Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

อสุรกายมอมแมม : นิทานสอนใจเกี่ยวกับความสะอาดและมิตรภาพแสนที่อบอุ่น

นานมาแล้ว ในช่วงปีแรก ๆ ที่ผมเริ่มเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน ผมจำได้ว่า ตอนที่เขียนนิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” ได้สักพัก ผมก็รู้สึกเสียดายตัวละครเด็กผู้หญิงในนิทานเรื่องนั้น และแอบฝันว่าหากเป็นไปได้ จะพยายามเขียนนิทานตอนต่อของ “สกปรกที่สุดในโลก” เผื่อว่าสักวันจะนำนิทานเหล่านั้นมารวมเป็นเล่มได้แบบหนังสือเรื่อง “ปิ๊ปปี้ถุงเท้ายาว” ของประเทศสวีเดน (ผมฝันไปไกลเลย)

เมื่อเวลาผ่านมาอีกนานพอสมควร ผมจึงแต่งนิทานเรื่อง “อสุรกายมอมแมม” เป็นนิทานภาคต่อของนิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” แถมยังนำตัวละครจากนิทานอีกสองเรื่องมาร่วมแสดงในนิทานเรื่องนี้ด้วย

หากมีใครสงสัยว่า นิทานเรื่อง อสุรกายมอมแมม นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว มันมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง คำตอบก็คือ นิทานเรื่องนี้เป็นเสมือนบทเรียนเล็ก ๆ ที่ชวนให้เด็ก ๆ เห็นคุณค่าของการอาบน้ำและการดูแลความสะอาดของตนเอง ผ่านการผจญภัยที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความอบอุ่น และความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับกัน หวังว่าคุณผู้อ่านจะมีความสุขกับการอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

มอมแมมเป็นอสูรกายที่เกิดในกองขยะ  บ้านของมอมแมมเป็นภูเขาขยะขนาดมหึมา   มอมแมมชอบบ้านกองขยะของมันมาก  มันชอบคุ้ยหาข้าวของในกองขยะแล้วนำมันมาสร้างเป็นของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ  มอมแมมสร้างของเล่นเอาไว้มากมายเต็มไปหมด  ความฝันอันยิ่งใหญ่ของมอมแมมก็คือ มันอยากจะสร้างของเล่นเพื่อทำให้เด็ก ๆ ทุกคนมีความสุข

แม้มอมแมมจะสร้างของเล่นแสนสนุกเอาไว้สารพัดอย่าง  แต่ด้วยเนื้อตัวที่แสนสกปรกของมอมแมม  เด็ก ๆ จึงไม่ยอมเฉียดกายเข้าใกล้มอมแมมเลยแม้แต่นิดเดียว  มอมแมมทั้งเหงาทั้งเศร้า  มันอยากจะเป็นเพื่อนกับเด็ก ๆ มากจริง ๆ   แต่จนแล้วจนรอด  มอมแมมก็ไม่รู้ว่ามันควรจะทำอย่างไรดี

วันหนึ่ง  มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านกองขยะของมอมแมม   แต่เดิม…เด็กผู้หญิงคนนี้เคยได้ชื่อว่าเป็น “เด็กผู้หญิงที่สกปรกที่สุดในโลก”  (เธอสกปรกถึงขนาดที่มีกลิ่นเหม็นตุ ๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเลยทีเดียว)  แต่หลังจากที่เธอชวนแมวเหมียวเพื่อนรักที่สกปรกไม่แพ้กันไปเล่นเป่าฟองสบู่กลางสายฝน  เมื่อสายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่  เด็กผู้หญิงที่เคยมีกลิ่นเหม็นตุ ๆ ก็กลับกลายมาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีกลิ่นสบู่หอมสะอาดราวกับเป็นคนละคน

เมื่อเด็กผู้หญิงที่หอมกลิ่นสบู่เห็นเจ้าอสูรกายมอมแมมนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ภูเขากองขยะ เด็กหญิงใจดีจึงเอ่ยปากถามเจ้าอสูรกายว่าเกิดอะไรขึ้น? 

มอมแมมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เด็กน้อยที่มีกลิ่นสบู่หอมฟุ้งฟัง  และเมื่อเด็กหญิงได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด  เธอจึงรับอาสาช่วยทำให้มอมแมมกลายเป็นอสูรกายที่หอมสะอาดเหมือนกับตัวของเธอ 

จริง ๆ แล้ว การทำให้มอมแมมหอมสะอาดคงจะไม่วุ่นวายสักเท่าไหร่…ถ้าหากมอมแมมเป็นอสูรกายตัวเล็ก ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ   แต่ด้วยร่างกายของมอมแมมที่ใหญ่โตเกือบเท่าช้าง เด็กหญิงผู้ใจดีจึงจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเธอในการทำให้มอมแมมหอมสะอาด

เจ้าชายสายลมกับคุณฟันนักทำฟองเป็นคนที่เด็กหญิงขอร้องให้มาช่วยเหลือ  เด็กหญิงขอให้เจ้าชายสายลมใช้พลังบังคับให้ฝนมาตกตรงที่บ้านกองขยะของมอมแมม  จากนั้น เธอก็ขอให้คุณฟันนักทำฟองช่วยปีนขึ้นไปยืนบนยอดของภูเขาขยะ แล้วเป่าฟองสบู่ให้ล่องลอยออกมาเคล้ากับสายฝน

แน่นอน…เมื่อสายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่ ความสะอาดเอี่ยมอ่องจึงเกิดขึ้น  แต่เพราะคุณฟันเพลินกับการทำฟองมากไปหน่อย  ดังนั้น  แทนที่มอมแมมจะกลายเป็นอสูรกายแสนสะอาดที่มีกลิ่นหอมของสบู่ลอยฟุ้งออกมาจากตัวแต่เพียงผู้เดียว  ฟองสบู่กับสายฝนยังช่วยทำให้ของเล่นและภูเขาขยะขนาดมหึมากลับกลายเป็นดินแดนที่หอมฟุ้งไปกลิ่นสบู่หอมสะอาด

หลังฝนตก  เจ้าชายสายลมใช้สายลมเป่าขนสีขาว ๆ ของมอมแมมให้ฟูนุ่มดูน่ารัก  ส่วนเด็กหญิงกับคุณฟันก็ช่วยกันจัดทรงผมและผูกโบว์ที่ขนของมอมแมมจนไม่เหลือเค้าของอสูรกายให้เด็ก ๆ กลัวอีกต่อไป  

เมื่อมอมแมมกลายเป็นอสูรกายแสนน่ารักที่มีกลิ่นหอมสะอาดลอยฟุ้งออกมาจากตัว  เด็ก ๆ ที่เคยรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้มอมแมมก็พากันเปลี่ยนใจแย่งกันเข้ามากอดมอมแมมจนมอมแมมแทบตั้งตัวไม่ติด  เด็ก ๆ มีความสุขมากที่ได้เล่นของเล่นแสนสนุกที่มอมมอมสร้างขึ้น   ส่วนมอมแมมเองก็มีความสุขที่เด็ก ๆ ชอบของเล่นของมัน

มอมแมมขอบคุณเด็กหญิงใจดี เจ้าชายสายลมและคุณฟันนักทำฟองที่ช่วยทำให้มันเป็นที่รักของเด็ก ๆ  และแล้ว เรื่องวุ่น ๆ ของมอมแมมก็จบลงอย่างมีความสุข

เด็กหญิงกับอสุรกายมอมแมมเล่นฟองสบู่กลางสายฝน พร้อมแมวดำในฉากนิทานอบอุ่นเรื่องความสะอาดและมิตรภาพ
Posted in การรู้เท่าทันสื่อ, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

