Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานเจ้าหญิง, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : เจ้าหญิงนิทรา – นิทานคลาสสิกจากพี่น้องกริมส์ในรูปแบบบทเพลงน่ารัก

“เจ้าหญิงนิทรา” หรือ Sleeping Beauty เป็นหนึ่งในนิทานคลาสสิกที่ครองใจผู้คนทั่วโลกมาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะเวอร์ชั่นของพี่น้องกริมส์ ซึ่งมีเสน่ห์เฉพาะตัว

เว็บไซต์นิทานนำบุญ ขอเสนอ เพลงเล่านิทานเจ้าหญิงนิทรา โดยถ่ายทอดผ่านบทเพลงอบอุ่นที่ฟังง่ายและชวนฝัน สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่ยังเชื่อในพลังแห่งความรักและความหวัง

บทเพลงนี้มีท่อนที่น่ารักมาก ๆ ซึ่งร้องว่า “จุ๊บ..จุ๊บ…” เพื่อสื่อถึงฉากสำคัญในนิทาน คือ ช่วงเวลาที่เจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิง และทำให้เธอฟื้นจากการหลับใหลอันยาวนาน เป็นท่อนที่แต่งขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังจำได้ง่าย และรู้สึกถึงความอ่อนโยนของเรื่องราว

หากคุณกำลังมองหานิทานก่อนนอนที่อบอุ่นหัวใจ หรือบทเพลงที่ช่วยปลอบโยนและสร้างรอยยิ้มให้กับเด็ก ๆ เพลงเล่านิทานเจ้าหญิงนิทราเวอร์ชั่นนี้ อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังตามหา

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นิทานเรื่อง : เจ้าหญิงนิทรา (ฉบับย่อ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีที่ปรารถนาจะมีลูก วันหนึ่งปลาวิเศษปรากฏตัวขึ้นและทำนายว่า พระราชินีจะได้ให้กำเนิดพระธิดาในไม่ช้า ไม่นานนัก เจ้าหญิงน้อยผู้แสนงดงามก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมเสียงเฉลิมฉลองทั่วอาณาจักร

พระราชาจัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญนางฟ้า 12 องค์มามอบพรให้เจ้าหญิง แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องจานทอง นางฟ้าองค์ที่ 13 จึงไม่ได้รับเชิญ นางโกรธและสาปว่า เมื่อเจ้าหญิงอายุครบ 15 ปี จะถูกเข็มปั่นด้ายตำมือและสิ้นพระชนม์

นางฟ้าองค์ที่ 12 ซึ่งยังไม่ได้มอบพร จึงแก้คำสาปให้เจ้าหญิงไม่ตาย แต่จะหลับใหลไปหนึ่งร้อยปี และจะมีเจ้าชายมาปลุกให้ฟื้นคืน พระราชาจึงสั่งเผาเครื่องปั่นด้ายทั่วอาณาจักร

เมื่อเจ้าหญิงอายุครบ 15 ปี พระนางเดินเที่ยวในวังและพบหญิงชรากำลังปั่นด้าย ด้วยความอยากรู้ เจ้าหญิงจึงลองปั่นเอง และถูกเข็มตำตามคำสาป ทำให้หลับใหลทันที ทั้งวังก็หลับตามไปด้วย

พุ่มกุหลาบหนามขึ้นปกคลุมพระราชวังจนไม่มีใครเข้าถึงได้ จนกระทั่งครบหนึ่งร้อยปี เจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งเดินทางผ่านมา พงหนามแยกออกเป็นทางให้พระองค์เข้าไปถึงห้องบรรทมของเจ้าหญิง

เมื่อเจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงเบา ๆ เจ้าหญิงก็ฟื้นขึ้น พร้อมทุกชีวิตในวังที่ตื่นขึ้นตามมา ทั้งสองจัดงานอภิเษกสมรส และครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงแบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

เจ้าหญิงนิทรานอนหลับอยู่ในห้องบรรทม ท่ามกลางพุ่มกุหลาบหนามที่เบ่งบาน สะท้อนความหวังและรักแท้ในนิทาน Dornröschen
ภาพประกอบจากนิทานเจ้าหญิงนิทราเวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์ ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เจ้าหญิงหลับใหลในวังที่ถูกพุ่มหนามปกคลุม
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานเจ้าหญิง

เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) เวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์: นิทานคลาสสิกที่อบอุ่น

ในโลกของนิทานคลาสสิก มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลาอย่างไม่เสื่อมคลาย—เรื่องของเจ้าหญิงผู้หลับใหลด้วยคำสาป และตื่นขึ้นด้วยจุมพิตแห่งรักแท้ นิทานเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ Sleeping Beauty หรือ “เจ้าหญิงนิทรา” แต่ในเวอร์ชั่นดั้งเดิมของพี่น้องกริมส์จากประเทศเยอรมนี นิทานนี้มีชื่อว่า Dornröschen ซึ่งแปลว่า “กุหลาบหนาม” อันเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ความอดทน และการรอคอยอย่างมีความหวัง

แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับฉบับดิสนีย์ที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยภาพฝัน แต่แท้จริงแล้ว “เจ้าหญิงนิทรา” มีรากฐานจากนิทานพื้นบ้านยุโรปที่เก่าแก่และลุ่มลึก เวอร์ชั่นแรกสุดที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรคือ Sun, Moon, and Talia โดย จาแมตติสตา บาซีล (Giambattista Basile) ในศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีเนื้อหาเข้มข้นและมืดมนกว่าฉบับที่เรารู้จักในปัจจุบัน ต่อมาในปี 1697 ชาร์ลส์ แปโรต์ (Charles Perrault) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ได้ปรับเรื่องให้ละมุนขึ้นใน La Belle au bois dormant ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเวอร์ชั่นดิสนีย์ในเวลาต่อมา

พี่น้องกริมส์ (Jacob และ Wilhelm Grimm) ได้นำเรื่องนี้มาปรับใหม่ในชื่อ Dornröschen โดยตีพิมพ์ในปี 1812 จุดเด่นของเวอร์ชั่นกริมส์คือการเน้นความบริสุทธิ์ของเจ้าหญิง ความกล้าหาญของเจ้าชาย และภาพพุ่มหนามที่ปกคลุมพระราชวังเป็นดั่งม่านเวลาที่ปกป้องความงามไว้ให้คนที่คู่ควรได้พบเจอ นิทานนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวของเวทมนตร์และโชคชะตา แต่ยังสะท้อนบทเรียนชีวิตเรื่อง “การรอคอยอย่างไม่สิ้นหวัง” และ “รักแท้ที่ไม่ต้องเร่งรีบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีพระองค์หนึ่ง ทั้งสองพระองค์ครองราชย์มานาน แต่ก็ยังไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาเลยสักองค์ พระราชินีทรงเศร้าโศกและภาวนาทุกวันว่าขอให้มีลูกเสียที

