Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, วรรณกรรมคลาสสิก, วรรณกรรมเล่าใหม่, เรื่องเล่าก่อนนอนผู้ใหญ่

80 วันรอบโลก – เรื่องเล่าก่อนนอนแนวผจญภัย | อ่านเพลินก่อนนอน

80 วันรอบโลก (Around the World in 80 Days) คือวรรณกรรมเยาวชนระดับโลกที่เขียนโดย ฌูล แวร์น (Jules Verne) นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวรรณกรรมไซไฟ” หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1872 และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ด้วยเนื้อหาที่สนุก เข้มข้น และเปี่ยมแรงบันดาลใจจากการเดินทางรอบโลกในยุคที่เทคโนโลยียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

แวร์นใช้เรื่องราวของ ฟีเลียส ฟ็อก สุภาพบุรุษผู้เคร่งครัดในระเบียบ และ ปาสปาร์ตู ผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ ร่วมเดินทางข้ามทวีปเพื่อตามให้ทันเดิมพัน 20,000 ปอนด์ ระหว่างทาง พวกเขาต้องเผชิญความล่าช้า พายุ อุปสรรค และการไล่ล่าจากสารวัตรฟิกซ์ ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นโจรปล้นธนาคาร นอกจากนี้ยังมีตัวละครหญิงชาวอินเดียชื่อ อัลดา (จากชื่อเดิม Aouda) ซึ่งฟ็อกช่วยไว้จากพิธีกรรมโบราณกลางป่า

ในเวอร์ชันที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เราได้ทำการ เรียบเรียงใหม่ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทั้งที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงานและกลุ่มครอบครัวที่ต้องการอ่านวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบ เรื่องเล่าก่อนนอน

80 วันรอบโลก ฉบับ นิทานนำบุญ คือการเปิดประตูเข้าสู่วรรณกรรมต้นฉบับ ผู้อ่านที่สนใจควรหาวรรณกรรมฉบับดั้งเดิมมาอ่านเพิ่ม เพราะมีรายละเอียดมากกว่า มีภาษาที่งดงามกว่า และมีมุมมองจากยุคปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งอาจสะท้อนภาพของโลกต่างยุคได้ดี

กาลครั้งหนึ่งในกรุงลอนดอน มีสุภาพบุรุษผู้เคร่งครัดในระเบียบชื่อว่า ฟีเลียส ฟ็อก ทุกเช้า เขาจะตื่นตรงเวลา ดื่มชาตามกิจวัตร และก้าวออกจากบ้านในจังหวะที่นาฬิกาพกบอกเวลาแบบพอดิบพอดี เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเรื่องจุกจิก แต่รักในความเที่ยงตรง ราวกับชีวิตขับเคลื่อนด้วยเข็มนาฬิกา

ยามบ่ายของวันหนึ่ง ฟ็อกได้ไปที่ รีฟอร์มคลับ ซึ่งเป็นสโมสรของบรรดานักคิดผู้รักการสนทนาและการเดิมพัน วันนั้น มีเสียงฮือฮาเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์เรื่อง “ทางรถไฟสายใหม่ในอินเดียจะทำให้การเดินทางรอบโลกเร็วขึ้นมาก” ฟ็อกฟังคนอื่นคุยอย่างเงียบ ๆ แล้วเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ถ้าอย่างนี้ การเดินทางรอบโลก…ต้องใช้เวลาสักกี่วัน?”

มีเสียงหนึ่งตอบเขาว่า “อย่างเก่งที่สุด ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 80 วัน…ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเลย”

ฟ็อกยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่า “ถ้าเช่นนั้น ผมขอเดิมพัน…ผมจะเดินทางรอบโลกภายใน 80 วันให้สำเร็จ” สมาชิกในสโมสรต่างพากันหัวเราะ บางคนบอกว่าเขาบ้า บางคนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฟ็อกยังยืนยัน “เรามาเดิมพันกันสัก 20,000 ปอนด์ดีไหม”

เมื่อกลับถึงบ้าน ฟ็อกไม่รีรอใด ๆ เขาหันไปพูดกับผู้ช่วยคนใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา ชายคนนี้ชื่อว่า ปาสปาร์ตู เป็นคนจิตใจดี มีอารมณ์ขัน และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เก็บกระเป๋าเถอะ” ฟ็อกพูด “เราจะออกเดินทางทันที”

“ออกเดินทาง…ตอนนี้เลยหรือครับ?” ปาสปาร์ตูเบิกตาโต ฟ็อกพยักหน้า “ใช่ เราต้องไม่เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว เพราะเวลา…คือสิ่งมีค่าที่สุด”

และแล้ว การเดินทางเริ่มต้นขึ้นทันที ทั้งสองโดยสารรถไฟจากลอนดอนไปยังเมืองโดเวอร์ ข้ามเรือสู่ฝรั่งเศส แล้วต่อรถไฟผ่านปารีสสู่ตูริน ประเทศอิตาลี

ในรถไฟ ปาสปาร์ตูถามอย่างไม่มั่นใจว่า “คุณฟ็อก เราจะไปที่ไหนกันแน่ครับ?”

“บรินดีซี” ฟ็อกตอบเรียบ ๆ “เมืองที่เราจะลงเรือกลไฟต่อไปยังบอมเบย์ ประเทศอินเดีย”

ปาสปาร์ตูได้แต่มองออกนอกหน้าต่าง รถไฟพุ่งผ่านทุ่งหญ้ากว้าง เมืองเล็ก และหมู่บ้านแสนเงียบสงบ เขาไม่เคยไปไกลขนาดนี้มาก่อน หัวใจของเขาจึงเต้นแรง เหมือนจะบอกว่า…ชีวิตกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เมื่อถึงฝรั่งเศสและอิตาลี พวกเขาพบเจอกับพายุ ฝน และทางรถไฟที่ต้องซ่อมแซม แต่ฟ็อกไม่เคยบ่น เขายังคงดูนาฬิกาพกเรือนเก่าอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า “ทุกนาทีล้วนมีค่า”

เมื่อมาถึงบรินดีซี ทั้งคู่ขึ้นเรือกลไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังบอมเบย์ เมืองหลวงทางตะวันตกของประเทศอินเดีย กลางคืนบนดาดฟ้าเรือ ปาสปาร์ตูยืนมองดวงดาวที่พร่างพรายอยู่ทั่วฟากฟ้า ลมทะเลพัดเย็นจนเสื้อคลุมปลิวไปมาตามจังหวะ

เขาหลับตา พึมพำเบา ๆ กับตัวเองว่า…“ขอให้เราทำสำเร็จเถอะนะ… การเดินทาง 80 วันรอบโลก”

เมื่อฟีเลียส ฟ็อกและปาสปาร์ตูเดินทางถึงเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย กลิ่นเครื่องเทศตลบอบอวลอยู่ทุกทิศทาง เสียงรถลาก เสียงม้า และเสียงผู้คนเจรจาซื้อขายดังไม่หยุด ฟ็อกยังคงเงียบขรึม ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เขาดูนาฬิกา และพึมพำกับตัวเองว่า “ไปกัลกัตต้า…ต่อเรือสู่อีสเทิร์นเอเชีย”

แต่เมื่อไปถึงสถานีรถไฟ ข้าราชการในชุดขาวแจ้งข่าวไม่คาดฝัน “ขออภัยครับ…รางรถไฟยังสร้างไม่เสร็จในบางช่วง ท่านจะไปถึงกัลกัตต้าไม่ได้ในตอนนี้”

ปาสปาร์ตูอุทาน “ถ้าอย่างนั้น…เราจะเดินทางต่อยังไงล่ะครับ?” ฟ็อกไม่ตอบทันที เขาเพียงนิ่งคิด แล้วเดินตรงไปยังตลาดที่มีช้างให้เช่า

หน้าตลาด มีช้างตัวโตชื่อ “คีโอนี” ยืนอยู่อย่างสง่างาม ฟ็อกจ่ายเงินทันที พร้อมจ้างควาญช้างที่ชื่อว่า “กีซาล” จากนั้น ทั้งสามคนก็ออกเดินทางฝ่าแดดร้อน ผ่านป่ารก ผ่านต้นไทรใหญ่ และแม่น้ำที่ใสเย็น มุ่งหน้าไปทางตะวันออก

กลางป่า มีเสียงนกและเสียงลิงดังแว่วมาเป็นระยะ ลมพัดใบไม้ไหว ปาสปาร์ตูตื่นเต้น มือของเขาลูบเบา ๆ ที่คอคีโอนีแล้วพูดว่า “เจ้านี่น่ารักจังเลย”

