Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข: นิทานสอนใจเรื่องความเมตตาและการเสียสละ

นิทานเรื่อง “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” (The Happy Prince) เป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกว่าเปี่ยมด้วยคุณค่าทางจิตใจและแฝงแง่คิดลึกซึ้งเกี่ยวกับความเมตตาและการเสียสละ ผู้แต่งคือ Oscar Wilde นักเขียนชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในยุควิกตอเรีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมมีความเหลื่อมล้ำสูง นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนภาพชีวิตของผู้คนในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงกับผู้ยากไร้ในเมืองใหญ่

เรื่องราวของเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขและนกนางแอ่นตัวน้อย เป็นการเล่าเรื่องผ่านสัญลักษณ์ของความงามภายนอกที่ซ่อนความเจ็บปวดภายใน เจ้าชายที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง กลับต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายเมื่อกลายเป็นรูปปั้นที่มองเห็นความทุกข์ของผู้คนจากที่สูง การตัดสินใจเสียสละสิ่งมีค่าของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยมีนกนางแอ่นเป็นผู้ส่งต่อความเมตตา กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์และการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กวัย 7 ปีขึ้นไปที่เริ่มเรียนรู้เรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับผู้ใหญ่ นิทานนี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีจิตใจงดงาม และเป็นเครื่องเตือนใจให้เรามองเห็นคุณค่าของการเสียสละและความเมตตาในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน นิทาน “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าสำหรับเด็ก แต่เป็นตำนานแห่งความดีงามที่ควรส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยอาคารสูงและถนนคดเคี้ยว มีรูปปั้นเจ้าชายองค์หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเสาสูงกลางจัตุรัส รูปปั้นนั้นงดงามจนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่างพากันหยุดมองด้วยความชื่นชม เจ้าชายองค์นั้นถูกปิดทองทั่วทั้งร่าง ดวงตาทำจากไพลินสีฟ้า และที่ด้ามดาบมีทับทิมสีแดงสดประดับอยู่ ทุกคนเรียกพระองค์ว่า “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” เพราะเชื่อว่าพระองค์คงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและไม่เคยรู้จักความทุกข์เลยแม้แต่น้อย

ในยามกลางวัน แสงแดดส่องกระทบแผ่นทองบนร่างของเจ้าชายจนเปล่งประกายระยิบระยับ ส่วนในยามค่ำคืน แสงจันทร์ก็ช่วยขับให้รูปปั้นดูสง่างามราวกับเทวดา เด็ก ๆ จากโรงเรียนใกล้เคียงมักจะชี้ชวนกันดูรูปปั้นและพูดว่า “พระองค์ดูเหมือนเทวดาเลยเนอะ” แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมว่า “พระองค์คือความงามของเมืองนี้”

แต่อนิจจา….ไม่มีใครรู้เลยว่า ภายใต้ความงามนั้น เจ้าชายกำลังเฝ้ามองโลกด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเศร้า

คืนหนึ่ง มีนกนางแอ่นตัวหนึ่งบินผ่านเข้ามาในเมือง จริง ๆ แล้ว นกนางแอ่นควรจะบินไปอียิปต์กับเพื่อน ๆ แต่เมื่อมันบินมาถึงเมืองใหญ่แห่งนี้ มันเห็นรูปปั้นเจ้าชายตั้งเด่นอยู่ มันจึงเลือกเกาะใต้เท้าของรูปปั้นเพื่อนอนพักสักนิด

ในขณะที่นกนางแอ่นกำลังจะหลับ นกนางแอ่นรู้สึกถึงหยดน้ำเย็น ๆ ที่ตกใส่ตัวของมัน นกนางแอ่นจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า แต่มันก็ไม่เห็นเมฆหรือฝนเลย ครั้นเมื่อมันมองไปยังรูปปั้น มันกลับพบว่าเจ้าชายผู้งามสง่ากำลังร้องไห้

น้ำตาของเจ้าชายไหลลงมาตามแก้มทองคำอย่างช้า ๆ นกนางแอ่นตกใจจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงร้องไห้ล่ะ” เจ้าชายตอบด้วยเสียงเศร้าว่า “ตอนที่ฉันมีชีวิต ฉันอยู่ในวังจึงไม่เคยเห็นความทุกข์ของผู้คนเลย ฉันคิดว่าความสุขเป็นเรื่องปกติของทุก ๆ คน แต่ตอนนี้ เมื่อฉันได้เห็นเมืองจากที่สูง ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย และหัวใจของฉันก็ไม่อาจนิ่งเฉยต่อไปได้อีก”

เจ้าชายเล่าว่า พระองค์เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในบ้านหลังเล็ก ๆ เธอกำลังเย็บชุดให้ลูกสาวของขุนนาง แต่เธอไม่มีเงินซื้อยาให้ลูกชายที่ป่วยนอนตัวร้อนอยู่บนเตียง เจ้าชายอยากช่วยหญิงสาวคนนั้น พระองค์จึงขอให้นกนางแอ่นช่วยเอาทับทิมจากดาบของพระองค์ไปให้หญิงสาว

ในตอนแรก นกนางแอ่นลังเล เพราะมันต้องบินไปอียิปต์ แต่นกนางแอ่นรู้สึกสงสารเจ้าชายและหญิงสาวคนนั้น มันจึงตัดสินใจจิกและดึงทับทิมจากดาบของเจ้าชาย แล้วบินไปยังบ้านหลังหญิงสาว จากนั้น มันก็วางทับทิมไว้บนโต๊ะ แล้วบินวนรอบตัวลูกชายที่ป่วย เพื่อให้อากาศไหลเวียน เด็กชายจะได้หลับสบายขึ้น

เมื่อนกนางแอ่นบินกลับมาหาเจ้าชาย เจ้าชายได้ก็ขอให้มันอยู่ต่ออีกคืนหนึ่ง เพราะยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก

เจ้าชายเล่าว่า พระองค์เห็นชายหนุ่มนักเขียนที่ทั้งหนาวและอดอยาก เขาไม่มีเงินซื้อทั้งฟืนและอาหาร เจ้าชายจึงขอให้นกนางแอ่นช่วยเอาไพลินจากดวงตาของพระองค์ไปให้ชายหนุ่มคนนั้น

นกตกใจแต่ก็ทำตาม เมื่อนักเขียนหนุ่มได้รับไพลินจากนก เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจและมีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ต่อ

คืนถัดมา เจ้าชายขอให้นกนางแอ่นช่วยอีกครั้ง ในคราวนี้ เจ้าชายขอให้นกเอาไพลินจากตาอีกข้างไปให้เด็กชายที่ขายไม้ขีดไฟซึ่งกำลังร้องไห้เพราะทำไม้ขีดไฟตกลงไปในท่อระบายน้ำ

นกตกใจแต่ก็ทำตาม ซึ่งเมื่อมันบินกลับมา มันก็พบว่า เจ้าชายมองอะไรไม่เห็นแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องตาบอด แต่เจ้าชายก็ยังคงยืนอยู่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ความเสียสละของเจ้าชาย ทำให้นกนางแอ่นครุ่นคิด ในที่สุด นกนางแอ่นก็ตัดสินใจทำเรื่องที่สำคัญมาก ๆ นั่นก็คือ มันตัดสินใจอยู่กับเจ้าชาย โดยไม่คิดที่จะบินไปอียิปต์อย่างที่ควรจะเป็น

ในเวลาต่อมา เมื่ออากาศเริ่มหนาวจัด เจ้าชายทรงขอร้องให้นกนางแอ่นช่วยจิกเอาทองจากตัวของพระองค์ไปแจกจ่ายให้แก่คนยากจน นกนางแอ่นไม่พูดอะไร มันทำตามเจ้าชายอย่างสุดกำลัง และผู้คนที่ได้รับทองคำต่างก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในฤดูหนาวนั้น

แต่ความหนาวก็ทำให้นกนางแอ่นอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด นกนางแอ่นก็รู้ว่าตัวของมันกำลังจะตาย

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต นกนางแอ่นบินขึ้นไปหาเจ้าชายที่มันศรัทธา นกนางแอ่นจุมพิตเจ้าชายที่ริมฝีปาก แล้วมันก็ร่วงลงมาตายที่เท้าของรูปปั้นเจ้าชาย พร้อม ๆ กับหัวใจของเจ้าชายที่แตกสลายเพราะความเศร้าและความรักที่มีต่อเจ้านกน้อย

เช้าวันรุ่งขึ้น นายกเทศมนตรีเดินผ่านรูปปั้นเจ้าชาย พร้อมกับสมาชิกสภาเมือง พวกเขามองขึ้นไปที่รูปปั้นแล้วพูดว่า “รูปปั้นเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขดูทรุดโทรมเหลือเกิน” พวกเขาจึงสั่งให้รื้อรูปปั้นลง และนำไปหลอมในเตาหลอม แต่เปลวไฟไม่อาจหลอมหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้าชายได้ มันจึงถูกโยนทิ้งไว้กับร่างของนกนางแอ่นที่ตายอยู่ตรงนั้น

ณ สรวงสวรรค์ พระเจ้าตรัสกับเทวดาองค์หนึ่งว่า “จงนำสิ่งล้ำค่าที่สุดจากเมืองนั้นมาให้เรา” เมื่อเทวดากลับมา เทวดาได้นำหัวใจของเจ้าชายและร่างของนกนางแอ่นกลับมาด้วย เมื่อพระเจ้าเห็นเช่นนั้น พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าทำได้ดีมาก นกตัวนี้จะอยู่ในสวนสวรรค์ของเรา และเจ้าชายจะได้อยู่ในนครทองคำของเรา”