วันหนึ่ง พระราชินีเสด็จไปอาบน้ำที่สระน้ำ ทันใดนั้น ปลาตัวหนึ่งว่ายโฉบขึ้นมาแล้วพูดว่า “ความปรารถนาของพระนางกำลังจะเป็นจริง อีกไม่นานพระองค์จะมีลูกสาวแล้ว”

ไม่นานนัก พระราชินีก็ให้กำเนิดพระธิดางดงาม พระราชาและพระราชินีดีใจยิ่งนัก ทั้งอาณาจักรเต็มไปด้วยความสุข พระราชาจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเหล่านางฟ้ามามอบพรให้เจ้าหญิงน้อย

ในราชอาณาจักรมีนางฟ้าอยู่ 13 องค์ แต่ในพระราชวังมีจานทองเพียง 12 ใบ พระราชาจึงจำใจเชิญนางฟ้ามาเพียง 12 องค์ เพื่อเลี้ยงดูอย่างสมเกียรติ

ในงานเลี้ยง นางฟ้าแต่ละองค์ต่างพากันประทานพรให้เจ้าหญิง ทั้งความงาม ความใจดี ความร่ำรวย ความสุข และพรดี ๆ อีกมากมาย แต่แล้ว…จู่ ๆ นางฟ้าองค์ที่ 13 ซึ่งไม่ได้รับเชิญก็มาปรากฏกายขึ้น นางโกรธมากที่ถูกลืม นางไม่ได้กินเลี้ยงกับคนอื่น และไม่ได้รับเกียรติใด ๆ เลย

นางฟ้าองค์ที่ 13 จึงกล่าวคำสาปเสียงดังว่า “เมื่อเจ้าหญิงมีอายุครบ 15 ปี เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นด้ายตำมือ และจะต้องสิ้นพระชนม์!”

สิ้นเสียงนั้น นางฟ้าก็หายวับไปในทันที ทั้งราชวังตกอยู่ในความตกใจและเศร้าโศก

แต่ยังมีนางฟ้าองค์ที่ 12 ซึ่งยังไม่ได้มอบพร นางจึงออกมากล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าพเจ้าจะช่วยได้ แม้พรของข้าจะไม่สามารถลบคำสาปได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าหญิงไม่ตาย เพียงแต่จะหลับใหลไปเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แล้วจะมีเจ้าชายมาปลุกให้ฟื้นคืน”

พระราชาได้ยินดังนั้นก็โล่งใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังกลัว จึงรับสั่งให้เผาเครื่องปั่นด้ายทุกอันในอาณาจักรทิ้งให้หมด

กาลเวลาผ่านไป เจ้าหญิงเติบโตเป็นสาวงดงาม มีน้ำใจอ่อนโยน และเป็นที่รักของทุกคน ครั้นเมื่อถึงวันเกิดครบ 15 ปี พระราชาและพระราชินีไม่อยู่ในพระราชวัง เจ้าหญิงจึงเดินเที่ยวไปตามห้องต่าง ๆ ด้วยความซุกซน

แล้วเจ้าหญิงก็มาถึงหอคอยสูง ห้องเล็ก ๆ ที่เจ้าหญิงไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างในมีหญิงชราองค์หนึ่งกำลังนั่งปั่นด้ายอยู่ “คุณยายกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ” เจ้าหญิงถามด้วยความอยากรู้ “ยายกำลังปั่นด้ายจ้ะ” หญิงชราตอบ เจ้าหญิงสนใจจึงขอลองทำบ้าง แต่ทันทีที่เจ้าหญิงจับเครื่องปั่นด้าย เข็มก็ทิ่มนิ้วของพระนาง คำสาปของนางฟ้าที่ 13 จึงเป็นจริง เจ้าหญิงทรุดลงและหลับใหลไปในทันที

และแล้ว…ทั้งพระราชวังพลันตกอยู่ในความสงบงัน พระราชา พระราชินี และเหล่าข้าราชบริพารต่างก็หลับไปเช่นเดียวกัน แม้แต่ม้าในคอก นกบนหลังคา หรือไฟที่กำลังลุกในเตา ก็หยุดนิ่งราวกับเวลาถูกสะกด

ไม่นานหลังจากนั้น พุ่มกุหลาบหนามก็ขึ้นปกคลุมรอบพระราชวัง พงหนามนั้นหนาทึบจนไม่มีใครสามารถเข้าไปถึงได้ และไม่นานนัก พระราชวังทั้งหลังได้หายไปจากสายตาของผู้คน

มีเรื่องเล่ากันไปทั่วดินแดน ว่าภายในพุ่มหนามนั้นมีเจ้าหญิงงดงามนอนหลับใหลอยู่ ใครก็ตามที่เข้าไปพยายามฝ่าพงหนามก็ล้วนติดอยู่ในนั้น ไม่มีใครกลับออกมาได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ครบหนึ่งร้อยปีเต็ม พุ่มหนามก็กลับกลายเป็นกุหลาบงดงามบานสะพรั่ง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งได้เดินทางผ่านมา และได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงในวังที่ถูกสาป เจ้าชายต้องการเห็นความจริงด้วยตา จึงตัดสินใจลองเข้าไปดู

ทันทีที่เจ้าชายเริ่มเดินเข้าไปในพุ่มหนาม พงกุหลาบหนามที่เคยพันเกี่ยวแน่นหนา กลับแยกตัวออกเป็นทางให้เจ้าชายก้าวเข้าไปได้โดยง่าย

เมื่อเข้าไปถึงในวัง เจ้าชายก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่อย่างเงียบสงัด ผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ หลับใหลนิ่งไม่ไหวติง จนเจ้าชายไปถึงห้องบรรทมของเจ้าหญิง

เมื่อเจ้าชายมองเห็นเจ้าหญิงนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าหญิงทรงงดงามราวกับเทพธิดา พระองค์รู้สึกเหมือนหัวใจถูกดึงดูดอย่างแรงกล้า เจ้าชายจึงเผลอก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของเจ้าหญิง

