Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานความรัก, นิทานตลกก่อนนอน, นิทานเชคสเปียร์

ราตรีลวงใจ (Twelfth Night) : นิทานความรัก ความลวง ตลกโรแมนติกจากเชคสเปียร์

Twelfth Night หรือชื่อเต็มว่า Twelfth Night, or What You Will คือบทละครแนวตลกโรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1601–1602 เพื่อแสดงในช่วงเทศกาลฉลองหลังคริสต์มาส โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปลอมตัว ความรักที่ซับซ้อน และความเข้าใจผิดอันแสนสนุก

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง Twelfth Night ว่าเป็นหนึ่งในบทละครที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเชคสเปียร์ในการสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวาและซับซ้อน โดยเฉพาะไวโอลา (Viola) ซึ่งปลอมตัวเป็นชายเพื่อเอาตัวรอด และกลายเป็นศูนย์กลางของความรักที่พันกันอย่างน่าทึ่ง บทละครเรื่องนี้ยังสะท้อนประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ ความเท่าเทียม และการให้อภัยอย่างงดงาม จึงเป็นที่นิยมทั้งในวงการละครเวทีและการศึกษาวรรณกรรมทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Twelfth Night – Project Gutenberg

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวชื่อไวโอลา (Viola) และเซบาสเตียน (Sebastian) ซึ่งเป็นฝาแฝด พวกเขารักกันมากและเดินทางร่วมกันบนเรือลำหนึ่งที่แล่นข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่ง พายุใหญ่ก็พัดกระหน่ำจนเรือแตกกลางทะเล

ไวโอลารอดชีวิตมาได้โดยมีชาวประมงช่วยพาขึ้นฝั่งที่เมืองอิลลีเรีย (Illyria) นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะคิดว่าเซบาสเตียนพี่ชายของตนจมน้ำไปแล้ว

“ข้าคงเหลือตัวคนเดียวในโลกนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตนเองขณะมองทะเลที่เงียบงัน

…….

เมืองอิลลีเรียมีผู้ปกครองคือ ดยุก ออร์ซิโน (Duke Orsino) ขุนนางผู้สูงศักดิ์และมีชื่อเสียง เขาเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความรักและความฝัน เขาหลงรักหญิงสาวชื่อเลดี้โอลิเวีย (Lady Olivia) ซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ผู้เพิ่งสูญเสียพี่ชาย และยังไม่เปิดใจรับรักใคร

“ข้ารักนาง…แต่ดูเหมือนนางไม่เคยเห็นข้าเลย” ดยุกออร์ซิโนกล่าวกับข้ารับใช้

…….

ไวโอลาได้ยินเรื่องราวของ ดยุก ออร์ซิโน และรู้ว่านางไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองนี้ในฐานะหญิงสาวได้อย่างปลอดภัย นางจึงตัดสินใจปลอมตัวเป็นชายหนุ่ม และตั้งชื่อใหม่ว่าเซซาริโอ (Cesario)

“ข้าจะเป็นข้ารับใช้ของ ดยุก ออร์ซิโน ข้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

……

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความอ่อนโยน ไวโอลาในนามเซซาริโอได้รับความไว้วางใจจากดยุกออร์ซิโนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้สนิทที่ดยุกใช้ให้ไปส่งสารรักถึงเลดี้โอลิเวีย

“เจ้ามีถ้อยคำที่อ่อนโยน…จงไปพูดแทนข้าเถิด” ดยุกกล่าว

ไวโอลาแม้จะเจ็บปวดในใจ เพราะนางเริ่มหลงรักดยุกออร์ซิโน แต่ก็ยอมทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

……..

เมื่อเซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลาในร่างชายหนุ่ม ไปส่งสารรักจาก ดยุก ออร์ซิโน ถึงเลดี้โอลิเวีย นางกลับรู้สึกประหลาดใจกับความอ่อนโยนและความจริงใจของผู้ส่งสารมากกว่าคำพูดของ ดยุก

“เจ้าพูดได้นุ่มนวล…แต่แฝงความเศร้าในดวงตา” เลดี้โอลิเวียกล่าวขณะมองเซซาริโอ

ไวโอลาไม่กล้าสบตานางนานนัก เพราะรู้ดีว่าตนกำลังปลอมตัว และหัวใจของตนก็รัก ดยุก ออร์ซิโนอย่างสุดหัวใจ

“ข้าเพียงทำหน้าที่…ข้าไม่อาจพูดแทนหัวใจของข้าเอง” นางตอบเบาๆ

แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เลดี้โอลิเวียรู้สึกหวั่นไหว นางเริ่มหลงรักเซซาริโอ โดยไม่รู้เลยว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มจริงๆ

…….

“ข้าจะไม่รับรักจากดยุก…แต่ข้าจะส่งคนไปหาเซซาริโอแทน” นางกล่าวกับข้ารับใช้

……

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลา ซึ่งไม่ได้จมน้ำตามที่นางเข้าใจ กลับรอดชีวิตมาได้ และเดินทางมาถึงเมืองอิลลีเรียพร้อมกับอันโตนิโอ (Antonio) กะลาสีผู้ช่วยชีวิตเขา

“ข้าจะตามหาน้องสาวข้า…หากนางยังมีชีวิตอยู่” เซบาสเตียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น

อันโตนิโอเตือนว่าเมืองนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา เพราะเคยมีเรื่องกับทางการมาก่อน แต่เขายอมเสี่ยงเพื่อช่วยเซบาสเตียน

“ข้าจะอยู่ใกล้ๆ เจ้า…แม้จะต้องหลบซ่อนก็ตาม” เขากล่าว

เมื่อเซบาสเตียนเดินในเมือง ผู้คนต่างเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ เพราะทั้งสองเป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันอย่างมาก

ความเข้าใจผิดเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ และความรักก็เริ่มพันกันอย่างไม่อาจคลี่คลายได้ง่าย ๆ

……..

ในวันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ได้รับคำสั่งจาก ดยุก ออร์ซิโน ให้ไปส่งสารรักอีกครั้งถึงเลดี้โอลิเวีย เซซาริโอไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะทุกครั้งที่นางพูดแทนดยุก นางก็ยิ่งรักดยุก มากขึ้น

“ข้าพูดแทนท่าน…แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็มีหัวใจ” ไวโอลาพึมพำขณะเดินทางไปยังคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย

เมื่อเลดี้โอลิเวียเห็นเซซาริโออีกครั้ง นางยิ่งแน่ใจว่าตนหลงรักชายหนุ่มผู้นี้อย่างสุดหัวใจ แม้เขาจะพูดถึงความรักของดยุก แต่นางกลับมองเห็นความอ่อนโยนในดวงตาของเขา

“เจ้ามีหัวใจของตนเองหรือไม่…หรือเจ้าคือเงาของชายอื่น?” นางถามอย่างอ่อนโยน

ไวโอลานิ่งงัน นางไม่อาจตอบคำถามนั้นได้ เพราะความจริงของนางยังถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม

………

ในเวลาต่อมา ขณะที่เซบาสเตียนผู้เป็นพี่ชายของไวโอลา เดินเล่นอยู่ในเมืองอิลลีเรีย เขาบังเอิญพบกับเลดี้โอลิเวียโดยไม่รู้จักนางมาก่อน เลดี้โอลิเวียเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ และพูดกับเขาด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม

“ข้าไม่อาจรออีกแล้ว…เจ้าคือผู้ที่ข้ารัก” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

เซบาสเตียนตกใจ แต่ก็รู้สึกประทับใจในความจริงใจของนาง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยอมรับคำเชิญของนางอย่างสุภาพ

“ข้าไม่เข้าใจ…แต่ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธความเมตตาของเจ้า” เขาตอบ

ในเวลาไม่นาน เลดี้โอลิเวียก็ขอเซบาสเตียนแต่งงาน โดยนางยังเข้าใจว่าเขาคือเซซาริโอ ซึ่งเซบาสเตียนก็ตอบตกลงด้วยความเคารพ

“ข้าจะเป็นสามีของเจ้า…แม้ข้ายังไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงรักข้าเช่นนี้” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน

ความรักเริ่มเบ่งบาน แต่ความจริงยังคงซ่อนอยู่ และความเข้าใจผิดก็เริ่มพันกันแน่นขึ้นทุกขณะ

……..

วันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ถูกขอให้ไปพบเลดี้โอลิเวียอีกครั้ง ไวโอลาลังเล เพราะรู้ดีว่าหญิงผู้นั้นหลงรักตนโดยไม่รู้ความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของ ดยุก ออร์ซิโนได้

“ข้าจะไป…แม้หัวใจของข้าจะสับสน” นางกล่าวเบาๆ

เมื่อไปถึงคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย นางพบว่าเลดี้โอลิเวียมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางพูดถึงการแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน และเรียกเซซาริโอว่า “สามี”

ไวโอลาตกใจ “ข้าไม่เคยแต่งงานกับเจ้า…ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด”

เลดี้โอลิเวียเองก็สับสน “เจ้าคือชายที่ข้าแต่งงานด้วย…เจ้าคือเซซาริโอ”

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลาเดินเข้ามาในคฤหาสน์ และเมื่อทั้งสองฝาแฝดเผชิญหน้ากัน ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง

“เจ้าคือ…ข้า?” เซบาสเตียนถามอย่างงุนงง

ไวโอลาน้ำตาไหล “ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าอีก…ข้าคือไวโอลา…น้องสาวของเจ้า”

ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าเกิดความเข้าใจผิดจากการปลอมตัว แต่ความรักที่เบ่งบานนั้นเกิดจากความจริงใจ แม้จะมีเงาของความลวงซ้อนอยู่

ดยุก ออร์ซิโน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มองไวโอลาอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยตลอด…แม้ข้าจะไม่เคยเห็นเจ้าในร่างที่แท้จริง”

ไวโอลายิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารักท่าน…แม้ข้าจะต้องพูดแทนหัวใจของท่านทุกวัน”

…….

เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าเซซาริโอคือไวโอลา และชายที่เลดี้โอลิเวียแต่งงานด้วยคือเซบาสเตียนพี่ชายฝาแฝดของไวโอลา ทุกคนในเมืองอิลลีเรียต่างตกตะลึง แต่ก็เต็มไปด้วยความยินดี

ดยุก ออร์ซิโนมองไวโอลา แล้วพูดกับนางว่า “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยไม่รู้ตัว…เจ้าคือผู้ที่ข้าสนิทใจและ….รักที่สุด”

ไวโอลายิ้มด้วยน้ำตา “ข้ารักท่านมาโดยตลอด…แม้ข้าจะต้องซ่อนหัวใจไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม”

ดยุกออร์ซิโนจึงขอไวโอลาแต่งงาน และนางก็ตอบตกลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

“ข้าจะเป็นภรรยาของท่าน…ในร่างที่แท้จริงของข้า” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน

……

ในขณะเดียวกัน เลดี้โอลิเวียและเซบาสเตียนก็เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความเข้าใจและความรักที่เกิดจากความจริงใจ แม้จะเริ่มต้นด้วยความเข้าใจผิด แต่ก็จบลงด้วยความสุขแท้จริง

…….

ส่วนอันโตนิโอ (Antonio) ซึ่งเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเซบาสเตียน ก็ได้รับการให้อภัยจากทางการ และได้รับเกียรติในฐานะผู้มีคุณธรรม

“ข้าไม่เคยหวังสิ่งใด…ข้าเพียงทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เขากล่าวอย่างสงบ

ทุกคนในเมืองอิลลีเรียร่วมฉลองการแต่งงานของทั้งสองคู่ด้วยความยินดี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะแผ่ไปทั่วคฤหาสน์

เรื่องราวของไวโอลาและเซบาสเตียนกลายเป็นตำนานแห่งเมืองอิลลีเรีย ที่ผู้คนเล่าขานว่า “ความรักแท้…ย่อมพบทางของมันเสมอ แม้จะต้องผ่านพายุและการปลอมตัว”

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน, นิทานแอนเดอร์สัน

ราชินีหิมะ (The Snow Queen) : นิทานอมตะว่าด้วยพลังแห่งรักและความกล้า

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานชาวเดนมาร์กผู้เป็นที่รักของเด็กทั่วโลก เกิดที่เมืองโอเดนเซ (Odense) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเดนมาร์ก เมืองนี้มีฤดูหนาวที่ยาวนานและอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจที่จินตนาการของแอนเดอร์เซนจะพาเขาไปสู่เรื่องราวของ “ราชินีหิมะ” ซึ่งเป็นนิทานที่เต็มไปด้วยภาพของน้ำแข็ง ความเงียบ และความเย็นชาในหัวใจมนุษย์ แม้ในนิทานพื้นบ้านของยุโรปเหนือจะมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับหญิงผู้ปกครองแดนหิมะอยู่บ้าง แต่แอนเดอร์เซนได้สร้างตัวละคร “ราชินีหิมะ” ขึ้นใหม่อย่างมีเอกลักษณ์ โดยผสมผสานความงาม ความเยือกเย็น และความไร้หัวใจเข้าด้วยกันอย่างน่าหวั่นไหว

แม้ชื่อ “ราชินีหิมะ” จะฟังดูคุ้นหูในวัฒนธรรมร่วมสมัย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเรื่องนี้คือหนึ่งในนิทานที่ลึกซึ้งที่สุดของแอนเดอร์เซน นักวิชาการด้านวรรณกรรมเด็กหลายคนยกนิทานเรื่องนี้ให้เป็นผลงานที่โดดเด่น เพราะแอนเดอร์เซนไม่ได้เล่าเรื่องเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่เขาใช้โครงสร้างแบบ 7 บท เพื่อค่อย ๆ เปิดเผยความเปลี่ยนแปลงของหัวใจมนุษย์ผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ทั้งกระจกวิเศษ ราชินีหิมะ และการเดินทางของเด็กหญิงผู้มีหัวใจกล้าหาญ แก่นเรื่องของนิทานนี้คือการต่อสู้ระหว่างความรักแท้กับความเย็นชา การหลงผิดกับการให้อภัย และการกลับคืนสู่ความอบอุ่นของหัวใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่แอนเดอร์เซนสื่อสารได้อย่างละเมียดละไมและลึกซึ้ง

ในการเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ เราเลือกเล่าเรื่องตามโครงสร้าง 7 บทของต้นฉบับ โดยรักษาเนื้อหาและอารมณ์ของเรื่องไว้อย่างครบถ้วนที่สุด เราใช้ภาษาที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านทุกวัยสามารถเข้าถึงความงามของเรื่องได้โดยไม่สะดุดกับถ้อยคำที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม นิทานต้นฉบับของแอนเดอร์เซนมีความงามเฉพาะตัว ทั้งในด้านภาษา จังหวะการเล่า และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในแต่ละบรรทัด หากมีโอกาส ผู้อ่านควรหาฉบับดั้งเดิมมาอ่าน เพื่อสัมผัสถึงความลึกของเรื่องราวที่แอนเดอร์เซนมอบไว้ให้โลกอย่างแท้จริง

บทที่ 1: กระจกวิเศษ

นานมาแล้ว มีปีศาจตนหนึ่งซึ่งไม่ชอบสิ่งดีงามต่าง ๆ มันเกลียดความรัก ความเมตตา และความงาม มันจึงสร้างกระจกวิเศษขึ้นมา ซึ่งกระจกบานนี้มีพลังแปลกประหลาด คือสิ่งใดที่สะท้อนอยู่ในกระจก จะปรากฎเป็นสิ่งตรงกันข้าม เช่น สิ่งที่เคยดูดีจะดูแปลกประหลาด สิ่งที่เคยงดงามจะดูไม่น่ามอง ความรักอันบริสุทธิ์จะดูเหมือนเรื่องไร้สาระ และหัวใจที่เคยอบอุ่นก็จะกลายเป็นหัวใจที่เย็นชาและห่างเหิน

ปีศาจพอใจในผลงานของตนมาก มันจึงนำกระจกขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเยาะเย้ยสวรรค์ แต่เมื่อมันบินสูงขึ้น กระจกกลับแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปลิวตามสายลมไปทั่วโลก

เศษกระจกบางชิ้นปลิวเข้าตาของผู้คน ทำให้พวกเขามองโลกผิดไปจากเดิม บางชิ้นฝังเข้าไปในหัวใจ ทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง ไม่อ่อนโยนอีกต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าเศษกระจกเหล่านั้นจะตกลงที่ใคร หรือจะเปลี่ยนแปลงใครไปในทางไหน แต่ตั้งแต่นั้นมา โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายคือเด็กชายชื่อเคย์ (Kay) และเรื่องราวของเขากำลังจะเริ่มต้น…

.