แต่แล้ว…ก็มีเสียงกลองดังมาแต่ไกล เสียงโห่ร้อง และเสียงเครื่องเป่าดังขึ้นเรื่อย ๆ

ควาญช้างกีซาลขมวดคิ้ว “มีพิธีกรรมบางอย่างเกิดขึ้นที่วัดร้างข้างหน้า…บางทีพวกเขากำลังประกอบพิธีบูชายัญ”

เมื่อพวกเขาแอบมองจากพุ่มไม้ ก็เห็นกลุ่มคนพื้นเมืองรายล้อมอยู่รอบหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้สวมชุดส่าหรีสีขาว หลับตาอยู่กลางพิธี “เธอชื่อ อัลดา” กีซาลกระซิบ “เธอถูกบังคับให้ตามสามีที่ล่วงลับเข้าสู่ไฟมรณะ…”

ปาสปาร์ตูอุทาน “เราต้องช่วยเธอ” ฟ็อกไม่พูด เขาพยักหน้า แล้ววางแผนลอบเข้าไปช่วยในช่วงกลางคืน

ยามค่ำ ท้องฟ้าสีดำสนิท ดาวประดับอยู่เบื้องบน ปาสปาร์ตูแอบคลานเข้าไปแทนที่นักบวชคนหนึ่งในพิธี ส่วนฟ็อกรอเวลาอยู่ด้านหลังวัด

เมื่อถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนเปลวไฟจะถูกจุด ปาสปาร์ตูลุกขึ้นอุ้มอัลดา แล้ววิ่งเต็มฝีเท้า ฝูงชนแตกฮือ เสียงตะโกนลั่นวัด ฟ็อกกระโดดขึ้นหลังคีโอนี พร้อมปาสปาร์ตูและอัลดา แล้วช้างก็กระโจนฝ่าความมืดด้วยฝีเท้าที่แข็งแรง

เสียงไล่หลังและกลองเบาลงเรื่อย ๆ ในขณะที่คีโอนีวิ่งเข้าสู่แสงแรกของยามเช้า อัลดาน้ำตาคลอ เธอกล่าวแบบคนเสียขวัญว่า “ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้…ฉันจะเดินทางไปกับคุณ ไม่ว่าจะต้องไปที่ใด”

ฟ็อกเพียงพยักหน้า ส่วนปาสปาร์ตูยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา

การเดินทางที่เริ่มด้วยผู้ชายสองคน บัดนี้มีผู้ร่วมทางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง… และบางที หัวใจที่เคยเงียบงันก็เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นทีละน้อยโดยไม่อาจอธิบายได้

หลังจากช่วยชีวิตอัลดาออกจากพิธีบูชายัญได้อย่างหวุดหวิด ฟีเลียส ฟ็อก ปาสปาร์ตู และอัลดา ก็เดินทางต่อไปยังเมืองฮ่องกง เมืองท่าซึ่งเต็มไปด้วยเรือสำเภา เสียงระฆังดังจากร้านค้า และกลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยฟุ้งบนถนน

ฟ็อกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาดูนาฬิกาเป็นระยะ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เราต้องขึ้นเรือ คาร์นาติก เพื่อไปโยโกฮามาให้ทันวันพรุ่งนี้”

แต่เมื่อมาถึงบริษัทเรือ กลับพบว่ามีพายุเข้า และเรือจะออกคืนนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้

ฟ็อกรีบกลับโรงแรมเพื่อเก็บของ ส่วนปาสปาร์ตูซึ่งคิดว่าฟ็อกขึ้นเรือไปแล้ว ก็วิ่งขึ้นเรือ คาร์นาติกโดยไม่รู้ว่าเจ้านายและอัลดายังมาไม่ถึง

เมื่อฟ็อกกลับมาถึงท่าเรือ เขาเห็นเรือออกไปแล้ว พร้อมผู้ช่วยของเขาที่อยู่บนเรือลำนั้น

แทนที่จะสิ้นหวัง ฟ็อกกลับหันไปเช่าเรือเล็กชื่อ แทงกาแดร์ แล้วลงเรือไม้ฝ่าคลื่นลมในคืนเดือนมืด เพื่อไล่ตามเรือใหญ่สู่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น

อัลดานั่งเงียบอยู่ข้างฟ็อก เธอมองบุรุษผู้นิ่งเฉย แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรค สายลมพัดปลายผมของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอเอ่ยถามด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า “คุณยอมเสี่ยงขนาดนี้ เพียงเพื่อไม่ให้เสียเวลา…หรือเพื่อช่วยคนที่คุณห่วงใยกันแน่?”

ฟ็อกยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบเรียบ ๆ ว่า “เวลาเป็นสิ่งมีค่า…แต่บางคนที่ร่วมเดินทางก็มีค่ามากกว่าเวลาเสียอีก”

เมื่อถึงโยโกฮามา เมืองแห่งโคมแดง เสียงเครื่องดนตรีที่เรียกว่าซามิเซ็น และรอยยิ้มของชาวญี่ปุ่น ฟ็อกกับอัลดารีบเดินหาเบาะแสของปาสปาร์ตู จนพบว่า…ผู้ช่วยของเขากำลังแสดงเป็นตัวตลกอยู่ในโรงละครสัตว์

เมื่อฟ็อกกับอัลดาไปที่โรงละครสัตว์ พวกเขาพบว่าปาสปาร์ตูกำลังแสดงเป็นตัวตลกในฉากสัตว์ประหลาด เพื่อหาเงินกลับบ้าน

เมื่อปาสปาร์ตูเห็นฟ็อก เขาก็ตะลึงจนน้ำตาไหล พร้อมกับพูดออกมาว่า “เจ้านาย ผมดีใจที่ยังได้เจอทุกคนอีกครั้ง”

ฟ็อกไม่พูดอะไร เขาแค่ยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มดูนาฬิกาของเขา

การเดินทางยังต้องดำเนินต่อไป แม้อุปสรรคยังมีอีกมาก แต่ความผูกพันของผู้ร่วมทางทั้งสาม ก็แน่นแฟ้นและแข็งแกร่งจนไม่น่าจะแพ้อะไรไปง่าย ๆ

หลังจากเดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น ฟีเลียส ฟ็อก, ปาสปาร์ตู และอัลดา ได้โดยสารเรือชื่อ เจนเนอรัล แกรนท์ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่งสู่ฝั่งอเมริกา

ทันทีที่ถึงเมืองซานฟรานซิสโก พวกเขาก็กระโจนขึ้นรถไฟสายข้ามทวีป ด้วยเป้าหมายคือเมืองนิวยอร์ก เพื่อขึ้นเรือกลับอังกฤษให้ทันกำหนด

แต่การเดินทางในทวีปอเมริกาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด พวกเขาต้องเผชิญกับพายุหิมะ หมอกหนา และควายป่านับร้อยตัวที่วิ่งขวางทางรถไฟกลางทุ่ง รถไฟต้องจอดชั่วคราว ปาสปาร์ตูหายใจแรงเมื่อเห็นฝูงสัตว์โถมมาแบบไม่หยุดยั้ง

“เราต้องรอ…ทุกชีวิตมีสิทธิ์เดินทางเหมือนกัน” ฟ็อกพูดเรียบ ๆ ขณะมองเวลาที่เดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง

และเมื่อรถไฟกลับมาแล่นต่อ จู่ ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น “ปัง! ปัง!” กลุ่มโจรพุ่งขึ้นรถไฟกลางสายฝน พวกเขาพยายามปล้นของมีค่าและข่มขู่ผู้โดยสาร

ฟ็อกคว้าร่มไม้เก่าขึ้นมา “หลบอยู่ด้านหลังฉันนะอัลดา” เขาตะโกน ปาสปาร์ตูปีนขึ้นหลังคารถไฟ วิ่งฝ่าลมและความกลัว ไล่ตามโจรจนตกลงข้างทาง

แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ความกล้าหาญและสามัคคีของผู้โดยสารช่วยกันสกัดโจรเอาไว้ได้ ทว่าหลังเหตุการณ์สงบ…ปาสปาร์ตูกลับหายตัวไปอีกครั้ง

แม้เวลาจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่วัน แต่ฟ็อกก็ตัดสินใจกระโดดลงจากรถไฟ ฝ่าหิมะและความมืดเพื่อออกตามหาเพื่อน เวลาเป็นสิ่งมีค่า แต่เพื่อนก็มีค่าไม่แพ้เวลา หลังจากความพยายามอย่างเต็มที่ ในที่สุด ฟ็อกก็พบปาสปาร์ตูถูกขังอยู่ในกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ และเขาก็ช่วยปาสปาร์ตูให้รอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด แต่รถไฟเที่ยวสุดท้ายที่จะไปนิวยอร์ก…ได้ออกเดินทางไปเสียแล้ว!

