นิทานก่อนนอนเรื่อง “ลูกสัตว์ใจสู้” เป็นนิทานก่อนนอนสั้น ๆ ที่ผมแต่งไว้นานแล้ว ซึ่งในช่วงที่คนไทยทั้งประเทศ และเพื่อนทุก ๆ คนในโลก ต้องเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 ผมจึงอยากใช้นิทานเรื่องนี้ในการส่งกำลังใจให้กับทุก ๆ คน ทั้งหน่วยงานราชการของทุกประเทศ ทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุก ๆ คน รวมทั้งเพื่อนคนไทยและเพื่อนร่วมโลกที่กำลังช่วยกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามหน้าที่ของตนเอง วันไหนที่ใครเหนื่อย “เรา” จะเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือและให้กำลังใจกันและกัน จนกว่าเราจะชนะ สู้ไปด้วยกันนะครับ
นิทานเรื่อง ลูกสัตว์ใจสู้
หนูจี๊ด, แมวเหมียว, น้องต่าย, หมาโฮ่ง, ลิงจ๋อ, หมูอู๊ดและช้างจ้อยเป็นลูกสัตว์วัยประถมที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาล ก่อนถึงวันปีใหม่หนึ่งวัน ลูกสัตว์ทั้งเจ็ดนึกอยากจัดงานเลี้ยงเพื่อทำให้พ่อกับแม่ของพวกมันแปลกใจและมีความสุข แต่ด้วยความที่ลูกสัตว์ทั้งหมดยังเล็กอยู่ พวกมันจึงจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากนางฟ้า
ปกติแล้วนางฟ้าไม่ชอบเนรมิตอะไรให้ใครง่าย ๆ เมื่อลูกสัตว์ทั้งเจ็ดมาขอร้อง นางฟ้าจึงกำหนดเงื่อนไขให้พวกมันไปเก็บดอกไม้รูปหัวใจซึ่งเป็นดอกไม้หายากมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ลูกสัตว์ทั้งเจ็ดมุ่งมั่นอยากให้พ่อแม่มีความสุขในวันปีใหม่จริง ๆ พวกมันจึงตกลงและพร้อมเผชิญหน้ากับความยากลำบากต่าง ๆ ที่รออยู่
หลังจากที่เพื่อนรักทั้งเจ็ดออกเดินทางได้ไม่นาน เจ้าหมูอู๊ดตัวอ้วนก็เริ่มเหนื่อยจนเดินต่อไม่ไหว ลูกสัตว์ตัวอื่น ๆ ไม่อยากให้หมูอู๊ดยอมแพ้อะไรง่าย ๆ พวกมันจึงพูดให้กำลังใจจนหมูอู๊ดพร้อมสู้ต่อ จากนั้น ช้างจ้อยก็ใช้งวงคว้าหมูอู๊ดมาไว้บนหลังโดยมันตั้งใจจะให้เพื่อนรักนั่งพักจนกว่าจะหายเหนื่อย
เมื่อลูกสัตว์ทั้งเจ็ดเดินทางต่อไปได้อีกราวครึ่งชั่วโมง หนูจี๊ดซึ่งตัวเล็กกว่าเพื่อนก็เริ่มหมดแรงเพราะมันต้องซอยเท้าวิ่งตามเพื่อน ๆ อยู่ตลอดเวลา หนูจี๊ดหอบแฮ่ก ๆ ถึงขนาดเอ่ยปากขอกลับบ้าน แต่ลูกสัตว์ตัวอื่น ๆ อยากให้หนูจี๊ดอยู่สู้ต่อ พวกมันจึงพยายามให้กำลังใจจนหนูจี๊ดรู้สึกดีขึ้น แล้วช้างจ้อยก็ช่วยหนูจี๊ดอีกแรงด้วยการให้มันขึ้นขี่หลัง
ครั้นเมื่อขบวนของเจ็ดสหายเดินทางมาถึงบริเวณที่เต็มไปด้วยหินขรุขระ น้องต่ายกับเจ้าแมวเหมียวก็ถูกหินตำเท้าจนน้ำตาไหล พวกมันเจ็บเท้ามาก ลูกสัตว์ที่เหลือจึงช่วยกันให้กำลังใจ จากนั้น ช้างจ้อยก็อาสาให้น้องต่ายกับแมวเหมียวขึ้นไปนั่งบนหลังเช่นเดียวกับหนูจี๊ดและเจ้าหมูอู๊ด
ขบวนของลูกสัตว์ทั้งเจ็ดเดินทางต่อไปอีกพักใหญ่ จนกระทั่งเจ้าหมาโฮ่งกับลิงจ๋อเริ่มหมดแรงถึงกับเดินโซเซ หมาโฮ่งกับลิงจ๋อเหนื่อยมาก ช้างจ้อยจึงใช้งวงคว้าตัวหมาโฮ่งกับลิงจ๋อขึ้นมาไว้บนหลังของมันด้วย
ช้างจ้อยยอมแบกน้ำหนักของเพื่อน ๆ พร้อมกับเดินขึ้นเขาต่อไปด้วยความมุมานะ ในขณะเดียวกัน หนูจี๊ด, แมวเหมียว, น้องต่าย, หมาโฮ่ง, ลิงจ๋อ, หมูอู๊ดก็ช่วยกันส่งเสียงให้กำลังใจช้างจ้อยไม่ยอมหยุด แต่จนแล้วจนรอด ขบวนของพวกมันก็ยังไม่พบดอกไม้รูปหัวใจเสียที