ทันใดนั้น เจ้าหญิงก็ลืมพระเนตรขึ้น และตื่นจากการหลับใหล พระราชา พระราชินี และทุกชีวิตในวังก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็จัดงานมงคลสมรสขึ้น พระราชวังกลับมามีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข และพวกเขาทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การรอคอยอย่างอดทนและไม่สิ้นหวัง คือพลังเงียบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันงดงาม
  •  ความรักแท้ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหรือเร้าอารมณ์ หากแต่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม และปลุกชีวิตให้เบ่งบานอีกครั้ง
  • สิ่งที่ดูเหมือนอุปสรรค เช่นพุ่มหนาม อาจเป็นการปกป้องสิ่งงดงามไว้ให้คนที่คู่ควรได้พบเจอในเวลาที่ใช่
เจ้าหญิงนิทรานอนหลับอยู่ในห้องบรรทม ท่ามกลางแสงอ่อนและพุ่มกุหลาบหนามที่ปกคลุม สื่อถึงการหลับใหลหนึ่งร้อยปีตามคำสาปในนิทานเจ้าหญิงนิทรา sleeping beauty หรือ Dornröschen
ภาพประกอบจากนิทาน Dornröschen เวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์ ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เจ้าหญิงหลับใหลในวังที่ถูกพุ่มหนามปกคลุม รอคอยรักแท้ที่จะปลุกให้ตื่นขึ้น
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานนานาชาติ

นิทานอบอุ่นหัวใจ : เจ้าหญิงนิทราและคำสัญญาแห่งรัก : นิทานที่ถูกลืม

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา เป็นหนึ่งในเทพนิยายคลาสสิกที่ถูกเล่าขานและดัดแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานหลายศตวรรษ โดยเวอร์ชันที่คนส่วนใหญ่รู้จักมักมาจากปลายปากกาของ Charles Perrault (ฝรั่งเศส, ค.ศ. 1697) และ Brothers Grimm (เยอรมนี, ค.ศ. 1812) ซึ่งทั้งสองได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับเด็กและสังคมในยุคนั้น โดยตัดทอนฉากที่อาจขัดแย้งกับจริยธรรมร่วมสมัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงในขณะหลับใหล

แต่ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปี นิทานเรื่องนี้เคยปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในหนังสือชื่อ Perceforest ซึ่งเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส เขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1330–1344 โดยนักเขียนนิรนามในยุคกลาง Perceforest ไม่ใช่ชื่อของนิทาน แต่เป็นชื่อของหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวิน ความรัก และเวทมนตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงตำนานของกษัตริย์อาเธอร์กับประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส

หนึ่งในเรื่องราวที่โดดเด่นใน Perceforest คือเรื่องของ เจ้าหญิง Zellandine และ เจ้าชาย Troylus ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องโชคชะตา ความรักที่มั่นคง และคำมั่นสัญญาในบริบทของยุคกลาง โดยเจ้าหญิงตกอยู่ในห้วงนิทราเพราะเสี้ยนป่าน และฟื้นขึ้นมาเมื่อบุตรของเธอดูดนิ้วและดึงเสี้ยนออกโดยบังเอิญ

แม้เรื่องราวจะมีความงดงามในเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ขณะหลับ ซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเนื้อหาโดยนักแต่งนิทานรุ่นหลังอย่าง Perrault และ Grimm เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมทางศีลธรรมและการเลี้ยงดูเด็กในยุคของตน

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เป็นการเรียบเรียงใหม่ ที่เลือกจะกลับไปสำรวจความงามในต้นฉบับของ Perceforest ด้วยความเคารพและความเข้าใจในบริบทดั้งเดิม

ผู้เรียบเรียงไม่ได้มองความสัมพันธ์ในห้วงนิทราอย่างผิวเผิน แต่เห็นว่าเจ้าหญิงและเจ้าชายมีความรักและคำมั่นสัญญาต่อกันก่อนที่เจ้าหญิงจะหลับใหล การมีลูกจึงเป็นผลแห่งรักแท้ ไม่ใช่การละเมิด หากเป็นการรักษาสัญญาอย่างบริสุทธิ์ในรูปแบบที่สะท้อนความรักเหนือกาลเวลา

นิทานฉบับนี้จึงเป็นการตีความใหม่ที่เน้นความอ่อนโยน ความซื่อสัตย์ และการดูแลกันแม้ในยามที่อีกฝ่ายไม่อาจตอบสนองได้ เป็นการยืนยันว่า “คำมั่นสัญญา” นั้นมีพลังมากกว่าคำพูด—มันคือการกระทำที่ต่อเนื่องและมั่นคง

หากคุณกำลังมองหานิทานที่ไม่เพียงแต่เล่าเรื่อง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้หัวใจได้ไตร่ตรอง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก คือบทกวีแห่งความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นการฟื้นคืนความงามของวรรณกรรมยุคกลางในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเปี่ยมด้วยความเมตตา

นานมาแล้ว ในแผ่นดินที่ห้อมล้อมด้วยป่าใหญ่และท้องทะเล มีเจ้าหญิงนามว่า เซลลันดีน ผู้เปี่ยมด้วยความงดงามทั้งรูปกายและจิตใจ เธออ่อนโยน ชาญฉลาด และเต็มไปด้วยความเมตตา ราวกับเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในยามรัตติกาล

เจ้าหญิงมีคู่หมั้นคือ เจ้าชายทรอยลัส ผู้กล้าหาญจากแดนทรอย ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ต่อคำพูดและมีหัวใจที่มั่นคงราวหินผา ทั้งสองพบกันในยามสงบของบ้านเมือง และสัญญาต่อกันว่าจะร่วมสร้างครอบครัวอันเปี่ยมสุข ครองรักด้วยความเท่าเทียมและซื่อสัตย์ต่อกันจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

ทุกค่ำคืน เจ้าหญิงจะนั่งในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ และเจ้าชายจะมาร่วมสนทนา ทั้งสองกล่าวถึงความฝันอันเรียบง่าย คือการมีบ้านที่อบอุ่น มีบุตรชายหรือบุตรสาวที่วิ่งเล่นรอบห้องโถง และมีชีวิตที่มีเพียง “เรา” ไม่ว่าเวลาจะหมุนไปนานเพียงใด

แต่โชคชะตามักเล่นกล วันหนึ่ง เจ้าหญิงเซลลันดีนถูกเสี้ยนเวทมนตร์ตำ ทำให้เธอตกอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนาน ไม่มีใครสามารถปลุกเธอให้ตื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา คำวิงวอน หรือเพลงดนตรีจากขลุ่ยและพิณที่บรรเลงข้างพระแท่น

ข่าวแพร่ไปถึงแดนทรอย เมื่อเจ้าชายทรอยลัสได้ยิน เขารีบเดินทางฝ่าภูผาและท้องสมุทรเพื่อมาหาเจ้าหญิง เมื่อได้เห็นคนรักของตนเอนกายหลับนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน ดวงตาของเจ้าชายพรั่งพรูด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด

“โอ เซลลันดีนที่รัก… เหตุใดชะตาจึงโหดร้ายกับเราเช่นนี้ แต่ถึงเจ้าจะหลับใหล ข้าก็จะรักเจ้ามิเปลี่ยนแปร” เจ้าชายกล่าวพร้อมกุมมืออันเย็นชืดของเจ้าหญิง น้ำตาไหลหยดลงบนปลายนิ้วเธออย่างไม่รู้จบ