และแล้ว เรื่องราวของเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขกับนกนางแอ่นผู้เสียสละก็กลายเป็นตำนานแห่งความเมตตาที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของผู้คน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความเมตตาและการเสียสละคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
  • การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม
  • ความรักที่แท้จริงไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เกิดจากหัวใจที่บริสุทธิ์
Illustration of the Happy Prince, Oscar Wilde's fairy tale
Posted in นิทานตลกก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

ยักษ์ตุ้มตุ้ยกับลูกชายพระอาทิตย์ : นิทานชวนยิ้มแนว The Lucky Fool

ในโลกของนิทานพื้นบ้านยุโรป มีตัวละครประเภทหนึ่งที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง คือ “คนโง่ผู้โชคดี” หรือที่เรียกกันว่า the lucky fool ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ “Emelya the Fool” จากนิทานรัสเซียที่ Alexander Afanasyev รวบรวมไว้ ซึ่งเล่าเรื่องชายหนุ่มขี้เกียจที่ดูเหมือนไม่มีอะไรดี แต่กลับได้รับพรวิเศษจากปลาวิเศษ และใช้มันอย่างไม่คาดคิดจนกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

นิทานแนวนี้มักสะท้อนความเชื่อว่า ความดี ความจริงใจ หรือแม้แต่ความซื่อ อาจนำพาโชคดีมาให้โดยไม่ต้องใช้ไหวพริบหรือความกล้าหาญแบบฮีโร่ทั่วไป ตัวละคร “คนโง่” จึงไม่ใช่คนโง่จริง ๆ หากแต่เป็นตัวแทนของคนเรียบง่ายที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งโลกมักมองข้าม

หลังจากที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้อ่านนิทานยุโรปเก่า ๆ หลายเรื่อง และพบว่านิทานแนวนี้เป็นนิทานที่ได้รับความนิยมในอดีต ผมจึงนึกสนุกอย่างแต่งนิทานแบบนี้ออกมาบ้าง

นานมาแล้ว ในดินแดนที่แสงอาทิตย์ส่องถึงทุกซอกทุกมุม มียักษ์ตนหนึ่งอาศัยอยู่กลางหุบเขา ยักษ์ตนนั้นมีรูปร่างอ้วนกลมตุ้มตุ้ยจนดูเหมือนลูกบอลยักษ์ และมีนิสัยประหลาด คือ เขาหลงใหลในการชิมของอร่อย ๆ เป็นที่สุด

ถ้าใครบอกว่ามีอะไรอร่อย ยักษ์ตุ้มตุ้ยจะดั้นด้นไปชิมให้ได้ ไม่ว่าจะต้องว่ายน้ำ ปีนเขา ลุยป่า หรือแอบยื่นมือเข้าไปในครัวของชาวบ้านกลางดึก แต่ถ้าไม่มีใครแนะนำอะไรใหม่ ๆ เขาก็จะชิมทุกอย่างที่ขวางหน้า ตั้งแต่ขนม ถุงเท้า ผ้าขาวม้า ไปจนถึง…กางเกงลิง!

ชาวบ้านจึงเดือดร้อนกันทั่ว เมื่อพระอาทิตย์ทราบเรื่อง พระอาทิตย์ซึ่งเป็นเทพที่ดูแลผู้คนในดินแดนแห่งนั้นจึงเรียกลูก ๆ ทุกคนมาหารือ

ลูกของพระอาทิตย์แต่ละคนต่างเสนอวิธีจัดการกับเจ้ายักษ์ด้วยวิธีที่รุนแรง บางคนบอกว่าจะใช้เปลวไฟเผาเจ้ายักษ์ บางคนเสนอว่าจะใช้แสงส่องให้แสบตาจนมองอะไรไม่เห็น

พระอาทิตย์ได้ฟังแล้วก็ส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า “เอะอะก็จะใช้แต่ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เขาไม่ใช่ยักษ์ชั่วร้ายสักหน่อย เขาแค่หลงใหลในรสชาติและการกินเท่านั้น”

ในขณะนั้นเอง ลูกชายคนเล็กของพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นเด็กน้อยที่มีผิวสีแดงอมส้มคล้ายเปลวเพลิง ได้อาสาไปจัดการกับยักษ์ โดยสัญญาว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด

พระอาทิตย์รู้ดีว่าลูกคนเล็กเป็นคนฉลาดและรักษาคำพูด จึงอนุญาตให้เขาไปจัดการเรื่องนี้

เมื่อลูกชายพระอาทิตย์เหาะไปถึงหุบเขา เขาพบยักษ์ตุ้มตุ้ยกำลังเคี้ยวเปลือกไม้อย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงเข้าไปกระซิบว่า “ฮัลโหล ตุ้มตุ้ย ฉันคือลูกชายพระอาทิตย์ ฉันเป็นมิตรนะ ฉันมาเพื่อบอกความลับว่า…มีของอร่อยที่สุดในโลกอยู่อย่างหนึ่ง ที่น้อยคนจะรู้จัก นั่นคือ ‘เงาของยักษ์’ ล่ะ”

ยักษ์ตุ้มตุ้ยเบิกตากว้าง “เงาของยักษ์เหรอ…มันอร่อยยังไง?”

“หวาน หอม ละมุนละไม แถมอิ่มเอมใจ เหมือนดั่งรสชาติแห่งความรัก” ลูกชายพระอาทิตย์บอก

ยักษ์ตุ้มตุ้ยมีทีท่าสนใจจนเนื้อตัวสั่น นับตั้งแต่เกิดมา…ยักษ์ยังไม่เคยรู้เลยว่า รสชาติแห่งความรักนั้นเเป็นอย่างไร ลูกชายพระอาทิตย์จึงอาสาช่วย โดยส่องแสงจากร่างกายให้เกิดเงาของยักษ์บนพื้นหญ้า

เมื่อยักษ์เห็นเงาทอดยาวอยู่บนพื้น มันก็รีบวิ่งไล่เพื่อจะจับเงามากิน ยักษ์วิ่ง…วิ่ง…วิ่ง ไล่เงาอย่างไม่ย่อท้อ จากหนึ่งชั่วโมง เป็นหนึ่งวัน จากหนึ่งวัน เป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์ กลายเป็นหนึ่งเดือน

ยักษ์ตุ้มตุ้ยวิ่งไม่หยุด เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนไขมันที่พุง ที่ต้นแขนต้นขา ค่อย ๆ เผาผลาญ พุงค่อย ๆ ยุบ แขนขากระชับ แก้มห้อย ๆ ก็หายไป จนในที่สุด…ยักษ์ตุ้มตุ้ยกลายเป็น “ยักษ์รูปหล่อ” โดยไม่รู้ตัว

ถึงอย่างนั้น ยักษ์ก็ยังคงวิ่ง…วิ่ง…แล้วก็วิ่ง เพราะมันอยากรู้จริง ๆ ว่า “รสชาติของความรัก” เป็นอย่างไรกันแน่ ยักษ์ติดต่อกันยาวนานจนแรงหมด จากนั้น ยักษ์ทรุดตัวลงนอนหอบอยู่ที่สนามหญ้า

ในช่วงเวลานั้นเอง มียักษ์สาวแสนสวยเดินผ่านมา เธอเป็นนางพยาบาล เมื่อเห็นคนที่ไม่สบาย เธอจึงรีบเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลด้วยความเมตตา

ยักษ์หนุ่มมองหน้ายักษ์สาวที่สวยเหมือนนางฟ้า แล้วก็ตกหลุมรักทันที แต่เมื่อเธอจากไป เขาก็ได้แต่มองตามอย่างเศร้า ๆ พลางพูดว่า “ถ้าฉันไม่อ้วนตุ้มตุ้ย ฉันคงจีบเธอแน่ ๆ…”

ลูกชายพระอาทิตย์มองแล้วยิ้มเบา ๆ ก่อนจะส่งกระจกให้ยักษ์ดูหน้าตัวเอง

เมื่อยักษ์ดูกระจก เขาก็ตกใจ เหมือนเห็นดาราอย่างเจมส์จิปรากฏอยู่ตรงหน้า “นั่นใครกัน?” เจ้ายักษ์คิด

และทันใดนั้น…เขาก็รู้ตัวว่า ตอนนี้ได้กลายเป็นยักษ์หุ่นดีไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ!

ยักษ์หนุ่มจึงมีความกล้า และมีกำลังใจที่จะไปจีบยักษ์สาว เขาสัญญากับตัวเองว่าจะกินแต่อาหารดี ๆ และไม่กินอะไรมั่วซั่วอีกต่อไป

หลังจากวันนั้น ไม่มีใครรู้ว่า ยักษ์หนุ่มจะจีบยักษ์สาวได้สำเร็จไหม แต่ที่ทุก ๆ คนรู้ก็คือ ลูกชายพระอาทิตย์ช่วยให้ชาวบ้านกลับมามีชีวิตที่สงบสุขได้อีกครั้ง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
  • ความรุนแรงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ควรยอมรับ
  • ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสะท้อนใจ

สัญญาปีศาจกับความรักของแม่ : นิทานสอนใจที่อาจทำให้คุณเสียน้ำตา

วันนี้ ตรงกับวันที่ 8 กันยายน 2568 ผมได้ดูคลิปข่าวของนักมวยชื่อ “ชาโด้ สิงห์มาวิน” แล้วได้ยินเขาพูดว่า “ผมไม่ได้แข็งแกร่ง เพราะคนที่แข็งแกร่งจริง ๆ คือแม่ของผม” ผมนิ่งไปนานมาก คำพูดที่ได้ฟัง มันสะเทือนใจจนผมรู้สึกว่า…อยากเขียนนิทานสักเรื่องเพื่อบอกโลกว่า ความรักของแม่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