เมื่อช้างจ้อยเดินฝ่าทางชัน ๆ ขึ้นไปจนถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ในที่สุด ช้างจ้อยก็หมดแรงและบอกกับเพื่อน ๆ ว่ามันคงเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว
ทันทีที่ลูกสัตว์ที่เหลือได้ฟังคำของช้างจ้อย พวกมันก็รีบลงจากหลังของเพื่อนรัก แล้วตรงรี่เข้าแบกช้างจ้อยคนละไม้ละมือเพื่อให้เพื่อนของพวกมันได้พักเหนื่อยบ้าง หนูจี๊ดช่วยแบกงวงของช้างจ้อย ฝ่ายแมวเหมียว, หมาโฮ่ง, น้องต่ายและลิงจ๋อต่างแบ่งหน้าที่กันแบกขาคนละข้าง ส่วนเจ้าหมูอู๊ดตัวอ้วนก็ทุ่มพลังสุดชีวิตยกพุงของช้างจ้อยซึ่งเป็นส่วนที่หนักที่สุดโดยไม่ปริปากบ่น
เมื่อลูกสัตว์ตัวน้อยผนึกกำลังช่วยกันแบกช้างจ้อยเดินทางขึ้นเขาไปอีกเพียงครู่เดียว พวกมันก็ได้พบกับทุ่งดอกไม้รูปหัวใจที่บานสะพรั่งรอรับลูกสัตว์ใจสู้ทั้งเจ็ดราวกับเป็นทุ่งดอกไม้แห่งความฝัน
ถ้าลูกสัตว์เจ็ดสหายขาดความมุมานะหรือขาดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พวกมันก็คงไม่มีโอกาสได้พบสวนดอกไม้หายากอย่างที่เห็นนี้เป็นแน่ ลูกสัตว์ทั้งเจ็ดส่งเสียงร้องไชโยด้วยความดีใจในความสำเร็จ จากนั้น พวกมันก็พากันเก็บดอกไม้แล้วรีบนำไปมอบให้แก่นางฟ้าทันที
เมื่อนางฟ้าได้รับดอกไม้รูปหัวใจ นางฟ้าก็ส่งยิ้มให้ลูกสัตว์ทั้งเจ็ดพร้อมกับจัดการเนรมิตงานเลี้ยงสุดวิเศษที่ประดับประดาด้วยดอกไม้แสนสวย, ลูกโป่งหลากสี, สายรุ้งตกแต่ง, แสงเทียนวิบวับ, อาหารรสเลิศและของขวัญสารพัดชนิด
นางฟ้ารู้สึกชื่นชมลูกสัตว์ตัวน้อยทุกตัวที่อดทนต่อสู้กับความยากลำบากเพื่อตอบแทนความรักของพ่อแม่ที่สู้ทำงานหนักเพื่อลูก ๆ อย่างพวกมันมาตลอดทั้งปี
และแล้ว…ลูกสัตว์ทั้งเจ็ดก็สามารถพาพ่อแม่ของพวกมันมางานเลี้ยงสุดวิเศษในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้สมดังใจปรารถนา
………………………………………………………
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับนิทานก่อนนอนสั้น ๆ ที่ให้ข้อคิดเรื่องนี้ หวังว่าคงชอบกันนะครับ
เมื่อพิจารณานิทานเรื่องนี้ดี ๆ จะพบว่า นอกจากเนื้อเรื่องจะมองเป็นนิทานสำหรับเด็กได้แล้ว เนื้อเรื่องยังสามารถนำมาเทียบเคียงกับชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันได้ด้วย กล่าวคือ ถ้าเราเปรียบช้างจ้อยเป็นเหมือนคุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์ (รวมทั้งภาครัฐ) ที่กำลังทำงานหนักในการต่อสู้กับไวรัสโคโรน่า ลูกสัตว์ตัวอื่น ๆ ก็อาจเปรียบได้กับพวกเราประชาชนทุกคน ณ วันนี้ ช้างจ้อยกำลังแบกรับน้ำหนักของลูกสัตว์ตัวอื่น ๆ เพื่อเดินทางมุ่งสู่เป้าหมาย คือ ระงับการระบาดของโควิด 19 ให้ได้ พวกเราจึงควรทำเหมือนกับที่ลูกสัตว์ทำ คือ ทำตามคำขอร้อง ด้วยการกักตัวอยู่บ้าน เว้นระยะห่างจากผู้อื่น ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ ไม่สัมผัสหน้าของตนเอง ใช้หน้ากากหากต้องไปยังที่ชุมชน ฯลฯ รวมทั้งให้กำลังใจกับทุกคนที่แบกรับภาระสำคัญเพื่อพวกเรา และหากจำเป็นก็ต้องพร้อมสนับสนุนช้างจ้อยในยามที่ช้างจ้อยหมดแรง
ผมหวังว่า พวกเราทุกคนจะไม่ปล่อยให้คนทำงานหรือใครคนใดคนหนึ่งต้องโดดเดี่ยว เราจะเป็นกำลังให้กัน สู้ไปด้วยกัน เกื้อหนุนกัน แล้วเราจะต้องผ่านสถานการณ์โควิด 19 ไปด้วยกันให้ได้
ขอให้คุณพระคุ้มครองทุกคนนะครับ
ดีมากๆเลยคับ
LikeLike
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ สู้ไปด้วยกันครับ
LikeLike