ทุกปี พี่นำบุญมักเขียนบทความเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น ๆ และทิศทางในปีต่อไปให้ได้อ่านกัน อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นบันทึกส่วนตัวที่ใช้เตือนความจำของตัวเอง
เดือนมกราคม 2568 – คดีละเมิดลิขสิทธิ์นิทาน คดีเดียวที่ฟ้องร้องไว้ – ยุติลงด้วยการไกล่เกลี่ยในชั้นศาล – ผู้ละเมิดต้องเสียเงินมากถึง 750,000 บาท (เจ็ดแสนห้าหมื่นบาท) เพราะมีการนำนิทานนำบุญ 3 เรื่อง ไปใช้ทำคลิปในยูทูบและกระจายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต
นี่คือความรุนแรงของการการละเมิดลิขสิทธิ์ การเอานิทานนำบุญไปใช้แค่ไม่กี่เรื่อง โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโอกาสเสียเงินมากถึงขนาดนี้ ซึ่งหากไม่ไกล่เกลี่ยให้คดียุติ ผู้ละเมิดอาจต้องเผชิญกับโทษทางอาญา (คุก) และถ้าเป็นข้าราชการ อาจต้องออกจากราชการ (ครูในระบบราชการต้องระวังเรื่องนี้ให้ดีนะครับ พี่นำบุญพบเคสครูละเมิดงานเยอะมาก) ส่วนโทษทางแพ่ง (ปรับเงินหรือบังคับคดีเอาทรัพย์สิน) ก็ยังคงมีอยู่ พี่นำบุญจึงพยายามเตือน พยายามทักให้คนละเมิดมาไกล่เกลี่ยกันก่อนจะต้องฟ้องร้อง เพราะโทษของคดีนี้หนักจริง ๆ และเมื่อมีการฟ้องร้อง พี่นำบุญก็จำเป็นต้องปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมาย
ราวเดือนกุมภา-มีนา พี่นำบุญตัดสินใจ “เตรียมยุติการเผยแพร่นิทานนำบุญประมาณ 200 เรื่อง” เพื่อลดโอกาสการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ – แต่ด้วยความที่พี่นำบุญอยากให้มี “สื่อนิทานดี ๆ ให้ทุกคนได้อ่านฟรีทางออนไลน์” – – พี่นำบุญจึงตัดสินใจเขียนโครงการขอทุนทำ “เว็บไซต์รวมนิทาน” ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ จากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อเป็นเสมือนห้องสมุดนิทาน ให้ทุกครอบครัวเข้ามาใช้งานได้เหมือนกับเว็บนิทานนำบุญ ก่อนที่ตัวเองจะถอยออกไปจากวงการนี้ (ผลการพิจารณาคือ ไม่ผ่าน)
เดือนกรกฎาคม (ช่วงรอผลการขอทุน) พี่นำบุญไม่อยากเสียเวลา จึงเริ่มเรียบเรียงนิทานระดับโลกที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เตรียมไว้เผื่อจะได้ใช้ – – – ในขณะเดียวกัน พี่นำบุญก็เริ่มจัดระเบียบเว็บไซต์นิทานนำบุญใหม่ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์จากเว็บสำหรับเด็ก – – เป็นเว็บสำหรับบุคคลทั่วไป (ทุกเพศ ทุกวัย) มีการสร้างหมวดหมู่เนื้อหาใหม่ – – – ทำภาพประกอบใหม่ – – และทำ SEO หลังบ้านให้นิทานทุกเรื่อง – – – ผลที่ตามมาคือ ยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

การปรับปรุงเว็บไซต์ ในหลายส่วนถือว่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะนิทานนำบุญที่มีการปรับปรุงภาพปก และนิทานเรื่องใหม่ที่เรียบเรียงมาจากนิทานระดับโลก – – นิทานเหล่านี้มียอดผู้อ่านสูงมาก – – ส่วนคอนเทนต์ในกลุ่มความรู้ (ซึ่งใช้เวลาทำนาน) – – หรือเพลงเล่านิทาน (ที่พี่นำบุญมีความสุขในการทำมาก) เป็นคอนเทนต์ที่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องยอดการรับชม