ด้วยหัวใจที่ไม่เคยสั่นคลอน เจ้าชายจึงทำตามคำมั่นสัญญา เขาจัดพิธีแต่งงาน แม้เจ้าหญิงจะยังคงหลับใหลอยู่บนพระแท่น แต่เขาก็ประกาศต่อฟ้าและแผ่นดินว่า “นับแต่นี้ไป เจ้าหญิงเซลลันดีนคือภรรยาของข้า ผู้เดียวตลอดกาล”

วันคืนล่วงผ่านไป เจ้าชายใช้ชีวิตในฐานะสามีผู้ซื่อสัตย์ เขาดูแลเจ้าหญิงด้วยความอ่อนโยน สวมช่อดอกไม้ไว้ข้างหมอนของเธอทุกเช้า ขับกล่อมด้วยเสียงพิณในยามค่ำคืน และเล่านิทานให้เธอฟังเสมอ แม้จะไม่ได้ยินคำตอบกลับ เขาก็ยังยิ้มให้อย่างมั่นคง

ราชสำนักต่างพากันประหลาดใจว่า ทำไมชายหนุ่มผู้สง่างามนี้จึงยึดมั่นอยู่กับหญิงสาวที่ไม่อาจตื่นขึ้นมา แต่สำหรับเจ้าชายแล้ว คำตอบนั้นง่ายดาย… เพราะเธอคือคำมั่นสัญญาแห่งชีวิต และเขาเลือกที่จะรักโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

กาลเวลาหมุนเวียน ฤดูหนาวแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ และในความเงียบงันนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เจ้าหญิงเซลลันดีนเริ่มมีชีวิตใหม่ก่อกำเนิดภายในร่างกายของเธอ แม้เธอจะยังคงหลับใหล แต่สายใยรักได้ผลิบานเป็นดั่งดวงดาวดวงน้อย

วันหนึ่ง เจ้าหญิงให้กำเนิดทารกน้อย ดวงตาสุกใสราวท้องฟ้ายามรุ่ง เด็กน้อยถูกวางไว้ในอ้อมแขนของแม่ผู้ยังคงหลับไหล แต่กลับอบอุ่นดุจเปลแก้ว เจ้าชายทอดมองภาพนั้นด้วยน้ำตาไหลพราก ลูกคือสัญลักษณ์แห่งรักแท้ของเขาและเจ้าหญิง

วันเวลาผ่านไป ทารกเติบโตขึ้นในอ้อมกอดของบิดา และบางครั้งในยามหิว เขาจะซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงที่มือของแม่ พลันวันหนึ่ง เด็กน้อยได้ดูดนิ้วของเธอด้วยความไร้เดียงสา เสี้ยนที่ตำอยู่ในเล็บตรงปลายนิ้วหลุดออกโดยบังเอิญ

ราวกับเสียงระฆังจากสวรรค์ เจ้าหญิงกระพริบตาช้า ๆ แสงแห่งชีวิตกลับมาสู่ดวงตาคู่สวย เจ้าชายที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานถึงกับทรุดตัวลงร้องไห้ด้วยความปิติ “เซลลันดีน… ที่รัก เจ้าฟื้นแล้ว”

เจ้าหญิงลืมตาขึ้นพบลูกน้อยในอ้อมแขน เธอปล่อยน้ำตาแห่งความสุขไหลริน พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าชายที่รัก… ข้ารู้สึกถึงเจ้า แม้ในห้วงนิทราอันยาวนาน ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ทอดทิ้ง ขอบคุณที่รักษาคำสัญญา”

เจ้าชายกุมมือของเธอแน่น “ข้าสัญญากับเจ้าในวันที่เราเคยฝัน… ว่าจะรักและสร้างครอบครัวไปกับเจ้า วันนี้สวรรค์ได้โปรดให้คำมั่นนั้นเป็นจริงแล้ว”

ราชสำนักทั้งเมืองร่วมกันเฉลิมฉลองการฟื้นคืนของเจ้าหญิง ทุกผู้คนต่างเห็นว่า ความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าคำสาปหรือเวทมนตร์ใด ๆ ลูกน้อยถูกขนานนามว่า “ดาวแห่งคำมั่น” เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งรักแท้ที่ไม่เสื่อมคลาย

และนับแต่นั้นมา เจ้าหญิงเซลลันดีน เจ้าชายทรอยลัส และลูกน้อยของพวกเขา ได้ครองชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น สมดังความฝันที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มว่า ความรักแท้จะไม่สยบต่อโชคชะตา หากจะส่องสว่างเป็นนิรันดร์

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานยุโรป, นิทานเด็ก

เจ้าชาย Boots ปราบยักษ์ : นิทานพื้นบ้านนอร์เวย์

นิทานเรื่อง “Jetten uten hjerte” เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านนอร์เวย์ที่ทรงคุณค่าที่สุดของชาวนอร์ส ถูกเก็บรวบรวมโดยนักเล่านิทานชื่อดังของนอร์เวย์คือ Peter Christen Asbjørnsen และ Jørgen Moe ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรวบรวมและเผยแพร่นิทานพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 ผ่านชุดนิทานชื่อ Norske Folkeeventyr

นิทานเรื่องนี้ในเวอร์ชันต้นฉบับของนอร์เวย์ มีจุดเด่นที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและปรัชญาชีวิตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “การตอบแทนความดี” ผ่านสัตว์ที่เจ้าชาย Boots เคยช่วยไว้ (อีกา ปลาแซลมอน และหมาป่า) ซึ่งต่อมาได้กลับมาช่วยเหลือเจ้าชายในยามคับขัน นอกจากนี้ ยังจะเห็นได้ว่า เจ้าชายไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการฝ่าฟันอุปสรรค แต่ใช้ความเมตตา ความกล้าหาญ และความเสียสละ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของชาวนอร์ส และท้ายที่สุด นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนคุณธรรมแบบนอร์สที่เน้นความรักต่อครอบครัว ความกล้าหาญ และการเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างงดงาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระโอรสเจ็ดพระองค์ พระราชารักลูกชายทั้งเจ็ดสุดหัวใจจนไม่อาจทนอยู่ได้โดยอยู่ไกลจากลูก ดังนั้น จึงต้องมีลูกชายอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่เคียงข้างเสมอ

เมื่อเจ้าชายทั้งเจ็ดเติบโตขึ้น พระราชาจึงอนุญาตให้เจ้าชายหกพระองค์ออกเดินทางเพื่อไปหาคู่ครอง ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้อง พระราชาทรงขอให้อยู่ที่วัง และสั่งให้พี่ชายทั้งหกหาเจ้าหญิงกลับมาให้เขา

เจ้าชายทั้งหกออกจากวังไปได้สักพัก ก็มีข่าวเล่าลือว่า เจ้าชายทั้งหกถูกยักษ์จับและสาปให้กลายเป็นหิน พระราชาทรงเป็นห่วงลูกชายทั้งหกมาก ในที่สุด พระราชาจึงขอให้เจ้าชายองค์สุดท้องออกเดินทางไปช่วยพี่ ๆ

เมื่อเจ้าชายองค์สุดท้องซึ่งมีชื่อว่า Boots (บู๊ท) ได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ออกเดินทางตามหาพี่ชายทั้งหก ม้าที่เหลืออยู่ในวังก็มีแค่ม้าแก่ ๆ ที่โรยแรงและใกล้หมดสภาพ แต่เจ้าชายบู๊ทไม่ได้ใส่ใจ เขาอยากไปช่วยพี่ ๆ เขาจึงกระโดดขึ้นขี่ม้าตัวนั้น แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันจะกลับมาแน่นอน และจะพาพี่ชายทั้งหกกลับมาด้วย!”