มาอ่านนิทานเรื่อง “สัญญาปิศาจกับความรักของแม่” ด้วยกันนะครับ

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แห้งแล้งกลางหุบเขา มีแม่ลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเก่า พวกเขายากจนมาก ต้องขุดหัวมันไปขายเป็นรายได้หลัก แม้แดดจะแผดเผา หรือฝนจะตกหนักเพียงไร แม่ก็ยังคงต้องออกไปขุดดินเก็บมันด้วยมือเปล่า ส่วนลูกชายวัยสิบสองปีก็ได้แต่ช่วยแม่และเฝ้ามองแม่ของเขาด้วยความรักสุดหัวใจ

วันหนึ่ง เด็กชายล้มป่วยจากการทำงานกลางฝน แม่รีบหาผ้าห่มเก่า ๆ มาห่มตัวให้ลูก และพูดกับลูกอย่างอ่อนโยนว่า “พักเถอะลูก แม่จะไปทำงานเอง” จริง ๆ แล้ว ในวันนั้น แม่เองก็ป่วยมาก แม่ไอหนักจนยืนแทบไม่ไหว แต่เด็กชายเห็นแม่ทำท่าทางแข็งแรงเหมือนปกติ แล้วลุกขึ้นคว้าจอบออกไปขุดมันต่อ เพราะแม่รู้ดีว่า หากเธอหยุดทำงาน ลูกจะไม่มีข้าวกิน

คืนแล้วคืนเล่า เด็กชายเริ่มฝึกฝนร่างกายด้วยตนเอง เขาวิ่งรอบหมู่บ้าน ยกหินแทนตุ้มน้ำหนัก ฝึกหมัดและเท้าด้วยความมุ่งมั่น เขาอยากแข็งแกร่ง เพื่อสักวัน เขาจะได้ทำงานและปกป้องแม่จากความเหนื่อยยากที่ไม่เคยปรานีใคร

คืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งเหม่อมองฟ้า ปิศาจตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากเงามืด มันมีร่างสูงใหญ่ ดวงตาแดงฉาน และมีเสียงแหบต่ำที่เย็นยะเยียบ “เจ้าหนุ่ม หากเจ้าขายวิญญาณให้ข้า ไปเป็นนักรบให้ข้า ข้าจะให้แม่เจ้าอยู่สุขสบาย มีบ้านใหม่ มีเงินทอง ไม่ต้องทำงานอีกเลย” เด็กชายลังเล แต่เมื่อปิศาจพูดเสริมว่า “แต่หากเจ้าปฏิเสธหรือผิดสัญญา ข้าจะเอาชีวิตของแม่เจ้าไป” เด็กชายห่วงแม่ เขาจึงยอมตกลงรับข้อเสนอของปิศาจ

รุ่งเช้า แม่ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังใหม่ มีอาหารเต็มโต๊ะ และเงินทองมากมาย เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนลูกชายก็หายไปจากหมู่บ้าน โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปที่ไหน

หลายปีผ่านไป เด็กชายเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก เขาเป็นนักรบของปิศาจ ยึดครองเมืองต่าง ๆ ด้วยพลังที่ไม่มีใครต้านได้ ชื่อของเขากลายเป็นตำนาน ทุกเมืองที่เขาไปเยือนล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของปิศาจ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ปิศาจหมายจะยึดเมืองสุดท้ายที่ยังไม่ยอมจำนน มันส่งชายหนุ่มไปเป็นตัวแทนในการประลอง พระราชาแห่งเมืองนั้นกลุ้มใจมาก เพราะไม่มีใครกล้าสู้กับนักรบไร้พ่ายผู้นี้เลยสักคน จนมีนักสู้ลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาสวมผ้าคลุมจากหัวจรดเท้า เสียงแหบพร่า เขากล่าวว่า “ข้าขออาสาสู้เพื่อเมืองนี้”

เมื่อถึงวันประลอง เวทีถูกตั้งกลางลานหลวง ชายหนุ่มขึ้นเวทีด้วยท่าทีสง่างาม ปิศาจหัวเราะเยาะนักสู้ตัวเล็กที่เดินขึ้นมาบนเวทีอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสื้อคลุมที่ปิดบังใบหน้าและร่างกายเอาไว้ “เมืองนี้คงหมดหวังแล้ว” มันกล่าวอย่างเย้ยหยัน

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น นักสู้ลึกลับเดินเข้าหาชายหนุ่มอย่างสุขุม เมื่อเข้าใกล้ เขายื่นมือจับไหล่ทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ชายหนุ่มมองหน้าคู่ต่อสู้ที่อยู่ใต้เสื้อคลุม จากนั้น เขาก็ยืนนิ่ง ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้าง น้ำตารินไหลเหมือนโลกแตกสลาย สามวินาทีต่อมา เขาก็ทรุดลงกับพื้น เหมือนคนเข่าอ่อนที่ไร้เรี่ยวแรง

ปิศาจตกใจสุดขีด มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “เจ้ามีเวทมนตร์อะไร” มันตะโกนลั่น “ข้าขอยกเลิกสัญญา! เขาไม่ใช่พวกข้าอีกต่อไป! ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว! อย่าเอาชีวิตของข้าเลย” เมื่อพูดจบ ปิศาจก็รีบหายตัวไปในเงามืด โดยทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง

เมื่อปิศาจจากไป นักสู้ลึกลับจึงย่อตัวลงไปที่ชายหนุ่ม เสื้อคลุมที่ปกปิดใบหน้าค่อยๆ หลุดลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ชายหนุ่มเฝ้าคิดถึงทุกคืนวัน

ใช่แล้ว…นักสู้ลึกลับก็คือแม่ของเขาเอง แม่ที่เคยขุดมันกลางฝน แม่ที่ไม่เคยพักแม้จะป่วยหนัก

ชายหนุ่มโผเข้ากอดแม่ด้วยความรักสุดหัวใจ เขาน้ำตาไหลไม่หยุด “แม่…ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน” เขาร้องไห้ “ผมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย เพราะคนที่แข็งแกร่งจริง ๆ คือแม่ของผม แม่ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม ผมรักแม่ ผมคิดถึงแม่”

ในที่สุด ชายหนุ่มก็ได้กลับมาอยู่ดูแลแม่อีกครั้ง และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความรักของแม่คือความรักอันยิ่งใหญ่
  • คนที่แข็งแกร่งที่สุด อาจไม่ใช่คนที่มีพละกำลังมากที่สุด

Posted in การสร้างบ้าน, ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิต, ไอเดียบ้านและที่อยู่อาศัย

การสร้าง “บ้าน” ที่ไม่ทำให้ “บ้า” และไม่ “บาน” : บทเรียนชีวิตจริง

แนวทางและข้อคิดสำหรับผู้ที่อยากสร้างบ้าน

การสร้างบ้านไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้าง “พื้นที่แห่งความสุข” ที่สอดคล้องกับตัวตน ความฝัน และวิถีชีวิตของเราอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกับคนในวัยกลางคนหรือวัยเกษียณ ที่การตัดสินใจแต่ละครั้งต้องคิดให้รอบคอบ ตามความพร้อม ประสบการณ์ และความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง

ความฝันที่ซ่อนตัวอยู่นาน

หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ผมเองก็เช่นกัน ผมฝันอยากมีบ้านมานานแล้ว แต่ด้วยความกลัวเกี่ยวกับงบสร้างบ้านที่เป็นเงินก้อนใหญ่ การไม่มีความรู้จริงด้านการออกแบบหรือก่อสร้าง และความกลัวเรื่องผิดพลาด (เช่น สร้างบ้านแล้วจะออกมาเละเทะ) ทำให้ฝันนั้นถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อชีวิตเดินมาถึงวัยใกล้ห้าสิบ ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราจะใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไหน? อย่างไร?” และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คิดสร้างบ้านอย่างจริงจัง

วางแผนอย่างมีเป้าหมายและใช้ผู้ช่วยที่รู้จริง

แม้จะไม่มีพื้นฐานด้านการออกแบบหรือก่อสร้าง แต่การเริ่มต้นด้วยการหาที่ดินที่ถูกใจ หาข้อมูลเกี่ยวกับแบบบ้านอย่างรอบคอบ และ การเลือกสถาปนิกที่มีความสามารถ และตั้งใจฟังความต้องการของเราจริง ๆ รวมทั้งทำงานด้วยความซื่อตรง เอาใจใส่ เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การออกแบบบ้านและสร้างบ้านเป็นไปได้ด้วยดี

สถาปนิก : คุณเสก เสกสรรค์ ยางสะวาด แห่ง Seksan Studio

การตั้งงบประมาณที่ชัดเจน และการสื่อสารความต้องการด้วยการเขียนสิ่งที่ต้องการทั้งหมด รวมถึงการส่งตัวอย่างภาพบ้านที่เราชอบให้แก่สถาปนิก จะช่วยให้สถาปนิกสามารถออกแบบบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ดียิ่งขึ้น

แบบบ้านแบบแรก : สวยแต่ใหญ่เกินไป จึงขอให้สถาปนิกออกแบบใหม่
แบบบ้านแบบที่สอง : สวย แต่คำนวณแล้ว น่าจะเกินงบ จึงขอให้สถาปนิกออกแบบใหม่
แบบบ้านแบบที่สาม : ตรงใจทุกอย่าง
แบบบ้านแบบที่สาม : เล็ก ๆ ลงตัว แนวอีสานมุ้งมิ้ง

กระบวนการสร้างบ้าน: บทเรียนชีวิต

เมื่อแบบบ้านผ่านการแก้ไขปรับปรุงจนลงตัว และมีการขออนุญาตสร้างบ้านเรียบร้อย ในช่วงที่เริ่มสร้างบ้าน การสร้างบ้านอาจมีอุปสรรคบ้าง ตั้งแต่เรื่องสภาพลมฟ้าอากาศ การจัดการระบบไฟฟ้า ระบบน้ำบาดาล ไปจนถึงการควบคุมงานตกแต่งในช่วงท้าย แต่ปัญหาเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก หากมีทีมงานที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะสถาปนิกและวิศวกรที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลด้วยใจ ซึ่งในการสร้างบ้านของผม ผมได้สถาปนิกและวิศวกรที่อาสาให้ความช่วยเหลือ (เพราะรักในน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันและรักในบ้านที่ออกแบบ) ทำให้ทุกปัญหาผ่านไปได้อย่างราบรื่น