เจ้าหญิงกับกระจกวิเศษ : นิทานก่อนนอนสอนให้เด็ก ๆ รู้เท่าทันสื่อ

ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยสื่อออนไลน์และข้อมูลมากมาย นิทานก่อนนอนยังคงเป็นสื่อที่ทรงพลังในการสอนใจเด็กและผู้ใหญ่ นิทานเรื่อง “เจ้าหญิงกับกระจกวิเศษ” ไม่ได้เป็นเพียงนิทานเด็กที่เล่าเพื่อความสนุก แต่เป็นนิทานสอนใจที่ช่วยให้ผู้อ่านทุกวัยตระหนักถึงความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อ และการใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้ยินหรือเห็นในโลกออนไลน์

หลายครั้งเราพบโฆษณาขายของที่บรรยายสรรพคุณอย่างน่าเชื่อถือ หรือข้อความที่ชวนให้ทำตามโดยอ้างเหตุผลที่ดูสมจริง แต่หากตรวจสอบลึกลงไป อาจพบว่าเป็นข้อมูลที่บิดเบือนหรือมีเจตนาแอบแฝง นิทานเรื่องนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนความจริงในสังคมปัจจุบัน ผ่านการเล่าเรื่องที่สนุกสนานและเข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับใช้เป็นนิทานก่อนนอน นิทานเด็กดี และนิทานสอนใจที่ช่วยให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน

คุณค่าของนิทาน เจ้าหญิงกับกระจกวิเศษ อยู่ที่การสอนให้เด็กกล้าใช้วิจารณญาณ กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และรู้จักปรึกษาพ่อแม่เมื่อพบสิ่งที่น่าสงสัย ขณะเดียวกันก็เตือนผู้ใหญ่ให้รู้บทบาทของตนเองในการเป็นที่พึ่งที่ลูกไว้ใจได้ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงนิทานแฟนตาซี แต่เป็นนิทานอมตะที่เหมาะกับทุกวัย และควรค่าแก่การอ่านและแบ่งปันต่อ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดให้กับสังคมในยุคดิจิทัล

กาลครั้งหนึ่ง  มีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง  เป็นเจ้าหญิงที่ทั้งสวย ทั้งฉลาด และเชื่อฟังพ่อแม่เป็นที่สุด 

วันหนึ่ง  มีแม่มดสาวตนหนึ่ง ค้นพบกระจกวิเศษประจำตระกูล  นางจึงถามกระจกวิเศษว่า   “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”    เมื่อกระจกวิเศษตอบว่า   “ก็ต้องเป็นเจ้าหญิงน่ะสิ ทั่วทั้งปฐพี ไม่มีใครดีและงามเกิน”

ทันทีที่ได้ฟัง  แม่มดก็โกรธจัด  เพราะนางคิดว่าตนสวยที่สุด   เมื่อกระจกวิเศษเห็นเช่นนั้น   แทนที่มันจะปรามให้สงบ  กระจกวิเศษกลับยุให้แม่มด  หาทางจัดการกับเจ้าหญิงเสีย

แม่มดสาวคิดอยู่สักพัก  ในที่สุด   นางจึงวางแผนส่งกระจกวิเศษไปเป็นของขวัญให้เจ้าหญิงเพื่อให้กระจกยุให้เจ้าหญิงทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ  เพื่อให้เจ้าหญิงกลายเป็นคนไม่ดี

เมื่อถึงวันเกิดของเจ้าหญิง  แม่มดก็ทำตามแผนโดยแกล้งทำทีเป็นมีไมตรีจิต  แล้วมอบกระจกให้เจ้าหญิงโดยบอกว่า กระจกที่มอบให้  เป็นกระจกวิเศษที่ตอบคำถามได้ทุกอย่าง  (ราวกับอินเตอร์เน็ตหรือเอไอในสมัยนี้)

เจ้าหญิงตื่นเต้นและพอใจมาก  จึงนำกระจกวิเศษไปไว้ที่ห้อง  ครั้นเมื่อกระจกวิเศษ ได้อยู่กับเจ้าหญิงตามลำพัง กระจกก็เริ่มยุให้เจ้าหญิงทดลองทำสิ่งไม่ดีไม่งาม  โดยอ้างว่า เรามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะมันเป็นชีวิตของเรา!

กระจกแนะให้เจ้าหญิงนอนดึก  ๆ  หรือหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังในตอนกลางคืน  รวมทั้งชักชวนให้สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นการพนัน ตามแบบที่วัยรุ่นชอบทำกัน

คำแนะนำของกระจกวิเศษ ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกแปลก ๆ  เพราะคำพูดของกระจกวิเศษต่างจากคำสอนของพ่อกับแม่โดยสิ้นเชิง

เจ้าหญิงคิดว่ากระจกวิเศษ น่าจะมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ แต่เพื่อความแน่ใจ  เจ้าหญิงจึงแกล้งถามว่า “กระจกวิเศษจ๋า ถ้าหญิงทำตามที่พี่กระจกบอก แล้วเสด็จพ่อกับเสด็จแม่จับได้ หญิงควรทำอย่างไรดีล่ะจ๊ะ”

เมื่อกระจกวิเศษได้ฟัง  มันจึงแกล้งตอบว่า  “ถ้าพระราชากับพระราชินีจับได้  เจ้าหญิงก็แค่แต่งเรื่องโกหกเพื่อเอาตัวรอด  เดี๋ยวท่านก็หลงเชื่อเองแหละ”

การโกหกพ่อแม่เป็นเรื่องที่ไม่ดี  เจ้าหญิงจึงมั่นใจว่า กระจกวิเศษ  ต้องคิดร้ายกับพระองค์แน่ ๆ  (รวมทั้งแม่มดที่นำกระจกมาให้ก็คงมีแผนการร้ายซ่อนอยู่) ด้วยเหตุนี้ เจ้าหญิงจึงนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ซึ่งเมื่อทั้งสองพระองค์ได้ฟัง  ทั้งสองก็นำกระจกมาสอบสวน  จากนั้น ก็จัดการทำลายกระจกตัวร้ายเพื่อไม่ให้มันไปเสี้ยมสอนใคร ๆ ให้ทำเรื่องเลวร้ายได้อีก  นอกจากนี้  พระราชากับพระราชินีก็ให้พ่อมดหลวง ไปจับแม่มดมาขังไว้  เพื่อรอการลงโทษ

โชคดีเหลือเกินที่เจ้าหญิง ไม่ได้มีหน้าตาที่งดงามเท่านั้น  แต่พระองค์ยังเฉลียวฉลาด  และรู้จักนำเรื่องที่ได้พบได้ฟัง ไปปรึกษาหารือพ่อกับแม่  เพื่อให้ท่านช่วยคิด   คุณสมบัติต่าง ๆ นี้เองที่ทำให้เจ้าหญิงรอดจากผู้ประสงค์ร้าย

ในที่สุด  กระจกวิเศษของตระกูลแม่มดก็หมดโอกาสไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร ๆ อีก   ส่วนแม่มดที่มีจิตใจชั่วร้าย ก็ต้องรับโทษอยู่ในคุกเวทมนตร์ และได้ใช้เวลาสำนึกผิดอยู่ในคุกไปอีกนานแสนนาน

หมายเหตุ : หากชอบนิทานเรื่องนี้ รบกวนคลิกชมแบนเนอร์โฆษณาสักนิด เพื่อสนับสนุนให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้นะครับ ขอบคุณมากครับ 💛

เจ้าหญิงสวมมงกุฎและผ้าคลุมแดงยืนมองกระจกวิเศษที่สะท้อนใบหน้าปีศาจท่ามกลางเปลวไฟ ในห้องนอนกลางคืนพร้อมแมวน้อยและแสงเทียน
Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

สาวเลี้ยงห่านปริศนา : นิทานผจญภัยสอนใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่จากกริมส์