ระหว่างทางเจ้าชายบู๊ทพบอีกาที่หิวโซจนบินไม่ไหว มันร้องขออาหาร เจ้าชายบู๊ทจึงตอบไปว่า “ข้าไม่มีอาหารมากนัก แต่ข้าจะมอบอาหารให้เจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าต้องการมันจริง ๆ” เจ้าชายบู๊ท มอบอาหารทั้งหมดให้อีกา ส่วนอีกาก็สัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

ต่อมาเจ้าชายบู๊ทพบปลาแซลมอนตัวใหญ่พลัดติดอยู่บนพื้นแห้ง มันดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง “ช่วยพาข้ากลับลงน้ำด้วยเถิด แล้วข้าจะช่วยเจ้าในยามจำเป็น” เจ้าชายบู๊ทสงสาร จึงช่วยนำปลาแซลมอนกลับลงน้ำ ปลาแซลมอนจึงเอ่ยปากสัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

หลังจากนั้น เจ้าชายบู๊ทก็เดินทางต่อไปอีกสักพัก และพบหมาป่าที่หิวโซจนหมดแรง เมื่อหมาป่าเห็นเจ้าชาย มันจึงพูดขึ้นว่า “ขอม้าของท่านได้ไหม ข้าหิวจนลมพัดผ่านซี่โครงได้แล้ว”

เจ้าชายบู๊ทตอบว่า “ข้าให้อาหารอีกาจนหมด แถมช่วยปลาแซลมอนกลับลงน้ำ และตอนนี้เจ้าจะเอาม้าของข้าอีกเหรอ ข้าจะไม่มีอะไรเหลือเลยนะ”

แต่หมาป่ากล่าวว่า “ข้าสัญญาว่าจะให้ท่านขี่หลังข้าแทน และข้าจะช่วยเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

เจ้าชายบู๊ทสงสารหมาป่า และเห็นว่าม้าชราจนใกล้สิ้นอายุขัย เจ้าชายจึงมอบม้าให้หมาป่าใช้ประทังชีวิต

ครั้นเมื่อหมาป่ากลับมามีเรี่ยวแรง เจ้าชายขอให้หมาป่าพาไปหาพี่ชายทัังหกที่ปราสาทของยักษ์ หมาป่ามีความรอบรู้เรื่องราวในป่า มันจึงให้เจ้าชายบู๊ทนั่งบนหลัง แล้ววิ่งไปยังปราสาทของยักษ์อย่างรวดเร็วราวกับสายลม

หลังจากหมาป่าพาเจ้าชายบู๊ทเดินทางมาได้พักใหญ่ ในที่สุด มันก็หยุดและกล่าวว่า “ดูนั่นสิ นั่นคือปราสาทของเจ้ายักษ์ และนั่นคือพี่ชายทั้งหกของท่านที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน”

เจ้าชายบู๊ทมองไปยังลานหน้าปราสาท พระองค์เห็นรูปปั้นหินของชายหนุ่มหกคนยืนเรียงกันอยู่ พวกเขาคือพี่ชายทั้งหกของเจ้าชายจริง ๆ และข้าง ๆ คือเจ้าหญิงหกองค์ที่ถูกสาปเช่นกัน

เจ้าชายบู๊ทรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่พระองค์ไม่ยอมแพ้ หมาป่ากล่าวว่า “ท่านต้องเข้าไปในปราสาท และตามหาเจ้าหญิงที่ถูกกักขังอยู่ข้างใน เจ้าหญิงอาจช่วยท่านได้”

เจ้าชายบู๊ทลอบเข้าไปในปราสาท และพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เจ้าหญิงสะดุ้งเมื่อเห็นเขา แต่เมื่อเจ้าชายบู๊ทบอกว่าพระองค์มาเพื่อช่วยพี่ชายและจะช่วยเจ้าหญิงด้วย เจ้าหญิงจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถจัดการเจ้ายักษ์ได้หรอก เพราะมันไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย”

เจ้าชายบู๊ทตกใจ “ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกายงั้นหรือ?”

เจ้าหญิงพยักหน้า “ใช่ ยักษ์ซ่อนหัวใจของมันเอาไว้ที่อื่น และไม่มีใครรู้ว่ามันซ่อนหัวใจไว้ที่ไหน”

เจ้าชายบู๊ทจึงขอร้องให้เจ้าหญิงช่วยหาทางล้วงความลับจากยักษ์ให้ เจ้าหญิงตกลงจะช่วยเจ้าชายบู๊ท เมื่อยักษ์กลับมาถึงปราสาท เจ้าหญิงจึงแกล้งกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าฝันถึงท่านเมื่อคืน และในฝัน ข้าเห็นหัวใจของท่านอยู่ใต้ธรณีประตู”

ยักษ์หัวเราะเสียงดัง พลางคิดในใจว่า “โง่จริง ใครจะเอาหัวใจไปซ่อนไว้ตรงนั้น”

เจ้าหญิงแสร้งทำเป็นคนใสซื่อ วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยไว้ที่ธรณีประตู เมื่อยักษ์กลับมาอีกครั้ง มันถามว่า “เจ้าทำอะไร?” เจ้าหญิงตอบว่า “ข้าโปรยดอกไม้ไว้ตรงที่หัวใจของท่านอยู่ เพื่อให้มันมีความสุข”

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าก็ยังเชื่ออยู่นั่นเอง หัวใจของข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก มันอยู่ที่ตู้ในห้องนอนของข้า”

วันต่อมา เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยที่ตู้อีก เมื่อยักษ์เห็น ยักษ์จึงถามว่า “เจ้าทำอะไรอีกแล้ว?”