ในส่วนของการเปิดโฆษณาอัตโนมัติเพื่อหารายได้ (บางคนเห็น บางคนไม่เห็น) – – หากผู้ชมกดดูโฆษณา จะมีรายได้เข้ามายังเว็บไซต์ (เล็ก ๆ น้อย ๆ) – – – แม้ในปัจจุบัน พี่นำบุญจะยังสมัคร PayPal ไม่สำเร็จ จึงถอนเงินออกมาไม่ได้ – – – แต่ก็พอมองเห็นโอกาสที่เว็บไซต์นี้จะอยู่ได้ แม้ในวันที่ตัวเองไม่อยู่แล้ว – – – (การไม่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการที่ขอทุนไป จึงไม่ใช่ปัญหา แถมยังทำให้มีอิสระในการทำงานมากกว่า)
เดือนสิงหาคม พี่นำบุญเริ่มยุติการเผยแพร่นิทานนำบุญจำนวนมาก โดยใช้วิธีตั้งค่าเป็นส่วนตัว ไม่เป็นสาธารณะ เผื่อว่าสักวัน อาจได้นำกลับมาเผยแพร่ใหม่ หากจัดการเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ได้สำเร็จ
……
ช่วงปลายปี – – พี่นำบุญกลับมาติดตามกรณีละเมิดลิขสิทธิ์ที่พบใหม่ และคดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่แจ้งความไปแล้ว โดยพยายาม “จัดการ” ให้ผู้ละเมิดบอบช้ำน้อยทึ่สุด เพราะตอนนี้ พี่นำบุญได้เห็นความจริงว่า ถ้ามีการฟ้องร้อง ผู้ละเมิดจะลำบากมากขนาดไหน ตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างเคสที่น่าเป็นห่วง
เคสเก่า
- เคสช่องนิทานยูทูบ (เจ้าของช่องทำกิจการอาหารทะเลที่เชียงใหม่) : ละเมิดนิทาน 4 เรื่อง 8 คลิป ยอดวิวหลักล้าน – – – พี่นำบุญส่งอีเมลให้มาเจรจาแต่นิ่งเฉย – – – พี่นำบุญแจ้งความไปปีกว่าแต่คดีไม่คืบหน้า – – ปัจจุบัน พี่นำบุญพยายามให้ตำรวจเชิญตัวมาไกล่เกลี่ย จะได้ไม่หนัก เพราะจำนวนนิทานที่ละเมิดและยอดวิว สูงกว่าเคสที่เคยฟ้องร้องมาก ถ้าขึ้นศาล ผู้ละเมิดอาจเสียเงินมากกว่า – – – อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างไม่คืบหน้า ปี 69 พี่นำบุญก็คงจำเป็นต้องฟ้อง
- เคสช่องนิทานยูทูบ (เจ้าของช่องอยู่อุดรธานี) : ละเมิดนิทาน 4 เรื่อง 4 คลิป – ทักให้มาเจรจา มีการติดต่อมา แต่โกหกว่าไม่ใช่คนไทย เมื่อถูกจับโกหกได้ พี่นำบุญให้โอกาสโดยคิดค่าเสียหายที่น้อยกว่าค่าลิขสิทธิ์ แต่เพิกเฉย – – – หลังแจ้งความ ตำรวจโทรตาม แต่เพิกเฉยอีก – – – พี่นำบุญหาหลักฐานยืนยันตัวตนอยู่ 2 ปี จนได้หลักฐานชัดเจนว่าเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน และเป็นเจ้าของช่องตัวจริง – – ตอนนี้ ให้ตำรวจเชิญตัวมา หากไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องฟ้อง (พฤติกรรมของเคสนี้ ถ้าขึ้นศาล คงหนักมาก)
เคสใหม่
- เคสช่องการศึกษาทางไกล : ละเมิดนิทาน 1 เรื่อง ทั้งเนื้อเรื่อง ถ้อยคำ และ ภาพประกอบแบบ 100% – – – ซ้ำยังนำนิทานกับภาพประกอบ – ไปทำสื่อให้ผู้ชมดาวน์โหลด (การขายลิขสิทธิ์จะไม่มีการขายแล้วอนุญาตให้ใครเปิดดาวน์โหลด เพราะเป็นการทำลายโอกาสในการขายลิขสิทธิ์ในอนาคต) – – เคสนี้…พี่นำบุญแจ้งไปเพื่อขอคิดค่านำนิทานไปใช้ เท่ากับค่าลิขสิทธิ์ (ไม่คิดค่าละเมิด) และให้ยุติการเผยแพร่ – แต่ผู้ละเมิดซึ่งเป็นครู และหน่วยงาน ขอทำจดหมายขอโทษ แต่ไม่สะดวกชดใช้ค่านำผลงานอันมีลิขสิทธิ์ไปใช้ – – – การพูดคุยมีถึง 3 ครั้ง ซึ่งในความจริง พี่นำบุญแค่ต้องการยื่นข้อเสนอ ที่ทำให้เขาเสียหายน้อยที่สุดไปให้ ไม่ใช่การยื่นข้อเสนอเพื่อต่อรอง (แต่ดูเหมือนผู้กระทำผิดและหน่วยงานไม่เข้าใจ) หลังจากนั้น ผู้กระทำผิดยังติดต่อให้ศูนย์ไกล่เกลี่ยเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยเป็นครั้งที่ 4 – – – พี่นำบุญเห็นว่า….ความใจดีของพี่นำบุญ คงไม่ช่วยให้ผู้กระทำผิดและหน่วยงานนี้รู้สึกตัวแน่ ๆ เคสนี้จึงตั้งใจที่สุด ที่จะฟ้องร้องให้เป็นกรณีตัวอย่าง
- เคสหน่วยงานด้านสื่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ : ละเมิดนิทาน 1 เรื่อง โดยนักศึกษาเป็นผู้ผลิตสื่อ – มีการเผยแพร่ในช่องยูทูบและเพจของหน่วยงานนี้ – – เคสนี้เป็นเคสเล็ก เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลยอมรับว่าผิดจริง – – หน่วยงานเคยขอให้อาจารย์และนักศึกษาทำคลิปมาลงในช่อง แต่ลืมตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์! – – – พี่นำบุญเห็นใจ จึงเสนอทางเลือกในการชดใช้ไป 3 ทาง ทางที่เบาที่สุด เสียค่าปรับราว 5000 บาท และให้ทำคลิปให้ความรู้เพื่อประโยชน์สาธารณะ – แต่แอดมินแจ้งว่า ไม่มีอำนาจตัดสินใจ จึงไม่สามารถจ่ายค่าเสียหายหรือลงขอโทษในสื่อของมหาวิทยาลัยได้ ต้องให้ทำจดหมายแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยเอง! พี่นำบุญแปลกใจ เพราะการละเมิดเกิดขึ้นที่หน่วยงานนี้ การหารือกันแล้วรีบยุติปัญหาน่าจะเป็นทางที่ง่ายที่สุด แต่การให้ผู้ถูกละเมิด “ต้องมีภาระเพิ่ม” คือการปิดโอกาส ที่จะจบคดีได้แบบเบาที่สุด (ถ้าคำนวณค่าปรับ 5000 บาท กับการที่ต้องเดินทางมาศาลไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พี่นำบุญมองเคสในลักษณะนี้แล้ว พูดไม่ออกเลย)
- เคสอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชน : นำนิทานไปทำคลิปยูทูบ 2 เรื่องลงในช่องยูทูบส่วนตัว และไม่มีการระบุที่มาของนิทาน พี่นำบุญติดต่อให้มาเจรจา โดยคิดค่าเสียหายน้อยมาก แต่อาจารย์อ้างว่าทำเพื่อการศึกษา! เคสนี้จึงจำเป็นต้องแจ้งความและค่าเสียหายก็จะสูงขึ้นตามค่าเสียเวลาและภาระที่เพิ่มขึ้น
- เคสนักศึกษาสาขาภาษาญี่ปุ่น : นำนิทานไปทำคลิปแนว ASMR ในช่องยูทูบ 1 เรื่อง ยอดวิวหลายหมื่น เมื่อติดต่อให้มาเจรจา นักศึกษาติดต่อกลับมา โดยอ้างว่า ไม่รู้ว่านิทานมีลิขสิทธิ์ คลิปที่ละเมิดนี้สร้างรายได้ได้เพียงไม่กี่ร้อยบาท และตัวเองมีฐานะยากจน ต้องกู้ยืมเงินเรียน พี่นำบุญสงสารจึงคิดค่าเสียหายในหลักพัน – – แต่ตกลงกันไม่ได้ – – – ผ่านไปราว 1 เดือน นักศึกษาไลฟ์แจ้งผู้ชมในช่องว่า ตัวเองเพิ่งไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น จะอยู่ที่นั่นราว 1 ปี – – – พี่นำบุญคิดในใจว่า ค่าปรับที่เรียกไป…น่าจะอยู่ญี่ปุ่นได้แค่สัปดาห์เดียว เมื่อดูคลิปอื่น ๆ ในช่อง นักศึกษามีสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ไม่น้อย ทั้งยังเป็นช่องที่เปิดสร้างรายได้! เคสนี้แจ้งความไปเรียบร้อย รอกลับมาไทยเมื่อไหร่ ก็คงต้องโดนเรียกตัว
เคสเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วน ที่รบกวนจิตใจ และทำให้พี่นำบุญหมดกำลังใจ ในการทำอาชีพเป็นนักเขียนนิทานต่อไป – – – (ปีนี้เป็นปีที่พี่นำบุญตัดสินใจเลิกการทำงานเด็กและเลิกแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ – – ทั้ง ๆ ที่ยังสามารถแต่งนิทานดี ๆ ได้ แต่ไม่อยากแต่งนิทานแล้วต้องโดนละเมิดซ้ำ ๆ แบบนี้อีก – – มันเป็นเรื่องที่เศร้ามาก ๆ ซึ่งพี่นำบุญตั้งใจจะไม่เขียนเล่าความรู้สึกลงในเว็บ)
นอกจากนี้ ความใจดีของพี่นำบุญที่พยายามติดต่อให้ผู้กระทำผิดมาเคลียร์กันเอง (โทษจะได้เบา) กลายเป็นภาระที่ทำให้ต้องเสียเวลาติดตาม – – ต้องเหนื่อยเก็บหลักฐานไปแจ้งความ – – – และต้องทำอะไรสารพัดแบบไม่รู้จบ – – รวมทั้ง บางครั้งยังเหมือนเป็นคนบาป ที่ทำให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ต้องลำบาก!