นิทานเรื่อง สาวเลี้ยงห่าน (The Goose-Girl) เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกบันทึกโดยสองพี่น้องกริมส์จากแหล่งเล่าพื้นบ้านในเยอรมนีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกเขาเก็บรวบรวมเรื่องเล่าจากชาวบ้าน ปรับถ้อยคำให้เป็นภาษาวรรณกรรม และตีพิมพ์ในชุด Grimm’s Fairy Tales อันโด่งดัง ต่อมาเรื่องนี้ยังถูกนำไปเผยแพร่ใน The Blue Fairy Book (1889) ของ Andrew Lang หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในชุด “Fairy Books” ที่ Lang รวบรวมและแปลนิทานจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก โดยจัดพิมพ์เป็นเล่มที่มีสีต่าง ๆ เช่น Blue, Red, Green เพื่อให้เด็กและผู้อ่านทั่วไปเข้าถึงนิทานคลาสสิกได้ง่ายขึ้น ถือเป็นผลงานสำคัญที่ช่วยเผยแพร่นิทานกริมส์และนิทานพื้นบ้านไปสู่สังคมโลกตะวันตกในวงกว้าง

เนื้อหาของ สาวเลี้ยงห่าน เล่าถึงเจ้าหญิงที่ถูกนางสาวใช้ทรยศและสวมรอยเป็นตนเอง ขณะที่เจ้าหญิงแท้จริงต้องไปทำงานเลี้ยงห่านอย่างต่ำต้อย นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่านิทานนี้สะท้อนประเด็นเรื่อง “ความจริงและความเท็จ” รวมถึงการพิสูจน์คุณค่าภายในของตัวละคร สัญลักษณ์ที่ปรากฏ เช่น ผ้าเช็ดหน้าที่มีเลือดสามหยด แสดงถึงสายสัมพันธ์และการปกป้องจากแม่ ม้าฟาลาดาที่พูดได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์และความจริงที่ไม่อาจถูกปิดบัง ส่วนการหวีผมสีทองของเจ้าหญิงกลางแดดสะท้อนความบริสุทธิ์และคุณค่าที่แท้จริงซึ่งเปล่งประกายแม้ในสถานะที่ต่ำต้อย การตีความเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า นิทานไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่า แต่ยังเป็นบทเรียนเชิงจิตวิญญาณและสังคมที่สอดแทรกผ่านสัญลักษณ์

นิทานกริมส์หลายเรื่อง รวมถึง สาวเลี้ยงห่าน มีฉากที่อาจดูโหดร้ายสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน เช่น การฆ่าม้าฟาลาดา หรือการลงโทษนางสาวใช้ด้วยวิธีรุนแรง ซึ่งสะท้อนค่านิยมการสั่งสอนในสังคมสมัยก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกนำมาเรียบเรียงลงในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ ได้มีการลดทอนความรุนแรงของบางฉากเท่าที่ทำได้ โดยยังคงรักษาอารมณ์และแก่นของเรื่องต้นฉบับ เพื่อให้ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่สัมผัสได้ถึงความงดงามและบทเรียนชีวิต หากต้องการอ่านนิทานต้นฉบับฉบับเต็ม สามารถหาอ่านได้จาก Grimm’s Fairy Tales ที่ตีพิมพ์โดยสองพี่น้องกริมส์ หรือจาก The Blue Fairy Book ของ Andrew Lang ซึ่งมีฉบับดิจิทัลให้เข้าถึงได้ในเว็บไซต์โครงการ Project Gutenberg และแหล่งหนังสือสาธารณะออนไลน์ต่าง ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชินีผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและปัญญา พระองค์มีพระธิดาเพียงองค์เดียว เป็นเจ้าหญิงที่งดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก

เมื่อเจ้าหญิงเติบโตขึ้น พระราชินีได้จัดให้พระธิดาอภิเษกกับเจ้าชายจากเมืองไกล เมืองนั้นมีสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรของพระราชินีมาเนิ่นนาน การแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นทั้งสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพและความรัก

ก่อนออกเดินทาง พระราชินีเตรียมสิ่งสำคัญไว้ให้ลูกสาว ทั้งเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น และม้าพูดได้ชื่อ ฟาลาดา ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเจ้าหญิงมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดคือ ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ที่มีเลือดสามหยดของพระราชินี ซึ่งพระองค์ใช้มีดเล็ก ๆ สะกิดที่ปลายนิ้ว แล้วหยดเลือดลงบนผ้าเช็ดหน้า เพื่อเป็นเครื่องรางคอยปกป้องและเตือนว่าความรักของแม่ยังคงอยู่กับลูกเสมอ

พระราชินีส่งสาวใช้คนหนึ่งไปเป็นผู้ติดตามเจ้าหญิง เพื่อช่วยดูแลระหว่างทาง แต่ไม่นานหลังออกเดินทาง สาวใช้ก็เริ่มเผยนิสัยแท้จริง เธอพูดจาไม่สุภาพ ไม่เคารพเจ้าหญิง และค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจากผู้รับใช้เป็นผู้สั่งการ

วันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าหญิงและสาวใช้หยุดพักที่ริมแม่น้ำ สาวใช้บังอาจงสั่งให้เจ้าหญิงลงไปตักน้ำมาให้ดื่ม แม้เจ้าหญิงจะตกใจ แต่ก็ยอมทำตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ครั้นเมื่อเจ้าหญิงก้มลงตักน้ำ ผ้าเช็ดหน้าที่มีเลือดสามหยดก็บังเอิญหลุดจากมือและลอยไปตามสายน้ำ ซึ่งไม่ว่าเจ้าหญิงจะตามหาเพียงใดก็ไม่พบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอีกเลย

เมื่อสาวใช้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าหญิงได้สูญเสียเครื่องรางชิ้นสำคัญ ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชิ้นเดียวที่มีอยู่ สาวใช้จึงใช้โอกาสที่เจ้าหญิงรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ทำการข่มขู่เจ้าหญิง โดยทำทีจะใช้กำลังและบังคับให้เจ้าหญิงสาบานว่าจะไม่เล่าเรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางให้ใครฟัง มิฉะนั้น นางจะทำร้ายเจ้าหญิงให้ถึงแก่ชีวิต เจ้าหญิงจึงจำใจต้องสาบาน และด้วยความเป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้าหญิงจึงต้องรักษาคำสาบานที่ให้ไว้ยิ่งชีวิต

เมื่อเจ้าหญิงและสาวใช้เดินทางมาถึงเมืองของเจ้าชาย สาวใช้ก็สวมรอยเป็นเจ้าหญิง ส่วนเจ้าหญิงตัวจริงถูกบังคับไม่ให้พูด และต้องทำตัวเหมือนคนธรรมดา

นอกจากนี้ สาวใช้ยังแอบสั่งให้คนนำม้าพูดได้อย่างฟาลาดาไปจัดการ เพื่อไม่ให้มันเปิดเผยความจริง โดยหัวของฟาลาดาถูกนำไปแขวนไว้ใต้ซุ้มประตูหินใกล้วัง ซึ่งเมื่อเจ้าหญิงเดินผ่านไปเห็น เจ้าหญิงก็ตกใจและพูดกับเพื่อนของพระองค์ว่า “โอ้ ฟาลาดา เจ้าถูกแขวนอยู่ตรงนี้” และหัวม้าก็ตอบกลับอย่างเศร้าสะเทือนใจว่า “โอ้ เจ้าหญิง หากพระมารดาของท่านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์คงเสียใจยิ่งนัก”

ในเวลาต่อมา เจ้าหญิงถูกส่งไปทำงานเลี้ยงห่านร่วมกับเด็กหนุ่มชื่อคอนราด ทุกวัน พระองค์ต้องตื่นแต่เช้าไปดูแลฝูงห่าน แม้จะเศร้าและเหนื่อย แต่พระองค์ก็ทรงทำงานโดยไม่บ่นและไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง แต่ไม่นานนัก คอนราดเริ่มสังเกตว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะเมื่อเธอหวีผมกลางแดด ผมยาวสีทองของเธอได้เปล่งประกายราวกับเส้นไหมที่ปลิวไปตามสายลม คอนราดตกตะลึงและสงสัยว่าสาวเลี้ยงห่านปริศนาผู้นี้เป็นใครกันแน่