“ข้าอยากให้หัวใจของท่านมีความสุข” เจ้าหญิงตอบ

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง ข้าบอกเจ้าตามตรงนะ หัวใจของข้าอยู่ไกลจากที่นี่มาก มันอยู่ในไข่ ไข่อยู่ในเป็ด เป็ดอยู่ในบ่อน้ำใต้โบสถ์ บนเกาะกลางทะเลสาบที่ไม่มีใครหาเจอ”

เจ้าหญิงจำคำพูดนั้นไว้ และเมื่อยักษ์หลับ พระองค์จึงแอบไปบอกเจ้าชายบู๊ทถึงที่ซ่อนหัวใจของยักษ์

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ฟัง เจ้าชายก็ยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วพระองค์ก็รีบขี่หลังหมาป่าเพื่อออกเดินทางไปยังเกาะกลางทะเลสาบตามคำบอกของเจ้าหญิง

เมื่อหมาป่าพาเจ้าชายไปถึงเกาะ บนเกาะมีโบสถ์เก่าแก่ตั้งอยู่ และในโบสถ์ก็มีบ่อน้ำซึ่งมีเป็ดตัวหนึ่งว่ายน้ำอยู่ เมื่อเจ้าชายเห็นเช่นนั้น เจ้าชายบู๊ทจึงส่งสัญญาณเรียกอีกาที่พระองค์เคยช่วยไว้ให้มาหา จากนั้น เจ้าชายก็ขอให้อีกาช่วยบินเข้าไปในโบสถ์และนำกุญแจมาให้

เมื่อเจ้าชายเข้าไปในโบสถ์ได้ เจ้าชายก็เห็นเป็ดว่ายอยู่ในบ่อน้ำ เจ้าชายเพยายามจับเป็ดเพื่อเอาไข่ของเป็ดออกมาจากท้อง แต่เป็ดตกใจ จึงปล่อยไข่ออกมาทำให้ไข่จมลงไปที่ก้นบ่อน้ำซึ่งลึกมาก

เจ้าชายบู๊ทไม่สามารถดำน้ำลงไปเก็บไข่นั้นมาได้ พระองค์จึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากปลาแซลมอนที่พระองค์เคยช่วยไว้ เมื่อปลาแซลมอนรู้ว่าเจ้าชายต้องการความช่วยเหลือ มันจึงหาทางว่ายน้ำผ่านซอกหลืบต่าง ๆ จนเข้าไปถึงก้นบ่อน้ำ แล้วนำไข่ขึ้นมาให้เจ้าชายได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ไข่มา พระองค์จึงถามหมาป่าว่า “ข้าควรทำอย่างไร?”

หมาป่าผู้รอบรู้จึงแนะนำว่า “บีบมัน”

เจ้าชายบู๊ทจึงบีบไข่เบา ๆ และทันใดนั้น ยักษ์ที่อยู่ในปราสาทก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงร้องของยักษ์ดังมาถึงโบสถ์ที่เจ้าชายยืนอยู่ หมาป่ารู้ในทันทีว่าในไข่มีหัวใจของยักษ์ซ่อนอยู่จริง ๆ มันจึงแนะนำเจ้าชายว่า “ขว้างไข่ลงที่พื้นให้ไข่แตก”

เมื่อเจ้าชายทำตามโดยขว้างไข่ลงที่พื้นจนไข่แตกกระจาย หัวใจของยักษ์ก็แตกสลายไปพร้อมกับร่างของมัน

เมื่อร่างของยักษ์ล้มลง พลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่มันใช้สาปเจ้าชายและเจ้าหญิงทุกพระองค์ก็สลายไปสิ้น พี่ชายทั้งหกของเจ้าชายบู๊ทและเจ้าหญิงทั้งหกจึงได้กลับคืนสู่ร่างปกติ ทุกคนต่างโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทกลับไปที่ปราสาทของยักษ์ เจ้าหญิงที่ช่วยเจ้าชายบู๊ทยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับเจ้าชายว่า “ท่านคือผู้กล้าที่ช่วยเหลือพวกเรา”

เจ้าชายบู๊ทตอบอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ คือทำเพื่อครอบครัวและทำเพื่อความยุติธรรม”

หลังจากเรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดลง เจ้าชายบู๊ทและพี่ชายทั้งหก พร้อมกับเจ้าหญิงทุกพระองค์เดินทางกลับสู่อาณาจักร เมื่อพระราชาเห็นลูกชายทั้งหมดกลับมาอย่างปลอดภัย พระองค์ก็ทรงหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ

“ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” พระราชาตรัสกับเจ้าชายบู๊ท

หลังจากนั้น พระราชาก็จัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ โดยเจ้าชายบู๊ทได้แต่งงานกับเจ้าหญิงที่พระองค์ช่วยไว้ และเจ้าชายทั้งหกก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงของตนเช่นกัน

และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน อาจกลายเป็นพลังช่วยชีวิตในยามคับขัน
  • ความกล้าหาญและความเสียสละ คือคุณสมบัติของผู้กล้าที่แท้จริง
  • สติปัญญาและไหวพริบสามารถเอาชนะพลังอำนาจที่ดูน่ากลัวได้
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

นิทานหมีสามตัวกับเด็กหญิงผมทอง | นิทานก่อนนอนสอนใจ

  • การใช้ของของผู้อื่นโดยพลการเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
  • หากเราทำผิด ควรยอมรับและขอโทษอย่างจริงใจ
  • เด็กดีต้องรู้จักแยกแยะสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ แม้จะไม่มีใครเห็น
  • การให้อภัยเป็นสิ่งที่งดงาม เมื่อเราพร้อมจะเรียนรู้จากความผิดพลาด
ฉากที่หมีสามตัวกลับบ้านมาพบว่า มีเด็กผู้หญิงผมทองเข้ามานอนบนเตียงของลูกหมีโดยไม่ได้รับอนุญาต







Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานสอนใจ, Charles Perrault, Puss in Boots

นิทานเรื่อง แมวใส่รองเท้าบูท

แมวใส่รองเท้าบูท (Puss in Boots) เป็นหนึ่งใน นิทานคลาสสิกจากยุโรป ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งทั่วโลก นิทานเรื่องนี้โดดเด่นด้วยตัวละครแมวผู้ชาญฉลาดและมีไหวพริบเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด โดยมีจุดเริ่มต้นจากนิทานพื้นบ้านของอิตาลีในศตวรรษที่ 16 ก่อนจะถูกเรียบเรียงใหม่โดย Charles Perrault นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเป็นฉบับที่ทำให้นิทานเรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ผู้คนทั่วโลกจดจำ