บ้าน: จุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิต

บ้านหลังนี้ไม่ใช่รางวัลชีวิต แต่คือ “จุดเริ่มต้นใหม่” ที่สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจในวัยห้าสิบ เป็นพื้นที่แห่งความสงบ ความเรียบง่าย และความสุขที่แท้จริง

การมีบ้านทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แต่ทั้งหมดคือความเหนื่อยที่เต็มไปด้วยความหมาย

อยู่เย็นเป็นประโยชน์

แม้การปลีกวิเวกอยู่บ้านริมแม่น้ำโขง (ตรงชายแดนไทย-ลาว) จะดูเงียบ ๆ อยู่สักหน่อย แต่บ้านหลังนี้คือเพื่อนที่อบอุ่น เป็นพื้นที่ที่สามารถมองท้องฟ้าแล้วเผลอยิ้มออกมาได้ หรือบางครั้งถึงกับเผลอพูดกับตัวเองว่า “วันนี้แม่น้ำสวยจัง” ความสุขเล็ก ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่บ้านมอบให้

วางแผนเพื่ออนาคต

การตัดสินใจสร้างบ้านในวัย 50 ปี เป็นการออกแบบที่ทำให้ผมต้องคิดเผื่อในวันที่ตัวเองไม่อยู่ บ้านหลังนี้จึงออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเด็กเล็ก, ที่พักผู้สูงอายุ, สถานปฏิบัติธรรม หรือ ร้านอาหารริมแม่น้ำได้ ซึ่งทั้งหมดคือการวางแผนเพื่อให้บ้านยังคงคุณค่าแม้ในวันที่เจ้าของจากไปแล้ว

ภาพแบบรั้ว ที่คุณเสกสรรค์ออกแบบให้ในตอนแรก
ในการก่อนสร้างจริง คุณเสกสรรค์คิดและปรับแก้ให้ลงตัวในงบที่จำกัด

แนวคิดการการส่งต่อบ้านให้คนในครอบครัวโดยไม่ให้ขาย คือการรักษาความรักและความผูกพันกับสถานที่ที่มีความหมายที่สุดในชีวิต

ภาพแบบรั้วตามที่ผมขอไว้ในตอนแรก ยังคิดไม่ถึงว่า เราสามารถทำรั้วที่แปลงกายได้
รั้วเปิดได้ เพื่อเชื่อมพื้นที่สนามภายในบ้านกับพื้นที่ภายนอกบ้าน เปิดโอกาสให้ปรับบ้านเป็นโครงการแบบอื่นได้ง่าย

ข้อคิดจากประสบการณ์ครั้งนี้

  • ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ควรสร้างบ้านเร็วกว่านี้ เพื่อได้ใช้ชีวิตกับบ้านนานขึ้น
  • การจ้างสถาปนิกที่ดี และเอาใจใส่ ไม่แพงอย่างที่คิด และคุ้มค่ามาก
  • หากยังไม่มีงบสร้างบ้าน แต่มีที่ดินแล้ว ควรเริ่มจากการจ้างสถาปนิกออกแบบบ้านให้ก่อน เพราะมันจะทำให้เรามีเป้าหมายในการเก็บเงิน
  • การจ้างงานในทุก ๆ เรื่อง เช่น การทำผ้าม่าน การติดตั้งกล้องวงจรปิด ต้องมีสัญญาเสมอ และให้จ่ายเงินเป็นงวด อย่าจ่ายทั้งก้อนเด็ดขาด

สรุป

“บ้านคือพื้นที่แห่งความสุขของชีวิต” การสร้างบ้านไม่จำเป็นต้อง “บ้าและบาน” เสมอไป หากเราวางแผนดี เลือกสถาปนิกและทีมงานที่ใช่ วางแผนและทำสัญญาอย่างรัดกุม การสร้างบ้านที่ตรงใจและนำพาความเบิกบานมาให้ก็จะเป็นจริงได้

หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ใช่บทความโฆษณา แต่เพราะผมโชคดีที่ได้จ้างคุณเสกสรรค์ สถาปนิกแห่ง SEKSAN STUDIO ให้ออกแบบบ้านให้ ซึ่งตลอดระยะเวลาตั้งแต่การออกแบบบ้าน การแก้แบบ (หลายครั้ง) การสร้างบ้าน และหลังจากบ้านเสร็จจนเข้าอยู่แล้วราว 2 ปีเศษ คุณเสกสรรค์ก็ยังคงติดตามถามไถ่และแวะกลับมาช่วยซ่อมแซมจุดต่าง ๆ ให้ ตลอดการทำงาน เราไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน เมื่อมีปัญหา…คุณเสกสรรค์จะอาสาเข้ามาแก้ปัญหาให้หมด งบสร้างบ้านที่เคยตั้งไว้ ถือว่าไม่บานปลาย (ช่วงที่ออกแบบบ้านกับช่วงสร้างบ้าน วัสดุก่อนสร้างมีการขึ้นราคาตามสภาพเศรษฐกิจ ทำให้งบสูงขึ้น และงบอีกส่วนที่เพิ่มเกิดจากการทำรั้ว ทำพื้นคอนกรีต ทำโรงจอดรถ ซึ่งคุณเสกสรรค์ออกแบบเพิ่มให้โดยไม่คิดค่าใช่จ่าย การที่ผมเจอสถาปนิกเก่ง ๆ และดีขนาดนี้ ถ้าไม่แนะนำ คงก็เป็นเรื่องแปลกครับ (ดูผลงานของคุณเสกสรรค์ได้ตามลิงค์ในภาพด้านล่างนี้นะครับ)

Posted in เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : จุดจบของแม่มดน้อย | นิทานนำบุญ

ในโลกของนิทานก่อนนอนที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และจินตนาการ มีบางเรื่องที่ไม่เพียงแต่เล่าเพื่อความบันเทิง แต่ยังปลุกหัวใจให้ตื่นขึ้นด้วยความอ่อนโยนและความดีงาม “จุดจบของแม่มดน้อย” คือหนึ่งในนิทานเช่นนั้น—เรื่องราวของแม่มดน้อยผู้ไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายได้สำเร็จ แต่กลับเลือกทำความดีอย่างไม่ลังเล แม้ต้องแลกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็ตาม

นิทานเรื่องนี้ไม่ได้เพียงเล่าถึงการเดินทางของตัวละคร แต่ยังสะท้อนการเดินทางภายในจิตใจของผู้ฟัง จากความเจ็บปวด สู่การให้อภัย และการกลับคืนสู่รากแท้ของความดีงาม ด้วยโครงเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานต่างประเทศอันทรงพลัง ผู้เขียน (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้ถักทอเรื่องใหม่ขึ้นอย่างตั้งใจ เพื่อแสดงความเคารพต่อความทรงจำในวัยเยาว์ และเพื่อมอบนิทานที่อบอุ่นที่สุดในบรรดานิทานแม่มดที่เขาเคยแต่ง

เมื่อนิทานเรื่องนี้ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบ “เพลงเล่านิทาน” ความงดงามของเรื่องราวก็ยิ่งทวีคูณ เสียงเพลงและการเล่าเรื่องช่วยเติมอารมณ์ให้ลึกซึ้งขึ้นจากความหนาวเหน็บของภูเขามายา สู่แสงสว่างของดินแดนนางฟ้า ทุกถ้อยคำและท่วงทำนองล้วนสื่อถึงความหวังที่ซ่อนอยู่ในความเศร้า และพลังแห่งความดีที่ไม่เคยสูญหายไปจากโลกใบนี้

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

“นานา” แม่มดน้อยกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่มดใจร้าย เติบโตมาท่ามกลางความมืดมนและการเรียนรู้เวทมนตร์เพื่อทำเรื่องชั่วร้าย แม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับสอบตกวิชาความชั่ว และไม่เคยทำให้นางแม่มดภูมิใจได้เลย

วันหนึ่ง นานาตัดสินใจออกเดินทางขึ้นภูเขามายาเพื่อนำผลไม้อมตะกลับไปมอบให้นางแม่มดผู้มีพระคุณ ระหว่างทาง เธอได้ช่วยเหลือผู้คนและสัตว์ที่กำลังลำบาก มอบไม้กวาดวิเศษให้เด็กน้อย, ฝากแมวน้อยไว้กับแม่เสือดำที่สูญเสียลูก และสละผ้าคลุมวิเศษให้ครอบครัวกระต่ายที่หนาวเหน็บ

แม้จะเสียสิ่งสำคัญไปทั้งหมด นานายังคงมุ่งมั่นเดินต่อ แต่สุดท้ายเธอก็หมดแรงและสิ้นลมหายใจกลางหิมะหนาวเหน็บ ก่อนถึงยอดเขาเพียงนิดเดียว

ทว่าเรื่องราวยังไม่จบ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น และนานาก็ฟื้นคืนชีพในร่างของเด็กหญิงที่แท้จริง เธอคือทายาทแห่งดินแดนนางฟ้าที่ถูกแม่มดใจร้ายลักพาตัวไปตั้งแต่แบเบาะ การทำความดีของนานาได้พิสูจน์จิตใจอันงดงามของเธอ และนำเธอกลับคืนสู่บ้านเกิดในฐานะนางฟ้าองค์น้อยอีกครั้ง

ในส่วนของเพลง จุดจบของแม่มดน้อย เพลงนี้เล่าเรื่องในแบบเพลงเล่านิทาน คือ เนื้อเพลงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอ่านนิทานเสร็จแล้วได้ฟังเพลงต่อ ก็จะรู้สึกหรือคิดภาพตามไปได้ง่ายขึ้น