ไม่นานนัก เรื่องราวเกี่ยวกับสาวเลี้ยงห่านปริศนาก็ไปเข้าหูของพระราชา พระองค์จึงแอบมาสังเกตการณ์ด้วยตนเอง และเมื่อพระราชาเห็นสาวเลี้ยงห่านที่กำลังหวีผมสีทอง แต่ดวงตาของเธอกลับมีความเศร้าและหม่นหมองจนยากจะบรรยายได้ พระราชาจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่

พระราชาจึงเรียกสาวเลี้ยงห่านมาพบและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าหญิงในฐานะสาวเลี้ยงห่านไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะได้ให้คำสาบานเอาไว้แล้ว พระราชาจึงสั่งสร้างห้องเล็ก ๆ มีผนังสูง และบอกว่า “เจ้าไปเล่าให้ผนังฟังเสียสิ ไม่ถือว่าเจ้าบอกใคร” ครั้นเมื่อเจ้าหญิงอยู่เพียงลำพัง เจ้าหญิงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ตั้งแต่การเดินทาง การสูญเสียผ้าเช็ดหน้า การถูกบังคับ และการถูกสวมรอย เจ้าหญิงเล่าทุกเรื่องโดยไม่รู้ว่า พระราชาทรงซ่อนตัวอยู่ภายนอกและได้ยินทุกถ้อยคำ

ในงานเลี้ยงใหญ่วันรุ่งขึ้น พระราชาทรงเรียกเจ้าหญิงตัวปลอมมาถามว่า “คนทรยศและหลอกเจ้านายของตน ควรได้รับโทษเช่นไร?” สาวใช้ไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับได้ จึงตอบอย่างลำพองว่า “คนเช่นนั้นควรถูกลงโทษอย่างหนักให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

พระราชาจึงประกาศทันทีว่า โทษดังกล่าวจะใช้กับเจ้าเอง จากนั้น พระราชาก็สั่งให้ลงโทษสาวใช้ด้วยโทษที่หนักหนาสาหัสจนกลายเป็นตัวอย่างไม่ให้คนกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อีก

เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เจ้าหญิงตัวจริงจึงได้รับเกียรติของพระองค์กลับคืนมา เจ้าชายทรงดีใจที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคู่หมั้น แล้วทั้งคู่ก็ได้อภิเษกสมรสและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข…นับจากนั้น

สาวผมทองในชุดน้ำเงินและผ้าคลุมแดงยืนท่ามกลางฝูงห่านในป่าแฟนตาซี มีปราสาทและตัวละครลับอยู่เบื้องหลัง
เจ้าหญิงเลี้ยงห่านในฉากป่าแฟนตาซี—ภาพประกอบจากนิทานกริมส์เรื่องสาวเลี้ยงห่าน
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

ลูกยักษ์หลงทาง – นิทานสอนใจสำหรับเด็กและครอบครัว

ในโลกของนิทาน ยักษ์มักถูกวาดภาพให้ดูน่าเกรงขาม บางครั้งก็เป็นตัวร้าย บางครั้งก็เป็นผู้พิทักษ์ แต่ในเรื่องนี้ ลูกยักษ์ไม่ได้มาเพื่อสู้รบหรือข่มขวัญใคร เขาแค่หิว แค่หลงทาง และแค่ต้องการข้าวสักมื้อ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของยักษ์ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจ ความเมตตา และการมองเห็นหัวใจของกันและกันในวันที่อ่อนแอที่สุด

ความน่าสนใจของนิทานเรื่องนี้คือการเลือกเล่าเรื่องยักษ์โดยไม่มีฉากรุนแรง มีเพียงความหิว ความเศร้า และการช่วยเหลือที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ

นิทานเรื่องนี้ มีทั้งเหตุการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ เหตุการณ์ที่ชวนให้ตื่นเต้น แถมยังมีข้อคิดให้มองได้ในหลายแง่มุม หวังว่านิทานเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านนอนหลับฝันดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกยักษ์ตนหนึ่งหลงทางออกมาจากป่าลึกซึ่งเป็นบ้านของมัน

ลูกยักษ์ซัดเซพเนจรจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันทั้งเหนื่อยทั้งหิว มันจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วใช้นิ้วขนาดใหญ่เคาะประตูบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดเบา ๆ เพื่อขออาหารกินสักมื้อ

เจ้าของบ้านหลังนั้นคือผู้ใหญ่บ้านใจร้ายที่ทั้งขี้เหนียวและชอบเอาเปรียบ เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นลูกยักษ์มาขอข้าวกิน ผู้ใหญ่บ้านก็รีบไล่ลูกยักษ์ให้ไปขอข้าวที่บ้านหลังอื่นทันที

ลูกยักษ์รู้ว่าตนเองกินข้าวมากกว่าคนทั่วไป แต่มันไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะขับไล่ลูกยักษ์ที่หิวโซอย่างมันได้ลงคอ ลูกยักษ์ได้แต่ก้มหน้ากลั้นน้ำตา แล้วเดินออกจากหมู่บ้านแห่งนั้นโดยคิดว่า “ขนาดบ้านที่ร่ำรวยที่สุดยังไม่แบ่งข้าวให้กิน บ้านหลังอื่น ๆ ก็คงไม่มีทางแบ่งข้าวให้กินแน่ ๆ “

ในขณะที่ลูกยักษ์เดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน จู่ ๆ ลูกยักษ์ก็ได้ยินเสียงสามีภรรยาคู่หนึ่งร้องเรียก สองสามีภรรยาเห็นลูกยักษ์เดินหน้าเศร้ามาตามลำพัง ทั้งคู่ก็เดาได้ว่าลูกยักษ์คงต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง เมื่อสองสามีภรรยารู้ว่าลูกยักษ์หิวข้าวมาก ทั้งสองคนจึงรีบหุงข้าวหุงปลาเลี้ยงลูกยักษ์ด้วยความสงสาร

ลูกยักษ์กินจุกว่าคนปกติ 10 เท่า สามีภรรยาผู้มีน้ำใจจึงต้องหุงข้าวให้ลูกยักษ์กินถึง 10 หม้อ ครั้นเมื่อคนใจบุญทั้งสองเห็นว่าลูกยักษ์อิ่มแล้ว ทั้งคู่จึงบอกให้ลูกยักษ์นอนพักที่กองฟางนุ่ม ๆ นอกบ้านสักคืน แล้วจะช่วยหาทางกลับบ้านให้ในวันรุ่งขึ้น

หลังจากสองสามีภรรยาเข้านอน ลูกยักษ์เกิดความคิดอยากตอบแทนบุญคุณของพวกเขา คืนนั้น ลูกยักษ์จึงแอบย่องเข้าไปในสวน แล้วร่ายเวทมนตร์ของยักษ์ ทำให้พืชผักในสวนเติบโตงอกงามและมีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 10 เท่า

เช้าวันต่อมา สองสามีภรรยาแปลกใจมากที่เห็นผักและผลไม้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างไม่คาดคิด หนำซ้ำ ชาวบ้านยังมาขอซื้อผักผลไม้จนเนืองแน่นไปหมด สองสามีภรรยาขายผักและผลไม้จนไม่มีเหลือ พวกเขาขอบใจลูกยักษ์ที่ช่วยร่ายเวทมนตร์ให้ จากนั้น ทั้งคู่ก็เตรียมตัวพาลูกยักษ์เดินทางเข้าป่าเพื่อหาทางกลับบ้าน