ปี 2569 พี่นำบุญจึงตั้งใจว่า จะเก็บหลักฐานให้แน่นหนา แล้วแจ้งทนายทันที โดยต้องหัดไม่ห่วงใยผู้กระทำผิดอีก – – ส่วนการปรับหรือการฟ้อง ก็ขึ้นกับแต่ละกรณีไป แต่คงหนักมากทุกราย เพราะจริง ๆ แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าแต่ละคน “ไม่มักง่าย….นำผลงานของคนอื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต” มันเท่านี้จริง ๆ
ทิศทางปี 2569 :
ในส่วนของเว็บไซต์ พี่นำบุญตั้งใจที่จะเรียบเรียงนิทานเรื่องใหม่ ๆ เพิ่มเติมให้ได้อย่างน้อย 50 เรื่อง คือ สัปดาห์ละ 1 เรื่อง เพื่อให้นิทานเหล่านี้ เข้ามาทดแทนนิทานนำบุญที่นำออกไปจากเว็บ (ช่วงเดือนกรกฏา-ตุลา ปี 2568 พี่นำบุญเรียบเรียงนิทานเรื่องใหม่ ๆ ลงในเว็บติดต่อกันเกือบทุกวัน ถ้าสังเกตจะพบว่ามีนิทานเรื่องใหม่มากกว่า 50 เรื่องเลยทีเดียว) เป้าหมายคือ พี่นำบุญอยากให้เว็บนิทานนำบุญมีนิทานหลายร้อยเรื่องไว้ให้เลือกอ่านกันเหมือนเดิม (แม้จะมีนิทานที่พี่นำบุญแต่งน้อยลงก็ตาม)
ในเรื่องการขายลิขสิทธิ์ – – ปี 2569 พี่นำบุญจะตั้งใจขายลิขสิทธิ์ผลงานมากขึ้น ทั้งในไทยและในต่างประเทศ โดยจะมีการแปลนิทานเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนการฟ้องลิขสิทธิ์ การฟ้องร้องน่าจะมีราว 4-5 คดี ซึ่งคงทำให้หมดเวลาไปกับการขึ้นศาลจนแทบไม่เหลือเวลาทำอย่างอื่น
ถ้าพี่นำบุญเหลือเวลา โครงการเล็ก ๆ ที่อยากทำมากที่สุด คือ การแต่งเพลงสำหรับเด็ก แบบที่ตัวเองเคยฟังจากรายการเด็กอย่าง “ผึ้งน้อย” (พี่นำบุญดูโทรทัศน์และร้องตามได้เยอะมาก ตอนนี้ก็ยังร้องได้) นี่คือ…งานที่อยากทำที่สุดในปี 2569
ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามเว็บไซต์นิทานเล็ก ๆ เว็บไซต์นี้นะครับ พี่นำบุญ (ที่แก่มากแล้ว) พยายามทำเว็บไซต์นี้เต็มที่ ด้วยความรู้ด้านเทคโนโลยีที่จำกัด แต่สิ่งที่มั่นใจว่ามีไม่แพ้ใคร คือ ความปรารถนาดีต่อผู้อ่าน ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจมากมายที่ส่งมาให้ ขอให้ทุกคนมีความสุขทั้งกายและใจตลอดปีและตลอดไป สวัสดีปีใหม่ครับ
#นิทานนำบุญ