ท่านที่ชอบเพลงนิทาน-นิทานเพลงในคลิป และอยากอ่านนิทานฉบับเต็ม ผมขอนำลิงค์มาแปะไว้ให้ นิทานฉบับเต็มมีรายละเอียดที่สมบูรณ์กว่าฉบับย่อ หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

แม่มดน้อยนานาในชุดคลุมดาว ขี่ไม้กวาดพร้อมแมวดำ ฉากหลังเป็นภูเขาและปราสาท – ภาพประกอบนิทาน จุดจบของแม่มดน้อย โดย นำบุญ
Posted in ธรรมะและการเจริญสติ, บทเรียนชีวิตจริง, บุคคลต้นแบบ

กำพล ทองบุญนุ่ม: ชายผู้ลาออกจากความทุกข์ ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว

บทความนี้ยาวมาก แต่มันมีค่ามีความหมายต่อผมมาก เพราะมันเป็นเรื่องราวของบุคคลที่ต้องพบกับความท้าทายในชีวิต ชนิดที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดขึ้นกับผม ผมจะรับมือได้ไหม? ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านบทความนี้ เพราะมันอาจทำให้คุณยิ้มและมีกำลังใจ ในวันที่คุณต้องเผชิญกับความทุกข์

ใครที่กำลังมีความทุกข์มาก เครียดมาก และรู้สึกว่าทุกข์ที่ตัวเองพบเจอ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ป่วยกาย ป่วยใจ ทุกข์จากการสูญเสีย พลัดพราก ทุกข์จากความรัก ทุกข์จากความผิดหวัง ฯลฯ ผมคิดว่า ความทุกข์ที่อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ต้องเผชิญ “หนักหนาสาหัสไม่แพ้ใคร” และวิธีการที่ทำให้อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม จัดการกับความทุกข์ได้สำเร็จ  รวมถึง “การลาออกจากความพิการ” จนกลายมาเป็น “อุปกรณ์สอนธรรม” ที่ให้ความสว่างและความอบอุ่นแก่คนที่กำลังทุกข์ อาจทำให้หลาย ๆ คน เกิดกำลังใจและเห็นหนทางของการหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ได้

ผมรู้จัก “ชื่อ” ของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ครั้งแรก ในช่วงที่ผมเริ่มฝึกการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ โดยรู้จักจากการฟัง mp3 ที่อาจารย์เล่าประสบการณ์การเจริญสติ การฟัง mp3 ทำให้ผมทราบว่า อ.กำพล ทองบุญนุ่ม เป็นอัมพาตเพราะอุบัติเหตุ และต้องทนทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วงยาวนาน จนกระทั่งอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ จ.ชัยภูมิ  และได้ฝึกการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียน (ซึ่งถือเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคำเขียน) จนท้ายที่สุด อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ได้ลาออกจากความทุกข์ และได้นำเรื่องราวของตนเองและประสบการณ์ที่ตนเองได้จากการเจริญสติ มาแบ่งปันให้แก่ผู้ที่สนใจทั้งคนไทยและคนต่างชาติได้รับรู้

เรื่องราวของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม พอสรุปได้ดังนี้ คือ อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เกิดเมื่อปี 2498 ที่จังหวัดนครสวรรค์ จบการศึกษาปริญญาตรีด้านพลศึกษา แล้วได้รับราชการเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดอ่างทอง เมื่ออายุได้ 24 ปี อาจารย์กำพลได้ประสบอุบัติเหตุในขณะสอนว่ายน้ำ โดยการกระโดดพุ่งหลาวลงไปในสระน้ำแล้วศีรษะกระแทกพื้นทำให้เป็นอัมพาต ชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ การเปลี่ยนแปลงจากคนที่แข็งแรง กลายเป็นผู้พิการที่แขนทั้ง 2 ข้างอ่อนแรง นิ้วมือและขาทั้ง 2 ข้างใช้ไม่ได้  ตั้งแต่คอลงไปถึงปลายเท้าแทบไม่มีความรู้สึก ร่างกายชา คุมการขับถ่ายไม่ได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นส่วนใหญ่ การนั่งบนรถเข็ญทำได้บ้าง (เมื่อมีคนช่วยยกลงนั่ง) แต่ถ้านั่งนานจะหายใจไม่สะดวก ส่วนเรื่องอาชีพและอนาคตก็เหมือนสิ้นสุดไปพร้อม ๆ กับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น เพราะด้วยสภาพร่างกาย ทำให้อาจารย์กำพลต้องลาออกจากงาน อนาคตที่ทำท่าว่าจะสดใสกลับกลายเป็นมืดมนไปในชั่วพริบตา

ใครที่กำลังมีความทุกข์ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม หากลองเปรียบเทียบความทุกข์ที่ตัวเองต้องเผชิญกับกรณีที่อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ต้องพบเจอ ผมเชื่อว่า ทุกข์ของเราอาจกลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ และไม่มีใครอยากแลกความทุกข์กับอาจารย์กำพลแน่ ๆ ดังนั้น หากใครท้อกับความทุกข์ของตัวเอง ลองอ่านบทความนี้ต่อไปนะครับ เพราะในตอนท้าย อาจารย์กำพลลาออกจากความทุกข์ที่หนักหน่วงนี้ได้สำเร็จ!

กลับมาที่เรื่องราวของอาจารย์กำพลกันต่อ ในช่วงเวลานั้น อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ผิดหวังกับชีวิตมาก ความทุกข์ที่บีบคั้นทางร่างกาย (ที่เหมือนตายทั้งเป็น) ทำให้อาจารย์คิดฟุ้งซ่านถึงขั้นอยากเป็นคนฟั่นเฟือน เพื่อให้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อาจารย์กำพลรู้สึกท้อแท้ ว้าเหว่ เหมือนเป็นคนเดียวในโลกที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ อาจารย์กำพลเชื่อว่าตนเองคงมีอายุไม่ยืนยาวนัก จึงตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตให้เป็นประโยชน์และมีคุณค่ามากกว่าการคิดฟุ้งซ่านไปวัน ๆ ในขณะที่อาจารย์กำพลทุกข์ คุณพ่อคุณแม่ของอาจารย์เองก็ทุกข์ไม่แพ้กัน แต่นับว่าอาจารย์กำพลโชคดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งญาติพี่น้อง ช่วยกันดูแลอาจารย์กำพล รวมถึงนำพาอาจารย์กำพลให้สนใจในเรื่องธรรมะ

ในช่วงแรก คุณพ่อของอาจารย์มักไปวัดและกลับมาพร้อมเทปธรรมะกับหนังสือธรรมะ รวมทั้งเล่าเรื่องราวที่ได้ไปพบเจอให้อาจารย์กำพลได้ฟัง ส่วนคุณแม่ซึ่งมีศรัทธาในธรรมะอยู่ก่อนแล้ว ได้แนะนำให้อาจารย์กำพลภาวนาพุทโธตามลมหายใจเข้าออก และคุณแม่ยังสวดมนต์แผ่เมตตาให้อาจารย์ทุกวัน ซึ่งสิ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ทำให้อาจารย์กำพล ส่งผลให้อาจารย์เกิดความคิดที่จะศึกษาธรรมะจากหนังสือและเทปที่คุณพ่อหามาให้ โดยหวังให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต ดีกว่าการปล่อยจิตใจให้เลื่อนลอยฟุ้งซ่านอย่างหาสาระอะไรไม่ได้

ความทุกข์ครั้งใหญ่ในชีวิต และความรักจากคุณพ่อคุณแม่ ทำให้อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ก้าวเข้าสู่ต้นทางในการรับมือกับความทุกข์ ซึ่งในช่วงแรกเป็นการเรียนรู้ธรรมะจากการอ่านและการฟัง (ไม่ใช่การปฏิบัติ) ที่ส่งผลให้ลืมความทุกข์ไปได้บ้าง ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลาย ทำให้สนใจและศรัทธาในหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามากขึ้น อย่างไรก็ตาม การอ่านและการฟังอาจทำให้ได้ความรู้ในเรื่องธรรมะมากขึ้น ได้พักใจในช่วงที่ฟังธรรมหรือขบคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน แต่เมื่ออาจารย์กำพลหวนคิดถึงเรื่องของตัวเอง ความทุกข์ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น อาจารย์กำพลใช้เวลาอ่านและฟังธรรมะนานถึง 16 ปี ในที่สุด อาจารย์กำพลจึงคิดที่จะเริ่มปฏิบัติธรรมะ

ในช่วงเวลานั้น (ราวปี 2525) คุณพ่อของอาจารย์กำพลได้ไปที่วัดสนามใน และได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ จากนั้น คุณพ่อได้นำหนังสือและเทปเกี่ยวกับการเจริญสติแบบเคลื่อน ไหวตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มาให้อาจารย์กำพลได้ศึกษา

การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว เป็นวิธีการเจริญสติที่สบาย ๆ ใช้การเคลื่อนไหวมือ 14 จังหวะ และการให้มีความรู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหว โดยหลวงพ่อเทียนยืนยันว่า ถ้าปฏิบัติตามแนวทางนี้แล้ว จะทำให้ความทุกข์ลดน้อยลงได้