ท่ามกลางความสิ้นหวัง แต่ฟ็อกกลับไม่ยอมแพ้ เขารีบหาเรือเล็ก เพื่อใช้เดินทางลัดเลาะผ่านแม่น้ำและเส้นทางในป่า จนในที่สุด เขาก็พาอัลดาและปาสปาร์ตูมาถึงนิวยอร์กได้สำเร็จ

แต่ความท้าทายยังไม่จบ เพราะเรือกลไฟลำสุดท้ายที่มุ่งสู่อังกฤษได้ออกจากท่าไปแล้ว ปาสปาร์ตูถึงกับหมดแรง “พลาดแล้ว…ยังไงเราก็คงไปไม่ทัน”

แต่ฟ็อกกลับตรงดิ่งไปหาเรือขนถ่านลำหนึ่งชื่อ The Henrietta เขาขอเช่าเรือทั้งลำ พร้อมขอเปลี่ยนเส้นทางเดิมให้มุ่งหน้าสู่ลิเวอร์พูลทันที

“แต่เรือของฉันไม่ได้มีไว้สำหรับผู้โดยสาร” กัปตันร้อง ฟ็อกตอบเรียบ ๆ “ถ้าอย่างนั้น…ก็เปลี่ยนมันซะ” พร้อมจ่ายทองคำจำนวนมหาศาล

เรือแล่นท่ามกลางพายุ มหาสมุทรแอตแลนติกเต็มไปด้วยคลื่นลูกใหญ่ มันต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมากกว่าที่คิด และในช่วงกลางของการเดินทาง…เชื้อเพลิงก็หมด!

ในภาวะวิกฤต ฟ็อกนิ่งคิด แล้วสั่งด้วยเสียงแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่มีถ่านหิน…ก็ใช้ไม้บนเรือแทน”

ปาสปาร์ตูตกใจ “หมายถึง ให้รื้อเสาไม้ พื้นเรือ แล้วต้มเป็นไอน้ำหรือครับ?”

ฟ็อกพยักหน้า “เราต้องแล่นต่อไปให้ถึง แม้จะต้องแล่นด้วยหัวใจแทนเครื่องจักร”

ไม้บนเรือค่อย ๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือ แต่เรือก็ยังแล่นไปข้างหน้า จนในที่สุด…เรือก็เทียบท่าที่ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ในช่วงเช้ามืด

ฟ็อกรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟ เพื่อตรงกลับลอนดอนซึ่งเป็นจุดหมายให้ทัน แต่ที่สถานีรถไฟ มีเสียงหนึ่งตะโกนลั่นว่า “คุณฟ็อก! ผมขอจับคุณในนามของกฎหมาย”

สารวัตรฟิกซ์ซึ่งเป็นตำรวจปรากฏตัวขึ้น พร้อมหมายจับเรื่องปล้นธนาคาร แม้ทุกคนจะอธิบายว่าเขาจับผิดคน แต่ฟ็อกก็ถูกควบคุมตัวไว้ชั่วคราว และเวลาก็ยังคงเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด

หลังจากผ่านอุปสรรคมากมาย ฟีเลียส ฟ็อกก็ได้รับข่าวดีว่า ตำรวจที่ลอนดอนจับโจรตัวจริงได้แล้ว เขาถูกปล่อยตัวทันที และเขาก็รีบขึ้นรถไฟกลับบ้านด้วยหัวใจที่ยังพอมีหวัง

แต่เมื่อฟ็อกมาถึงลอนดอน นาฬิกาในบ้านบอกเวลา 20 นาฬิกา 47 นาที ของวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม

ตามเงื่อนไขการเดิมพัน เขาต้องกลับถึง สโมสรรีฟอร์มคลับ ภายในเวลา 20 นาฬิกา 45 นาที ของวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม ฟ็อกนิ่งเงียบ ดูเหมือนเขาจะสายไปแล้ว หนึ่งวันกับสองนาที

ฟ็อกไม่พูดอะไร เขาถอดหมวกอย่างสงบ แล้วนั่งลงข้างนาฬิกาพกที่เคยพาเขาท่องโลก ปาสปาร์ตูได้แต่นั่งเงียบอยู่มุมห้อง ในใจมีเพียงประโยคเดียว “เรามาช้าเกินไป…”

เช้าวันรุ่งขึ้น… บรรยากาศยังเงียบเหมือนเดิม แต่เมื่อปาสปาร์ตูหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เขากลับต้องเบิกตาโพลง

“หนังสือพิมพ์ระบุว่า วันนี้คือ วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม

เขาหยิบหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่มีอยู่มาดู วันที่ในนั้นตรงกันหมด “เดี๋ยวก่อน…เราคิดผิด” เขาร้องอย่างตกใจ “คุณฟ็อกครับ เรากลับถึงลอนดอน ทันเวลา…มันไม่ได้ช้าเกินไปอย่างที่เราคิด”

ฟ็อกหันมา สีหน้าสงสัย

ปาสปาร์ตูจึงรีบอธิบายว่า “ตอนที่เราเดินทางจากตะวันออกไปตะวันตก เราเดินตามแสงอาทิตย์ทุกวัน เวลาในแต่ละวันของเราถูก ‘ยืดออก’ ทีละนิด โดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อครบ 80 วัน…เราจึงได้เวลาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งวันเต็ม ๆ”

ฟ็อกนิ่งไปครู่หนึ่ง…แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ถ้าวันนี้ยังเป็นวันเสาร์ และตอนนี้เพิ่ง 8 นาฬิกา เรายังมีเวลาเหลืออีก 12 ชั่วโมงกับ 45 นาทีนี่นา”

ฟ็อกหยิบหมวก หยิบไม้เท้า และออกจากบ้านอย่างไม่รอช้า

เมื่อฟ็อกเดินเข้าสู่สโมสรรีฟอร์มคลับ เสียงนาฬิกากลางห้องก็ดังขึ้นพอดี “ติ๊ง…ติ๊ง…” นาฬิกาบอกเวลา 20 นาฬิกา 45 นาที ของวัน เสาร์ที่ 21 ธันวาคม

เสียงคนในสโมสรเฮลั่น “เขามาทันเวลาจริง ๆ”

ในที่สุด ฟีเลียส ฟ็อกก็ได้รับรางวัลจากการเดิมพัน

หลังจาก 80 วันแห่งการเดินทาง ฟีเลียส ฟ็อกได้กลับมาสู่บ้านของเขาอีกครั้ง แต่ในบ้านหลังนั้น คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเดิม วันนี้ เขามีปาสปาร์ตู ผู้ซื่อสัตย์คอยรินชาให้ด้วยรอยยิ้ม เขามีอัลดาหญิงสาวผู้เคยเกือบสูญเสียทุกสิ่ง คอยอยู่เป็นกำลังใจให้เขา ดังนั้น สิ่งที่เขาได้รับจากการเดินทาง 80 วันรอบโลก จึงไม่ใช่แค่เงินเดิมพัน แต่คือชีวิตที่ได้รับการเติมเต็มด้วยความรักจากคนที่อยู่เคียงข้างและหัวใจของตัวเองที่กล้าหาญแต่อ่อนโยนกว่าเดิม

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป

นิทานอีสปสอนใจเรื่อง หมาจิ้งจอกกับพวงองุ่น | นิทานก่อนนอนแสนสนุก

นิทานอีสปเรื่องหมาจิ้งจอกกับพวงองุ่น เป็นนิทานก่อนนอนยอดนิยมที่เล่าขานกันมายาวนานทั่วโลก นิทานสั้น ๆ เรื่องนี้ไม่เพียงสนุกและเข้าใจง่าย แต่ยังแฝงข้อคิดสอนใจลึกซึ้งให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการยอมรับความจริง และการไม่หลอกตัวเองเมื่อผิดหวัง เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่กำลังมองหา นิทานสอนใจสำหรับเด็ก เพื่ออ่านให้ลูกฟังก่อนนอน หรือใช้ประกอบการเรียนรู้ในห้องเรียน นิทานเรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งนิทานที่ไม่ควรพลาดในคลังนิทานของคุณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าแห่งหนึ่ง ในวันที่มีแสงแดดแผดเผา มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินหาของกินเหมือนเช่นทุกวัน หมาจิ้งจอกเดินวนไปเวียนมาอยู่หลายชั่วโมง แต่มันก็ยังไม่พบอะไรที่สามารถกินได้เลย หมาจิ้งจอกหิวยิ่งกว่าหิว แถมมันยังกระหายน้ำจนแทบจะหมดแรงไปกองอยู่กับพื้น

แต่แล้วจู่ ๆ หมาจิ้งจอกก็มองเห็นต้นองุ่น ที่มีพวงองุ่นห้อยลงมาจากเถาไม้ใหญ่ พวงองุ่นสีม่วงเข้มที่สุกงอม เปล่งประกายเหมือนอัญมณีที่แวววาวภายใต้แสงแดด

“โอ้… นั่นมันองุ่นม่วงแสนหวานนี่นา!” สุนัขจิ้งจอกคิดในใจ มันจ้องมองพวงองุ่น แล้วตัดสินใจทันทีว่า “วันนี้ฉันจะได้กินองุ่นอร่อย ๆ สักที!”