ในขณะนั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านใจร้ายทราบข่าวเรื่องมนตร์วิเศษของลูกยักษ์ ผู้ใหญ่บ้านอยากให้ลูกยักษ์ทำให้ผักและผลไม้ของตนใหญ่ขึ้นบ้าง ผู้ใหญ่บ้านจึงพาลูกสมุน 100 คนตรงมาที่บ้านของสองสามีภรรยา แล้วอ้างว่าลูกยักษ์เป็นผู้บุกรุกจึงต้องขอจับไปสอบสวนที่บ้านเสียก่อน

แม้ลูกยักษ์จะมีกำลังสู้กับลูกสมุนของผู้ใหญ่บ้านได้อย่างสบาย แต่ลูกยักษ์ไม่อยากให้สามีภรรยาที่ช่วยมันต้องเดือดร้อน ลูกยักษ์จึงยอมให้ผู้ใหญ่บ้านคุมตัวไปแต่โดยดี

เมื่อไปถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ลูกยักษ์เริ่มหิวจึงขอกินข้าวสักหน่อย แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่ให้ ลูกยักษ์จึงโมโห ไม่ยอมเสกผักและผลไม้ให้ใหญ่ขึ้นตามที่ผู้ใหญ่บ้านออกคำสั่ง

ครั้นเมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าลูกยักษ์ดื้อดึง ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ลูกสมุนนำไม้กระบองมาตีลูกยักษ์

ลูกยักษ์เจ็บจึงร้องไห้เสียงดังลั่น เสียงร้องไห้ของลูกยักษ์ดังแว่วเข้าไปในป่า ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น พ่อยักษ์กับแม่ยักษ์ที่ได้ยินเสียงลูกก็วิ่งบุกป่าฝ่าดงตรงมายังหมู่บ้าน

เมื่อพ่อยักษ์กับแม่ยักษ์เห็นลูกถูกคน 100 คนรุมตี ทั้งคู่จึงเป่าให้คนเหล่านั้นปลิวไปตามสายลม…เหลือแต่ผู้ใหญ่บ้านที่กอดเสาเอาไว้ได้ เมื่อลูกยักษ์ได้ที ลูกยักษ์จึงฟ้องพ่อกับแม่ว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวการที่สั่งให้คนมาทุบตีตน

พ่อยักษ์กับแม่ยักษ์โมโหมาก ทั้งคู่ไล่ผู้ใหญ่บ้านให้ออกไปจากหมู่บ้านโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะจับกินให้สิ้นซาก ผู้ใหญ่บ้านกลัวมากจึงรีบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

เมื่อเรื่องราวทั้งหมดสงบลง ลูกยักษ์จึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้พ่อกับแม่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม่ยักษ์ชื่นชมในน้ำใจของสองสามีภรรยา นางจึงถอดตุ้มหูเพชรซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าตุ่มน้ำแล้วนำไปมอบให้แก่คนใจดีทั้งสอง ส่วนพ่อยักษ์เห็นว่าหากคนดีได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านนี้ก็คงจะมีแต่ความสุข ด้วยเหตุนี้ พ่อยักษ์จึงประกาศให้สองสามีภรรยาทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ และตนจะคอยแวะมาช่วยปกป้องหมู่บ้าน…หากมีใครคิดมาเกเรสร้างความเดือดร้อน

ชาวบ้านต่างดีใจที่ได้คนดีมาดูแลหมู่บ้านของตน ส่วนลูกยักษ์ก็ตามพ่อกับแม่กลับเข้าป่าไปโดยแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ ที่สามีภรรยาผู้ใจดีได้สิ่งดี ๆ ตอบแทนความดีของพวกเขา

ลูกยักษ์ตัวใหญ่กำลังกินข้าวจากหม้อข้าวใบโต
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

ชะนีน้อยกลอยใจ : นิทานก่อนนอนสอนใจเรื่องความกตัญญู

สัตว์ทุกตัวมีชีวิต มีหัวใจ และมีความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์ พวกมันรู้จักความเจ็บปวด ความคิดถึง ความหวัง และความรัก การปลูกฝังให้เด็ก ๆ ตระหนักถึงความรู้สึกของสัตว์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยหล่อหลอมให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตาและเคารพในชีวิตของผู้อื่น

นิทานเรื่อง “ชะนีน้อยกลอยใจ” เป็นนิทานก่อนนอนที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยคุณธรรม ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของสัตว์ตัวหนึ่งที่เผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเลือกใช้ความสุภาพ ความอดทน และความกตัญญูเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต

ภายในนิทานแฝงข้อคิดสำคัญหลายประการ ทั้งเรื่องการไม่เบียดเบียนผู้อื่น การมีมารยาทที่ช่วยคุ้มครองตัวเอง ความเมตตาระหว่างคนกับสัตว์ และความกตัญญูที่งดงาม นอกจากนี้ยังมีแง่มุมสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงกับทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น การสร้างแบรนด์ การคิดเชิงอาชีพ และการใช้จินตนาการอย่างมีคุณค่า

หลังจากอ่านนิทานจบ คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูสามารถชวนเด็ก ๆ ทำกิจกรรมต่อยอด เช่น ออกแบบยี่ห้อสินค้า วาดโลโก้ หรือระบายสีถุงใส่ผลไม้แปรรูป เพื่อเสริมทักษะอาชีพและจิตใจที่งดงามไปพร้อมกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกชะนีตัวหนึ่งหนีตายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ จนหลงทางเข้าไปในหมู่บ้านของมนุษย์   เจ้าชะนีน้อยคิดถึงแม่และพี่น้องของมันมาก  มันทั้งเสียขวัญและเหนื่อยอ่อน  แต่ลูกชะนียังมีโชคอยู่บ้าง  เพราะหมู่บ้านที่มันพลัดหลงเข้าไปนั้นมีบ้านหลายหลังที่แวดล้อมไปด้วยสวนผลไม้

แม้เจ้าชะนีน้อยจะหิวโซ  แต่แม่ของมันเคยสอนว่าการขโมยของของผู้อื่นเป็นสิ่งที่น่าละอาย   ด้วยเหตุนี้เอง  เจ้าชะนีน้อยจึงเดินไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งเพื่อขออนุญาตเก็บผลไม้กินประทังชีวิต

เจ้าของบ้านหลังนั้นคือตากับยายที่อาศัยอยู่กันตามลำพังเพราะลูกหลานย้ายไปอยู่ในเมืองใหญ่จนหมด  เมื่อตากับยายเห็นเจ้าชะนีน้อยที่มีมารยาทดีงาม  ตากับยาย (ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ค่อยมีแรงเก็บผลไม้ในสวนของตัวเองกินสักเท่าไร) จึงอนุญาตให้ลูกชะนีเก็บผลไม้ได้ตามใจชอบ   เจ้าชะนีน้อยขอบพระคุณตากับยายผู้มีเมตตา  จากนั้น  มันก็ปีนไปเก็บผลไม้ในสวนกินอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อลูกชะนีมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกครั้ง  สิ่งที่มันคิดว่าควรทำก่อนการเดินทางตามหาแม่ก็คือการตอบแทนความกรุณาของตากับยายผู้มีพระคุณ

วันต่อมา  เจ้าชะนีน้อยจึงรีบตื่นตั้งแต่เช้าตรู่  แล้วลงมือเก็บผลไม้ในสวนเพื่อนำไปขายหาเงินให้ตากับยายที่มีฐานะไม่สู้ดีนัก   ส่วนผลไม้ที่ขายไม่หมด  เจ้าชะนีน้อยก็ฉลาดพอที่จะนำมันมาตากหรือกวนจนกลายเป็นผลไม้แปรรูปจำนวนมหาศาลที่ตากับยายสามารถเก็บไว้กินหรือขายได้อีก