ในเนื้อเรื่อง Puss in Boots เล่าถึงแมวที่วางแผนอย่างแยบคายเพื่อเปลี่ยนชีวิตเจ้านายผู้ยากไร้ให้กลายเป็นขุนนางผู้ทรงเกียรติ โดยอาศัยทั้งปัญญา กลอุบาย และการสร้างภาพลักษณ์ที่เหนือจริง ซึ่งสะท้อน ค่านิยมของสังคมยุโรปในยุคนั้น ที่เน้นชนชั้น ฐานะ และภาพลักษณ์ทางสังคมอย่างชัดเจน นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ให้ความสนุก แต่ยังแฝงแง่คิดเกี่ยวกับความฉลาดเฉลียว การพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และการใช้ปัญญาแทนพละกำลัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาผู้หนึ่งทำงานหนักมาตลอดชีวิตจนมีทรัพย์สินเก็บอยู่บ้าง เมื่อชาวนาเสียชีวิตไป ทรัพย์สินทั้งหมดถูกแบ่งให้ลูก ๆ 3คนตามลำดับ

ลูกชายคนโตได้รับโรงสีอันเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ลูกชายคนกลางได้รับลาที่ใช้ขนสินค้า ส่วนลูกชายคนสุดท้องกลับได้รับเพียง “แมว” ตัวหนึ่ง แม้แมวตัวนั้นจะมีขนเงางามเป็นพิเศษ แต่เขาก็รู้สึกผิดหวัง

“พี่ชายของข้าได้ทรัพย์สมบัติที่ทำมาหากินได้ แต่ข้ากลับได้เพียงเจ้าแมวที่เอาแต่นั่งเลียขนของมัน” ชายหนุ่มรำพึงอย่างหมดหวัง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ แมวตัวนี้ไม่ใช่แมวธรรมดา มันมีความฉลาดหลักแหลมและพูดได้!

วันหนึ่ง แมวเดินตรงไปหานายของมันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลยนายของข้า หากท่านมอบรองเท้าบูทดี ๆ สักคู่ให้ข้า และเชื่อฟังในสิ่งที่ข้าพูด ข้าจะทำให้ท่านร่ำรวยและเป็นที่นับหน้าถือตา”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง แมวพูดได้อย่างนั้นหรือ? แม้เขาจะสงสัย แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขาจึงตอบแมวไปว่า “ได้ ข้าจะลองดู”

ชายหนุ่มนำหนังเก่ามาตัดเย็บเป็นรองเท้าบูทขนาดเล็กพอดีกับเท้าแมว เมื่อแมวได้สวมรองเท้าคู่นั้น มันก็ดูสง่างามขึ้นทันที มันเดินไปเดินมาอย่างภาคภูมิ จากนั้น มันก็เริ่มแผนการที่วางไว้

แมวเริ่มต้นด้วยการล่ากระต่ายป่าตัวใหญ่ในทุ่งหญ้าแถวบ้าน มันใช้ความว่องไวและไหวพริบจนจับกระต่ายได้อย่างง่ายดาย จากนั้น มันก็นำกระต่ายใส่ถุงผ้า แล้วเดินทางไปยังปราสาทของกษัตริย์

เมื่อแมวไปถึงปราสาทที่สูงตระหง่านและมีธงสะบัดพลิ้วเหนือกำแพง มันก็เดินเข้าไปอย่างมั่นใจพร้อมกับทักทายทหารยามว่า “ข้ามีของขวัญจากนายของข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส เพื่อมอบให้ฝ่าบาท”

(คำว่า “มาร์ควิส” เป็นยศขุนนางในยุโรป ซึ่งสูงกว่าท่านเคานต์แต่ต่ำกว่าท่านดยุก ส่วน “คาราบาส” เป็นชื่อเมืองที่แมวแต่งขึ้น เพื่อสร้างภาพว่า เจ้านายของมันร่ำรวยและมีเป็นเจ้าของที่ดินอันกว้างใหญ่)

กษัตริย์รับกระต่ายตัวนั้นด้วยความประหลาดใจและพอใจ กษัตริย์เอ่ยชมเจ้าแมวประหลาดที่ใส่รองเท้าบูท โดยกล่าวว่า “นายของเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจ ฝากขอบคุณนายของเจ้าด้วย”

ในวันถัด ๆ มา แมวจะแวะมามอบของขวัญเพิ่มเติมให้แก่กษัตริย์อีก ไม่ว่าจะเป็นไก่ป่าหรือนกกระทาที่มันจับได้ ซึ่งทุกครั้ง มันจะกล่าวว่า ของกำนัลเหล่านี้เป็นน้ำใจจากมาร์ควิสแห่งคาราบาส ส่งผลให้กษัตริย์หลงเชื่อว่า มาร์ควิสผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งพระองค์ควรทำความรู้จักเอาไว้

วันหนึ่ง แมวได้ข่าวว่ากษัตริย์พร้อมกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะเสด็จประพาสผ่านแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทุ่งหญ้า แมวจึงรีบวางแผน โดยมันบอกนายของมันว่า “ท่านจงไปลงเล่นน้ำในแม่น้ำ โดยทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้ ที่เหลือ…ข้าจะจัดการเอง”

ชายหนุ่มทำตามที่แมวบอก เมื่อเขาลงไปเล่นน้ำ แมวก็นำเสื้อผ้าของเขาไปซ่อน แล้วรีบวิ่งไปตะโกนขอความช่วยเหลือจากขบวนของกษัตริย์

“ช่วยด้วย! นายของข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส กำลังจะจมน้ำ!”

กษัตริย์ได้ฟังดังนั้นก็รีบสั่งให้ทหารเข้าช่วยเหลือทันที

แต่เมื่อกษัตริย์ได้ทราบจากทหารว่า นายของแมวไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ (เพราะแมวแกล้งบอกว่าถูกขโมยไป) กษัตริย์จึงมอบเสื้อผ้าหรูหราให้ชายหนุ่มสวม

ครั้นเมื่อเจ้าหญิงมองเห็นชายหนุ่มในชุดใหม่ พระองค์ก็ประทับใจในความหล่อเหลาและสง่างามของเขา

หลายวันต่อมา แมวใส่รองเท้าบูทได้วางแผนเชิญกษัตริย์และเจ้าหญิงไปยังปราสาทของ มาร์ควิสแห่งคาราบาส (ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีอยู่จริง) เพราะมาร์ควิสต้องการเลี้ยงน้ำชาเพื่อขอบคุณ กษัตริย์จึงตอบตกใจ

เมื่อกษัตริย์หลงกล แมวใส่รองเท้าบูทผู้เฉลียวฉลาดก็ดำเนินการตามแผน โดยวิ่งนำหน้ารถม้าของกษัตริย์และเจ้าหญิง ผ่านทุ่งกว้างที่ทอดยาวไปสุดสายตา เมื่อมันวิ่งผ่านชาวนาที่กำลังไถนาบนที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ มันก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “เจ้าชาวนา! หากกษัตริย์ถามว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินนี้ จงตอบว่ามันเป็นของ มาร์ควิสแห่งคาราบาส มิฉะนั้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ!”