เมื่อคิดเช่นนั้น มันจึงรีบสาวเท้าไปที่ต้นองุ่น แล้วกระโดดขึ้นไปงับองุ่นอย่างสุดแรงเกิด แต่เนื่องจากพวงองุ่นอยู่สูงและแกว่งไกวไปมา หมาจิ้งจอกจึงงับองุ่นไม่สำเร็จ

หมาจิ้งจอกพยายามกระโดดงับอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง มันพยายามกระโดดให้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น แต่จนแล้วจนรอด มันก็ยังงับองุ่นไม่ได้สักที

“อีกนิดเดียว… แค่กระโดดให้สูงขึ้นอีกนิดเดียว!” สุนัขจิ้งจอกพูดกับตัวเอง

แม้หมาจิ้งจอกจะเริ่มขาสั่นเพราะหมดแรง แถมยังหอบแฮ่ก ๆ ด้วยความเหนื่อย แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ มันกระโดดอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง แต่มันก็ยังงับองุ่นไม่ได้

หลังจากที่หมาจิ้งจอกพยายามกระโดดงับองุ่นรวมเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้ง หมาจิ้งจอกก็เริ่มหายใจเสียงดังแฮ่กแฮ่กแฮ่ก หมาจิ้งจอกเหนื่อยมาก ขาของมันสั่นเหมือนจะหลุดออกจากกัน ในที่สุด หมาจิ้งจอกก็ล้มตัวลงนอนหอบอยู่ใต้ต้นองุ่น พร้อมกับอ้าปากหายใจเพราะหายใจไม่ทันจริง ๆ

“สุดยอดไปเลย!” หมาจิ้งจอกหายใจหอบแฮ่กแฮ่ก “ทำไมองุ่นถึงได้อยู่สูงขนาดนี้กันนะ…แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก แต่… ฉันยังมีแรงกระโดดได้อยู่นะ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

หมาจิ้งจอกพยายามวางมาดเท่ แต่จริง ๆ แล้ว มันเหนื่อยและกระหายน้ำจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว

หมาจิ้งจอกนอนหอบ แล้วพูดต่อไปว่า “แต่องุ่นพวงนี้ ดู ๆ ไปแล้วก็คงไม่อร่อยหรอกนะ!” หมาจิ้งจอกพูดไป ขาสั่นไป “องุ่นสีม่วงแบบนี้….คงเปรี้ยวและฝาดเกินไปแหละ….ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน…..ฉันไม่อยากกินองุ่นแบบนี้หรอก!”

หมาจิ้งจอกเบือนหน้าจากองุ่น แล้วพยายามชันตัวลุกขึ้นจากพื้น หมาจิ้งจอกพยายามยืนให้ตัวเองดูเท่ แต่พอยืนได้ ขาของมันกลับสั่นพั่บ ๆ จนมันเกือบล้มลงไปอีก

หมาจิ้งจอกพยายามทรงตัวยืนให้อยู่เพื่อรักษาความเท่ แล้วมันก็ยืดคอและพูดว่า “ใช่แล้ว! องุ่นม่วงไม่หวานหรอก แหยะ! ไม่เห็นน่ากินตรงไหนเลย”

เมื่อพูดจบ หมาจิ้งจอกก็เดินจากไป พร้อมกับอาการขาสั่น ๆ และเสียงหายหายใจหอบที่ค่อย ๆ จางหายไปในป่า.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้:

เมื่อเราทำสิ่งใดไม่สำเร็จ บางครั้งเราก็อาจพยายามลดคุณค่าของสิ่งนั้น เพื่อปลอบใจตัวเอง ทั้งที่ลึก ๆ แล้ว เรายังอยากได้มันอยู่ จงกล้ายอมรับความจริงและกล้ายอมรับความล้มเหลว ไม่ควรกล่าวโทษสิ่งรอบข้างหรือแกล้งทำเป็นไม่อยากได้สิ่งนั้น

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน : คนเลี้ยงแกะกับทะเล | นิทานอีสปสอนใจเรื่องความโลภ

ในโลกของนิทานอีสปที่เปี่ยมด้วยข้อคิดและคติสอนใจ มีเรื่องราวมากมายที่เล่าให้เด็ก ๆ ฟังก่อนนอนเพื่อปลูกฝังคุณธรรม เรื่อง “คนเลี้ยงแกะกับทะเล” ก็เป็นอีกหนึ่งนิทานที่สอนเราเกี่ยวกับความโลภและความพอเพียงได้อย่างลึกซึ้ง นิทานเรื่องนี้เล่าถึงชายเลี้ยงแกะผู้มีความฝันอยากรวยจากทะเล แต่เมื่อความโลภเข้าครอบงำ เขากลับต้องพบกับบทเรียนครั้งใหญ่

กาลครั้งหนึ่ง ณ เชิงเขาอันเขียวขจี มีชายเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ชื่อว่า “ไคลอส” ไคลอสใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พออยู่พอกิน โดยเขามีฝูงแกะเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและทรัพย์สินอันมีค่า ไคลอสรักงานของเขา แม้ว่าบางครั้ง…เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยมากก็ตาม

เย็นวันหนึ่ง หลังจากไคลอสต้อนแกะกลับคอก เขานั่งพักใต้ต้นโอ๊กใหญ่ แล้วมองไปยังทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้ายามอาทิตย์ตกสะท้อนแสงสีทองส่องประกายอยู่บนผิวน้ำ ทะเลช่างงดงามและลึกลับเสียเหลือเกิน

ทันใดนั้น ไคลอสก็สังเกตเห็นเรือสินค้าลำหนึ่งล่องผ่านไป เรือลำนั้นบรรทุกของมีค่าเอาไว้มากมาย พ่อค้าและลูกเรือดูร่ำรวยและมีความสุขสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเสียงร้องเพลงของพวกเขาดังแว่วมาถึงชายฝั่ง

“ชีวิตของพวกเขาช่างน่าตื่นเต้นและอู้ฟู่เหลือเกิน” ไคลอสคิด “ต่างจากข้าที่มีแต่ฝูงแกะกับชีวิตจำเจ หากข้ามีเรือ ข้าอาจได้ผจญภัยและพบโชคลาภเช่นนั้นบ้างก็ได้”

ด้วยความฝันที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ไคลอสจึงตัดสินใจขายฝูงแกะทั้งหมดของเขา แล้วซื้อเรือขนาดเล็ก ที่แม้มันจะเก่าคร่ำคร่า แต่มันก็เป็นเรือที่ยังใช้งานได้

วันแรกที่ไคลอสออกเดินทาง ท้องทะเลดูสงบ สายลมอุ่น ๆ พัดมาเบา ๆ เสียงคลื่นลูบไล้เรือราวกับเชื้อเชิญให้คนช่างฝันเกิดความฮึกเหิมในการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ท้องฟ้ากลับมืดครึ้ม เมฆฝนก่อตัว พายุใหญ่พัดกระหน่ำ น้ำซัดกระแทกเรือให้โคลงเคลง จนในที่สุด เรือก็ล่ม ไคลอสจมลงทะเล ส่วนเรือที่เขาคิดว่าจะนำความร่ำรวยมาให้ก็จมหายไปในพริบตา

แต่โชคยังดี ไคลอสพาตัวเองขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เนื้อตัวของเปียกปอนและไร้ทรัพย์สินใด ๆ คนเลี้ยงแกะที่เคยมีฝูงแกะเล็ก ๆ เป็นทรัพย์สินอันมีค่า กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว

ไคลอสมองทะเลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขมขื่นแล้วรำพึงว่า “เจ้าช่างงดงามและยั่วยวน แต่เจ้าแสนหลอกลวงและกลืนกินทุกสิ่ง”

ไคลอสกลับไปที่บ้านบนภูเขา แม้ไคลอสจะไม่มีฝูงแกะอีกแล้ว แต่บทเรียนครั้งนี้ทำให้เขารู้คุณค่าของสิ่งที่เขาเคยมี

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

“ความโลภมักทำให้เรามองข้ามสิ่งที่มีอยู่แล้ว จนสูญเสียทุกอย่างไปในที่สุด”

Posted in นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, นิทานเด็ก

มดกับตั๊กแตน นิทานอีสปก่อนนอน | สอนใจเรื่องความขยันและการเตรียมความพร้อม

นิทานอีสปสอนใจ เรื่อง “มดกับตั๊กแตน” (The Ant and the Grasshopper) เป็นนิทานสั้น ๆ แต่ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต การใช้เวลาอย่างฉลาด และคุณค่าของความขยันหมั่นเพียร นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มพ่อแม่และครูที่นำมาเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการทำงาน และรู้จักเตรียมตัวล่วงหน้า

ในเวอร์ชันนิทานนำบุญที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ เราได้ขยายเนื้อหาให้สนุกมากยิ่งขึ้น โดยคงสาระสำคัญของต้นฉบับไว้ พร้อมเพิ่มสีสันของบทสนทนาและบรรยากาศ เพื่อให้เด็ก ๆ เพลิดเพลินและเข้าใจบทเรียนชีวิตที่แฝงอยู่ในนิทานได้อย่างชัดเจน

ในฤดูร้อนที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี เสียงจิ้งหรีดขับกล่อมยามเช้า ผีเสื้อเต้นรำอยู่เหนือดอกไม้ และท้องฟ้าสดใสราวกับไม่เคยมีเมฆฝนมาก่อน

ท่ามกลางความสุขนั้น มีมดตัวหนึ่งกำลังแบกเมล็ดข้าวโพดเม็ดเท่าหัวของมันเอง เดินอย่างมุ่งมั่นบนเส้นทางแคบ ๆ สู่รังของมัน มันหยุดหอบหายใจเป็นพัก ๆ แต่ไม่เคยบ่น มันทำงานหนักทั้งวัน ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย แต่มดก็ยิ้มในใจ เพราะมันรู้ว่า… ฤดูหนาวกำลังจะมา

บนใบหญ้าไม่ไกลนัก ตั๊กแตนสีเขียวสดตัวหนึ่งนอนหงายดีดขาเล่น เป่าใบไม้เป็นทำนองเหมือนเป่าฟลุต และหัวเราะเสียงใสดังไปทั่วทุ่ง

“เฮ้! เจ้ามดน้อย ทำไมต้องเหนื่อยยากขนาดนั้น?” ตั๊กแตนร้องขึ้น พลางตีลังกาอย่างสนุกสนาน “อากาศก็ดี อาหารก็หาได้ทั่วไป เจ้าควรจะมาเต้นรำกับข้า หรืออย่างน้อยก็นั่งพักใต้เงาไม้สักหน่อย!”

มดหอบเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบว่า “ข้ากำลังเตรียมอาหารไว้สำหรับฤดูหนาว… เจ้าเองก็ควรเก็บสะสมไว้บ้างนะ เวลาฤดูหนาวมา เจ้าอาจไม่มีอะไรจะกิน”

ตั๊กแตนหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “ฮะฮะฮ่า! เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ฤดูหนาวยังมาไม่ถึง ข้ามีเวลาสนุกอีกตั้งหลายวัน!”

หลังจากวันนั้น ตั๊กแตนก็ยังคงเต้นรำ เล่นดนตรี และร้องเพลงตลอดฤดูร้อน ในขณะที่มดก็ยังคงทำงานแบบไม่หยุดพัก

และแล้ววันหนึ่ง สายลมเย็นก็เริ่มพัดมา ใบไม้เปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง และในที่สุด… หิมะก็โปรยปรายลงมาจากฟ้า

ทุ่งหญ้าที่เคยเขียวกลับกลายเป็นสีขาวโพลน ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงลมครวญครางในความว่างเปล่า

ในรังใต้ดินที่อบอุ่น มดนั่งกินเมล็ดธัญพืชที่สะสมไว้ รู้สึกอิ่ม อุ่น และปลอดภัย ในขณะที่ตั๊กแตน… ได้แต่ตัวสั่นอยู่ใต้กิ่งไม้ โดยไม่มีอาหาร ไม่มีที่ซ่อน และไม่มีเพื่อน

สุดท้าย เมื่ออากาศหนาวเหน็บจนเกินจะรับไหว ตั๊กแตนจึงตัดสินใจไปเคาะประตูรังของมด

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เจ้ามด… ข้า… ข้าหิว… ข้าหนาว… ข้าผิดไปแล้ว ข้าควรฟังเจ้าตั้งแต่ตอนนั้น…”

มดมองเขาผ่านช่องประตู แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูออกช้า ๆ จากนั้น มดก็พูดว่า “เข้ามาก่อนเถอะ ตั๊กแตน” มดพูดอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ เธอคงได้เรียนรู้แล้วว่า… เวลาแห่งการทำงานมีค่าไม่แพ้เวลาแห่งความสนุก”

และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ตั๊กแตนก็เปลี่ยนไป แม้มันจะยังคงเล่นดนตรี แต่มันแบ่งเวลาเอาไว้สะสมอาหารด้วย และเมื่อฤดูหนาวกลับมาอีกครั้ง มันก็สามารถรับมือกับความหนาวได้ด้วยกำลังของมันเอง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

“คนที่ขยันหมั่นเพียรและรู้จักเตรียมพร้อมในเวลาที่เหมาะสม จะไม่ลำบากในภายหลัง ต่างจากคนที่มัวแต่สนุกสนานโดยไม่คิดถึงอนาคต”


Posted in Uncategorized

นิทานอีสป สอนใจ | หมากับเงา

นิทานอีสป (Aesop’s Fables) คือวรรณกรรมคลาสสิกที่ได้รับความนิยมทั่วโลกมานานหลายศตวรรษ เป็นนิทานขนาดสั้นที่แฝงข้อคิดและคติสอนใจไว้อย่างเรียบง่าย เข้าใจง่าย และเหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่สามารถเรียนรู้คุณธรรมและการแยกแยะความดีความชั่วได้จากเรื่องเล่าแสนสนุกเหล่านี้

หนึ่งในผู้แปลนิทานอีสปให้เป็นภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย คือ จอร์จ ไฟเลอร์ ทาวน์เซนด์ (George Fyler Townsend) ซึ่งแปลผลงานไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1867 งานแปลของเขามีความเรียบง่าย ตรงประเด็น และคงความหมายของนิทานต้นฉบับไว้อย่างชัดเจน จนกลายเป็นฉบับมาตรฐานที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงและแปลต่อในหลายภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย

ในหน้านี้ คุณจะได้พบกับ นิทานอีสปเรื่อง “หมากับเงา” ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าคลาสสิกจากฉบับแปลของ Townsend ที่ยังคงเปี่ยมด้วยข้อคิดแม้เวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปี เป็นนิทานที่สอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่มี และไม่หลงเชื่อภาพลวงตาจนทำลายสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในมือ

Original (Townsend):

A dog, crossing a bridge over a stream with a piece of meat in his mouth, saw his own shadow in the water and took it for another dog with a piece of meat double his own. He immediately let go of his own and fiercely attacked the other dog to get his larger piece. He thus lost both: that which he grasped at in the water, because it was a shadow, and his own, because the stream swept it away.

แปลไทยแบบตามเนื้อหา:

สุนัขตัวหนึ่งคาบเนื้อข้ามสะพาน เมื่อมองลงไปในน้ำ เห็นเงาของตนเองก็คิดว่าเป็นสุนัขตัวอื่นถือเนื้อชิ้นใหญ่กว่า จึงอ้าปากจะคว้าชิ้นของผู้อื่น ทำให้เนื้อที่คาบอยู่ตกลงไปในน้ำ และเงาก็หายไปตามกระแสน้ำเช่นกัน

แปลไทยแบบเข้าใจง่าย:

หมาคาบเนื้อเดินข้ามสะพาน เห็นเงาในน้ำคิดว่าเป็นหมาอีกตัวที่ได้เนื้อใหญ่กว่า มันรีบกระโจนใส่เงา เนื้อของตัวเองเลยหล่นน้ำไป ส่วนเนื้อในเงาก็ไม่มีจริง มันเลยไม่ได้อะไรเลย

ข้อคิด:

โลภมากลาภหาย



Posted in Uncategorized

นิทานอีสป สอนใจ | ราชสีห์กับหนู

ในบางคืน ที่คุณพ่อคุณแม่ง่วงมาก ๆ หลังจากอ่านนิทานให้ลูกฟังไปแล้ว 1 เรื่อง ลูกอยากขอฟังนิทานเพิ่มอีกเรื่อง หรือคุณครูที่อยากให้รางวัลเด็ก ๆ ด้วยนิทาน แต่มีเวลาไม่มากนัก นิทานอีสปสอนใจ ที่แปลจากต้นฉบับของ George Fyler Townsend น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

นิทานชุดนี้ จะนำเสนอนิทานอีสปฉบับภาษาอังกฤษตามสำนวนของ George Fyler Townsend โดยแปลเป็นไทย 2 แบบ คือ แบบตามเนื้อหา และแบบเข้าใจง่าย

Original (Townsend):

A Lion was awakened by a Mouse running over his face. Rising in anger, he caught him and was about to kill him. The Mouse pleaded for his life, saying:
“Spare me, and I will repay you someday.”
The Lion laughed but let him go.
Later, the Lion was caught in a net. The Mouse came and gnawed the ropes, and set him free.

แปลไทยแบบตามเนื้อหา:

สิงโตตื่นขึ้นเพราะหนูวิ่งผ่านหน้า ด้วยโทสะ มันจับหนูไว้และคิดจะฆ่าเสีย หนูจึงร้องขอชีวิตว่า “โปรดไว้ชีวิตข้า แล้ววันหนึ่งข้าจะตอบแทนท่าน”
สิงโตหัวเราะ แต่ก็ปล่อยหนูไป
ไม่นาน สิงโตติดกับดัก หนูกลับมา กัดเชือกขาดและปล่อยสิงโตเป็นอิสระ

แปลไทยแบบเข้าใจง่าย:

หนูตัวเล็กก็ช่วยสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้น คนเล็ก ๆ ก็ทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้

ข้อคิด:

อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่า เพราะเขาอาจช่วยเราได้ในยามยาก

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

นิทานหมีสามตัวกับเด็กหญิงผมทอง | นิทานก่อนนอนสอนใจ

  • การใช้ของของผู้อื่นโดยพลการเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
  • หากเราทำผิด ควรยอมรับและขอโทษอย่างจริงใจ
  • เด็กดีต้องรู้จักแยกแยะสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ แม้จะไม่มีใครเห็น
  • การให้อภัยเป็นสิ่งที่งดงาม เมื่อเราพร้อมจะเรียนรู้จากความผิดพลาด
ฉากที่หมีสามตัวกลับบ้านมาพบว่า มีเด็กผู้หญิงผมทองเข้ามานอนบนเตียงของลูกหมีโดยไม่ได้รับอนุญาต







Posted in Uncategorized

นิทานเรื่อง พลับ…ยอดนักพับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า “พลับ” พลับเป็นนักพับกระดาษที่มีฝีมือเหนือชั้น ใครต่อใครต่างพากันชมว่า เขาพับอะไรก็ออกมา ก็สวยงาม น่าทึ่ง และดูมีชีวิตชีวาราวกับเนรมิต

เขาพับปลาที่ดูเหมือนกระโดดได้ เขาพับนกที่ปีกดูเหมือนขยับได้ เขาพับช้างที่วางให้เดินบนเส้นด้ายได้อย่างสมดุล เด็ก ๆ มองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย ผู้ใหญ่ต่างพากันยกย่องเขา ไม่นานนัก…พลับก็เริ่มหลงใหลในฝีมือของตนเอง

“ไม่มีใครในโลกนี้ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกรเกินเราอีกแล้ว!” พลับคิด “ฉันคือสุดยอดแห่งการพับที่ไม่มีใครเทียบได้”

เมื่อพลับหลงในฝีมือตัวเอง เขาจึงชอบเดินอวดตัวไปทั่วเมือง พร้อมกับโชว์ฝีมือการพับกระดาษให้ทุกคนได้เห็น ใครเดินผ่านมา ก็จะได้ยินเสียงของเขาโม้ถึงเรื่องความสามารถของตัวเอง ซึ่งเขาก็เก่งจริงตามที่โม้ทุกประการ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระราชาประกาศจัดการแข่งขันพับกระดาษระดับอาณาจักร ของรางวัลคือ “ตั๋วแลกทองคำ” 1 ใบ ที่นำมาแลกทองคำจริง ๆ ได้ 1 หีบ

แน่นอนว่า…พลับรีบสมัครเข้าร่วม และแน่นอนอีกว่า…เขาชนะขาดลอย

เมื่อพลับชนะ พระราชาจึงมอบตั๋วแลกทองคำให้แก่พลับ พลับรับตั๋วกระดาษอันมีค่านั้นไว้ พลางยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจสุดขีด

ครั้นเมื่อพลับกลับถึงบ้าน ความกังวลก็เริ่มคืบคลานเข้ามา “ถ้ามีคนมาขโมยตั๋วแลกทองคำของเราไปล่ะ?” พลับกังวล “ถ้ามันเปียก… ถ้ามันหล่นหาย… แล้วเราจะทำอย่างไร?”

พลับเดินวนไปเวียนมา คิดแล้วคิดอีก คิด ๆ เท่าไร คิดไม่ออกซักที จนในที่สุด…พลับก็ได้ความคิดที่เขาคิดว่า “อัจฉริยะเท่านั้นที่จะคิดได้”

“ฉันจะพับตั๋วใบนี้ให้เล็กที่สุดในโลก พับให้เล็กกระจิริด กระจ้อยร่อย กระจิ๋วหลิว กระจุกกระจิก กระดุกกระดิก กระดุ๊กกระดิ๊ก … (พอเถอะ) เล็กจนไม่มีใครมองเห็น!”

เมื่อคิดเช่นนั้น พลับจึงนั่งลง แล้วพับตั๋วแลกทองด้วยความตั้งใจ พลับพับแล้วก็พับ พับแล้ว…
พับอีก…พับให้เล็กลง เล็กลง…เล็กลงเล็กลงเรื่อย ๆ พลับพับเก่ง เขาพับกระดาษตั๋วแลกทองให้เล็กได้มากกว่าที่ทุก ๆ คนจะจินตนาการได้ จนในที่สุด…

“เอ๊ะ! หายไปไหนแล้ว?”

พลับมองซ้าย มองขวา ควานหาใต้โต๊ะ พลิกหมอน สลัดผ้าห่ม แต่ตั๋วก็ไม่อยู่ตรงไหนเลย “โอ๊ย! ฉันพับเก่งเกินไปจริง ๆ… ตั๋วของฉัน…หายไปแล้ว”

เมื่อหาตั๋วแลกทองคำไม่พบ พลับจึงรีบวิ่งไปหาพระราชา แล้วขอร้องพระองค์ด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หม่อมฉันเผลอพับตั๋ว จนตั๋วหายไปแล้ว ขอตั๋วอีกใบเถิดพระเจ้าข้า”

พระราชายิ้มให้พลับ แต่ส่ายหน้าช้า ๆ พลางกล่าวว่า “ข้ามีตั๋วแค่ใบเดียว ทำซ้ำไม่ได้ และเจ้าก็เป็นคนทำหายไปเองนะ พลับ”

พลับยืนนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เขารู้สึกเหมือนตนเองตกลงมาจากที่สูง ไม่ใช่เพราะทองคำหายไป แต่เพราะเขาเพิ่งรู้ว่า…ความเก่งไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง

เขาพบว่า ความเก่งกาจอาจผิดพลาด..เมื่อขาดสติ

วันนั้น พลับเดินกลับบ้านเงียบ ๆ มือว่างเปล่า ใจหนักอึ้ง แต่เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า

วันต่อมา พลับยังคงพับกระดาษ แต่คราวนี้ เขาพับกระดาษอย่างมีสติ ไม่ใช่การพับกระดาษเพื่ออวดใคร ๆ อย่างที่ผ่านมา

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพลับทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว พลับบอกกับตัวเองว่า “บางครั้ง…บทเรียนที่ได้จากความผิดพลาด ก็มีคุณค่าไม่แพ้รางวัลที่สูญเสียไปเลย เพราะในเวลานี้ ฉันได้รู้แล้วว่า สติมีความสำคัญต่อชีวิตมากเพียงใด”

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานสอนใจ, นิทานอินเดีย

ซาวิตรีและสัตยาวัน : นิทานความรัก ความกตัญญู และชัยชนะเหนือโชคชะตา

นิทานเรื่อง ซาวิตรีและสัตยาวัน ไม่ได้เป็นเพียงนิทานความรักที่เล่าขานกันในอินเดียเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งในเรื่องย่อยอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏอยู่ใน มหากาพย์มหาภารตะ — วรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ยาวที่สุดในโลก และเป็นเสาหลักของวัฒนธรรมฮินดู มหากาพย์นี้มีความลึกซึ้งทั้งในด้านศาสนา ปรัชญา และจริยธรรม โดยเรื่องของซาวิตรีถูกบรรจุไว้ใน “วนบรรพ” หรือ “บรรพแห่งป่า” ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวละครหลักของมหากาพย์ถูกเนรเทศและได้เรียนรู้ธรรมะผ่านเรื่องเล่าจากฤๅษีผู้ทรงภูมิ