ในตอนแรก อาจารย์กำพลทดลองนอนปฏิบัติ และดูความคิด (ตามความเข้าใจจากการอ่านหนังสือและการฟังเทป) แต่อาจารย์เข้าใจผิด เพราะเมื่อดูความคิด ความคิดจึงพาไป-ปรุงแต่งไป จนมีแต่ความหลง เมื่ออาจารย์กำพลสังเกตเห็นความไม่ปกติ จึงคิดอยากมีครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำ ซึ่งอาจารย์กำพลโชคดีมากที่ได้รับคำแนะนำจากกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง ให้เขียนจดหมายไปขอคำแนะนำจากหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ  วัดภูเขาทอง จ. ชัยภูมิ  และในเดือนกรกฎาคม 2538 อาจารย์กำพลได้เขียนจดหมายไปกราบถวายตัวเป็นลูกศิษย์และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม (สำหรับผู้พิการ) จากหลวงพ่อคำเขียน ซึ่งหลังจากนั้นราว 12 วัน อาจารย์กำพลก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากหลวงพ่อคำเขียนที่ยินดีเป็นกัลยาณมิตรให้ ทั้งยังแนะนำวิธีการเจริญสติ โดยให้อาจารย์กำพลนอนปฏิบัติได้ แต่ในขณะพลิกมือเล่นก็ให้อยู่กับความรู้สึกตัว เวลาเผลอคิด ก็ให้กลับมา “รู้สึกตัว” กับการเคลื่อนไหวของมือ (หลวงพ่อคำเขียนใช้คำว่า กลับมากำหนดรู้อยู่ที่กาย) ให้ขยันรู้สึกตัวอยู่เรื่อย ๆ แต่อย่าเข้าไปในความสงบ เมื่อหมั่นกลับมาที่ความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ๆ ความหลงก็จะลดน้อยลงหรือหมดไป แล้วก็จะเห็นความเป็นจริงมากขึ้น ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับจิตใจ เห็นความสุข ความทุกข์ ความอึดอัดขัดเคือง ว่าเป็นอาการทางจิต เห็นแล้วก็อย่าเข้าไปเป็น ให้เราปฏิบัติไป เจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวไป

เมื่ออาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ได้หลวงพ่อคำเขียนเป็นครูบาอาจารย์ อาจารย์กำพลก็เริ่มต้นฝึกการเจริญสติที่บ้าน โดยการนอนพลิกมือคว่ำและหงายให้มีสติเข้าไปรู้ แน่นอนว่าในการเจริญสติใหม่ ๆ ผู้ปฏิบัติมักถูกความคิดนำพาออกไปจากความรู้สึกตัวอยู่เกือบตลอดเวลา ความไม่ก้าวหน้ามักทำให้หลาย ๆ คนท้อและเลิกการเจริญสติไปในที่สุด แต่อาจารย์กำพลไม่คิดที่จะท้อถอย (อาจท้อ แต่ถอยไม่ได้ เพราะทุกข์ที่มีอยู่มันหนักหนาสาหัสมาก) อาจารย์กำพลจึงหมั่นฝึกไปเรื่อย ๆ ใช้คำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียนเรื่องที่ให้ดูกายเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวเป็นแนวทาง จนสติคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของกายมากขึ้น มีสติมากขึ้น มีความคิดปรุงแต่งน้อยลง มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน  ไม่คิดเรื่องอดีตหรืออนาคต  จิตใจจึงผ่อนคลายและได้สัมผัสกับ “ของจริง” จากการปฏิบัติธรรม ซึ่งหาไม่ได้จากการอ่านหนังสือหรือการฟังเทปธรรมะใด ๆ

อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เห็นความสำคัญของการเจริญสติมาก เพราะตระหนักว่ามันเป็นทางออก-ทางรอดของชีวิตที่ไม่มีทุกข์ อาจารย์กำพลจึงปรารภความเพียร โดยเจริญสติอย่างต่อเนื่องทั้งวัน เมื่อติดขัดหรือมีข้อสงสัย ก็จะเขียนจดหมายไปถามหลวงพ่อคำเขียน ซึ่งท่านแนะนำให้สังเกตดูอาการ โดยเน้น “ให้เป็นผู้ดู  อย่าเข้าไปอยู่ ไปเป็น”  ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญาที่เป็นปัญญาจากการภาวนา ไม่ใช่ปัญญาจากการใช้ความคิดหาเหตุผลประกอบ

ยิ่งเจริญสติมากขึ้น ๆ อาจารย์กำพลก็ยิ่งรู้แจ้ง-รู้จริงว่า กายและจิตอยู่กันคนละส่วน ส่วนตัวเราทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราเข้าไปเป็นผู้ทุกข์ แต่ทุกข์จะหายไปทันทีที่เราออกมาเป็นผู้ดู ไม่ใช่ผู้เป็น เมื่ออาจารย์กำพลรู้แจ้งในสิ่งนี้ จิตใจของอาจารย์กำพลจึงลาออกจากความทุกข์และความพิการได้อย่างถาวร และกลายมาเป็นกัลยาณมิตรผู้ให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจแก่ผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมจำนวนมาก

หากพิจารณาชีวิตของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ที่พลิกผันจากคนที่มีความแข็งแรง มีอนาคต กลายมาเป็นผู้พิการ ที่มองไม่เห็นอนาคตใด ๆ แต่แล้วจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของการเจริญสติ อาจารย์กำพลก็พลิกชีวิตจากคนที่ดูเหมือนไม่มีคุณค่า กลายมาเป็น “อุปกรณ์สอนธรรม” ที่มีค่ายิ่งสำหรับคนที่ทุกข์และพยายามจะฝ่าฟันให้พ้นจากทุกข์ไปให้ได้

ในช่วงที่ผมเริ่มฝึกการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว และได้ฟัง MP3 ธรรมะของอาจารย์กำพล สิ่งที่ผมได้จากการฟังคือความสบายใจและกำลังใจบางอย่าง เพราะเหมือนมีรุ่นพี่ที่พบเจอความทุกข์และผ่านมันมาได้ด้วยการเจริญสติ มาเล่าประสบการณ์ให้เราได้ฟัง เสมือนยืนยันว่าเส้นทางนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้อง

ต่อมา หลังจากที่ผมได้ฝึกเจริญสติราว 1-2 ปี (โดยที่ยังไม่เคยพบอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม มาก่อน) อยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์เอนก เตชะวโร ผู้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียนและเป็นพระอาจารย์ของผม ได้เดินทางไปเยี่ยมอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม (แถว ๆ ย่านอรุณอัมรินทร์) เนื่องจากช่วงนั้นอาจารย์กำพลป่วยมาก (หมอวินิจฉัยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน) แต่เมื่อได้ไปพบ ผมในฐานะผู้ติดตามได้เห็นภาพที่คล้ายกับตอนที่ผมได้ติดตามพระอาจารย์ ไปเยี่ยมหลวงพ่อคำเขียนในช่วงที่ท่านพักฟื้นหลังผ่าตัดมะเร็งที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กล่าวคือ ทั้งอาจารย์กำพลและหลวงพ่อคำเขียน ดูเป็นปกติ สดชื่น ไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ และดูไม่เหมือนคนที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเลย!

ความจริงที่ผมได้เห็นกับตา ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่า การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียน เป็นวิธีภาวนาที่ไม่ผิดทางแน่ แต่ผมเองได้หยุดการเจริญสติไปราว 5 ปี จนกระทั่งคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรกลับมาเจริญสติอย่างจริงจังอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ ผมบังเอิญได้ฟังคลิปเสียงของอาจารย์กำพลจากยูทูบ และได้ดูคลิปวิดีโอที่อาจารย์กำพลไปออกรายการเจาะใจ สิ่งที่ผมคิดคือ ผมอยากนำเรื่องราวของอาจารย์กำพล และนำคลิปที่มีค่าเหล่านี้มาให้เพื่อน ๆ ได้ดูได้ฟังกัน รวมทั้งอยากเขียนบทความเกี่ยวกับอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ด้วยความเคารพอย่างสูง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของท่านให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน

ผมเชื่อว่า เรื่องราวของอาจารย์กำพล และคลิปที่ผมคัดเลือกมาประกอบในบทความนี้ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ถ้าบุคคลที่มีข้อจำกัดทางร่างกายมากมายยังสามารถเจริญสติจนลาออกจากความทุกข์ได้ พวกเราทุกคนก็ต้องทำให้ได้เช่นกัน

ขอขอบพระคุณอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ที่ “ยังอยู่” เป็นกำลังใจในการเจริญสติให้แก่ผู้สนใจในการเจริญสติ และขอบพระคุณที่ทำให้เห็นว่า “ชีวิตของคนเรานั้นมีคุณค่าได้มากมายเพียงไร”

ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวของคุณกำพลในเวอร์ชั่นกระชับ อ่านได้โดยกดลิงค์ที่ภาพนี้

กำพล ทองบุญนุ่ม ชายผู้พิการที่เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นธรรมะ พร้อมรอยยิ้มเบิกบานในสวนดอกไม้
“ทุกข์สาหัส ก็ขจัดไปได้” — กำพล ทองบุญนุ่ม ผู้พิการที่กลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรม

Posted in บทเรียนชีวิตจริง, เรื่องจริงให้กำลังใจ

ทุกข์สาหัสก็ขจัดไปได้ : กำพล ทองบุญนุ่ม ชายผู้ลาออกจากความทุกข์

ในโลกใบนี้ มีผู้คนมากมายที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ บางคนป่วย บางคนสูญเสีย บางคนรู้สึกไร้ค่า บางคนไม่เห็นทางออก และบางคน…เก็บความทุกข์อยู่ในใจจนไม่มีใครรู้

ท่ามกลางคนที่มีความทุกข์ ยังมีเรื่องราวหนึ่งที่อยากให้คุณได้ฟัง

เรื่องของชายคนหนึ่งชื่อ “กำพล ทองบุญนุ่ม” เขาเคยเป็นครูพละ มีร่างกายแข็งแรง มีอนาคตที่สดใส แต่วันหนึ่ง…เขาประสบอุบัติเหตุจากการกระโดดน้ำ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะมันทำให้เขากลายเป็นผู้พิการ พิการแบบที่ขยับร่างกายแทบไม่ได้ หายใจลำบาก ร่างกายช่วงล่างไม่มีความรู้สึก ต้องนอนอยู่บนเตียง และต้องให้คุณพ่อคุณแม่ที่แก่แล้วคอยดูแลทุกอย่าง