สองตายายซาบซึ้งในความกตัญญูของลูกชะนีมาก แม้ทั้งคู่อยากให้เจ้าชะนีน้อยอยู่เป็นเพื่อนที่บ้าน  แต่ตากับยายก็รู้ดีว่าการได้กลับคืนสู่อ้อมอกแม่นั้นเป็นสิ่งที่ลูกชะนีต้องการมากที่สุด  เพราะเหตุนี้  ตากับยายจึงได้แต่อวยพรให้ลูกชะนีพบแม่ของมันโดยเร็ว 

หลังจากที่ลูกชะนีลาตากับยายไปแล้ว  ด้วยความระลึกถึงที่สองตายายมีต่อเจ้าชะนีน้อย  ตากับยายจึงนำผลไม้แปรรูปออกขายโดยตั้งชื่อยี่ห้อว่าชะนีน้อยและวาดภาพของลูกชะนีที่แสนน่ารักติดเอาไว้ด้วย  

ไม่ช้าไม่นานนัก  ผลไม้แปรรูปตราชะนีน้อยก็แพร่หลายไปจนทั่ว  รสชาติของผลไม้แปรรูปที่ลูกชะนีบรรจงทำให้ตากับยายอร่อยจนใครต่อใครติดอกติดใจไปตาม ๆ กัน   และเมื่อลูกค้าทั้งหลายได้ทราบถึงที่มาของผลไม้แสนอร่อย รวมทั้งเรื่องราวของลูกชะนีกตัญญูที่พลัดพรากจากแม่ ทุก ๆ คนจึงคิดที่จะหาทางช่วยเหลือ

หนึ่งเดือนผ่านไป   ลูกชะนียังคงหาแม่ของมันไม่พบ  มันเริ่มท้อและอยากหาที่เติมพลังใจให้กับตัวเองสักนิด  ด้วยเหตุนี้  ลูกชะนีจึงออกจากป่าแล้วมุ่งหน้าไปเยี่ยมตากับยายผู้เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ของมัน

เมื่อชะนีน้อยเดินทางมาถึงบ้านของตากับยาย มันรู้สึกอบอุ่นใจและคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อมันเคาะประตูและประตูเปิดออก สิ่งที่มันไม่คาดฝันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า!

ทันทีที่ประตูเปิด   แทนที่เจ้าชะนีน้อยจะเห็นเพียงตากับยายออกมาต้อนรับ  มันกลับพบว่าที่ไหล่และเอวของตากับยายมีแม่ชะนีตัวหนึ่งและลูกชะนีอีกหลายต่อหลายตัวเกาะอยู่

เจ้าชะนีน้อยยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก  เพราะเหล่าชะนีที่มันเห็นก็คือแม่และญาติพี่น้องของมันทั้งนั้น  เจ้าชะนีน้อยร้องไห้โฮด้วยความตื้นตันใจ  ส่วนแม่ชะนีก็รีบโผเข้ากอดลูกด้วยความคิดถึง

ชะนีแม่ลูกกอดกันอยู่นานสองนาน   ตากับยายดีใจที่พวกเขาวาดภาพและตั้งชื่อยี่ห้อผลไม้แปรรูปว่าชะนีน้อย  เพราะหลังจากที่ผู้คนทราบว่าลูกชะนีพยายามตามหาแม่  ใครต่อใครจึงช่วยกันนำรูปของเจ้าชะนีน้อยที่ตากับยายวาดไปสอบถามนายพรานและสัตว์ต่าง ๆ จนในที่สุดก็ทำให้พบกับแม่ชะนีที่กำลังตามหาลูกอยู่เช่นเดียวกัน

เจ้าชะนีน้อยกับครอบครัวของมันขอบพระคุณตากับยายที่ช่วยทำให้พวกมันได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง   และเมื่อตากับยายชวนให้เหล่าชะนีมาอาศัยอยู่ในสวนแทนที่จะกลับไปอยู่ในป่า  ชะนีทั้งหมดจึงตัดสินใจอยู่กับตายายเพื่อช่วยตากับยายเก็บผลไม้และทำให้ชีวิตบั้นปลายของท่านไม่เปลี่ยวเหงา

และแล้ว  เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

ความรักของพี่กับน้อง : นิทานแห่งสายใยรักที่ไม่มีวันจาง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ความรักระหว่างพี่น้องคือหนึ่งในสายใยที่มั่นคงและงดงามที่สุด นิทานที่ถ่ายทอดเรื่องราวของพี่กับน้องไม่เพียงแต่ช่วยปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เด็ก ๆ แต่ยังสะท้อนถึงความเสียสละ ความห่วงใย และความผูกพันที่ไม่มีวันจางหาย

นิทานพี่น้องเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสอนเรื่องความรักในครอบครัว ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตา ไม่ว่าจะเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กเล็ก หรือนิทานซึ้งใจสำหรับผู้ใหญ่ที่แสวงหาความอบอุ่นในยามค่ำคืน เรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าในทุกช่วงวัย

นิทานเรื่อง “ความรักของพี่กับน้อง” คือหนึ่งในนิทานอบอุ่นหัวใจที่สะท้อนพลังของความรักแท้ระหว่างพี่น้องอย่างลึกซึ้ง โดยไม่ต้องพึ่งพาความสมบูรณ์แบบ หากแต่ใช้หัวใจที่จริงแท้เป็นตัวนำทาง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กกำพร้าสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันมาก  พี่ชายมีชื่อว่าฮัค อายุสิบสองปี ส่วนน้องสาวมีชื่อว่ายู อายุแปดปี  เด็กทั้งสองคนอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ ที่อยู่นอกตัวเมืองโดยไม่มีญาติผู้ใหญ่คนใดมาช่วยดูแลพวกเขา

ทุกวัน  ฮัคจะตื่นนอนแต่เช้าแล้วออกจากบ้านไปทำงานในโรงงานตุ๊กตาที่อยู่ในตัวเมือง  ส่วนยูก็จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน แล้วกลับมาทำงานบ้านต่าง ๆ รวมทั้งทำอาหารค่ำเอาไว้รอพี่ชาย  แม้บางครั้งยูจะเหงาบ้างที่ไม่มีพ่อกับแม่คอยอยู่ใกล้ ๆ และต้องรอพี่ชายกลับจากโรงงาน  แต่เด็กน้อยก็ยังคงอุ่นใจ เพราะเธอรู้ดีว่าพี่ชายมีความรักให้เธอไม่แพ้พ่อกับแม่

อยู่มาวันหนึ่ง ยูสังเกตเห็นว่า พี่ชายของเธอตื่นไปทำงานเร็วกว่าเดิมครึ่งชั่วโมงและกลับบ้านช้ากว่าเดิมถึงหนึ่งชั่วโมง  หนำซ้ำ พี่ชายยังกินอาหารค่ำเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ขอตัวไปเข้านอน   ยูไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย!  เธอได้แต่คิดว่าพี่ชายอาจมีงานยุ่งทำให้ต้องทำงานมากกว่า เดิมและเหนื่อยจนไม่มีแรงกินข้าว

ในวันต่อ ๆ มา  ฮัคก็ยังคงตื่นออกไปทำงานแต่เช้าและกลับบ้านค่ำกว่าปกติอีก ฮัคบอกน้องสาวว่าไม่ต้องรอกินข้าว…ให้กินก่อนได้เลย  แม้ฮัคจะยังคงยิ้มแย้มและใจดีไม่แปรเปลี่ยน  แต่ยูกลับกังวลว่าพี่ชายอาจรักเธอน้อยลง   เด็กผู้หญิงที่กำพร้าพ่อแม่อย่างยูจึงรู้สึกเหงามาก  ยูกลัวว่าพี่ชายจะไม่รักเธอเหมือนเดิมอีกแล้ว