แม้จะเป็นเพียงเรื่องย่อยในมหากาพย์ แต่ ซาวิตรีและสัตยาวัน กลับได้รับการยกย่องจากนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในนิทานที่สะท้อน “ธรรมะในชีวิตจริง” ได้อย่างงดงามที่สุด ตัวละครหญิงในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เลอโฉม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ประกอบด้วยสติปัญญา ความกตัญญู และความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับโชคชะตา นิทานเรื่องนี้จึงถูกนำไปตีความและดัดแปลงในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก รวมถึงในไทย

สำหรับคนไทย นิทานเรื่องนี้อาจมีบริบทบางอย่างที่แตกต่างจากค่านิยมไทย เช่น การเลือกคู่ครองด้วยตนเอง หรือการสนทนากับเทพแห่งความตาย แต่เมื่อเข้าใจพื้นฐานของมหากาพย์มหาภารตะและวัฒนธรรมอินเดียแล้ว จะพบว่าเรื่องนี้มีคุณค่าอันเป็นสากลและเข้าถึงใจของคนทุกเชื้อชาติ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เราเข้าใจความรัก ความเสียสละ และพลังของปัญญาในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอัศวปตี ที่รุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์ มีพระราชาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระราชาอัศวปตี” พระองค์ทรงมีทุกสิ่งครบถ้วน ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว นั่นคือบุตรหรือธิดาที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์

ทุกค่ำคืน พระราชาอัศวปะตีจะทรงสวดมนต์ภาวนาและบำเพ็ญตบะ ด้วยความหวังอันแรงกล้าที่จะได้ทายาทผู้เปี่ยมด้วยปัญญามาสืบทอดวงศ์ตระกูล

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระแม่แห่งปัญญาได้เสด็จมาในความฝันของพระราชาอัศวปตี แล้วตรัสว่า “เจ้าจะได้ธิดา ผู้เปล่งประกายดุจจันทรา แต่จงรู้ไว้เถิด…นางมีโชคชะตาอันท้าทายรอคอยอยู่”

ในเวลาต่อมา พระราชาอัศวปตีก็ได้พระธิดาสมดังใจ พระธิดาผู้เลอโฉมพระองค์นั้นมีนามว่า “ซาวิตรี” นางงดงามเหนือหญิงใดโลกหล้า ทั้งยังเฉลียวฉลาด กตัญญู ซื่อตรง และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรจึงพากันรักใคร่ชื่นชมพระองค์มาก

ครัันเมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีเติบโตถึงวัยอันสมควร พระราชาได้ตรัสกับพระธิดาว่า “เจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญา หากไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อมถึงดวงจันทร์อย่างเจ้า เจ้าจงออกเดินทางเถิด แล้วเลือกชายผู้คู่ควร ด้วยหัวใจของเจ้าเอง”

เมื่อพระบิดาตรัสเช่นนั้น เจ้าหญิงซาวิตรีจึงออกเดินทางพร้อมเหล่าข้าราชบริพาร ท่องไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ และได้พบชายหนุ่มเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกว่า “คือคนที่ใช่” สำหรับพระองค์

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ท่ามกลางป่าลึกที่สงบงาม เจ้าหญิงซาวิตรีได้พบชายหนุ่มผู้หนึ่ง นามว่า “สัตยาวัน” สัตยาวันไม่ได้มีสมบัติใด ๆ ที่เทียบเคียงกับเจ้าหญิงได้ แต่เขามีหัวใจที่อ่อนโยน, มีมือที่ขยันขันแข็ง และมีดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา

จริง ๆ แล้ว สัตยาวันเป็นโอรสของกษัตริย์ผู้ถูกโค่นอำนาจ เขาจึงต้องมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในป่า และต้องดูแลบิดามารดาผู้ชราภาพด้วยความรักและความกตัญญู เจ้าหญิงซาวิตรีรู้ในทันทีว่า… นี่คือผู้ชายที่หัวใจของพระองค์เฝ้าตามหา

เมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีกลับไปกราบทูลพระราชาและขออนุญาตแต่งงานกับสัตยาวัน โหรหลวงประจำราชสำนักได้ทูลว่า “สัตยาวันเป็นบุรุษที่มีบุญ แต่ดวงชะตากำหนดไว้แล้วว่า…เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น!”

พระราชาทรงตกใจ และพยายามหว่านล้อมให้เจ้าหญิงซาวิตรีเปลี่ยนใจ แต่เจ้าหญิงกลับกล่าวด้วยสายตาอันมั่นคงว่า “แม้จะมีเพียงหนึ่งปีแห่งความสุขที่แท้จริงกับคนที่หม่อมฉันรัก ก็ยังดีกว่ามีชีวิตทั้งชีวิตกับคนที่หม่อมฉันไม่ได้รัก” ในที่สุด…เจ้าหญิงซาวิตรีก็ตัดสินใจแต่งงานกับสัตยาวัน โดยพระองค์ได้ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง แล้วไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในป่าร่วมกับสามีและบิดามารดาของเขาอย่างเต็มใจ

หนึ่งปีผ่านไป วันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง…ได้เวียนมาถึงวาระ วันนั้น สัตยาวันออกไปตัดไม้ในป่าตามปกติ แต่ซาวิตรีรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซาวิตรีจึงขอตามสามีไปด้วย

ตลอดทั้งวัน…ยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในขณะที่สัตยาวันกำลังแบกฟืนกลับบ้าน เขากลับทรุดลงด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง

ในวินาทีนั้น “ยมราช” ผู้เป็นเทพแห่งความตาย ได้ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางลมพัดเย็นยะเยือก

“ถึงเวลาของสัตยาวันแล้ว เจ้าจงถอยไปเถิด” ยมราชพูดกับซาวิตรี พร้อม ๆ กับเตรียมนำวิญญาณของสัตยาวันออกจากร่าง

แต่ซาวิตรีไม่ยอม นางจึงกล่าวกับยมราชว่า “ท่านเป็นเทพแห่งธรรมะและความยุติธรรมมิใช่หรือ? ภรรยาผู้สัตย์ซื่อต้องตามสามีไปทุกแห่ง แม้แต่โลกหลังความตาย ข้าย่อมต้องติดตามเขา”

หัวใจที่มุ่งมั่นและสายตาที่เอาจริงของซาวิตรี ทำให้ยมราชประทับใจในความเด็ดเดี่ยว ยมราชจึงกล่าวว่า “หัวใจของเจ้าช่างประเสริฐ เอาล่ะ…ข้าจะให้พรแก่เจ้า เจ้าจะขอพรอะไรก็ได้ 3 ประการ…ยกเว้นการขอชีวิตของสัตยาวัน”

ซาวิตรีประนมหัตถ์ขอบคุณและกล่าวว่า “ข้าขอให้พระบิดาของข้าได้ทายาทอีกองค์ เพื่อสืบสันตติวงศ์” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญู

ข้อที่สอง “ข้าขอให้บิดาของสัตยาวันได้อาณาจักรคืน เพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของตระกูลเขา” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อสามีและครอบครัวของสามี

ข้อสุดท้าย “ข้าขอให้ข้ามีบุตรกับสัตยาวัน”

ยมราชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะหากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป ซาวิตรีก็ย่อมไม่มีโอกาสมีบุตรกับสัตยาวันเป็นแน่

ยมราชไม่ให้ซาวิตรีขอชีวิตของสัตยาวัน นางจึงเลี่ยงการขอชีวิตสามี โดยผูกตรรกะที่ไม่อาจโต้แย้งได้ พระองค์รับรู้ในทันทีว่า ซาวิตรีเป็นสตรีที่มีสติปัญญาสูงส่ง หากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป พรข้อสามก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้!