เขาไม่ได้ทุกข์แค่วันสองวัน แต่ทุกข์นานถึง 16 ปี จนเคยคิดว่า “ถ้าฟั่นเฟือนไปเลย…ก็คงจะดี”

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตของเขา คือ “ความรักจากพ่อแม่” คุณพ่อเริ่มไปวัด คุณแม่สวดมนต์อยู่ข้างเตียงทุกคืน เขาเริ่มฟังธรรมะ อ่านหนังสือ และภาวนา แม้ใจยังไม่สงบ แต่เขาก็พยายาม

เขารู้ว่าเขาหายจากความพิการไม่ได้ แต่เขายังหวังที่จะหายจากความทุกข์

วันหนึ่ง เมื่อพ่อของเขาแนะนำให้รู้จักการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว คนที่เคลื่อนไหวแทบไม่ได้อย่างเขาจึงทดลองทำ และเขียนจดหมายไปขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ

เขาโชคดีที่ได้รับจดหมายตอบ และนั่นก็ทำให้เขามีกำลังใจในการที่จะเจริญสติจนกว่าจะพ้นจากทุกข์ให้ได้

เขาตัดสินใจเดินทางไปยังวัดของหลวงพ่อ วัดอยู่บนภูเขา แม้ร่างกายจะไม่อำนวย แม้จะต้องให้คนช่วยอุ้มทุกขั้นตอน แต่เขาก็ไป เพราะเขารู้ว่า ถ้าไม่ไป…เขาอาจไม่มีวันได้ออกจากนรกในใจ

การขึ้นเขาไม่ง่าย แต่การอยู่ในวัดทั้ง ๆ ที่พิการ…ยากกว่า เขาไม่สามารถเจริญสติเหมือนคนอื่น ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เอง แม้แต่การเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนช่วย แต่เขาไม่เคยบ่น เขาไม่เคยขอให้ใครทำแทน เขาแค่ขอให้มีโอกาสได้ฝึก

เขาเริ่มฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหว โดยพลิกมือช้า ๆ ขณะนอนอยู่ รู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหว รู้สึกตัวกับความคิดที่พาไป รู้สึกตัวกับความท้อที่แอบเข้ามาเงียบ ๆ

บางวัน…เขาหลงคิดจนหมดแรง บางวัน…เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางวัน…เขาอยากเลิก แต่เขาไม่เลิก เพราะเขารู้ว่า ความทุกข์ที่เขาเผชิญมา 16 ปี มันหนักหนาเกินกว่าจะปล่อยให้มันอยู่กับเขาตลอดชีวิต

เขาใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้ความเพียรที่มากกว่าคนทั่วไป เพราะเขาไม่มีแรงกาย แต่เขามีแรงใจที่ไม่ยอมแพ้

และวันหนึ่ง เขาเริ่มเห็นว่า กายกับจิตอยู่กันคนละส่วน ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราเข้าไปเป็นผู้ทุกข์ แต่เมื่อเขา “ออกมาเป็นผู้ดู” ทุกข์ก็เริ่มเบาลง

เขาไม่ได้กลับมาเดินได้ แต่เขากลับมามีหัวใจที่เบิกบานได้ เมื่อความพิการทางกายทำให้เขาทุกข์ใจไม่ได้ เขาจึงประกาศลาออกจากความพิการ และอาสาเป็นอุปกรณ์สอนธรรมให้กับคนที่มีความทุกข์

เขาเริ่มบรรยายธรรมผ่านเสียง ผ่านคลิป ผ่านรอยยิ้มที่แจ่มใส

เขากลายเป็นแสงสว่างให้คนที่กำลังมืดมน กลายเป็นครูให้คนที่กำลังหลงทางอยู่ในความทุกข์ และกลายเป็นกำลังใจให้คนได้เห็นว่า “ทางข้างหน้ายังมีแสงสว่าง”

ในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอย แต่หัวใจของเขายังคงเบาสบาย และกลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรมอันทรงคุณค่า ที่ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าทุกข์ของเราไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับคุณกำพล เราก็ยังมีโอกาสพ้นจากความทุกข์นั้นได้ และกลายเป็นบุคคลที่ “อยู่เย็นเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง”

ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวของคุณกำพลในเวอร์ชั่นที่มีรายละเอียด อ่านได้โดยกดลิงค์ที่ภาพนี้

ภาพวาดอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม กับคุณพ่อที่คอยดูแล สื่อถึงความอบอุ่นและกำลังใจจากบทเรียนชีวิตจริงที่เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นธรรมะ
กำพล ทองบุญนุ่ม – บทเรียนชีวิตจริงที่เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นธรรมะ ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว
Posted in นิทานนำบุญ

ค่าลิขสิทธิ์นิทาน และค่าโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ

เว็บไซต์นิทานนำบุญจัดทำโดย “นำบุญ นามเป็นบุญ” นักเขียนนิทานอาชีพ ผู้มีผลงานมากกว่า 400 เรื่อง และหนังสือภาพกว่า 30 เล่ม โดยได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรายการ รวมถึงรางวัลวรรณกรรมดีเด่นในโครงการวรรณกรรมยอดเยี่ยมในสมัยรัชกาลที่ 9 ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา จากหนังสือเรื่อง คนต่อเทียน

เว็บไซต์นิทานนำบุญเป็นสื่อออนไลน์ที่นำเสนอ “นิทานอบอุ่น” สำหรับเด็ก ครอบครัว และทุก ๆ คน โดยเน้นเนื้อหาที่ปลอดภัย สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์

ตั้งแต่เริ่มเปิดเว็บไซต์จนถึงปัจจุบัน มียอดวิวรวมสะสมมากกว่า 20 ล้านวิว โดยในช่วงเดือนล่าสุด (4 ส.ค. – 2 ก.ย. 2568) มีผู้เข้าชม 165,524 คน และมียอดวิวรวม 462,965 ครั้ง

กลุ่มผู้อ่านหลักของเว็บไซต์ ได้แก่:

  • ครอบครัว (พ่อแม่ลูก)
  • โรงเรียน (ครูและนักเรียน)
  • บุคคลทั่วไปที่รักการอ่านนิทาน เช่น คนที่อ่านนิทานให้แฟนฟังก่อนนอน

เว็บไซต์นิทานนำบุญไม่ได้เป็นเพียงสื่อที่เผยแพร่นิทาน แต่เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำที่ดีงามของครอบครัวที่ใช้เวลาก่อนนอนส่งต่อความรักให้ลูกด้วยนิทาน ทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่ครูใช้ในการสอน และเป็นที่พักใจของผู้คนที่ต้องการความอบอุ่นผ่านเรื่องเล่า

ผู้ใช้งานเว็บไซต์ ใช้งานเว็บไซต์ ประมาณ 3 นาที ต่อวัน (ไม่ใช่การเปิดผ่านแล้วออกไป) ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการอ่านและการมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาอย่างแท้จริง

ตลอดระยะเวลา 8 ปีของการจัดทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ พบปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานมากกว่า 400 กรณี และมีการละเมิดที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ

การรับมือกับสถานการณ์นี้ ผู้จัดทำจึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบของเว็บไซต์ และเริ่มหารายได้ด้วยการขายลิขสิทธิ์นิทาน รวมถึงการขายพื้นที่โฆษณา เพื่อเตรียมทุนในการดำเนินคดีกับผู้ละเมิด และวางรากฐานของเว็บไซต์ให้มีความมั่นคง

นิทานในเว็บไซต์นิทานนำบุญที่แต่งโดย นำบุญ นามเป็นบุญ เป็นงานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ผู้ที่ต้องการนำไปใช้ต้องได้รับอนุญาตและชำระค่าลิขสิทธิ์

อัตราเริ่มต้น: 33,000 บาท/เรื่อง

หมายเหตุ: อัตรานี้อ้างอิงตามค่าลิขสิทธิ์ที่เคยได้รับจากการพิมพ์หนังสือภาพสำหรับเด็กชุด “ตามรอยพระราชา”

เว็บไซต์นิทานนำบุญ มีผู้เข้าชมเฉลี่ยต่อวันประมาณ 6,000 คน และมียอดวิวเฉลี่ยต่อวันกว่า 18,000 ครั้ง โดยในช่วงเวลา 1 เดือน (4 ส.ค. – 2 ก.ย. 2568) เว็บไซต์มีผู้เข้าชมรวมทั้งสิ้น 165,524 คน และมียอดวิวรวมกว่า 462,965 ครั้ง

เพื่อให้การลงโฆษณาของลูกค้ามีความคุ้มค่า ทางเว็บไซต์ได้คัดเลือก “หน้าโฆษณาที่ดีที่สุด” ซึ่งเป็นหน้าที่มีผู้เข้าชมสูงสุด โดยมียอดวิวหลายหมื่นวิวต่อเดือน ได้แก่:

  • หน้าอันดับ 1: 68,000 วิว/เดือน
  • หน้าอันดับ 2: 51,000 วิว/เดือน
  • หน้าอันดับ 3 + 4 (รวมกัน): 31,000 วิว/เดือน

แบนเนอร์โฆษณาจะปรากฏในตำแหน่งด้านบนสุดของหน้าเหล่านี้ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชมเห็นได้ชัดเจน และมีโอกาสสูงในการสร้างการรับรู้และความสนใจ

Man with glasses working on a laptop, with a website mockup and bar graph in the background representing story licensing and advertising on the Nitan Nam Bun website.
A visual overview of how advertising and story licensing work on the Nitan Nam Bun website — a trusted space for families and educators.