บทที่ 2: เคย์กับเกอร์ด้า

ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กชายชื่อเคย์และเด็กหญิงชื่อเกอร์ด้า (Gerda) ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านติดกัน มีสวนดอกไม้เล็ก ๆ เชื่อมระหว่างหน้าต่างของบ้านทั้งสองหลัง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เล่นด้วยกันทุกวัน และแบ่งปันความฝันอันอ่อนโยนร่วมกัน ความสัมพันธ์ของเคย์กับเกอร์ด้าไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน แต่เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์ เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานด้วยความรักและความไว้ใจ

ทุกวันในฤดูใบไม้ผลิ เคย์กับเกอร์ด้าจะนั่งริมหน้าต่าง ปลูกดอกไม้ พูดคุย และหัวเราะด้วยกัน ดอกกุหลาบสีแดงที่พวกเขาปลูกไว้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่งดงาม วันหนึ่งเคย์ถามขึ้นว่า “ถ้าเราตายไป ดอกไม้พวกนี้จะยังเติบโตอยู่ไหม?” เกอร์ด้ายิ้มและตอบว่า “ถ้าเรารักกัน ดอกไม้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉา” คำตอบนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะมันหมายถึงความรักแท้ที่จะไม่จางหาย แม้เวลาจะผ่านไป

แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เศษกระจกวิเศษที่ปีศาจสร้างไว้ปลิวเข้าตาของเคย์ และอีกชิ้นหนึ่งฝังเข้าไปในหัวใจของเขา ตั้งแต่นั้นมา เคย์ก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนเย็นชา พูดจาแข็งกระด้าง และไม่สนใจดอกไม้หรือคำพูดอ่อนโยนของเกอร์ด้าอีกต่อไป เขาหัวเราะเยาะสิ่งที่เคยรัก และมองทุกอย่างด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ

“ดอกไม้พวกนี้น่าเบื่อ…” เคย์พูดอย่างเฉยชา โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเกอร์ด้า

เกอร์ด้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคย์ เธอได้แต่เฝ้ามองเขาอย่างเศร้า ๆ และหวังว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หัวใจของเธอยังรักเขาเหมือนเดิม แต่เธอไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร

แล้ววันหนึ่งในฤดูหนาว เคย์ออกไปเล่นเลื่อนหิมะในถนน เขาเห็นรถเลื่อนคันหนึ่งสีขาวบริสุทธิ์ มีหญิงผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่ นางคือราชินีหิมะ ผู้ปกครองแดนเหนือ ราชินีหิมะยิ้มอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่มน้อย…มานั่งกับข้าเถิด” เคย์ขึ้นไปบนรถเลื่อน และทันใดนั้น รถก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ลอยขึ้นเหนือพื้นหิมะ และหายไปในสายลมหนาว

เมื่อเคย์ไม่กลับบ้าน ยายและเกอร์ด้าก็ออกตามหา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน เกอร์ด้าร้องไห้ “เธอจะหายไปอย่างนี้ไม่ได้นะ…ฉันจะตามหาเธอให้พบ” แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน แต่เธอเชื่อว่า หากหัวใจของเธอยังรักเคย์อยู่ เธอจะพบเขาได้ในที่สุด

และการเดินทางของเด็กหญิงผู้มีหัวใจกล้าหาญก็เริ่มต้นขึ้น…

.

บทที่ 3: สวนดอกไม้และความทรงจำที่เลือนหาย

หลังจากเคย์หายไปกับราชินีหิมะ เกอร์ด้าก็เศร้าใจอย่างมาก เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปเพราะอะไร แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่า เธอคิดถึงเขา และอยากให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงอีกครั้ง ดอกไม้ริมหน้าต่างยังคงเบ่งบาน แต่ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำพูดอ่อนโยน ไม่มีเคย์นั่งอยู่ข้าง ๆ เกอร์ด้าเฝ้ามองดอกกุหลาบที่เคยปลูกด้วยกัน แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เธอตัดสินใจออกเดินทางตามหาเคย์ แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เธอเดินผ่านเมือง ผ่านทุ่งหญ้า และข้ามแม่น้ำด้วยหัวใจที่มั่นคง จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งกลางสวนดอกไม้ที่งดงามราวกับภาพฝัน

หญิงชราผู้ใจดีคนหนึ่งออกมาต้อนรับเกอร์ด้า นางมีรอยยิ้มอ่อนโยน และพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้ามาจากที่ใดกัน เด็กน้อย?” เกอร์ด้าตอบว่า “หนูกำลังตามหาเพื่อน…เขาหายไปกับราชินีหิมะ”

หญิงชราพยักหน้าเบา ๆ แล้วใช้ไม้เท้าวิเศษโบกเหนือหัวของเกอร์ด้า ทันใดนั้น ความทรงจำของเด็กหญิงก็เริ่มเลือนราง เธอลืมเรื่องเคย์ ลืมการเดินทาง และอยู่ในสวนดอกไม้โดยไม่รู้ว่าตนเองมาทำอะไร

“ดอกไม้เหล่านี้พูดได้…พวกมันจะเป็นเพื่อนของเจ้า” หญิงชรากล่าว

ดอกไม้ในสวนพูดกับเกอร์ด้าด้วยเสียงอ่อนโยน บางดอกเล่าเรื่องของฤดูใบไม้ผลิ บางดอกพูดถึงสายลมและแสงแดด แต่ไม่มีดอกใดรู้เรื่องเคย์เลย เกอร์ด้าเริ่มรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ แม้เธอจะอยู่ในสวนที่งดงามที่สุดก็ตาม

วันหนึ่ง เธอเห็นดอกกุหลาบสีแดงที่คล้ายกับดอกไม้ที่เคยปลูกกับใครคนหนึ่งที่ริมหน้าต่าง เธอจึงถามดอกกุหลาบว่า “เธอเคยเห็นใครคนหนึ่งไหม?”

ดอกกุหลาบตอบว่า “เราไม่เคยเห็นเขา…แต่เรารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่”

คำตอบนั้นปลุกความทรงจำของเกอร์ด้ากลับคืนมา เธอร้องไห้ด้วยความคิดถึง และตัดสินใจออกจากสวนทันที

“หนูต้องไป…หนูต้องตามหาเขาให้พบ” เกอร์ด้ากล่าวอย่างแน่วแน่

หญิงชราพยายามรั้งไว้ แต่เวทมนตร์ของนางไม่อาจหยุดหัวใจที่รักแท้ได้ เกอร์ด้าจึงออกเดินทางต่อด้วยความมุ่งมั่น

.

บทที่ 4: ปราสาทเจ้าชายและเจ้าหญิง

หลังจากออกจากสวนดอกไม้ของหญิงชราผู้มีเวทมนตร์ เกอร์ด้าเดินทางต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง เธอเดินผ่านป่า ผ่านทุ่งหญ้า และข้ามแม่น้ำโดยไม่รู้ทิศทาง เธอไม่รู้ว่าเคย์อยู่ที่ไหน แต่เธอเชื่อว่า หากเธอไม่หยุดเดิน เธอจะพบเขาในที่สุด

วันหนึ่ง เธอมาถึงปราสาทหลังหนึ่งที่งดงามราวกับภาพฝัน ประตูใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า และมีทหารเฝ้าอยู่ ทหารมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เดินทางมาเพียงลำพัง แล้วถามว่า “เจ้ามาจากไหน เด็กน้อย?”

เกอร์ด้าตอบด้วยเสียงเรียบง่ายว่า “หนูกำลังตามหาเพื่อนของหนู…เขาชื่อเคย์”

ทหารพาเกอร์ด้าเข้าไปในปราสาท ซึ่งมีเจ้าชายและเจ้าหญิงผู้ใจดีอาศัยอยู่ ทั้งสองฟังเรื่องราวของเกอร์ด้าด้วยความสงสาร และพาเธอไปยังห้องนอนเพื่อดูว่าเด็กชายที่นอนอยู่บนเตียงนั้นใช่เคย์หรือไม่

เกอร์ด้ามองด้วยความหวัง หัวใจของเธอเต้นแรง แต่เมื่อเด็กชายหันหน้ามา เธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ เขาไม่ใช่เคย์

เจ้าชายและเจ้าหญิงรู้สึกประทับใจในความรักและความกล้าหาญของเกอร์ด้า พวกเขาไม่อาจช่วยเธอหาตัวเคย์ได้ แต่ก็อยากให้เธอเดินทางต่อไปอย่างปลอดภัย จึงมอบเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าอุ่น ๆ และรถเลื่อนให้แก่เธอ

“เจ้ามีหัวใจที่งดงาม…เราขอให้เจ้าพบเพื่อนของเจ้าโดยเร็ว” เจ้าหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เกอร์ด้าโค้งคำนับอย่างสุภาพ “หนูจะไม่หยุด…จนกว่าจะพบเขา”

เธอออกเดินทางอีกครั้งด้วยรถเลื่อนที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมอบให้ แม้จะยังไม่พบเคย์ แต่เธอก็ได้พบกับความเมตตา และนั่นทำให้หัวใจของเธออบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

.

บทที่ 5: กลุ่มโจรและเพื่อนใหม่

เกอร์ด้าเดินทางต่อด้วยรถเลื่อนที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมอบให้ เธอข้ามป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยหิมะและลมหนาว แม้จะเหนื่อยล้า แต่เธอก็ไม่หยุด เพราะหัวใจของเธอยังคิดถึงเคย์อยู่เสมอ

ระหว่างทาง รถเลื่อนของเธอถูกกลุ่มโจรป่าดักจับ พวกเขาโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ และพาเธอไปยังถ้ำที่เต็มไปด้วยเสียงลมและเงามืด หัวหน้าโจรเป็นหญิงชราผู้ดุร้าย นางมีดวงตาแข็งกร้าวและเสียงที่ดังจนสะท้านใจ แต่ในถ้ำแห่งนั้น ยังมีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของหัวหน้าโจร

เด็กสาวคนนั้นมีดวงตาเฉียบคมและท่าทางแข็งแรง แต่เมื่อเธอมองเกอร์ด้า เธอกลับเห็นบางอย่างที่ต่างออกไป เธอถามด้วยเสียงเรียบว่า “เจ้าคือใคร? ทำไมเจ้ามาในป่าของเรา?”

เกอร์ด้าตอบด้วยเสียงสั่น “หนูกำลังตามหาเพื่อน…เขาถูกพาไปโดยราชินีหิมะ”

เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็นใครกล้าหาญเท่าเจ้า…ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

เธอพาเกอร์ด้าไปยังห้องของตน และให้พักผ่อนในเปลที่แขวนไว้ท่ามกลางสัตว์ป่าที่เชื่องอย่างประหลาด ในคืนนั้น เด็กสาวเล่าเรื่องของราชินีหิมะให้ฟัง “ข้าเคยได้ยินว่านางอาศัยอยู่ทางเหนือสุด…ในปราสาทน้ำแข็งที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป”

เกอร์ด้าฟังด้วยความหวัง “หนูต้องไปที่นั่น…หนูต้องช่วยเคย์ให้ได้”

เด็กสาวนิ่งไปอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ข้าจะช่วยเจ้า…แม้ข้าจะเป็นโจร แต่ข้าก็มีหัวใจ”

รุ่งเช้า เด็กสาวปล่อยเกอร์ด้าออกเดินทางอีกครั้ง พร้อมมอบกวางเรนเดียร์ให้พาไปยังแดนเหนือ

“เจ้าต้องไปยังลัปแลนด์…ที่นั่นมีหญิงชราผู้รู้ทางไปปราสาทของราชินีหิมะ” เด็กสาวกล่าว

เกอร์ด้าขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจ แล้วออกเดินทางต่อไปด้วยความหวังที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง

.

บทที่ 6: ลัปแลนด์ ฟินแลนด์ และคำตอบของหัวใจ

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางสู่แดนเหนือ พวกเขาข้ามภูเขาสูง ผ่านทุ่งน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ และฝ่าลมหนาวที่พัดแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน เกอร์ด้าหนาวจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เพราะหัวใจของเธอยังมีความหวัง

ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงลัปแลนด์ ดินแดนที่หนาวเหน็บที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเธอได้พบหญิงชราผู้รู้ทาง หญิงชรานั้นอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ที่อบอุ่น มีไฟสว่างไสวและกลิ่นหอมของปลาแห้งลอยอยู่ในอากาศ

หญิงชราฟังเรื่องราวของเกอร์ด้าอย่างตั้งใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้ามีหัวใจที่กล้าหาญ…แต่การจะช่วยเคย์ต้องใช้มากกว่าความกล้า” นางเขียนจดหมายถึงหญิงชราอีกคนในฟินแลนด์ ซึ่งรู้เวทมนตร์ลึกซึ้งกว่า และส่งเกอร์ด้าเดินทางต่อไป

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางต่ออีกครั้ง คราวนี้เหนื่อยยิ่งกว่าเดิม แต่เธอก็ยังไม่หยุด จนกระทั่งมาถึงกระท่อมของหญิงชราฟินแลนด์ หญิงชราผู้นี้ไม่พูดมาก นางอ่านจดหมายเงียบ ๆ แล้วมองหน้าเกอร์ด้าอย่างอ่อนโยน

“ข้าไม่มีเวทมนตร์ใดที่เหนือกว่าความรักของเจ้า” หญิงชรากล่าว “จงไปเถิด เด็กน้อย หัวใจของเจ้าคือสิ่งเดียวที่สามารถละลายความเย็นชาได้”

คำพูดนั้นทำให้เกอร์ด้ารู้ว่า เธอไม่ต้องการเวทมนตร์ ไม่ต้องการอาวุธหรือพลังพิเศษใด ๆ สิ่งที่เธอมีอยู่แล้ว ทั้งความรัก ความกล้าหาญ และความจริงใจ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

.