ยมราชยิ้มอย่างชื่นชม “เจ้าชนะแล้ว ซาวิตรี…ข้าจะคืนชีวิตให้สัตยาวัน”

เมื่อสัตยาวันฟื้นคืนชีวิต ซาวิตรีก็รีบประคองเขาไว้แนบกาย พร้อมกับขอบคุณยมราชที่เมตตา

ครั้นเมื่อซาวิตรีและสัตยาวันเดินทางกลับสู่อาณาจักร บิดาและมารดาของสัตยาวันที่ได้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ ก็รอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่นั่น ส่วนบิดาของซาวิตรีได้มีพระโอรสองค์น้อยตามที่ซาวิตรีขอพรเอาไว้

ในที่สุด เรื่องราวความรักของซาวิตรีและสัตยาวันก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • รักแท้มีค่ากว่าทุกสิ่ง
  • รักแท้เอาชนะโชคชะตาได้
  • ผู้กตัญญูจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
  • สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้


จ้าหญิงซาวิตรีเจรจากับยมราชในป่า เพื่อช่วยชีวิตสามีสัตยาวัน – ภาพประกอบนิทานจากมหาภารตะ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนานาชาติ, วรรณกรรมคลาสสิก

นิทานสะใภ้งูพิษ | นิทานสอนใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่”

“สะใภ้งูพิษ” เป็นนิทานสอนใจที่เรียบเรียงจาก Stribor’s Forest นิทานพื้นบ้านของโครเอเชียที่เขียนโดย Ivana Brlić-Mažuranić นักเขียนหญิงผู้ทรงคุณค่าซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “แอนเดอร์เซนแห่งโครเอเชีย” ผลงานของเธอสะท้อนความงดงามของวัฒนธรรมพื้นบ้าน ความเชื่อทางศาสนา และคุณค่าทางศีลธรรมที่ลึกซึ้ง

นิทานเรื่องนี้ถูกเรียบเรียงใหม่ในบริบทไทย เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยสามารถเข้าถึงแก่นสารของเรื่องได้ง่ายขึ้น โดยยังคงรักษาโครงเรื่องและข้อคิดดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน ถ่ายทอดเรื่องราวของหญิงชราผู้เสียสละเพื่อปกป้องลูกชายจากภรรยาผู้มีจิตใจอำมหิต ซึ่งแท้จริงแล้วคือ “………………….”

นิทานนี้ไม่เพียงมอบความบันเทิง แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างวรรณกรรมยุโรปตะวันออกกับภูมิปัญญาไทย เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่แสวงหาความลึกซึ้งของความรักและคุณธรรมในรูปแบบที่เหนือกาลเวลา

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของเธอ ทั้งสองคนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขในบ้านไม้เล็ก ๆ ที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม

จนกระทั่งวันหนึ่ง ความสงบสุขของครอบครัวได้ถูกทำลายลง เมื่อลูกชายของหญิงชราพาภรรยากลับมาที่บ้านของพวกเขาหลังจากการเดินทางไกล ชายหนุ่มเล่าให้หญิงชราฟังว่า ระหว่างที่เขาเดินทางไปยังเมืองใหญ่เพื่อซื้อสินค้าและหาโอกาสทางการค้า เขาได้พบสาวสวยผู้นี้ในตลาด เธอดูโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน ผิวขาวเนียน รูปร่างบอบบางราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ดวงตาสีดำสนิทของเธอดูลึกลับน่าค้นหา

หญิงสาวบอกชายหนุ่มว่า ตนเองเป็นลูกสาวของพ่อค้าที่ร่ำรวย แต่ต้องระหกระเหินมาเพียงลำพังหลังจากที่ครอบครัวของเธอล่มสลาย ชายหนุ่มรู้สึกสงสารและหลงรักเธอในทันที เขาใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกับเธอ หลังจากนั้น ก็พากันกลับมาที่บ้าน

หญิงชราได้ยินดังนั้นก็เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในสายตาของเธอ หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีจิตใจที่บริสุทธิ์เหมือนรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏ

เมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาในบ้าน เธอได้แสดงความเย่อหยิ่งและความไม่เคารพต่อหญิงชราผู้เป็นแม่สามี แม้ต่อหน้าสามี เธอจะทำตัวอ่อนหวาน แต่เมื่ออยู่ลับหลัง เธอกลับเผยให้เห็นถึงความหยาบกระด้างและไม่แยแสต่อผู้อื่น หญิงสาวมักพูดจาเสียดสีและใช้ถ้อยคำรุนแรงกับหญิงชราอยู่เสมอ หญิงชราอดทนต่อพฤติกรรมเช่นนี้เพราะรักลูกชายมาก แต่เธอเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกประหลาดในตัวลูกสะใภ้ ทั้งแววตาอันเย็นชาที่ปรากฏให้เห็นในบางช่วงเวลา และเสียงลมหายใจที่บางครั้งฟังดูคล้ายเสียงขู่ของงูพิษ

วันหนึ่งหญิงชราแอบได้ยินบทสนทนาแปลก ๆ ระหว่างหญิงสาวกับบางสิ่งบางอย่างในป่า เธอจึงตัดสินใจแอบสะกดรอยตามหญิงสาวเข้าไปในป่า จนกระทั่งได้พบว่า หญิงสาวที่ลูกชายแต่งงานด้วยแท้จริงแล้วเป็นงูที่ถูกสาป หญิงชราจึงรีบกลับบ้านและอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งป่าสตรีบอร์ เพื่อให้ท่านช่วยปกป้องลูกชายของเธอ

ระหว่างที่หญิงชราเฝ้ารอคอยให้เทพแห่งป่าเมตตาช่วยเหลือ หญิงชราต้องอดทนเฝ้ามองลูกชายหลงสะใภ้งูพิษอย่างหัวปักหัวปำ แม้หญิงชราจะเล่าความจริงเพื่อเตือนลูกชายอยู่หลายครั้ง แต่ลูกชายกลับไม่ฟัง ซ้ำยังกล่าวหาว่าหญิงชราเป็นแม่ที่ใจร้าย

หญิงชรารู้สึกเจ็บปวด แต่เธอก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ โดยไม่เคยคิดทอดทิ้งลูกชายให้อยู่กับสะใภ้งูพิษตามลำพัง

และแล้วคืนหนึ่ง เทพแห่งป่าสตรีบอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นในขณะที่หญิงชรากำลังร้องไห้ด้วยความระทมทุกข์ เทพแห่งป่ามีรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามและงดงามในคราเดียวกัน เทพแห่งป่ามองหญิงชราด้วยความเมตตา เทพแห่งป่าจึงยื่นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธให้แก่หญิงชราที่อยู่ตรงหน้า

“อย่าทนอยู่ในความทุกข์เช่นนี้ต่อไปเลย ข้าจะเนรมิตให้เจ้าได้กลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง เจ้าจะได้ใช้ชีวิตใหม่ในฐานะหญิงสาวที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความสุข เจ้าจะลืมความเศร้าทั้งหมด และได้เริ่มต้นใหม่ในโลกที่ปราศจากความทุกข์ระทม”

หญิงชรานิ่งคิดก่อนจะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน แต่ข้ารักลูกชายของข้า ข้าจะไม่ทิ้งเขาไปแม้ต้องทนทุกข์ หากข้าละทิ้งความทุกข์นี้เสีย ข้าจะเป็นแม่ได้อย่างไร”

คำตอบนั้นทำให้เทพแห่งป่าพูดกับหญิงชราว่า “เจ้าช่างเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่เสียจริง ความรักของเจ้าทำให้ข้าต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”

ทันใดนั้น ลมที่พัดผ่านต้นไม้ในป่าก็ดังขึ้นราวกับเสียงโหยหวน เทพแห่งป่ายกมือขึ้น แล้วร่ายมนตร์เพื่อปลดเปลื้องความลวงจากร่างของหญิงสาว ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงครู่หนึ่ง หญิงสาวที่นอนหลับอยู่ข้างชายหนุ่มก็สะดุ้งตื่น แล้วทุรนทุรายกลายร่างเป็นงูพิษ จากนั้น งูพิษก็เลื้อยหายเข้าไปในป่าโดยไม่มีวันย้อนกลับมาอีก

ชายหนุ่มที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างต่อหน้าถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวและสำนึกผิดที่เขาไม่เคยฟังคำเตือนของแม่เลย เขาหันไปหามารดาและกอดเธอแน่น “แม่…ข้าขอโทษที่ทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ ข้า่มองไม่เห็นความจริงจนเกือบจะสายเกินไป”

หญิงชราลูบหลังลูกชายเบา ๆ และยิ้มทั้งน้ำตา “ลูกกลับมาแล้ว แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

จากนั้น ชายหนุ่มและหญิงชราก็กลับไปใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็ก ๆ ของพวกเขาอย่างมีความสุข

แม้ความสงบสุขนี้จะถูกทดสอบด้วยบทเรียนที่ยากลำบาก แต่ทั้งสองก็เรียนรู้ที่จะรักและปกป้องกันและกันมากยิ่งขึ้น

และในป่าสตรีบอร์ เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ยังคงดังราวกับเสียงเพลง เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสียสละและความรักอันยิ่งใหญ่ของมารดาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความรักของแม่คือความรักที่ยิ่งใหญ่
  • รูปลักษณ์อาจหลอกสายตา แต่จิตใจจะเปิดเผยความจริงเสมอ

………………………