ถ้าพิจารณาค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อวันจะพบว่า งบโฆษณา 150 บาท จะเข้าถึงผู้ชมประมาณ 2,267 วิว/วัน และเมื่อผู้ชมใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 3 นาทีในการเข้าใช้งานเว็บไซต์ต่อครั้ง โอกาสในการมองเห็นและสนใจโฆษณาจึงมีสูงมาก

ท่านที่สนใจซื้อลิขสิทธิ์นิทาน หรือต้องการลงโฆษณากับเว็บไซต์นิทานนำบุญ สามารถติดต่อได้ทางกล่องข้อความของเว็บไซต์นิทานนำบุญ

ขอบคุณครับ

อัตราค่าลิขสิทธิ์นิทานและค่าโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ
ภาพประกอบบทความเกี่ยวกับการจัดการลิขสิทธิ์และโฆษณาในเว็บนิทานอบอุ่น

Posted in ธรรมะเข้าใจง่าย, พัฒนาตนเอง, มงคลชีวิต 38 ประการ

คู่มือชีวิตดีที่คนมองข้าม | เข้าใจมงคลชีวิต 38 ประการแบบง่าย ๆ เพื่อชีวิตที่มีความสุข

ผมตั้งใจเขียนบทความนี้ เพราะค้นพบว่า มันมีประโยชน์มากสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งกับคนในวัยหนุ่มสาว หรือ คุณพ่อคุณแม่คุณครูที่จะนำเนื้อหาไปแนะนำให้แก่เด็ก ๆ ถ้าผมเข้าใจมงคลชีวิต 38 ประการได้อย่างชัดเจนเร็วกว่านี้ และนำไปใช้เป็นแนวทางของชีวิต ชีวิตคงดีมาก ๆ เลยครับ อนึ่ง ในบทความนี้ ผมใช้เวลาคิดและทำแผนภูมิแบบ mind map เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมงคลชีวิต(ในมุมมองของผม)ได้ง่ายขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ

คุณเคยคิดไหมว่า…เราควรใช้ชีวิตอย่างไร เราถึงจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข?

ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเปรียบเทียบ และความไม่แน่นอน บางคนรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไม่มีความสุข บางคนพยายามทำทุกอย่างตามไลฟ์โค้ช แต่กลับพบว่าความสุขยังคงห่างไกล

เมื่อชีวิตต้องการคำตอบที่ชัดเจน เราอาจต้องย้อนกลับไปมองว่า…มีสูตรสำเร็จอะไรบ้างที่คนในอดีตได้แนะนำเอาไว้ ว่ามันเป็นวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขได้จริง ๆ หลังจากการค้นหา ผมได้พบสูตรแห่งความสุขที่มีค่ามาก เรียกว่า “มงคลชีวิต 38 ประการ” คำที่หลายคนเคยได้ยิน แต่ไม่เข้าใจ

มงคลชีวิต 38 ประการ เป็นข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมงคลสูตร เพื่อชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้มีความสุขความเจริญ และสงบเย็น เป็นข้อปฏิบัติ ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ข้อธรรมเหล่านี้ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การเลือกคบคน การวางตัว การทำงาน การดูแลครอบครัว ไปจนถึงการฝึกใจและปฏิบัติธรรม

ข้อปฏิบัติที่มีมากถึง 38 ข้อ แถมเป็นวลีสั้น ๆ ไม่ได้มีคำอธิบายในตัว ทำให้คนส่วนใหญ่ได้แต่ท่อง แต่ไม่เข้าใจความหมาย ที่สำคัญ ไม่มีใครสนใจว่ามงคลชีวิตเหล่านี้นำไปใช้ทำอะไรได้ นอกจากการสอบ!

ผมลองพิจารณามงคลชีวิตทั้ง 38 ข้อ แล้วหาวิธีจัดกลุ่มเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งหากจัดเรียงอย่างเป็นระบบ จะพบว่ามงคลชีวิต 38 ข้อนี้สามารถแบ่งออกเป็น 5 หมวดหลัก (ซึ่งถ้าทำได้แค่ 3 หมวดแรก ผมก็คิดว่าชีวิตคงถือว่าโอเคเลยนะ)

หมวดแรกคือ “การวางพื้นฐานชีวิตให้ดี” เป็นเหมือนคำแนะนำจากผู้ใหญ่ถึงลูกหลานว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี ต้องเริ่มจากการเลือกคบคนดี อยู่ในสังคมที่เกื้อกูล และวางตัวให้เหมาะสม เช่น ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาผู้ควรบูชา อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม เคยทำบุญมาก่อน และตั้งตนไว้ชอบ ข้อธรรมเหล่านี้คือการวางรากฐานชีวิตให้มั่นคงและปลอดภัย เพราะคนที่อยู่ใกล้เรามีผลต่อทิศทางชีวิตเราเสมอ การเลือกคบคนดี คือการเลือกอนาคตที่ดี การอยู่ในสังคมที่เกื้อกูล คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเอง และการตั้งตนไว้ชอบ คือการวางแนวทางชีวิตให้ไม่หลงไปกับสิ่งล่อลวง

เมื่อมีรากฐานที่ดีแล้ว ก็ต้องลงมือสร้างชีวิต หมวดที่สองจึงเป็น “การสร้างความสัมพันธ์และความรู้” เช่น ศึกษาหาความรู้ ทำงานอย่างมีวินัย ดูแลพ่อแม่ ลูก ญาติ สร้างความรับผิดชอบและความสัมพันธ์ที่ดี หมวดนี้คือการสร้าง “ทุนชีวิต” ที่มั่นคง ความรู้คือเครื่องมือในการทำงาน วินัยคือสิ่งที่ทำให้เรารักษางานไว้ได้ และความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวคือแหล่งพลังใจที่ไม่มีวันหมด ถ้าทำได้จริง หมวดนี้จะทำให้ชีวิตมีทั้งโอกาสและความอบอุ่น

หมวดที่สามคือ “การฝึกตนและวางตัว” เป็นการเตรียมนิสัยเพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา และเป็นการเตรียมตัวที่ดี หากสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมะ ข้อปฏิบัติในหมวดนี้ ได้แก่ การรู้จักเคารพ ถ่อมตน สันโดษ อดทน ว่าง่าย บำเพ็ญพรหมจรรย์ ฯลฯ หมวดนี้เป็นเหมือนการจัด “บ้านภายในตัวเรา” ให้เรียบร้อย เพราะแม้เราจะมีความรู้ มีงาน มีครอบครัว แต่ถ้าใจยังวู่วาม กร่าง อวดดี ขาดความอดทน หรือไม่รู้จักถ่อมตน ชีวิตก็จะยังคงวุ่นวาย และไม่พร้อมที่จะเรียนรู้อะไรที่ลึกซึ้ง หมวดนี้จึงเป็นการฝึกใจ เพื่อให้พร้อมรับธรรมะ และพร้อมรับคนอื่นอย่างอ่อนโยน

เมื่อใจพร้อมแล้ว หากเราต้องการมีความสุข-สงบอย่างแท้จริง เราอาจเริ่มสนใจศึกษาเกี่ยวกับ “โลกภายใน” (ผู้อ่านที่ยังอายุน้อยอาจไม่เข้าใจสิ่งนี้ แต่เมื่อถึงวัยหนึ่ง เราอาจเริ่มสนใจในเรื่องนี้มากขึ้น) หมวดที่สี่ จึงได้แก่ “การพัฒนาจิตใจด้วยธรรมะ” เช่น การฟังธรรมตามกาล การเห็นสมณะ (อ่านความหมายในแผนภูมิได้นะ คำนี้เข้าใจยาก) การสนทนาธรรม การเข้าใจอริยสัจ และทำให้แจ้งพระนิพพาน ทั้งหมดเป็นการเดินทางเข้าสู่ภูเขาแห่งปัญญาและความสงบ เป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มมองเข้าไปข้างใน และเรียนรู้ความจริงของชีวิตอย่างลึกซึ้ง

หมวดสุดท้ายคือ “ผลแห่งการปฏิบัติ” ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น จิตไม่หวั่นไหว จิตเกษม เข้าถึงนิพพาน เป็นแสงสว่างที่เปล่งออกจากใจที่ฝึกดีแล้ว เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอง เมื่อเราดำเนินชีวิตตามมงคลข้ออื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

Color-coded infographic in Thai showing the 38 Blessings of Life from the Mangala Sutta, divided into five categories: foundation, self-development, social harmony, mental cultivation, and spiritual results.

บทความนี้ มีแผนภูมิ mind map ที่จัดหมวดไว้ให้ดูประกอบ พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมของมงคลชีวิตทั้ง 38 ข้ออย่างชัดเจน และเข้าใจว่าแต่ละหมวดคือ “คู่มือชีวิต” ที่เราสามารถเลือกทำได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้ชีวิตพังแล้วค่อยหาทางแก้

การวางรากฐานชีวิตให้ดี จะช่วยให้ชีวิตมีความเสี่ยงน้อยลง การพัฒนาความรู้จะเปิดโอกาสให้เราได้งาน ความตั้งใจจะช่วยให้เรารักษางานและอาชีพไว้ได้ การรักษาความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ลูก ญาติ จะทำให้ชีวิตอบอุ่น สิ่งเหล่านี้คือ “พื้นฐานของความสุขในชีวิต” และถ้าอยากมี “ความสุขสงบภายในใจ” ที่ลึกซึ้งขึ้น การเตรียมตัวตามหมวด 3 และการลงมือปฏิบัติตามหมวด 4 จะนำพาหมวด 5 มาเอง ทั้งหมดนี้คือแนวทางการดำเนินชีวิต ที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดี และมีความสุขอย่างแท้จริง

Thai infographic showing a contemplative person and compass symbol, promoting a guide to the 38 Blessings of Life from the Mangala Sutta. Designed for parents, teachers, and self-development seekers.
“คู่มือชีวิตดีที่คนมองข้าม – เข้าใจมงคลชีวิต 38 ประการแบบง่าย ๆ เพื่อชีวิตที่มีความสุข”