บทที่ 7: ปราสาทน้ำแข็งและการพบกันอีกครั้ง

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางข้ามทุ่งน้ำแข็งที่เงียบงันและหนาวเหน็บที่สุดในโลก ลมพัดแรงจนแทบยืนไม่อยู่ แต่เด็กหญิงก็ไม่ยอมแพ้ เธอกอดผ้าคลุมแน่น และหลับตาเพื่อไม่ให้หิมะเข้าตา หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความหวังและความกลัวปะปนกัน

ในที่สุด ปราสาทน้ำแข็งของราชินีหิมะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งขาวโพลน งดงามราวกับแก้วใส แต่ก็เย็นเยือกจนแทบไม่มีชีวิต ปราสาทนั้นไม่มีประตู ไม่มีทหาร ไม่มีเสียงใด ๆ มีเพียงความเงียบที่ลึกจนเหมือนจะกลืนทุกอย่างเข้าไป

เกอร์ด้าเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ เท้าของเธอจมลงในหิมะที่หนาและเย็นจัด แต่เธอไม่หยุด เธอเดินผ่านห้องโถงที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งซึ่งมีรูปทรงแปลกตา บางเกล็ดเหมือนดอกไม้ บางเกล็ดเหมือนดาว แต่ทุกชิ้นก็เย็นชาและไม่มีชีวิต

ในห้องกลางของปราสาท มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นน้ำแข็ง เขากำลังจัดเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เขาไม่พูด ไม่ขยับ และไม่รู้ว่าใครอยู่รอบตัว

เกอร์ด้าเข้าไปใกล้ แล้วเรียกเบา ๆ “เคย์…”

เด็กชายไม่ตอบ เธอเรียกอีกครั้ง “เคย์…นี่ฉันเอง เกอร์ด้า…”

เคย์ยังคงนิ่งอยู่เหมือนรูปปั้นน้ำแข็ง เขามองเกล็ดน้ำแข็งตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก และพยายามจัดมันให้เป็นคำว่า “นิรันดร์” เพราะราชินีหิมะเคยบอกว่า หากเขาสามารถจัดเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นคำนั้นได้ เขาจะได้รับอิสรภาพและพลังวิเศษ

แต่เคย์ไม่รู้ว่า เขาไม่ได้ต้องการอิสรภาพจากราชินีหิมะ เขาต้องการอิสรภาพจากความเย็นชาในหัวใจของตนเอง

เกอร์ด้าเข้าไปใกล้ แล้วโอบเขาไว้ด้วยแขนเล็ก ๆ ของเธอ เธอร้องไห้ น้ำตาไหลลงบนแก้มของเคย์ และหยดลงบนหัวใจของเขา

ทันใดนั้น เศษกระจกที่ฝังอยู่ในหัวใจของเคย์ก็ละลายลงอย่างช้า ๆ เขาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วมองหน้าเกอร์ด้า

“เกอร์ด้า…เธอมาได้ยังไง?” เขาถามด้วยเสียงสั่น

“ฉันตามหาเธอมาตลอด…ฉันไม่เคยหยุดรักเธอเลย” เกอร์ด้าตอบ

เคย์หลับตา น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เศษกระจกที่อยู่ในดวงตาของเขาก็หลุดออกมา เขามองโลกอีกครั้งด้วยสายตาเดิม สายตาที่อ่อนโยนและอบอุ่น

เขามองเกล็ดน้ำแข็งตรงหน้า แล้วพูดว่า “มันไม่มีความหมายเลย…”

เกอร์ด้ายิ้ม “เพราะความรักต่างหากที่มีความหมาย”

……

เมื่อเคย์หลุดพ้นจากเวทมนตร์ของราชินีหิมะ เขามองหน้าเกอร์ด้าอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ดวงตาของเขาไม่เย็นชาอีกต่อไป หัวใจของเขาไม่แข็งกระด้างอีกแล้ว เขาจำทุกอย่างได้ ทั้งดอกกุหลาบริมหน้าต่าง เสียงหัวเราะในฤดูใบไม้ผลิ และคำพูดอ่อนโยนที่เคยแลกเปลี่ยนกัน

เขากอดเกอร์ด้าแน่น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไร ทั้งสองคนยืนอยู่กลางปราสาทน้ำแข็งที่เคยเงียบงัน แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่มีใครมองเห็นได้ด้วยตา มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่รับรู้

เกล็ดน้ำแข็งที่เคย์เคยจัดเรียงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น มันไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะคำว่า “นิรันดร์” ที่เขาเคยพยายามสร้าง ไม่ได้อยู่ในรูปทรงของน้ำแข็ง แต่มันอยู่ในความรักที่ไม่ยอมแพ้ของเกอร์ด้า

ทั้งสองออกจากปราสาทน้ำแข็งโดยไม่มีใครขัดขวาง ราชินีหิมะไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย เพราะเธอไม่เคยผูกพันกับใครจริง ๆ เคย์จากไปได้ง่าย เพราะไม่มีใครรั้งเขาไว้ ความงามที่ไร้หัวใจไม่อาจยึดเหนี่ยวใครได้

กวางเรนเดียร์พาทั้งสองกลับสู่แดนใต้ ผ่านลัปแลนด์ ผ่านฟินแลนด์ ผ่านป่าของโจร และกลับไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่พวกเขาเคยอยู่ ดอกไม้ริมหน้าต่างยังคงเบ่งบานเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันดูงดงามกว่าเดิม เพราะหัวใจของทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เคย์กับเกอร์ด้านั่งริมหน้าต่างอีกครั้ง พูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม และหัวเราะเบา ๆ เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครพูดถึงปราสาทน้ำแข็ง ไม่มีใครพูดถึงราชินีหิมะ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป

สิ่งที่มีความหมายคือความรักที่ไม่ยอมแพ้ ความกล้าหาญของหัวใจเด็กหญิงคนหนึ่ง และการกลับมาของเด็กชายที่เคยหลงทาง

และแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ดอกไม้ที่พวกเขาปลูกไว้ก็ยังไม่เหี่ยวเฉา เพราะมันเติบโตจากความรักแท้ที่ไม่มีวันจางหาย.


Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานก่อนนอนสั้น ๆ, นิทานนำบุญ

ครอบครัวนักปั้น : นิทานก่อนนอนสั้น ๆ ที่สอนให้รู้คุณค่าของความคิดสร้างสรรค์

นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งเป็นครอบครัวที่ชอบการปั้นดินมาก  ทุกวัน  คุณพ่อกับคุณแม่จะชวนลูก ๆ ทั้งสามคนไปขุดดินมาปั้น..ปั้น…แล้วก็ปั้นจนได้เป็นตุ๊กตาดินปั้นรูปสัตว์ต่าง ๆ ที่ดูน่ารักและเหมือนจริงอย่างน่าอัศจรรย์  เมื่อพวกนก, กระต่าย, กระรอกและกระแตได้เห็นตุ๊กตาดินปั้นที่สวยงามอย่างวิเศษ พวกมันจึงมักพากันมาล้อมวงดูครอบครัว ๆ นี้ปั้นดินเป็นผลงานน่ารัก ๆ อยู่เสมอ

ในขณะที่ครอบครัวนักปั้นพากันปั้นดินอย่างมีความสุข  ชาวบ้านต่างก็ซุบซิบและกล่าวหาว่าครอบครัวนี้เป็นพวกสติเฟื่องชอบทำแต่เรื่องไร้สาระ  แม้ทุกคนในครอบครัวนักปั้นจะได้ยินคำนินทาว่าร้าย  แต่พวกเขาก็ปล่อยให้มันลอยผ่านไป  เพราะพวกเขามีความสุขมากที่ได้ปั้น..ปั้น..แล้วก็ปั้น

อยู่มาวันหนึ่ง  ชาวบ้านได้ข่าวว่า มีโจรป่ากลุ่มหนึ่งออกปล้นและเผาหมู่บ้านต่าง ๆ จนผู้คนตื่นกลัวกันไปหมด  ชาวบ้านทั้งหลายจึงรีบซื้อหาอาวุธเตรียมไว้รับมือกับพวกโจรป่า

ฝ่ายครอบครัวนักปั้นนั้น แทนที่พวกเขาจะเตรียมการแบบเดียวกับชาวบ้านคนอื่น ๆ  พวกเขากลับช่วยกันคิดหาวิธีป้องกันตัวจากโจรป่าด้วยการขุดดินมาปั้น…ปั้น…แล้วก็ปั้น ตามแผนที่พวกเขาได้วางเอาไว้

กลางดึกของคืนวันหนึ่ง  โจรป่าก็พากันเข้ามาในหมู่บ้านตามที่ชาวบ้านหวั่นวิตก  พวกโจรบุกเข้าปล้นบ้านทีละหลังสองหลัง  ซ้ำยังเผาบ้านที่ขัดขืนอีก ชาวบ้านช่วยกันดับไฟอย่างจ้าละหวั่น ส่วนโจรก็บุกปล้นบ้านของชาวบ้านต่อไปไม่ยอมหยุด จนเมื่อพวกโจรมาถึงบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ตรงท้ายหมู่บ้าน พวกโจรก็ถึงกับผงะ เพราะที่บ้านหลังนี้ มีผู้คนตัวใหญ่นั่งผิงไฟกันอยู่มากถึง 20 คน ทุกคนมีขวานและมีดพร้าวางอยู่ข้าง ๆ ตัว หนำซ้ำ พวกเขายังมีสัตว์เลี้ยงคู่กายเป็นสิงโตและสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ หมอบอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย  พวกโจรตกใจและพากันล่าถอยกลับไปอย่างช้า ๆ  แต่ทันใดนั้นเอง คุณพ่อยอดนักปั้นก็ดัดเสียงให้ดูถมึงทึงที่สุด พร้อมกับตวาดออกไปดังลั่นว่า “นั่นใครบังอาจบุกรุกเข้ามาในบ้านของข้า”

ทันทีที่พวกโจรป่าได้ยินเสียง  พวกโจรก็รีบวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต  แต่อนิจจา…พวกโจรไม่รู้เลยว่า  บริเวณนั้นมีหลุมลึกที่ครอบครัวนักปั้นขุดเพื่อเอาดินมาใช้อยู่เต็มไปหมด  พวกโจรจึงตกหลุมจนสลบไปและถูกตำรวจตามมาจับตัวได้ในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น  แม้ชาวบ้านจะได้ทรัพย์สินคืนเกือบทั้งหมด แต่บ้านช่องที่ถูกเผานั้นก็เสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ เมื่อครอบครัวนักปั้นทราบเรื่อง พวกเขาจึงช่วยกันปั้นดินเป็นก้อนอิฐแล้วเริ่มต้นสร้างบ้านดินเพื่อให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัย

เมื่อชาวบ้านเห็นการกระทำของครอบครัวนักปั้น  ชาวบ้านต่างก็สำนึกผิดที่กล่าวหาว่าครอบครัวนักปั้นเป็นพวกสติเฟื่องไร้สาระ เพราะนอกจากครอบครัวนักปั้นจะปั้นดินจนป้องกันตัวจากโจรป่าและจับโจรได้สำเร็จแล้ว พวกเขายังมีน้ำใจที่จะสร้างบ้านดินให้กับคนที่เคยดูถูกดูหมิ่นพวกเขาอีกด้วย ชาวบ้านซาบซึ้งในน้ำใจของครอบครัวนักปั้นมาก  ทุกคนพากันขอโทษในสิ่งที่ได้กระทำลงไป  จากนั้น พวกเขาก็ลงมือสร้างบ้านดินร่วมกัน จนกระทั่งชาวบ้านทุกครอบครัวกลับมามีบ้านเป็นของตัวเองอีกครั้ง

การดูถูกดูหมิ่นหรือว่าร้ายคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเอาเสียเลย เพราะสิ่งที่หลายคนมองว่าไร้สาระ บางครั้งมันก็สร้างประโยชน์ได้อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ครอบครัวนักปั้นออกไปนั่งปั้นดินเล่นกัน  นอกจากรอบตัวของพวกเขาจะมีนก, กระต่าย, กระรอกและกระแตมาล้อมวงดูพวกเขาปั้นดินแล้ว  ชาวบ้านทั้ง หลายยังพาลูกหลานมาหัดปั้นดินกับครอบครัวนักปั้นด้วย 

ในที่สุด เรื่องราวของครอบครัวนักปั้นกับชาวบ้านทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

ครอบครัวพ่อแม่ลูกกำลังปั้นตุ๊กตาดินรูปสัตว์อย่างมีความสุข
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานเชคสเปียร์

ความฝันในคืนกลางฤดูร้อน : นิทานตลก ๆ ก่อนนอนจากเชคสเปียร์

A Midsummer Night’s Dream คือบทละครแนวแฟนตาซี-โรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1595–1596 และถือเป็นหนึ่งในบทละครที่มีชีวิตชีวาและเป็นที่รักมากที่สุดของเชคสเปียร์ ด้วยฉากป่าเวทมนตร์ ตัวละครภูติ และความรักที่วุ่นวายระหว่างหนุ่มสาวสี่คนในเมืองเอเธนส์

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง A Midsummer Night’s Dream ว่าเป็นบทละครที่โดดเด่นด้านโครงสร้างและลีลา เพราะสามารถผสมผสานความรัก ความขบขัน และเวทมนตร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยไม่ลดทอนความลึกของอารมณ์มนุษย์ เรื่องนี้สะท้อนความเปราะบางของความรัก ความเข้าใจผิด และพลังของจินตนาการอย่างแยบคาย หลายคนมองว่าเป็นบทละครที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้สำรวจความจริงและความฝันไปพร้อมกัน

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมจินตนาการ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s A Midsummer Night’s Dream – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… ณ กรุงเอเธนส์ (Athens) เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและความคึกคัก มีเจ้าผู้ครองนครชื่อว่า เธเซอุส (Theseus) กำลังเตรียมพิธีแต่งงานกับหญิงงามผู้กล้าหาญนามว่า ฮิปโปลิตา (Hippolyta) ผู้เป็นราชินีแห่งอเมซอน (Amazon) ทั้งเมืองต่างรอคอยวันแห่งความสุขนี้ด้วยใจเบิกบาน

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในหัวใจของหนุ่มสาวอีกสี่คน คือ เฮอร์เมีย (Hermia) ไลแซนเดอร์ (Lysander) เดเมเทรียส (Demetrius) และ เฮเลนา (Helena)

เฮอร์เมียเป็นหญิงสาวผู้รักชายชื่อไลแซนเดอร์ แต่บิดาของเธอกลับต้องการให้เธอแต่งงานกับ เดเมเทรียส ชายอีกคนที่เธอไม่รักเลยแม้แต่น้อย

เฮอร์เมียไม่ยอมทำตามคำสั่งของบิดา เธอจึงวางแผนหนีออกจากเมืองไปพร้อมกับไลแซนเดอร์ เพื่อใช้ชีวิตด้วยกันอย่างอิสระในที่ที่ไม่มีใครขัดขวาง

เมื่อเฮเลนาเพื่อนสาวของเฮอร์เมียรู้เรื่อง เธอเกิดความหวังขึ้นในใจ เพราะเธอเองก็หลงรักเดเมเทรียสมานาน แม้ว่าเขาจะไม่เคยรักเธอกลับเลยก็ตาม เฮเลนาจึงรีบไปบอกเดเมเทรียสว่าเฮอร์เมียหนีไปกับไลแซนเดอร์ เพื่อหวังว่าเขาจะหันมาสนใจเธอแทน

เดเมเทรียสโกรธมากและรีบตามไปยังป่าที่เฮอร์เมียหลบหนีไป เฮเลนาก็ตามไปด้วย หวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชายที่เธอรัก แม้จะรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเธอเลย

และแล้ว…หนุ่มสาวทั้งสี่ก็หลงเข้าไปในป่าลึกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ โดยไม่รู้เลยว่าในป่าแห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์อาศัยอยู่ ซึ่งก็คือ…ภูติแห่งความฝันและความรัก

……..