ชาวนาเบิกตากว้าง มองเจ้าแมวในรองเท้าบูทที่ดูราวกับขุนนางสูงศักดิ์ด้วยความหวาดกลัวแกมสงสัย แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

“ข้าจะทำตาม! ข้าจะทำตาม!” ชาวนาตอบพร้อมโค้งศีรษะ

เมื่อกษัตริย์และเจ้าหญิงเสด็จมาถึงและเห็นทุ่งกว้างอันเขียวขจี กษัตริย์จึงถามชาวนาว่า “ที่ดินกว้างใหญ่นี้เป็นของใครกัน?”

“เป็นของมาร์ควิสแห่งคาราบาส ฝ่าบาท!” ชาวนาตอบด้วยเสียงดังฟังชัด

กษัตริย์ประทับใจยิ่งนักในความมั่งคั่งของมาร์ควิสแห่งคาราบาส “นอกจากเขาจะมีน้ำใจแล้ว เขายังร่ำรวยมากอีกด้วย” กษัตริย์คิดอยู่ในใจ

แมวใส่รองเท้าบูทยังไม่หยุดแค่นั้น มันรีบวิ่งล่วงหน้าจนถึงปราสาทของยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ปราสาทแห่งนั้นสูงตระหง่านเสียดฟ้า บนยอดมีควันสีดำลอยขึ้นมาจากปล่องไฟ แมวไต่ปราสาทและเดินเข้าไปในปราสาทอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด

“ใครกล้าบุกรุกอาณาเขตของข้า!” ยักษ์คำรามเมื่อเห็นแมวเดินผ่านประตูด้วยท่าทางมั่นใจ แม้ยักษ์จะโกรธที่มีผู้ล่วงล้ำเข้ามา แต่มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับแมวที่ใส่รองเท้าบูทไม่เหมือนใคร

“โอ้ ท่านยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่!” แมวกล่าวพร้อมโค้งคำนับ “ข้าได้ยินกิตติศัพท์ถึงพลังเวทมนตร์ของท่าน ข้าจึงอยากมาพิสูจน์ด้วยตาตนเอง”

ยักษ์เลิกคิ้วและคำรามเบา ๆ “เจ้ามีความกล้ามากที่เข้ามา ข้าสามารถบดขยี้เจ้าได้ด้วยมือเดียว!”

“แน่นอน ท่านมีพลังมากมายจนไม่มีใครกล้าเทียบ” แมวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ข้ารู้ว่าท่านสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งใดก็ได้ในโลกนี้ อย่างเช่นสิงโตหรือช้างตัวใหญ่ ข้าจึงต้องมาดูให้เห็นจริง”

ยักษ์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ “แน่นอนว่าข้าทำได้ ดูนี่สิ!”

ในชั่วพริบตา ยักษ์ก็แปลงร่างเป็นสิงโต แล้วคำรามเสียงดังจนกำแพงปราสาทสั่นสะเทือน แมวกระโดดถอยหลังแสร้งทำเป็นตกใจ “ช่างน่าทึ่งนัก!” มันอุทาน “แต่ข้ามีข้อสงสัยอีกข้อ ท่านแปลงเป็นสัตว์ใหญ่ได้แน่นอน แต่สัตว์เล็ก ๆ อย่างหนูตัวจิ๋วล่ะ ท่านจะแปลงเป็นมันได้ไหม?”

“ฮึ! เรื่องเล็กน้อย” ยักษ์กล่าวด้วยความมั่นใจ ก่อนแปลงร่างเป็นหนูตัวเล็กในพริบตา

และในเสี้ยววินาทีนั้น แมวก็กระโดดตะครุบหนูตัวจิ๋ว แล้วกินมันลงไปทันที

หลังจากนั้น แมวใส่รองเท้าบูทก็ส่งสัญญาณให้นายของมันเดินเข้ามายังปราสาทตามที่นัดแนะกันไว้ ครั้นเมื่อขบวนของกษัตริย์มาถึงปราสาท แมวก็ออกมาต้อนรับ โดยที่มีนายของมันเดินตามออกมาด้วย จากนั้น มันก็พูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของนายข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส!”

กษัตริย์มองปราสาทหินที่ใหญ่โตและงดงาม เขารู้สึกประทับใจในความมั่งคั่งของมาร์ควิสแห่งคาราบาสยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนเจ้าหญิงก็มองชายหนุ่มด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสนใจ

“ท่านเป็นคนที่น่าชื่นชมยิ่ง” กษัตริย์กล่าว “ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากให้เจ้าหญิงได้แต่งงานกับท่าน และข้าจะมอบความสนับสนุนทั้งหมดให้ท่านปกครองดินแดนนี้ต่อไป”

แม้ชายหนุ่มจะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่แมวใส่รองเท้าบูทไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ มันจึงรีบตอบรับแทนชายหนุ่ม และเร่งรัดให้พระราชาจัดงานแต่งงานให้ทั้งคู่โดยเร็ว

ครั้นเมื่อถึงวันแต่งงาน ในงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นในปราสาท ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสุข เจ้าหญิงยิ้มหวานให้มาร์ควิสแห่งคาราบาส ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงไม่อยากเชื่อว่า เขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ชายหนุ่มมองไปที่แมวใส่รองเท้าบูทซึ่งนั่งกินไก่อบอย่างสบายใจ

“ขอบคุณเจ้านะ ข้าคงไม่มีวันนี้หากไม่มีเจ้า” ชายหนุ่มกล่าวกับแมวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง

“ข้าเพียงทำในสิ่งที่แมวฉลาดพึงกระทำ นายของข้า” แมวตอบพลางยิ้มกว้าง

เสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งปราสาท บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข แมวใส่รองเท้าบูทกลายเป็นที่ชื่นชมในความเฉลียวฉลาด และชายหนุ่มผู้เคยหมดหวังในชีวิตก็ได้พบทั้งความมั่งคั่งและความรัก

และแล้ว…นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดและไหวพริบสามารถพลิกชีวิตจากยากไร้สู่ความรุ่งเรืองได้
  • การสร้างภาพลักษณ์และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมมีพลังในการเปลี่ยนมุมมองของผู้คน
  • อย่าดูถูกสิ่งที่ดูไม่มีค่า เพราะอาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

แมวใส่รองเท้าบูทตัวเอกในนิทาน Puss in Boots ฉบับภาษาไทย – เวอร์ชันนิทานนำบุญ
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจเด็ก, นิทานสำหรับครอบครัว

ยักษ์ขี้หวงกับสวนแห่งความสุข | นิทานสอนใจสำหรับเด็ก

ภาพประกอบนิทานยักษ์ขี้หวง




Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานแอนเดอร์เซน

นิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ

Continue reading “นิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ”