากท้องฟ้า

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความดีที่ไม่มีขอบเขต อาจทำร้ายตัวเอง
  • มิตรภาพที่แท้จริงต้องมีความเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่าย
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูดหวาน ๆ