ณ ใจกลางของป่า มีราชาแห่งภูตนามว่า โอเบรอน (Oberon) และราชินีแห่งภูตนามว่า ไททาเนีย (Titania) ทั้งสองมีอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่ในเวลานั้น พวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องเด็กคนหนึ่งที่ไททาเนียรับมาเป็นบุตรบุญธรรม

โอเบรอนไม่พอใจที่ไททาเนียไม่ยอมแบ่งปันเด็กคนนั้นให้เขาดูแลเลย เขาจึงวางแผนใช้เวทมนตร์เพื่อทำให้ไททาเนียหลงรักสิ่งที่น่าขันที่สุดเท่าที่จะหาได้ในป่า

เขาเรียกภูติรับใช้ชื่อ พัค (Puck) ซึ่งเป็นภูติจอมซน ให้ไปหา “ดอกไม้แห่งความหลง” ที่เมื่อหยดน้ำจากดอกไม้ลงบนเปลือกตาของผู้ที่หลับใหล จะทำให้ผู้นั้นหลงรักสิ่งแรกที่เห็นเมื่อตื่นขึ้นมา นอกจากนี้ โอเบรอนยังสั่งให้พัคใช้ดอกไม้นี้กับหนุ่มสาวที่หลงทางในป่า เพื่อช่วยให้ความรักของพวกเขาเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

……..

ในค่ำคืนนั้น ป่าเวทมนตร์เงียบสงบ มีเพียงเสียงใบไม้ไหวและแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านกิ่งไม้สูงใหญ่ พัคภูติจอมซนบินอย่างว่องไวตามคำสั่งของโอเบรอน พัคพบดอกไม้แห่งความหลงที่มีน้ำวิเศษอยู่ในกลีบ และเขาพยายามมองหาชายหนุ่มที่ควรจะได้รับหยดน้ำจากดอกไม้นี้

แต่เมื่อพัคเห็นชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมาย พัคกลับจำหน้าคนผิด เขาเห็นไลแซนเดอร์ นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ และคิดว่าเขาคือเดเมเทรียส พัคจึงหยดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตาของไลแซนเดอร์ แล้วบินจากไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เฮเลนาก็เดินหลงทางมาใกล้ที่ ๆ ไลแซนเดอร์นอนอยู่ เฮเลนาเห็นไลแซนเดอร์นอนหลับ เธอจึงพยายามปลุกด้วยความเป็นห่วง “ท่านไลแซนเดอร์ ตื่นเถิด ท่านหลับอยู่กลางป่าเช่นนี้ไม่ปลอดภัยเลย”

เมื่อไลแซนเดอร์ตื่นขึ้นมาและเห็นเฮเลนา เขาก็หลงรักเธออย่างไม่มีเหตุผล “โอ เฮเลนา เจ้าเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในโลก ข้ารักเจ้า!”

เฮเลนาตกใจและคิดว่าเขากำลังล้อเล่น “ทำไมท่านพูดเช่นนี้ ท่านรักเฮอร์เมียมิใช่หรือ?

“ข้าไม่เคยรักเฮอร์เมียเลย” ไลแซนเดอร์ตอบ “ข้ารักเจ้าเท่านั้น!”

เฮเลนาสับสนและเสียใจ เธอคิดว่าไลแซนเดอร์กำลังล้อเล่นกับเธอ เธอจึงเดินจากไปทั้งน้ำตา

……….

ในอีกมุมหนึ่งของป่า เดเมเทรียสยังคงตามหาเฮอร์เมียอย่างไม่ลดละ โอเบรอนซึ่งเฝ้าดูอยู่รู้ทันทีว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น โอเบรอนจึงสั่งให้พัคหยดน้ำวิเศษใส่ตาของเดเมเทรียสด้วย เพื่อให้เขาหันมารักเฮเลนาอย่างแท้จริง

พัคทำตามคำสั่ง และเมื่อเดเมเทรียสตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นเฮเลนาเดินร้องไห้อยู่ไกลๆ ซึ่งทันใดนั้นเอง เขาก็หลงรักเธออย่างสุดหัวใจ

“เฮเลนา! ข้ารักเจ้า! ข้าขอโทษที่เคยเมินเฉยต่อเจ้า” เดเมเทรียสร้องออกมา

เฮเลนาตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้มีชายสองคน คือทั้งไลแซนเดอร์และเดเมเทรียส ต่างก็กล่าวว่ารักเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจเธอเลย

เฮอร์เมียซึ่งตามมาเห็นเหตุการณ์ ก็โกรธและเสียใจอย่างมาก “ไลแซนเดอร์! เจ้าเคยสาบานว่าจะรักข้า แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ?”

ไลแซนเดอร์ไม่ฟังเธอเลย เขาหันไปหาเฮเลนาอย่างเดียว เฮอร์เมียจึงหันไปต่อว่าเฮเลนา “เจ้าแย่งคนรักของข้าไป!”

เฮเลนาร้องไห้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจเลย ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!”

ความรักที่เคยเรียบง่าย กลับกลายเป็นความสับสนวุ่นวาย และป่าเวทมนตร์ก็เต็มไปด้วยเสียงโต้เถียง เสียงร้องไห้ และความเข้าใจผิด

โอเบรอนเห็นแล้วรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราววุ่นวายเช่นนี้เกิดขึ้น เขาจึงวางแผนให้พัคแก้เวทมนตร์ทั้งหมด เพื่อคืนความรักให้เป็นไปตามธรรมชาติ

แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้น ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่เขาต้องจัดการ นั่นคือเรื่องของไททาเนีย (Titania) ราชินีแห่งภูติ ที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และกำลังจะตื่นขึ้นมาเห็นสิ่งที่น่าขันที่สุดในป่า…

……….

ในอีกมุมหนึ่งของป่าเวทมนตร์ มีกลุ่มชาวบ้านธรรมดาๆ กลุ่มหนึ่ง กำลังซ้อมละครเพื่อแสดงในพิธีแต่งงานของเธเซอุส พวกเขาไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความขยันขันแข็ง

หนึ่งในนั้นคือชายชื่อ บอทท่อม ชายผู้มีนิสัยชอบอวดเก่งและมักเสนอให้ตนเองรับบทเด่นเสมอ เขาเสนอว่า “ข้าจะเล่นเป็นพระเอกก็ได้ หรือจะเป็นสิงโตก็ได้ ข้าเล่นได้ทุกบท!”

พัคซึ่งบินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงบอทท่อมอวดตัวเอง พัคจึงคิดจะแกล้งเขา พัคใช้เวทมนตร์แปลงหัวของบอทท่อมให้กลายเป็นหัวลา มีหูยาวและเสียงร้อง “ฮี่ ๆ ๆ” ที่แปลกประหลาด

เมื่อบอทท่อมกลับไปซ้อมละคร เพื่อนๆ ต่างตกใจและวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว บอทท่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเพียงรู้สึกว่าทุกคนมองเขาแปลกๆ และเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป

ในขณะเดียวกัน ไททาเนีย ราชินีแห่งภูติ กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โอเบรอนจึงแอบเข้ามาหยดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตาของเธอ และรอให้เธอตื่นขึ้นมา

ไม่นานนัก ไททาเนียก็ลืมตาขึ้น และสิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือ บอทท่อมหัวลา เธอจ้องมองเขาอย่างหลงใหล และกล่าวว่า “โอ ชายผู้สง่างาม ข้ารักเจ้าเหลือเกิน!”

บอทท่อมตกใจ “ข้า…ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร”

แต่ไททาเนียไม่ฟัง เธอเรียกภูติรับใช้ให้พาบอทท่อมไปยังที่พักของเธอ ให้อาหารอร่อยๆ และดูแลเขาอย่างดี

บอทท่อมรู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เขาเพลิดเพลินกับการได้รับความสนใจ และพูดกับตัวเองว่า “บางทีข้าอาจจะมีเสน่ห์มากกว่าที่คิดก็ได้”

โอเบรอนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้ต้องการให้ไททาเนียเจ็บปวด เพียงต้องการให้เธอเรียนรู้ว่า ความดื้อรั้นและการยึดติดอาจทำให้เราหลงรักสิ่งที่ไม่ควรรัก

เมื่อโอเบรอนเห็นว่าไททาเนียหลงรักบอทท่อมอย่างจริงจัง เขาจึงเริ่มรู้สึกสงสาร และวางแผนจะคืนทุกอย่างให้เป็นปกติ

ในขณะเดียวกัน ความรักของหนุ่มสาวมนุษย์ก็ยังคงสับสนวุ่นวาย พัคต้องรีบแก้เวทมนตร์ให้ถูกคน ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้

…….

เมื่อความวุ่นวายในป่าเวทมนตร์เริ่มเกินควบคุม โอเบรอนราชาแห่งภูติจึงตัดสินใจแก้ไขทุกสิ่งที่เขาและพัคได้ก่อไว้ เขาไม่ได้ต้องการให้ผู้คนเจ็บปวด เพียงต้องการสอนบทเรียนเรื่องความรักและความยึดมั่น

โอเบรอนสั่งให้พัคหยดน้ำวิเศษอีกชนิดหนึ่งลงบนเปลือกตาของไลแซนเดอร์ ขณะที่เขาหลับ เพื่อถอนเวทมนตร์ที่ทำให้เขาหลงรักเฮเลนา เมื่อไลแซนเดอร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กลับมารักเฮอร์เมีย อย่างแท้จริงเหมือนเดิม

เฮอร์เมียดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เธอกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าทอดทิ้งข้าไปแล้ว ข้ากลัวเหลือเกิน”

ไลแซนเดอร์จับมือเธอไว้แน่น “ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าใจของข้าเป็นของเจ้าเท่านั้น”

ในอีกมุมหนึ่ง เดเมเทรียสยังคงหลงรักเฮเลนาอย่างมั่นคง แม้ว่าเวทมนตร์จะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ความรู้สึกของเขากลับแน่นแฟ้นขึ้นทุกขณะ เขากล่าวว่า “ข้าเคยมองข้ามเจ้า แต่ตอนนี้ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงที่ข้าควรจะรักตั้งแต่แรก”

เฮเลนามองเขาด้วยความลังเล แต่เมื่อเห็นความจริงใจในดวงตา เธอก็ยิ้มออกมา “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจอีกนะ”

โอเบรอนเห็นว่าความรักของหนุ่มสาวกลับคืนสู่ความสมดุลแล้ว เขาจึงหันไปจัดการเรื่องสุดท้าย ซึ่งก็คือเรื่องของไททาเนียราชินีแห่งภูติ

โอเบรอนเดินไปหาเธอขณะที่เธอยังหลงรักบอทท่อมผู้มีหัวเป็นลา และกล่าวเบาๆ “ถึงเวลาที่เจ้าจะตื่นจากความฝันแล้ว”

โอเบรอนหยดน้ำแก้เวทมนตร์ลงบนเปลือกตาของไททาเนีย และเมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็เห็นบอทท่อมหลับอยู่ข้างๆ ด้วยหัวลา เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ “ข้า…ข้าหลงรักสิ่งนี้จริงหรือ?”

โอเบรอนยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ และข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจว่า ความรักไม่อาจถูกบังคับ และความดื้อรั้นอาจทำให้เราหลงทาง”

ไททาเนียหัวเราะเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอโทษที่เคยดื้อดึง”

โอเบรอนถอนเวทมนตร์ทั้งหมด และบอททอมก็กลับคืนสู่ร่างเดิมโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าเขาแค่ฝันไป และเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนเพื่อเตรียมแสดงละคร

เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ โอเบรอนและไททาเนียก็คืนดีกัน พวกเขาจับมือกันและบินขึ้นสู่ยอดไม้สูง ราวกับธรรมชาติได้คืนความสมดุลอีกครั้ง

ในป่าเวทมนตร์ที่เคยเต็มไปด้วยความสับสน ตอนนี้มีเพียงเสียงหัวเราะ เสียงเพลง และความรักที่แท้จริง

……..

เมื่อรุ่งเช้าเริ่มส่องแสงผ่านยอดไม้ในป่าเวทมนตร์ หนุ่มสาวทั้งสี่ ได้แก่ เฮอร์เมีย, ไลแซนเดอร์, เฮเลนา และเดเมเทรียส ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสงบ พวกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นความฝันหรือความจริง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ความรักของพวกเขาได้กลับคืนสู่หัวใจที่ถูกต้อง

เธเซอุส (Theseus) เจ้าผู้ครองนครเอเธนส์ และฮิปโปลิตา (Hippolyta) ว่าที่พระชายา เสด็จมายังป่าเพื่อออกล่าสัตว์ตามธรรมเนียมก่อนพิธีแต่งงาน และพบหนุ่มสาวทั้งสี่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อพระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด เธเซอุสตัดสินใจให้อภัยและอนุญาตให้ทั้งสองคู่รักได้แต่งงานพร้อมกันในพิธีเดียวกับพระองค์

ทุกคนกลับสู่เมืองเอเธนส์ด้วยหัวใจที่เบิกบาน พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างงดงามในพระราชวัง มีเสียงดนตรี การตกแต่งด้วยดอกไม้ และผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดี

กลุ่มชาวบ้านที่ซ้อมละครในป่า รวมถึงบอทท่อมผู้กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้ว ได้ขึ้นแสดงละครตลกเรื่อง “พีระมัสและธิสบี” (Pyramus and Thisbe) ซึ่งเต็มไปด้วยความผิดพลาดน่าขันและความตั้งใจจริงที่น่ารัก เธเซอุสและผู้ชมต่างหัวเราะอย่างมีความสุข และชื่นชมความพยายามของพวกเขา

เมื่อค่ำคืนมาถึง และทุกคนกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม โอเบรอนและไททาเนียบินผ่านเมืองอย่างเงียบงัน พวกเขาโปรยน้ำวิเศษแห่งความสงบลงบนบ้านเรือน เพื่อให้ทุกคนหลับฝันดี

พัคภูติจอมซนปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เขากล่าวเบาๆ กับผู้อ่านว่า “หากเรื่องราวนี้ทำให้ท่านยิ้มได้ ก็จงคิดว่าเป็นเพียงความฝัน หากมีสิ่งใดผิดพลาด ก็ขอให้ท่านให้อภัยแก่ภูติผู้นี้ด้วยเถิด”

และแล้ว…เรื่องราวแห่งความรัก ความเข้าใจผิด และเวทมนตร์ก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะและความสุขที่แท้จริง

Posted in ดวงประจำวันเกิด, ดูดวงตามวันเกิด, ทำนายดวงตามวันเกิด

สุขสันต์วันเกิด: ดูดวงคนเกิด 27 กรกฎา

ผู้ที่เกิดวันที่ 27 กรกฎาคมอยู่ภายใต้ราศีสิงห์ ซึ่งมีดาวอาทิตย์และดาวอังคารเป็นดาวส่งเสริมพลังชีวิต คุณเป็นคนที่มีพลังในตัวสูง มีความมั่นใจ กล้าคิด กล้าทำ และมีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ

  • คุณมีความสามารถในการแยกแยะสิ่งที่ถูกผิดได้อย่างชัดเจน และมีจิตสำนึกที่เข้มแข็ง
  • แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งและเด็ดขาด แต่ภายในกลับมีความละเอียดอ่อน ซ่อนความเปราะบางไว้ลึก ๆ
  • คุณมักเป็นคนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว มีความโรแมนติก และมีอารมณ์ทางศิลปะสูง
  • มีแนวโน้มจะเป็นคนที่ “เลือกมาก” ในเรื่องความสัมพันธ์ เพราะคุณให้คุณค่ากับความจริงใจและความลึกซึ้ง

คุณคือคนที่สามารถ “เปล่งแสง” ได้ในแบบของตัวเอง และเมื่อคุณใช้พลังนั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โลกจะตอบแทนคุณด้วยความรักและโอกาสที่งดงาม

  • ธาตุประจำวันเกิดของคุณคือ ไฟ
  • ธาตุไฟสะท้อนถึงความกระตือรือร้น ความกล้า และความสามารถในการจุดประกายให้ผู้อื่น
  • คุณมีแรงผลักดันภายในที่ชัดเจน และมักเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
  • จุดแข็งคือความกล้าตัดสินใจและความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ
  • จุดอ่อนคือความใจร้อนและการยึดมั่นในความคิดตนเองมากเกินไป

💡 คำแนะนำ: การฝึกสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ช่วยปรับสมดุล เช่น การเดินในธรรมชาติ หรือการวาดภาพ จะช่วยให้ธาตุไฟของคุณไม่ลุกลามจนเผาตัวเอง

สิ่งมงคลรายละเอียดวิธีใช้เสริมดวง
🎨 สีมงคลสีทอง, สีแดงเข้ม, สีส้มใช้ในการแต่งกายหรือของใช้เพื่อเสริมความมั่นใจและพลังชีวิต
💎 อัญมณีทับทิม (Ruby), ไพฑูรย์ (Tiger’s Eye)พกเป็นเครื่องประดับหรือวางไว้บนโต๊ะทำงานเพื่อเสริมความกล้าและความชัดเจน
🔢 เลขมงคล1, 9, 27ใช้ในการเลือกวันสำคัญ เลขทะเบียน หรือเบอร์โทรศัพท์
🌸 ดอกไม้ประจำวันเกิดดอกทานตะวัน, ดอกดาวเรืองวางไว้ในบ้านหรือโต๊ะทำงานเพื่อเสริมพลังบวกและความสดใสในชีวิตประจำวัน

💡 คำแนะนำเพิ่มเติม: หากคุณต้องการเสริมดวงด้านความรัก ให้เลือกใช้สีแดงเข้มในของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าพันคอ หรือกระเป๋าเล็ก ๆ เพื่อกระตุ้นพลังแห่งความสัมพันธ์

  • มิตรที่ดี: คนที่มีความกระตือรือร้นและจริงใจ เช่น ผู้ที่เกิดในราศีเมษ ราศีธนู หรือผู้ที่มีธาตุไฟเหมือนกัน
  • ศัตรูที่ควรระวัง: คนที่ชอบควบคุมหรือวิจารณ์โดยไม่เข้าใจ เช่น ราศีมังกร หรือผู้ที่มีธาตุดินที่แข็งเกินไป
  • คู่ครองที่เหมาะสม: ควรเป็นคนที่เข้าใจความทะเยอทะยานของคุณ และไม่กลัวที่จะเติบโตไปพร้อมกัน คู่ที่เกิดในราศีเมษ ราศีธนู หรือราศีตุลย์ มักส่งเสริมกันได้ดี ความสัมพันธ์จะมั่นคงเมื่อมีการเคารพซึ่งกันและกัน และเปิดใจรับความแตกต่าง

💡 ข้อคิด: ความรักของคุณจะเบ่งบานเมื่อคุณกล้าปล่อยให้ “ความอ่อนโยน” ทำหน้าที่นำทาง ไม่ใช่แค่ “ความแข็งแกร่ง”

  • 📘 การเรียน: คุณเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนและแรงบันดาลใจจากภายใน เหมาะกับการเรียนในสายบริหาร ศิลปะ การสื่อสาร หรือจิตวิทยา
  • 💼 การงาน: มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การบริหาร หรือการเป็นผู้นำ เช่น นักออกแบบ ผู้จัดการ นักพูด หรือครู
  • 💰 การเงิน: มีโอกาสสร้างรายได้จากความสามารถเฉพาะตัว แต่ควรระวังการใช้จ่ายตามอารมณ์ ควรวางแผนระยะยาวและมีที่ปรึกษาทางการเงิน
  • ❤️ ความรัก: เป็นคนรักที่จริงใจและทุ่มเท แต่บางครั้งอาจคาดหวังสูง ควรเปิดใจรับความแตกต่างและเรียนรู้การสื่อสารอย่างอ่อนโยน
  • 🧘‍♂️ สุขภาพ: พลังงานภายในสูง อาจทำให้เหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหมั่นดูแลสุขภาพจิต
  • 🌅 บั้นปลายชีวิต: หากใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจตนเองและผู้อื่น จะมีชีวิตที่สงบสุข และอาจกลายเป็นผู้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง

  • 👶 วัยเด็ก: มีความเป็นผู้นำตั้งแต่เล็ก แต่ควรได้รับการสอนเรื่องความอ่อนโยนและการฟังผู้อื่น
  • 🧑‍🎓 วัยเรียน: อาจรู้สึกกดดันจากความคาดหวังของตนเอง ควรเรียนรู้การยอมรับความผิดพลาดและใช้มันเป็นแรงผลักดัน
  • 👩‍💼 วัยทำงาน: ระวังการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด ควรแบ่งเวลาให้กับการพักผ่อนและความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า
  • 👵 วัยกลางคนถึงบั้นปลาย: มีแนวโน้มหันกลับมาสู่ความเรียบง่ายและการให้ ควรใช้ช่วงเวลานี้ในการถ่ายทอดประสบการณ์และความเข้าใจชีวิต
ชื่ออาชีพผลงานเด่นแหล่งข้อมูล
โชคชัย เจริญสุขนักแสดง-นักร้องไทยบท “ฤกษ์ดี” จากละคร อรุณสวัสดิ์, เพลง “ฆ่าเวลา”Wikipedia ไทย
แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์นักร้องลูกทุ่งไทยเพลง “แห่ขันหมาก”, “รักสาวเสื้อลาย”, เจ้าของโล่ห์พระราชทานWikipedia ไทย
Charlotte Cordayขุนนางหญิงชาวฝรั่งเศสลอบสังหารฌอง-ปอล มารา, สัญลักษณ์การต่อต้านเผด็จการBritannica
Alex Rodriguezนักเบสบอลระดับตำนานของสหรัฐฯผู้เล่นทีม New York Yankees, MVP 3 สมัยBritannica
Taeyong (แทยง – NCT 127)นักร้องและนักเต้นเกาหลีใต้สมาชิกวง NCT และ SuperMKProfiles

เหตุการณ์ปีรายละเอียดแหล่งข้อมูล
สงบศึกสงครามเกาหลีค.ศ. 1953ยุติการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ สหรัฐฯ และจีนHistory.com
เหตุวางระเบิดโอลิมปิกแอตแลนตาค.ศ. 1996เหตุการณ์ก่อการร้ายกลางสวน Olympic Park เสียชีวิต 1 รายBritannica
การปรากฏตัวครั้งแรกของ Bugs Bunnyค.ศ. 1940ในแอนิเมชัน “A Wild Hare” โดย Warner Bros.Warner Bros. Archives
การค้นพบอินซูลินโดย Frederick Bantingค.ศ. 1921จุดเปลี่ยนสำคัญในการรักษาโรคเบาหวานWikipedia
การเสียชีวิตของ Sam Shepardค.ศ. 2017นักเขียนบทละครและนักแสดงอเมริกันผู้ทรงอิทธิพลBritannica

คุณคือผู้ที่เกิดมาพร้อม “เปลวไฟแห่งแรงบันดาลใจ” คุณไม่ใช่แค่คนที่กล้าฝันแต่คุณกล้าทำให้ฝันนั้นเป็นจริง แม้บางครั้งจะรู้สึกโดดเดี่ยวในความคิดที่แตกต่าง แต่โลกใบนี้ต้องการคนอย่างคุณ เพื่อจุดประกายให้คนอื่นกล้าก้าวตาม

🎁 ของขวัญวันเกิดจากจักรวาล คือ “พลังในการเปลี่ยนความกล้าให้กลายเป็นความดี” และ “ความสามารถในการสร้างแสงสว่างให้กับคนที่ยังหลงทาง”

สุขสันต์วันเกิดครับ 💛 ขอให้ทุกย่างก้าวของคุณเต็มไปด้วยความมั่นใจ ความรัก และความหมายที่ลึกซึ้งเสมอ

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานเชคสเปียร์, วรรณกรรมคลาสสิก

โรมิโอกับจูเลียต | นิทานก่อนนอนความรักจากเชคสเปียร์

Romeo and Juliet คือบทละครโศกนาฏกรรมที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และกลายเป็นหนึ่งในบทละครที่โด่งดังที่สุดของเชคสเปียร์ ถ่ายทอดเรื่องราวความรักอันเร่าร้อนระหว่างหนุ่มสาวจากสองตระกูลที่เป็นศัตรูกันในเมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี

นักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วโลกยกย่อง Romeo and Juliet ว่าเป็นบทละครที่สะท้อนความซับซ้อนของอารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง ทั้งความรัก ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิด และความสูญเสีย โดยไม่พยายามสอนหรือชี้นำ แต่ปล่อยให้ผู้อ่านสัมผัสความจริงของชีวิตผ่านชะตากรรมของตัวละคร เชคสเปียร์ใช้บทสนทนาและฉากที่ทรงพลังในการสร้างอารมณ์โศกนาฏกรรมที่ยังคงสะเทือนใจผู้ชมทุกยุคทุกสมัย

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างกลมกลืน โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Romeo and Juliet – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ.

ณ เมืองเวโรนา (Verona) อันงดงามในอิตาลี มีสองตระกูลใหญ่ที่เกลียดชังกันอย่างรุนแรง—มอนตากิว (Montague) และ คาปูเล็ต (Capulet) ความบาดหมางระหว่างพวกเขากินเวลายาวนานจนแม้แต่คนรับใช้ก็พร้อมจะทะเลาะกันกลางถนน

ในเช้าวันหนึ่ง เกิดการวิวาทขึ้นอีกครั้ง ผู้คนต่างแตกตื่น เจ้าชายแห่งเวโรนาต้องออกมาห้ามปราม และประกาศว่า หากมีการต่อสู้กันอีก เขาจะลงโทษอย่างหนัก

ในบ้านมอนตากิว โรมิโอ (Romeo) บุตรชายคนเดียวของตระกูล กำลังเศร้าใจ เขาไม่ได้สนใจความขัดแย้งของครอบครัว แต่กลับหม่นหมองเพราะความรักที่ไม่สมหวัง เขาหลงรักหญิงสาวชื่อ โรซาลีน (Rosaline) ซึ่งไม่สนใจเขาเลย

เพื่อนของโรมิโอ ชื่อเบนโวลิโอ (Benvolio) และ เมอร์คูชิโอ (Mercutio) พยายามปลอบใจ และชวนเขาไปงานเลี้ยงของตระกูลคาปูเล็ต ซึ่งจัดขึ้นในคืนนั้น แม้จะเป็นงานของศัตรู แต่พวกเขาแอบปลอมตัวเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

นบ้านคาปูเล็ต จูเลียต (Juliet) บุตรีวัยเยาว์ของเจ้าบ้าน กำลังเตรียมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน เธอไม่เคยรู้จักความรักมาก่อน และครอบครัวกำลังวางแผนให้เธอแต่งงานกับชายหนุ่มชื่อ ปารีส (Paris) ซึ่งเป็นญาติของเจ้าชาย

เมื่อค่ำคืนมาถึง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างงดงาม มีเสียงดนตรี แสงเทียน และผู้คนมากมาย โรมิโอซึ่งปลอมตัวเข้ามาในงาน เดินผ่านผู้คนอย่างเงียบๆ และทันใดนั้น เขาก็เห็นจูเลียต

โรมิโอตกตะลึง ราวกับโลกทั้งใบเงียบลง “เธอคือแสงสว่างในราตรีอันมืดมน” เขาพึมพำ

จูเลียตก็เห็นโรมิโอเช่นกัน และรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงกว่าที่เคย “ข้าไม่เคยเห็นชายใดที่งามเช่นนี้มาก่อนเลย”

ทั้งสองเดินเข้าหากันอย่างช้าๆ และเริ่มพูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนโยน ราวกับวิญญาณของพวกเขาเข้าใจกันตั้งแต่แรกพบ

แต่เมื่อจูเลียตกลับไปถามพี่เลี้ยงว่าเขาเป็นใคร คำตอบนั้นทำให้เธอสะเทือนใจ “เขาคือโรมิโอ บุตรของมอนตากิว”

จูเลียตตกใจ “ข้ารักศัตรูของครอบครัวข้าแล้วหรือ?”

โรมิโอก็รู้ความจริงเช่นกัน และกล่าวเบาๆ “ข้าพบรักแท้ในบ้านของศัตรู ข้าจะทำเช่นไรดี?”

……….

หลังจากค่ำคืนแห่งการพบกัน โรมิโอ (Romeo) ไม่อาจหยุดคิดถึงจูเลียต (Juliet) ได้เลย เขาเดินกลับไปยังบ้านคาปูเล็ตในยามค่ำ เพื่อแอบมองนางจากสวนใต้ระเบียง และแล้ว…เขาได้ยินเสียงของจูเลียตพูดกับดวงดาว

“โอ โรมิโอ โรมิโอ เหตุใดเจ้าจึงเป็นโรมิโอ? จงปฏิเสธนามของเจ้าเสีย หรือหากเจ้าไม่ยอม ข้าจะละทิ้งนามของข้าแทน…”

โรมิโอซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ เขาไม่อาจทนฟังคำพูดนั้นโดยไม่ตอบ “ข้าจะละทิ้งนามของข้า หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าคือผู้ที่รักเจ้า ไม่ใช่ศัตรูของครอบครัวเจ้า”

จูเลียตตกใจที่เขาอยู่ใกล้เพียงนั้น แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความสุข ทั้งสองพูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนโยนและจริงใจ ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงพวกเขา

เมื่อรุ่งเช้าใกล้เข้ามา โรมิโอรีบไปหา ลอเรนซ์ (Friar Laurence) นักบวชผู้มีเมตตา และขอให้เขาช่วยจัดพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ ลอเรนซ์ลังเล แต่เมื่อเห็นความรักที่แท้จริงของทั้งสอง เขาก็ยอมช่วย โดยหวังว่าการแต่งงานนี้จะช่วยสมานรอยร้าวระหว่างสองตระกูล

ในวันเดียวกันนั้น จูเลียตส่งพี่เลี้ยงไปพบโรมิโอ เพื่อรับคำตอบเรื่องพิธีแต่งงาน โรมิโอบอกสถานที่และเวลาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลา ทั้งสองก็แต่งงานกันอย่างเงียบงันในโบสถ์เล็กๆ โดยมีลอเรนซ์เป็นพยาน

หลังพิธี โรมิโอและจูเลียตต่างกลับบ้านของตน โดยไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว

แต่ในเมืองเวโรนา ความขัดแย้งยังคงคุกรุ่น เมอร์คูชิโอ (Mercutio) เพื่อนของโรมิโอ และเดเมโท (Tybalt) ญาติของจูเลียต ต่างมีความแค้นต่อกัน และกำลังจะเผชิญหน้ากันในถนนกลางเมือง

……..

ณ ถนนในเมืองเวโรนา แสงแดดส่องแรงในยามบ่าย เมอร์คูชิโอ (Mercutio) เพื่อนของโรมิโอ (Romeo) เดินไปพร้อมกับเบนโวลิโอ (Benvolio) เขาอารมณ์ขุ่นมัว และกล่าวว่า “อากาศร้อนเช่นนี้ทำให้เลือดเดือดง่าย ข้าไม่อยากเจอใครจากคาปูเล็ตเลย”

แต่แล้ว เดเมโท (Tybalt) ญาติของจูเลียต (Juliet) ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาโกรธที่โรมิโอแอบเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลคาปูเล็ต และต้องการท้าทายเขาให้สู้

โรมิโอซึ่งเพิ่งแต่งงานกับจูเลียตอย่างลับ ๆ ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ เขากล่าวอย่างสงบ “ข้าไม่มีเหตุผลจะสู้กับเจ้า เดเมโท ข้าเคารพเจ้าอย่างที่ญาติควรเคารพกัน”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้เดเมโทโกรธ เขาคิดว่าโรมิโอเยาะเย้ยเขา เมอร์คูชิโอจึงเข้ามาขวาง และท้าสู้แทน

การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาบฟาดกันกลางถนน โรมิโอพยายามห้าม แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเข้าไปขวางในจังหวะที่เดเมโทแทงเมอร์คูชิโอเข้าที่ท้อง

เมอร์คูชิโอล้มลง เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าโดนแทงแล้ว…ไม่ใช่แผลลึก แต่ลึกพอจะทำให้ข้าตาย”

โรมิโอตกใจและโกรธอย่างสุดขั้ว เขาไม่อาจอดกลั้นได้อีก เขาหยิบดาบขึ้นและไล่ตามเดเมโท ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด และในที่สุด โรมิโอก็แทงเดเมโทจนสิ้นใจ

เสียงร้องดังไปทั่วเมือง ผู้คนแตกตื่น เจ้าชายแห่งเวโรนามาถึง และเมื่อรู้ว่าโรมิโอฆ่าเดเมโท เขาจึงสั่งเนรเทศโรมิโอออกจากเมืองทันที

โรมิโอกลับไปหาลอเรนซ์ด้วยหัวใจที่แตกสลาย “ข้าฆ่าญาติของภรรยา ข้าถูกเนรเทศ ข้าจะไม่ได้เห็นจูเลียตอีกแล้ว”

ลอเรนซ์พยายามปลอบ “เจ้าจะได้พบจูเลียตอีกครั้งก่อนจากไป และข้าจะหาทางให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”

ในบ้านคาปูเล็ต จูเลียตรู้ข่าวการตายของเดเมโท และรู้ว่าโรมิโอเป็นผู้ลงมือ นางร้องไห้ด้วยความสับสน “ข้าควรโกรธเขา…แต่ข้ารักเขา ข้าจะทำเช่นไรดี?”

ในคืนนั้น โรมิโอแอบกลับมาพบจูเลียตเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากเมือง ทั้งสองโอบกอดกันด้วยน้ำตา และสัญญาว่าจะหาทางกลับมาหากันอีกครั้ง

…….

เมื่อโรมิโอ (Romeo) ถูกเนรเทศออกจากเวโรนา เขาหลบไปยังเมืองมานทัว (Mantua) ด้วยหัวใจที่แตกสลาย จูเลียต (Juliet) เองก็ถูกบีบให้แต่งงานกับปารีส (Paris) โดยไม่รู้ว่าโรมิโอยังมีชีวิตอยู่ นางพยายามปฏิเสธ แต่ครอบครัวไม่ฟังเสียงใด

จูเลียตจึงไปหาลอเรนซ์ (Friar Laurence) ด้วยความสิ้นหวัง “ข้าไม่อาจแต่งงานกับชายอื่นได้ ข้าเป็นภรรยาของโรมิโอแล้ว”

ลอเรนซ์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสนอแผนลับ “ข้าจะให้เจ้าดื่มยานี้ มันจะทำให้เจ้าดูเหมือนสิ้นใจไปชั่วคราว เมื่อครอบครัวพบเจ้า พวกเขาจะคิดว่าเจ้าตายแล้ว และจะนำร่างเจ้าไปฝังในสุสานของตระกูล ข้าจะส่งข่าวไปหาโรมิโอให้มารับเจ้าเมื่อเจ้าตื่นขึ้น”

จูเลียตยอมรับแผนด้วยความกล้าหาญ นางกลับบ้านและแสร้งทำเป็นยอมแต่งงานกับปารีส แต่ในคืนก่อนพิธี นางดื่มยาตามที่ลอเรนซ์ให้ไว้ และล้มลงอย่างเงียบงัน

รุ่งเช้า ครอบครัวคาปูเล็ตพบจูเลียตนอนนิ่งไร้ลมหายใจ พวกเขาร้องไห้ด้วยความเศร้า และจัดพิธีฝังศพอย่างเร่งรีบ

แต่ในเมืองมานทัว ข่าวที่ไปถึงโรมิโอไม่ใช่ข่าวจากลอเรนซ์ หากเป็นข่าวลือจากผู้เดินทางผ่าน เขาได้ยินว่า “จูเลียตสิ้นใจแล้ว”

โรมิโอช็อก เขาไม่รู้ถึงแผนลับของลอเรนซ์ และคิดว่าความรักของเขาได้จบลงแล้ว เขาจึงรีบกลับไปยังเวโรนา พร้อมกับยาพิษที่เขาซื้อมาด้วยความตั้งใจแน่วแน่

“หากนางไม่อยู่ ข้าก็ไม่ควรอยู่เช่นกัน” เขาพึมพำขณะเดินเข้าสู่สุสานของตระกูลคาปูเล็ต

ในสุสาน เขาพบจูเลียตนอนอยู่ในความเงียบงัน และกล่าวคำอำลาด้วยน้ำตา “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ แม้ในความตาย”

แล้วเขาก็ดื่มยาพิษ และล้มลงข้างร่างของนาง

ไม่นานหลังจากนั้น จูเลียตฟื้นขึ้นมา และพบโรมิโอนอนนิ่งอยู่ข้างๆ นางรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น และหัวใจของนางก็แตกสลาย

“โอ โรมิโอ…เจ้าจากข้าไปแล้วจริงหรือ?” นางกล่าวเบาๆ แล้วหยิบกริชของเขาขึ้นมา และจบชีวิตของตนเองเคียงข้างเขา

……….

เมื่อเจ้าชายแห่งเวโรนา (Prince of Verona) มาถึงสุสาน เขาพบร่างของโรมิโอ (Romeo) และจูเลียต (Juliet) นอนเคียงกันอย่างสงบ ข้างๆ มีปารีส (Paris) ผู้ถูกโรมิโอสังหารขณะพยายามปกป้องสุสานของหญิงที่เขารัก

ลอเรนซ์ (Friar Laurence) ซึ่งมาถึงช้าไปเพียงครู่เดียว ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าชายและครอบครัวทั้งสองฟัง ตั้งแต่เรื่องความรักที่เป็นความลับ การแต่งงาน การเนรเทศ และแผนการหลบหนีที่ผิดพลาด

ทุกคนเงียบ ไม่มีเสียงโต้เถียง ไม่มีคำกล่าวโทษ มีเพียงความเศร้าและความเสียใจที่แผ่ไปทั่วสุสาน

ลอร์ดมอนตากิว (Lord Montague) และลอร์ดคาปูเล็ต (Lord Capulet) มองดูร่างของลูกทั้งสอง และรู้ทันทีว่า ความเกลียดชังที่พวกเขาสร้างขึ้นคือสาเหตุของโศกนาฏกรรมนี้

“ข้าจะสร้างรูปปั้นทองคำให้จูเลียต เพื่อให้ผู้คนจดจำความงามและความรักของนาง” ลอร์ดมอนตากิวกล่าว

“และข้าจะทำเช่นเดียวกันกับโรมิโอ” ลอร์ดคาปูเล็ตตอบ

เจ้าชายกล่าวอย่างหนักแน่น “ความรักของหนุ่มสาวสองคนนี้ได้ดับความแค้นของครอบครัวทั้งสองลงแล้ว แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไป”

เมื่อพิธีฝังศพจัดขึ้นอย่างเงียบงัน ผู้คนในเวโรนาต่างมาร่วมไว้อาลัย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงดนตรี มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านสุสาน และแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องลงบนหลุมศพของโรมิโอกับจูเลียต

เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้จบด้วยความสุข แต่จบด้วยความจริง ความรักที่กล้าหาญ ความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืน และความสงบที่เกิดขึ้นจากการยอมรับ

Posted in ดวงประจำวันเกิด, ดูดวงตามวันเกิด, ทำนายดวงตามวันเกิด

สุขสันต์วันเกิด : ดูดวงคนเกิด 10 มีนาคม

  • ผู้ที่เกิดวันที่ 10 มีนาคม อยู่ในราศีมีน ซึ่งมีดาวเนปจูนเป็นดาวประจำตัว ส่งผลให้คุณเป็นคนมีจินตนาการสูง มีความฝันและความหวังที่ลึกซึ้ง
  • คุณเป็นคนอ่อนไหว เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมักมีความสามารถในการเยียวยาจิตใจคนรอบข้าง
  • ลักษณะเด่นคือความเสียสละ ความเมตตา และความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง
  • อย่างไรก็ตาม ความอ่อนไหวอาจทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกกระทบจากคำพูดเล็กน้อยได้ง่าย จึงควรฝึกการตั้งขอบเขตทางอารมณ์
  • ผู้ที่เกิดวันที่ 10 มีนาคม อยู่ในธาตุน้ำ
  • ธาตุน้ำสะท้อนถึงความลื่นไหล ความเข้าใจ และความลึกซึ้งทางอารมณ์
  • คุณมีความสามารถในการปรับตัวและเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ดี แต่ควรระวังการดูดซับอารมณ์ของคนอื่นมากเกินไป
  • การทำสมาธิหรือกิจกรรมที่ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ เช่น การวาดภาพ ดนตรี หรือการเขียน จะช่วยปรับสมดุลได้ดี
สิ่งมงคลรายละเอียดวิธีนำไปใช้เสริมดวง
🎨 สีมงคลสีม่วงลาเวนเดอร์, สีฟ้าอ่อน, สีขาวใช้ในการแต่งกายหรือของใช้ประจำวันเพื่อเสริมความสงบและความมั่นใจ
💎 อัญมณีมงคลอะเมทิสต์ (Amethyst), อะความารีน (Aquamarine)พกเป็นเครื่องประดับเพื่อเสริมสติและความชัดเจนทางจิตใจ
🔢 เลขมงคล3, 7, 10ใช้ในการเลือกเบอร์โทรศัพท์, เลขทะเบียน หรือวันสำคัญ
🌸 ดอกไม้ประจำวันเกิดดอกไลแล็ค, ดอกลิลลี่น้ำวางไว้ในบ้านหรือโต๊ะทำงานเพื่อเสริมพลังแห่งความสงบและความฝันที่งดงาม

  • มิตรที่ดี: คนที่มีความเข้าใจในความอ่อนไหว เช่น ราศีกรกฎ ราศีพิจิก หรือผู้ที่เกิดในธาตุน้ำ
  • ศัตรูที่ควรระวัง: คนที่พูดตรงเกินไปหรือไม่ใส่ใจความรู้สึก เช่น ราศีเมษ หรือราศีธนู อาจทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด
  • คู่ครองที่เหมาะสม: ควรเป็นคนที่มีความอ่อนโยน เข้าใจความฝันและความรู้สึกของคุณ คู่ที่เกิดในราศีมีน ราศีกรกฎ หรือราศีพฤษภ มักส่งเสริมกันได้ดี ความสัมพันธ์จะมั่นคงเมื่อมีการสนับสนุนซึ่งกันและกันในด้านจิตใจและความฝัน
  • 📘 การเรียน: คุณเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีแรงบันดาลใจและอารมณ์ร่วม เหมาะกับการเรียนในสายศิลปะ มนุษยศาสตร์ จิตวิทยา หรือการดูแลผู้อื่น
  • 💼 การงาน: เหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ความเข้าใจและความคิดสร้างสรรค์ เช่น นักเขียน นักบำบัด นักออกแบบ ครู หรือผู้ทำงานด้านจิตวิญญาณ
  • 💰 การเงิน: รายได้มักขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจและความมั่นใจในตนเอง หากมีวินัยและการวางแผน จะสามารถสร้างความมั่นคงได้ดี
  • ❤️ ความรัก: เป็นคนรักที่อ่อนโยนและโรแมนติก แต่บางครั้งอาจคาดหวังสูงหรือหลงใหลในอุดมคติ ควรเปิดใจและยอมรับความเป็นจริงของอีกฝ่าย
  • 🧘‍♂️ สุขภาพ: อารมณ์มีผลต่อสุขภาพอย่างมาก ควรดูแลสุขภาพจิตควบคู่กับร่างกาย หลีกเลี่ยงความเครียดสะสม
  • 🌅 บั้นปลายชีวิต: หากใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจตนเองและผู้อื่น จะมีชีวิตที่สงบสุข และอาจกลายเป็นผู้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง
  • 👶 วัยเด็ก: เป็นเด็กที่มีจินตนาการกว้างไกลและอารมณ์ละเอียดอ่อน อาจถูกเข้าใจผิดว่า “เพ้อฝัน” หรือ “ขี้แง” หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างอ่อนโยน ควรได้รับการเลี้ยงดูที่เปิดโอกาสให้แสดงออกทางศิลปะหรือความคิดสร้างสรรค์
  • 🧑‍🎓 วัยเรียน: มีแนวโน้มหลงใหลในสิ่งที่ตนรักอย่างลึกซึ้ง แต่ขาดแรงผลักดันในสิ่งที่ไม่สนใจ ควรฝึกวินัยและการจัดการเวลา เพื่อไม่ให้ความฝันกลายเป็นสิ่งที่ลอยหายไป
  • 👩‍💼 วัยทำงาน: อาจรู้สึกสับสนหรือไม่มั่นใจในเส้นทางชีวิต หากถูกกดดันให้เลือกงานที่ไม่ตรงกับหัวใจ ควรตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย และกล้าทำในสิ่งที่ตนเชื่อ แม้จะไม่เป็นที่นิยม
  • 👵 วัยกลางคนถึงบั้นปลาย: มีแนวโน้มหันกลับมาสู่โลกภายใน เช่น การทำสมาธิ การเขียน หรือการดูแลจิตวิญญาณ ควรใช้ช่วงเวลานี้ในการถ่ายทอดประสบการณ์และความเข้าใจชีวิตให้คนรุ่นหลัง

คำแนะนำเสริมดวง: หมั่นทำบุญด้วยการให้แรงบันดาลใจ เช่น การสอนศิลปะ การเขียนบทความให้กำลังใจ หรือการช่วยเหลือผู้ที่หลงทางในชีวิต จะช่วยเสริมพลังแห่งความฝันและเปิดทางให้โชคดีเข้ามาอย่างสง่างาม

  • พ.ศ. 2475: วันเกิดของ “อาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์
  • ค.ศ. 1876: อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ โทรศัพท์ครั้งแรกสำเร็จ
  • ค.ศ. 1945: การทิ้งระเบิดโตเกียวครั้งใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่ 2
  • วันสากลแห่งการตระหนักรู้เรื่องการติดเชื้อ HIV ในเด็ก (National Women and Girls HIV/AIDS Awareness Day – USA)
  • ค.ศ. 1963: เพลง “Please Please Me” ของ The Beatles ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Charts

บางคนเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ บางคนเกิดมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และคุณผู้ที่เกิดวันที่ 10 มีนาคม คือผู้ที่เกิดมาเพื่อ “ปลุกความหวัง” ให้โลกใบนี้

คุณอาจไม่ใช่คนที่ชอบยืนอยู่กลางเวที แต่คุณคือคนที่ทำให้คนอื่นกล้าขึ้นเวทีของตัวเอง คุณอาจไม่ใช่คนที่เสียงดัง แต่คุณคือเสียงเงียบที่ปลอบโยนหัวใจคนมากมาย

ในปีนี้ หากคุณรู้สึกสับสนหรือเหนื่อยล้า ขอให้คุณจำไว้ว่า “ความฝันของคุณมีค่า” และแม้บางวันจะดูเหมือนฝันนั้นไกลเกินเอื้อม แต่ทุกก้าวเล็ก ๆ ที่คุณเดิน กำลังพาคุณเข้าใกล้มันอย่างเงียบงาม

🎁 ของขวัญวันเกิดจากจักรวาลปีนี้คือ “ความกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น” และ “พลังที่จะเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นแสงนำทางของผู้อื่น”

สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้คุณยังคงเป็นแสงอ่อน ๆ ที่อบอุ่นหัวใจโลกใบนี้เสมอ

Posted in ดวงประจำวันเกิด, ดูดวงตามวันเกิด, ทำนายดวงตามวันเกิด

สุขสันต์วันเกิด : ดูดวงคนเกิด 11 กรกฎาคม

สำหรับผู้ที่เกิดวันที่ 11 กรกฎาคม คุณคือผู้มีหัวใจอ่อนโยนแต่เปี่ยมพลังภายใน เป็นคนที่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์ มีจินตนาการกว้างไกล และมักเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง บทความนี้จะพาคุณสำรวจดวงชะตาอย่างละเอียดในหลากหลายมิติ พร้อมคำแนะนำเสริมดวงที่นำไปใช้ได้จริง

  • ผู้ที่เกิดวันที่ 11 กรกฎาคม อยู่ภายใต้ราศีกรกฎ ซึ่งมีดวงจันทร์เป็นดาวประจำตัว ส่งผลให้คุณเป็นคนอ่อนไหว ละเอียดอ่อน และมีความผูกพันกับครอบครัวสูง
  • คุณมีความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง เป็นนักฟังที่ดี และมักเป็นที่พึ่งทางใจให้กับคนรอบข้าง
  • มีความคิดสร้างสรรค์สูง โดยเฉพาะในด้านศิลปะ การเขียน หรือการออกแบบ
  • จุดเด่นคือความมุ่งมั่นและความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องที่คุณสนใจอย่างจริงจัง
  • อย่างไรก็ตาม อารมณ์ที่แปรปรวนและความลังเลในการตัดสินใจอาจเป็นอุปสรรค หากไม่ฝึกสมาธิหรือการรู้เท่าทันตนเอง
  • ตามศาสตร์จีน ผู้ที่เกิดวันที่ 11 กรกฎาคม มักอยู่ในธาตุน้ำ
  • ธาตุน้ำสะท้อนถึงความลื่นไหล ความยืดหยุ่น และความลึกซึ้งของอารมณ์
  • คุณเป็นคนที่มีความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ มีความเห็นอกเห็นใจ และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี
  • อย่างไรก็ตาม ธาตุน้ำที่มากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกจมอยู่กับความคิดหรืออารมณ์ของตนเอง จึงควรหมั่นออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อปรับสมดุล

สิ่งมงคลรายละเอียดวิธีนำไปใช้เสริมดวง
🎨 สีมงคลสีเงิน, สีฟ้าน้ำทะเล, สีขาวมุกใช้ในการแต่งกาย, ของใช้ประจำวัน หรือพื้นหลังมือถือเพื่อเสริมพลังใจและความสงบ
💎 อัญมณีมงคลมูนสโตน (Moonstone), ไข่มุกพกเป็นจี้หรือแหวน ช่วยเสริมสัญชาตญาณและความมั่นคงทางอารมณ์
🔢 เลขมงคล2, 7, 11ใช้ในการเลือกเบอร์โทรศัพท์, เลขทะเบียน หรือวันสำคัญ
🌸 ดอกไม้ประจำวันเกิดดอกลิลลี่ขาว, ดอกไฮเดรนเยียวางไว้ในบ้านหรือโต๊ะทำงานเพื่อเสริมพลังแห่งความบริสุทธิ์และความเข้าใจ

  • มิตรที่ดี: มักเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ เช่น คนธาตุดิน (เกิดในช่วงปลายเดือนกันยายน–ตุลาคม) หรือคนที่มีความเข้าใจในความละเอียดอ่อนของคุณ เช่น ราศีพฤษภหรือราศีมีน
  • ศัตรูที่ควรระวัง: คนที่พูดตรงเกินไป ไม่แคร์ความรู้สึกผู้อื่น หรือคนที่ชอบควบคุม เช่น ราศีเมษหรือราศีธนู อาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัด
  • คู่ครองที่เหมาะสม: – ควรเป็นคนที่มีความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน – คู่ที่เกิดในธาตุดินหรือธาตุน้ำ เช่น ราศีพิจิก ราศีมีน หรือราศีกันย์ มักส่งเสริมกันได้ดี – ความสัมพันธ์จะมั่นคงหากมีพื้นฐานของมิตรภาพและการสื่อสารอย่างจริงใจ

  • 📚 การเรียน: คุณเป็นผู้เรียนรู้ผ่านอารมณ์และประสบการณ์จริงได้ดี หากได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีแรงบันดาลใจ จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับสาขาที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ จิตวิทยา การดูแลผู้อื่น หรือการสื่อสาร
  • 💼 การงาน: มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในงานที่ต้องใช้ความเข้าใจมนุษย์ เช่น ครู นักเขียน นักบำบัด นักออกแบบ หรือผู้บริหารที่มีความเห็นอกเห็นใจ จุดแข็งคือความสามารถในการประสานงานและสร้างบรรยากาศที่ดีในทีม
  • 💰 การเงิน: รายได้มักขึ้นอยู่กับอารมณ์และแรงบันดาลใจ หากมีวินัยและวางแผนระยะยาว จะสามารถสร้างความมั่นคงได้ดี ระวังการใช้จ่ายตามอารมณ์หรือเพื่อปลอบใจตนเอง
  • ❤️ ความรัก: เป็นคนรักที่อ่อนโยนและใส่ใจรายละเอียด แต่บางครั้งอาจคาดหวังสูงจากคู่รัก ควรเปิดใจและสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ความสัมพันธ์จะมั่นคงเมื่อมีความเข้าใจและการเติบโตไปด้วยกัน
  • 🧘‍♀️ สุขภาพ: อารมณ์มีผลต่อสุขภาพอย่างมาก ควรดูแลสุขภาพจิตควบคู่กับร่างกาย หมั่นพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียดสะสม
  • 🌅 บั้นปลายชีวิต: หากใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจตนเองและผู้อื่น จะมีชีวิตที่สงบสุข เป็นที่รักของคนรอบข้าง และอาจกลายเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์หรือแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง
  • 👶 วัยเด็ก: อ่อนไหวต่อคำพูดและบรรยากาศรอบตัว ควรได้รับการเลี้ยงดูด้วยความเข้าใจและการยอมรับ
  • 🧑‍🎓 วัยเรียน: อาจลังเลหรือขาดความมั่นใจในตนเอง ควรฝึกการกล้าแสดงออกและเชื่อมั่นในความสามารถของตน
  • 👩‍💼 วัยทำงาน: ระวังการยอมคนมากเกินไปจนเสียเปรียบ ควรฝึกการตั้งขอบเขตและกล้าปฏิเสธอย่างสุภาพ
  • 👵 วัยกลางคนถึงบั้นปลาย: อาจรู้สึกโดดเดี่ยวหากไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ควรหากิจกรรมที่เติมเต็มจิตใจ เช่น งานอาสา การสอน หรือการเขียนบันทึกชีวิต

คำแนะนำเสริมดวง: หมั่นทำบุญด้วยการให้ความรู้หรือปลอบโยนผู้อื่น เช่น การบริจาคหนังสือ การสอนเด็ก หรือการเขียนบทความให้กำลังใจ จะช่วยเสริมพลังบวกและเปิดทางให้โชคดีเข้ามา

ชื่ออาชีพผลงานเด่น
ทราย เจริญปุระนักแสดง-นักเขียนผลงานภาพยนตร์ “อำมหิตพิศวาส”, บทความสะท้อนสังคม
จอร์โจ้ อาร์มานี่ (Giorgio Armani)ดีไซเนอร์ระดับโลกผู้ก่อตั้งแบรนด์ Armani
ลีลี่ เจมส์ (Lily James)นักแสดงอังกฤษบทบาทใน “Cinderella” และ “Mamma Mia! Here We Go Again”
คุนิฮิโกะ อิคุฮาระผู้กำกับอนิเมะผลงาน “Revolutionary Girl Utena”, “Yurikuma Arashi”
คุรามะ (Kurama)ตัวละครจาก “Yu Yu Hakusho”นักวางแผนผู้เฉียบแหลม มีจิตใจอ่อนโยน

  • พ.ศ. 2484: วันเกิดของ “อาจินต์ ปัญจพรรค์” ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
  • ค.ศ. 1987: วันเกิดของ “ทาราเบลล์” เด็กคนที่ 5 พันล้านของโลก (World Population Day)
  • วันประชากรโลก (World Population Day): กำหนดโดย UN เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องประชากรโลก
  • ค.ศ. 1804: อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เสียชีวิตจากการดวลกับแอรอน เบอร์
  • ค.ศ. 1960: วง The Beatles เริ่มต้นการแสดงในชื่อ “The Silver Beetles” ที่ลิเวอร์พูล

คุณคือผู้มีหัวใจอ่อนโยนแต่เปี่ยมด้วยพลังแห่งการเยียวยา เป็นผู้ฟังที่ดี ผู้สร้างแรงบันดาลใจ และผู้มีศักยภาพในการเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นบทเรียนอันงดงาม

ขอให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งในด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ และความสำเร็จในสิ่งที่คุณรัก

“ของขวัญวันเกิดจากจักรวาล” คือความสามารถในการมองเห็นคุณค่าในสิ่งเล็ก ๆ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังยิ่งใหญ่

สุขสันต์วันเกิดค่ะ 💖 ขอให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความหมายที่ลึกซึ้งเสมอ

ภาพประกอบชายหญิงสำหรับคนเกิดวันที่ 11 กรกฎาคม พร้อมตัวเลขวันเกิดบนเสื้อ ใช้สีมงคลฟ้าน้ำทะเล ขาวมุก และเงิน
ภาพประกอบชายหญิงที่สะท้อนบุคลิกอ่อนโยน ลึกซึ้ง ตามคำทำนายของผู้เกิดวันที่ 11 กรกฎาคม พร้อมตัวเลข “11” บนเสื้อและโทนสีมงคล
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

เด็กน้อยกับปิศาจ : นิทานสอนใจเรื่องความรอบคอบ

นิทานเรื่องนี้เล่าถึง “เด็กน้อยผู้มีน้ำใจ” ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางคำสอนของแม่ให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใต้พื้นดิน เด็กน้อยไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยทันทีโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา แต่สิ่งที่เขาช่วยกลับไม่ใช่คนตกทุกข์ได้ยาก หากแต่เป็น “ปิศาจร้าย” ที่ถูกขังไว้ในหม้อมนตรา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เด็กน้อยต้องเผชิญบทเรียนสำคัญของชีวิต ความใจดีที่ขาดความรอบคอบอาจกลายเป็นอันตรายต่อตัวเองและคนที่รักได้ เด็กน้อยต้องใช้ไหวพริบเอาตัวรอดจากปิศาจผู้เนรคุณ ด้วยความกล้า ความฉลาด และความรักที่มีต่อแม่ของเขา

นิทานเรื่อง “เด็กน้อยกับปิศาจ” ไม่ได้สอนเพียงเรื่องของความกล้าและความดีเท่านั้น แต่ยังสอนให้เด็กรู้จักใช้ “สติ” และ “การคิดไตร่ตรอง” ก่อนลงมือทำสิ่งใด เพื่อให้ความดีที่ทำกลายเป็นพลังแห่งปัญญา ไม่ใช่ความประมาทที่นำภัยมาสู่ตนเอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่ผู้เป็นที่รักของเขา

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เด็กน้อยสะพายย่ามออกไปเก็บผักและหาหน่อไม้ในป่าเพื่อนำมาให้แม่ทำกับข้าว จู่ ๆ เด็กน้อยก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากใต้พื้นดิน

เด็กน้อยนึกถึงคำที่แม่เคยสอนให้เขารู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เด็กน้อยจึงตัดสินใจขุดดินจนกระทั่งพบหม้อดินซึ่งมีปิศาจถูกขังอยู่ในนั้น

เมื่อเจ้าปิศาจรู้ว่าเด็กน้อยแสนซื่อเป็นคนขุดดินจนเจอหม้อมนตรา มันจึงแกล้งทำเสียงน่าสงสารแล้วร้องขอให้เด็กน้อยช่วยปล่อยมันออกไปจากหม้อ

เด็กน้อยฟังคำของเจ้าปิศาจก็นึกเห็นใจจนลืมคิดให้รอบคอบ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหลงกลแกะผ้ายันต์ที่ปิดปากหม้อออก แล้วปล่อยให้เจ้าปิศาจร้ายได้เป็นอิสระ

เมื่อเจ้าปิศาจออกมาสู่โลกภายนอก มันก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น หลังจากนั้น มันก็คว้าตัวเด็กน้อยเอาไว้ด้วยมืออันใหญ่ยักษ์ของมัน พร้อมกับอ้าปากกว้างทำท่าจะจับเด็กน้อยกินให้หายหิว

เด็กน้อยตกใจมากที่เห็นเจ้าปิศาจคิดเนรคุณ แต่เด็กน้อยก็ยังพอมีสติ เขาจึงรีบตะโกนบอกเจ้าปิศาจให้ใจเย็น ๆ แล้วขอร้องเจ้าปิศาจว่า “หากท่านคิดจะกินหนู อย่างน้อย…ในฐานะที่หนูช่วยท่านเอาไว้ หนูอยากขออนุญาตไปลาแม่และขอกินอาหารแสนอร่อยฝีมือแม่อีกสักครั้งจะได้ไหม”

เมื่อเด็กน้อยพูดถึงแม่และอาหารฝีมือแม่ เจ้าปิศาจซึ่งจากแม่มานานก็เห็นใจ มันจึงยอมปล่อยตัวเด็กน้อยเป็นการชั่วคราว โดยมันขอตามไปชิมอาหารที่แม่ของเด็กน้อยทำด้วย

เด็กน้อยโล่งใจที่เขารอดพ้นจากการถูกกินมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ในขณะเดียวกัน การพาปิศาจกลับบ้านก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะมันอาจจับแม่ของเขากินเสียอีกคนหนึ่ง เด็กน้อยไม่อยากให้แม่ได้รับอันตราย เขาจึงคิดแผนจัดการกับเจ้าปิศาจด้วยการสืบหาจุดอ่อนของมัน

หลังจากที่เด็กน้อยพาเจ้าปิศาจเดินวนอยู่ในป่าและหลอกถามสลับกับเยินยอต่าง ๆ นานา ในที่สุด เด็กน้อยก็ได้รู้ว่าบุคคลที่เจ้าปิศาจกลัวจนหัวหดก็คือฤาษีจอมขมังเวทย์ผู้ซึ่งเป็นคนเนรมิตหม้อมนตราและจับเจ้าปิศาจขังเอาไว้นานนับร้อย ๆ ปี

แม้ตอนนี้เด็กน้อยจะไม่รู้ว่าท่านฤาษียังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เขาก็มีแผนดี ๆ ที่น่าจะทำให้เขาจัดการกับเจ้าปิศาจได้สำเร็จ

เมื่อเด็กน้อยคิดแผนการได้ เขาก็พาปิศาจเดินวนกลับไปยังจุดที่เขาขุดเจอหม้อมนตรา เด็กน้อยรอจังหวะที่เจ้าปิศาจเผลอแล้วจึงรีบทำตามแผนที่วางไว้ จากนั้น เด็กน้อยก็พาปิศาจเดินตรงไปยังชายป่าซึ่งเป็นเส้นทางสู่บ้านของเขา…ในช่วงที่แม่กำลังทำอาหารอยู่พอดี

กลิ่นหอมของอาหารฝีมือแม่ทำให้เจ้าปิศาจท้องร้องจ๊อก ๆ เมื่อเด็กน้อยเห็นเจ้าปิศาจหิวจนขาดสมาธิ เด็กน้อยจึงแกล้งบอกเจ้าปิศาจว่า “ท่านปิศาจจ๋า หนูเพิ่งนึกได้ว่าที่ปากทางก่อนออกจากป่า มีอาศรมของฤาษีตั้งอยู่ตรงนั้นด้วย บางทีอาจจะเป็นที่พักของฤาษีจอมขมังเวทย์ก็ได้ หนูว่าท่านน่าจะแปลงร่างให้เล็กลงแล้วเข้าไปซ่อนอยู่ในย่ามของหนูเสียก่อนนะ”

เจ้าปิศาจที่หิวจัดเห็นว่าการเข้าไปหลบอยู่ในย่ามของเด็กน้อยแสนซื่อไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันจึงแปลงกายแล้วกระโจนเข้าไปในย่ามของเด็กน้อยอย่างไม่รอช้า

ทันทีที่เจ้าปิศาจกระโดดเข้าไปในย่าม เด็กน้อยก็รีบหยิบผ้ายันต์ที่เขาแอบซุกเอาไว้ออกมา แล้วจัดการนำมันปิดปากหม้อมนตราที่เขาซ่อนเอาไว้ในย่ามตามแผนที่วางไว้

เมื่อเด็กน้อยใช้ยันต์ของฤาษีจอมขมังเวทย์ปิดปากหม้อมนตราแล้ว เจ้าปิศาจจึงถูกขังอยู่ในหม้อใบนั้นดังเดิม

เจ้าปิศาจเพิ่งรู้ตัวว่ามันโดนเด็กน้อยหลอกให้หลงกลอย่างคาดไม่ถึง มันพยายามโอด-ครวญสุดชีวิต แต่คราวนี้เด็กน้อยไม่เชื่อคารมของมันอีกแล้ว มิหนำซ้ำ…เด็กน้อยยังเขียนข้อความเตือนไว้ไม่ให้ใครเผลอแกะผ้ายันต์ออกจากปากหม้ออีกเป็นอันขาด

เด็กน้อยดีใจเหลือเกินที่เขาสามารถจัดการกับเจ้าปิศาจได้สำเร็จ แม้การช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่เด็กน้อยก็ได้เรียนรู้แล้วว่า เขาควรคิดให้รอบคอบและช่วยแต่คนที่ควรได้รับความช่วยเหลือจริง ๆ เท่านั้น

เด็กน้อยยิ้มและถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากนั้น เขาก็จัดการฝังหม้อมนตราให้พ้นหูพ้นตาของผู้คนทั้งหลาย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความดีต้องมาพร้อมกับสติและการไตร่ตรองเสมอ
  • อย่าตัดสินใจช่วยใครเพียงเพราะคำพูดหรือความสงสารในชั่วขณะ
  • คนฉลาดคือคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
  • ความรักและความห่วงใยในครอบครัวเป็นพลังให้เราฝ่าฟันอันตรายได้
ภาพเด็กน้อยถือย่ามยืนมองหม้อดินที่มีปิศาจถูกขังอยู่ เป็นฉากในนิทานเรื่องเด็กน้อยกับปิศาจ
เด็กน้อยผู้มีน้ำใจเผชิญหน้ากับปิศาจร้ายจากหม้อมนตรา
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก

นางพญางูขาว : นิทานความรักอมตะจากประเทศจีน

ณ เขาเอ๋อเหมยอันเงียบสงบในแผ่นดินจีนโบราณ มีงูขาวตนหนึ่งชื่อ “ไป๋ซู่เจิน” บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานนับพันปี ด้วยใจมุ่งหวังจะหลุดพ้นจากสภาพสัตว์เดรัจฉานและได้เกิดเป็นมนุษย์ นางมีจิตใจเมตตา ไม่เคยทำร้ายผู้ใด และปรารถนาเพียงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในโลกมนุษย์

ในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั่วเขา ไป๋ซู่เจินตัดสินใจแปลงกายเป็นหญิงสาวงาม พร้อมกับ “เสี่ยวชิง” งูเขียวผู้เป็นสหายซึ่งบำเพ็ญตบะร่วมกันมา ทั้งสองลงจากเขาเพื่อสัมผัสโลกมนุษย์ และเลือกเมืองหังโจวอันงดงามริมทะเลสาบซีหูเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

วันหนึ่ง ขณะที่ฝนโปรยปรายเบา ๆ ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางมาถึงสะพานปั้นหลิน พวกนางไม่มีร่มติดตัว จึงยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นหลิวริมทาง ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ใบหน้าอ่อนโยน เขายื่นร่มให้หญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

“คุณผู้หญิงไม่ควรเปียกฝนเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอเชิญใช้ร่มของข้าสักครู่” ไป๋ซู่เจินรับร่มด้วยความซาบซึ้ง ใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อสบตากับชายผู้นั้น เขาคือ “สวี่เซียน” เภสัชกรหนุ่มผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน

สายฝนยังคงตกพรำ ๆ แต่ในใจของไป๋ซู่เจินกลับอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางรู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้ และเมื่อฝนหยุดตก ทั้งสองก็เดินเคียงกันไปจนถึงร้านขายยาเล็ก ๆ ของสวี่เซียน ณ ริมถนนสายหนึ่งในเมืองหังโจว

หลังจากวันฝนตกนั้น ไป๋ซู่เจินและสวี่เซียนเริ่มพบกันบ่อยขึ้น นางแวะมาที่ร้านขายยาทุกวัน บ้างก็ช่วยจัดขวดยา บ้างก็พูดคุยเรื่องสมุนไพรอย่างสนใจ สวี่เซียนรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง และแม้จะไม่เข้าใจเหตุผล เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีบางสิ่งพิเศษที่ดึงดูดใจเขาอย่างลึกซึ้ง

เสี่ยวชิงมองความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วยความยินดี แต่ก็อดกังวลไม่ได้ “พี่ไป๋” นางกล่าวเบา ๆ ในคืนหนึ่ง “หากเขารู้ความจริงว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เขาจะยังรักพี่อยู่หรือไม่” ไป๋ซู่เจินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงเศร้า “ข้ารู้…แต่ข้าไม่อาจห้ามใจได้แล้ว”

ไม่นานนัก สวี่เซียนตัดสินใจขอไป๋ซู่เจินแต่งงาน ทั้งสองจัดพิธีเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสุข เสี่ยวชิงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างด้วยความเต็มใจ และร้านขายยาก็กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับทั้งสามคน ผู้คนในเมืองต่างชื่นชมความเมตตาและความรู้ด้านสมุนไพรของไป๋ซู่เจิน

แต่ความสงบสุขนั้นไม่ยั่งยืน พระสงฆ์นามว่า “ฝาไห่” แห่งวัดจินซานได้ยินข่าวเรื่องหญิงสาวลึกลับที่มีพลังวิเศษ เขาสงสัยว่าไป๋ซู่เจินอาจเป็นปีศาจ จึงเดินทางมายังร้านขายยาเพื่อสังเกตการณ์ “หญิงผู้นั้นมีบางสิ่งไม่ธรรมดา” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าต้องเปิดเผยความจริง”

ฝาไห่ยืนสงบนิ่งใต้ต้นสนหน้าร้าน ดวงตาทอดมองไปยังทะเลสาบซีหูอย่างครุ่นคิด “ปีศาจงูแม้มีใจเมตตา ก็ยังมิอาจละวางสภาพเดรัจฉาน” เขาพึมพำ “หากปล่อยให้มนุษย์หลงใหลในรูปกายที่แปรเปลี่ยนได้ โลกย่อมสับสนระหว่างธรรมกับอธรรม” พระสงฆ์มิได้โกรธเกลียดไป๋ซู่เจิน หากแต่เชื่อมั่นในหลักศีลธรรมที่ต้องปกป้อง

ฝาไห่แสร้งทำเป็นคนป่วยและขอให้ไป๋ซู่เจินรักษา นางให้ยาด้วยความเมตตา แต่สายตาของพระสงฆ์ยังจับจ้องอย่างไม่วางใจ วันหนึ่ง เขาเชิญสวี่เซียนไปที่วัด และกล่าวว่า “เจ้าถูกหลอกโดยปีศาจงู หากไม่เชื่อ ลองให้ภรรยาเจ้าดื่มสุราศักดิ์สิทธิ์ดูสิ” สวี่เซียนลังเล แต่ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน สวี่เซียนนำสุราศักดิ์สิทธิ์มาให้ไป๋ซู่เจินดื่ม โดยอ้างว่าเป็นของขวัญจากวัด นางรับไว้ด้วยมือที่สั่นไหว “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอยากให้ข้าดื่ม?” นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา สวี่เซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างลังเล “ข้า…แค่อยากรู้ความจริง”

ไป๋ซู่เจินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วจิบสุราอย่างช้า ๆ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงูขาวขนาดใหญ่กลางห้อง เสียงร้องของสวี่เซียนดังขึ้น “ไม่นะ…นี่มัน…” เขาถอยหลังไปจนชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือด “เจ้าคือ…ปีศาจงู?” เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น

ไป๋ซู่เจินพยายามแปลงกายกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง ดวงตานางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าเลย ข้ารักเจ้าอย่างแท้จริง” แต่สวี่เซียนไม่อาจรับความจริงได้ เขาวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้นางทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ฝาไห่ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาใช้เวทมนตร์สะกดสวี่เซียนและพาไปยังวัดจินซาน ไป๋ซู่เจินเมื่อฟื้นคืนสติ ก็พบว่าสามีของตนหายไป นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวชิงพยายามปลอบ “พี่ไป๋ เราต้องไปช่วยเขา” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าเขาจะเกลียดเราหรือไม่ เราก็ต้องไม่ทอดทิ้งเขา”

ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางไปยังวัดจินซาน ฝนตกหนักตลอดทาง ฟ้าร้องคำรามราวกับสะท้อนความโกรธของนาง เมื่อถึงวัด นางตะโกนเรียกฝาไห่ “คืนสามีของข้ามา!” พระสงฆ์ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคือปีศาจ เจ้าหลอกลวงมนุษย์ ข้าไม่มีวันยอมให้เขากลับไป”

สายฟ้าฟาดลงกลางลานวัดจินซาน ขณะที่ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงยืนเผชิญหน้ากับฝาไห่ “ข้าขอเพียงสามีของข้า” นางตะโกน ฝาไห่ยกไม้เท้าขึ้น ท่องมนต์ด้วยเสียงหนักแน่น “ปีศาจไม่ควรข้องเกี่ยวกับมนุษย์!” พลังเวทปะทะกันกลางอากาศ เสี่ยวชิงแปลงร่างเป็นงูเขียวขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ม่านเวทมนตร์ ขณะที่ไป๋ซู่เจินเรียกพลังจากธรรมชาติ น้ำในทะเลสาบพลุ่งพล่านราวกับโกรธเกรี้ยว

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงคำรามของฟ้าผ่าดังสะท้อนทั่ววัด เสี่ยวชิงต้านเวทมนตร์ด้วยสุดกำลัง แต่ฝาไห่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดไว้ ไป๋ซู่เจินเริ่มอ่อนแรง ร่างของนางสั่นไหวด้วยพลังที่ลดลง “พี่ไป๋ หากข้าต้องกลายเป็นปีศาจตลอดกาลเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็ยอม” เสี่ยวชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ไป๋ซู่เจินหันมามองน้องสาวด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำเช่นนั้น” เสี่ยวชิงยิ้ม “แต่ข้าเลือกเอง เพราะข้ารู้ว่าความรักของพี่คือสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดที่ข้าเคยเห็น” พลังสุดท้ายของทั้งสองพุ่งเข้าหาฝาไห่ แต่พระสงฆ์ใช้เวทสะกดไป๋ซู่เจินไว้ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ร่างของนางหายไปในแสงสีทอง ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนแห่งความรัก

ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ไป๋ซู่เจินถูกสะกดไว้ด้วยเวทมนตร์อันแรงกล้า นางไม่อาจขยับเขยื้อนหรือแปลงกายได้อีก เสียงสายฝนยังคงตกกระทบหลังคาเจดีย์ราวกับสะท้อนความเศร้าในใจของนาง “สวี่เซียน…” นางพึมพำเบา ๆ “ข้ายังรักเจ้า แม้เจ้าจะไม่อภัยให้ข้าก็ตาม” ความรักของนางยังคงอยู่ แม้จะถูกจองจำในความเงียบงัน

สวี่เซียนเมื่อฟื้นจากมนต์สะกด ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ เขาเดินกลับไปยังบ้านที่เคยอยู่กับไป๋ซู่เจิน ทุกสิ่งยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ไร้ชีวิตชีวา เขาเริ่มคิดถึงรอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่เคยมี “นางไม่เคยทำร้ายข้าเลย” เขาคิด “ข้าทำผิดไปแล้ว”

ด้วยความสำนึกผิด สวี่เซียนเดินทางไปยังวัดจินซานทุกวัน เขานั่งสวดมนต์หน้าบันไดเจดีย์ ขอให้พระเมตตาปลดปล่อยภรรยาของเขา “นางคือผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ” เขากล่าวกับฝาไห่ “หากนางเป็นปีศาจจริง ก็เป็นปีศาจที่มีหัวใจมนุษย์”

วันเวลาผ่านไปหลายปี สวี่เซียนไม่เคยละทิ้งความหวัง เสี่ยวชิงซึ่งรอดพ้นจากการสะกด ได้บำเพ็ญตบะจนกลายเป็นเซียน นางกลับมาที่วัดจินซานอีกครั้ง และใช้พลังช่วยปลดปล่อยไป๋ซู่เจินจากเจดีย์ เวทมนตร์ของฝาไห่อ่อนกำลังลงตามกาลเวลา และในที่สุด เจดีย์ก็สั่นสะเทือนก่อนจะแตกออก

ไป๋ซู่เจินกลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง นางพบสวี่เซียนที่ยังคงรอคอยอยู่หน้าวัด ดวงตาทั้งสองสบกันด้วยความเข้าใจและให้อภัย “ข้ารักเจ้าเสมอ” สวี่เซียนกล่าว “และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปอีก” ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งเพื่อรับรู้ถึงความรักที่ไม่เคยจางหาย

เรื่องราวของนางพญางูขาวจึงกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงความเมตตา ความเสียสละ และความจริงใจที่ไม่อาจถูกทำลายด้วยอคติหรือความกลัว ผู้คนเล่าขานถึงสะพานในวันฝนตก วัดจินซาน และเจดีย์เล่าจินถ่า ว่าเป็นพยานแห่งรักแท้ระหว่างปีศาจกับมนุษย์ ที่แม้ต่างเผ่าพันธุ์ ก็ยังรักกันได้ด้วยหัวใจ