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป  ฮัคตื่นแต่เช้า แล้วบอกน้องสาวว่าคืนนี้ให้รอกินข้าวพร้อมกับเขาด้วย  ยูดีใจที่พี่ชายจะกลับมากินอาหารค่ำด้วยกันเหมือนเดิมอีก  เธอจึงรับคำและตั้งใจทำอาหารค่ำรอพี่ชายอย่างสุดฝีมือ

เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ  ยูนั่งรอพี่ชายด้วยใจจดจ่อ  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ฮัคก็ยังมาไม่ถึงบ้านเสียที  ยูทั้งห่วงพี่ชาย, กังวลและเหงาอย่างบอกไม่ถูก  ตั้งแต่เกิดมา..ฮัคไม่เคยผิดสัญญาใด ๆ กับเธอเลย  ยูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ก่อนที่ยูจะคิดไปไกล  ประตูบ้านก็เปิดออก

ทันทีที่ฮัคเปิดประตูเข้ามา  ฮัคก็รีบขอโทษน้องสาวที่เขามาช้ากว่าเวลานัดหมาย  ฮัคเล่า ว่า เขาพยายามจะขึ้นรถประจำทางเหมือนเช่นทุกวัน  แต่วันนี้เขาเอาของชิ้นใหญ่กลับบ้านมาด้วย  เขาจึงขึ้นรถไม่ได้และจำเป็นต้องเดินกลับมาที่บ้านแทน  ยูดีใจมากที่พี่ชายกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็แปลกใจที่เห็นพี่ชายอุ้มตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เข้ามาในบ้าน

ตุ๊กตาที่ฮัคนำกลับมาบ้านนั้นเป็นตุ๊กตาที่เขาทำขึ้นเองเพื่อนำมามอบให้น้องสาวในวันคล้ายวันเกิด!  ฮัคอยากให้ยูมีเพื่อนอยู่ด้วยเวลาที่เขายังไม่กลับจากโรงงาน เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวต้องเหงาจนเกินไป  ส่วนยูจำไม่ได้เลยว่าวันนี้คือวันเกิดของเธอ  เมื่อพี่ชายเตือนว่านี่คือวันเกิดของเธอและนำของขวัญมาให้  ยูจึงดีใจมาก

จริง ๆ แล้ว ในตอนแรก…ฮัคตั้งใจที่จะซื้อตุ๊กตาจากโรงงานมาให้ยู  แต่เนื่องจากตุ๊กตาในโรงงานมีราคาแพงและเขาก็ทำงานได้เงินไม่มากนัก  ดังนั้น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา  ฮัคจึงเที่ยวเก็บเศษผ้าขนปุย ๆ ที่เหลือจากการทำตุ๊กตาในโรงงาน แล้วใช้เวลาว่าง (ที่เขายอมตื่นเช้าขึ้นและกลับบ้านดึกขึ้น) เพื่อเย็บเศษผ้าเหล่านั้นให้กลายเป็นตุ๊กตาสำหรับน้องสาวที่เขารัก

แม้ตุ๊กตาที่ฮัคทำขึ้นจะดูปุปะเพราะทำจากเศษผ้าหลากสี  แต่ความตั้งใจและความรักของพี่ชายที่มีต่อน้องสาวก็ทำให้ยูดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

ยูร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติจนฮัคต้องกอดน้องสาวพร้อมกับกระซิบเบา ๆ ว่า “สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะคนดี” แล้วสองพี่น้องก็นั่งกินอาหารค่ำด้วยกันในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข

คืนวันนั้น หลังจากที่ฮัคเข้านอนแล้ว  ยูก็แอบนำโบว์ผูกผมสีแดงที่เธอใช้อยู่เป็นประจำมาม้วนเป็นดอกกุหลาบดอกเล็ก ๆ แล้วติดเข้ากับเข็มกลัด เพื่อเตรียมมอบให้พี่ชายใช้ดูต่างหน้าเวลาที่พี่ชายไปทำงานที่โรงงาน

เช้าวันรุ่งขึ้น  ฮัคนำดอกกุหลาบที่น้องสาวทำให้กลัดเข้ากับเสื้อแล้วออกไปทำงานอย่างมีความสุข  ส่วนยูก็ไปเรียนหนังสือและกลับมาทำงานบ้านในตอนเย็น โดยเธอไม่เหงาอีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่เธอมองเจ้าปุปะ เธอก็รับรู้ได้ถึงความรักที่พี่ชายมีให้และรู้สึกได้ว่าพี่ชายอยู่ใกล้ ๆ หัวใจของเธอเสมอ   

ความรักของสองพี่น้องเป็นพลังใจที่ทำให้เด็กกำพร้าทั้งสองคนสามารถยืดหยัดและมีชีวิตอยู่ได้…แม้พวกเขาจะไม่มีพ่อแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ   

ความรักมีพลังอันยิ่งใหญ่  การมอบความรักให้แก่กันจึงเป็นสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งของโลก

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานแฝงข้อคิด

ความฝันของพู : นิทานก่อนนอนสำหรับเด็กที่อยากเป็นยอดมนุษย์

เด็กหลายคนเคยฝันอยากเป็นยอดมนุษย์ ที่มีพลังวิเศษ บินได้ หรือช่วยโลกจากเหล่าร้าย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กธรรมดาคนหนึ่งไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่ยังคงเชื่อมั่นในความฝันของตัวเอง

“ความฝันของพู” เป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กที่อยากเป็นยอดมนุษย์ นิทานอบอุ่นหัวใจที่สอนให้รู้ว่า พลังที่แท้จริงอาจไม่ใช่พลังเหนือธรรมชาติ แต่คือ “พลังแห่งความคิด” และ “ความตั้งใจจริง”

นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับเด็กวัยประถม ผู้ปกครอง และครูที่ต้องการปลุกแรงบันดาลใจในใจเด็ก ๆ ผ่านเรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า ‘พู’

พูเป็นเด็กธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักอย่าง เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง, เล่นกีฬาก็แค่พอใช้ได้, หน้าตาก็เหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาน่าสนใจคือ เขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ ความฝันที่อยากจะเป็น “ยอดมนุษย์”

พูรู้ดีว่า ยอดมนุษย์ต้องมีพลังพิเศษอะไรสักอย่าง พูจึงพยายามค้นหาพลังพิเศษที่อาจหลับไหลอยู่ในตัวของเขา

เวลาว่าง…พูจึงมักทดสอบพลังด้วยการเพ่งมองช้อนกินข้าว เพื่อทำให้ช้อนงอ บางครั้งเขาจะวิ่งแล้วกระโดดพร้อมกับกระพือแขนพึ่บพั่บเผื่อว่าตัวเองจะบินได้ บางคราวเขาถึงกับลองบีบจมูกและอธิษฐานให้ตัวของเขากลายเป็นมนุษย์ล่องหน พูทดสอบตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เด็กน้อยก็ไม่เคยพบว่าตัวของเขามีพลังพิเศษอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม แม้ความพยายามค้นหาพลังยอดมนุษย์ของพูจะล้มเหลวมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นยอดมนุษย์ให้จงได้

วันหนึ่ง เมื่อคุณครูประจำชั้นของพูให้นักเรียนเขียนเรียงความในหัวข้อ “ความฝันของฉัน”

พูจึงตัดสินใจเขียนเล่าความฝันและความพยายามในการค้นหาพลังพิเศษส่งให้คุณครูได้อ่าน

เมื่อคุณครูได้อ่านเรียงความของพู คุณครูก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะในขณะที่เด็กส่วนใหญ่ฝันอยากเป็นคุณหมอ, คุณครู, ทหาร, ตำรวจ วิศวกร, นักธุรกิจหรือดารานักร้อง แต่เด็กนักเรียนตัวผอมกะหร่องอย่างพูกลับฝันอยากเป็นยอดมนุษย์

คุณครูชื่นชมที่พูมีความฝันและมีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ คุณครูจึงอยากช่วยพูค้นหาพลังยอดมนุษย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเขา

วันรุ่งขึ้น เมื่อคุณครูนำเรียงความกลับมาที่ชั้นเรียนแล้วให้นักเรียนอ่านเรียงความให้เพื่อนฟัง เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังเรียงความของพู แทนที่เด็ก ๆ จะตื่นเต้นหรือชื่นชม เด็กทั้งชั้นกลับหัวเราะขบขัน เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเด็กผู้ชายอย่างพูจะโตขึ้นเป็นยอดมนุษย์ผู้ต่อสู้กับเหล่าร้ายได้เลย

เมื่อคุณครูเห็นท่าไม่ดี คุณครูจึงบอกเด็กทุกคนว่า “ความฝันบางความฝันอาจดูเหมือนเป็นไปได้ยาก แต่หากเราแน่วแน่และตั้งใจ ความฝันทั้งหลายก็มีโอกาสเป็นจริงได้ด้วยกันทั้งนั้น”

คำพูดของคุณครูทำให้พูมีกำลังใจมากขึ้น แต่เพียงครู่เดียว นักเรียนคนหนึ่งก็ยกมือแล้วพูดว่า “ในเมื่อพูไม่มีพลังพิเศษแบบยอดมนุษย์ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับพวกผู้ร้ายล่ะครับ ถึงจะฝึกร่างกายสักแค่ไหน แต่คนธรรมดาก็ไม่มีทางแข็งแรงแบบยอดมนุษย์ได้หรอกครับ ผมว่ายังไงพูก็เป็นยอดมนุษย์ไม่ได้”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะจ๊ะ” คุณครูของเด็ก ๆ ยิ้ม จากนั้น คุณครูก็หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาแผ่นหนึ่งพร้อมกับถามเด็ก ๆ ว่า “ครูไม่ใช่ยอดมนุษย์และไม่มีพลังพิเศษ ถ้าครูเอากระดาษแผ่นนี้จุ่มลงไปในอ่างปลาบนโต๊ะ มันมีทางไหมที่กระดาษจะไม่เปียก”

เด็กนักเรียนมองกระดาษเปล่าและอ่างปลาพลางคิดภาพตาม เพียงครู่เดียว เด็ก ๆ ก็พร้อมใจกันตอบคุณครูว่า “ยังไงกระดาษก็ต้องเปียกอยู่แล้ว”

ในขณะที่เด็กทั้งหลายเลิกคิดและมั่นใจว่ากระดาษต้องเปียกแน่ ๆ แต่พูซึ่งยืนอยู่ที่หน้าชั้นกลับไม่ยอมหยุดคิด เขาพยายามคิด…คิด…แล้วก็คิด ในที่สุด พูก็เกิดความคิดที่แตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ

พูค่อย ๆ รวบรวมสิ่งที่คิดได้ แล้วเอ่ยปากบอกคุณครูว่า “คุณครูครับ… ผมคิดว่ามีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้กระดาษไม่เปียก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอากระดาษใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น พอจุ่มน้ำ กระดาษก็จะไม่เปียก หรืออีกวิธีนึง ถ้าเราเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้นิดหน่อย กระดาษก็จะไม่เปียกเหมือนกัน ผมอยากทดลองให้ดู…ไม่ทราบว่าคุณครูจะอนุญาตไหมครับ”

คุณครูยิ้มแทนคำตอบ พูจึงขอกระดาษจากคุณครู แล้วเดินไปหยิบถ้วยพลาสติกที่ใต้โต๊ะของเขา จากนั้น พูก็ขยำกระดาษเป็นก้อน ยัดกระดาษเข้าไปในถ้วย คว่ำถ้วยแล้วกดลงไปในอ่างปลาตรง ๆ เมื่อพูยกถ้วยขึ้นจากน้ำ หยิบกระดาษออกมา เด็กทั้งห้องก็ถึงกับส่งเสียงร้อง “อู้หู” เพราะกระดาษแผ่นนั้นถูกแรงดันอากาศภายในถ้วยปกป้องไว้จนไม่มีร่องรอยว่าเปียกน้ำเลยสักนิด

เด็กทั้งห้องปรบมือให้พูด้วยความชื่นชม ส่วนคุณครูก็ส่งยิ้มให้ศิษย์รักแล้วพูดกับเด็กทั้งชั้นว่า “เห็นไหมจ๊ะ เรื่องบางเรื่องที่เราคิดว่ายากหรือเป็นไปไม่ได้ แต่หากเราไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ขึ้นมาเหมือนกัน ถึงเวลานี้ทุกคนคงรู้แล้วนะจ๊ะว่า พูจะเป็นยอดมนุษย์ได้รึเปล่าและพลังพิเศษของพูคือพลังอะไร”

เมื่อเด็กนักเรียนได้ฟังคำพูดของคุณครู เด็กทุกคนก็พยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้เพื่อนนักคิดของพวกเขา พูดีใจมากที่ทุก ๆ คนส่งกำลังใจให้ ในที่สุด พูก็ค้นพบว่า เขามีพลังพิเศษติดตัวมานานแล้ว ซึ่งมันก็คือพลังความคิดและพลังแห่งความตั้งใจจริงนั่นเอง

แม้การเป็นยอดมนุษย์จะไม่ใช่เรื่องง่ายและยังมีเรื่องท้าทายรอพูอีกมาก แต่พูก็เชื่อมั่นในความฝันและพลังที่เขามีอยู่

สิบกว่าปีต่อมา เด็กน้อยผู้ยึดมั่นในความฝันก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาใช้ความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์เพิ่มพลังให้ตัวเองมากมาย ทั้งยังใช้ความคิดแก้ปัญหาได้สารพัด

และแล้ว….พูก็ได้เป็นยอดมนุษย์สมดังที่เขาตั้งใจเอาไว้

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

เด็กน้อยกับปิศาจ : นิทานสอนใจเรื่องความรอบคอบ

นิทานเรื่องนี้เล่าถึง “เด็กน้อยผู้มีน้ำใจ” ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางคำสอนของแม่ให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใต้พื้นดิน เด็กน้อยไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยทันทีโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา แต่สิ่งที่เขาช่วยกลับไม่ใช่คนตกทุกข์ได้ยาก หากแต่เป็น “ปิศาจร้าย” ที่ถูกขังไว้ในหม้อมนตรา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เด็กน้อยต้องเผชิญบทเรียนสำคัญของชีวิต ความใจดีที่ขาดความรอบคอบอาจกลายเป็นอันตรายต่อตัวเองและคนที่รักได้ เด็กน้อยต้องใช้ไหวพริบเอาตัวรอดจากปิศาจผู้เนรคุณ ด้วยความกล้า ความฉลาด และความรักที่มีต่อแม่ของเขา

นิทานเรื่อง “เด็กน้อยกับปิศาจ” ไม่ได้สอนเพียงเรื่องของความกล้าและความดีเท่านั้น แต่ยังสอนให้เด็กรู้จักใช้ “สติ” และ “การคิดไตร่ตรอง” ก่อนลงมือทำสิ่งใด เพื่อให้ความดีที่ทำกลายเป็นพลังแห่งปัญญา ไม่ใช่ความประมาทที่นำภัยมาสู่ตนเอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่ผู้เป็นที่รักของเขา

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เด็กน้อยสะพายย่ามออกไปเก็บผักและหาหน่อไม้ในป่าเพื่อนำมาให้แม่ทำกับข้าว จู่ ๆ เด็กน้อยก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากใต้พื้นดิน

เด็กน้อยนึกถึงคำที่แม่เคยสอนให้เขารู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เด็กน้อยจึงตัดสินใจขุดดินจนกระทั่งพบหม้อดินซึ่งมีปิศาจถูกขังอยู่ในนั้น

เมื่อเจ้าปิศาจรู้ว่าเด็กน้อยแสนซื่อเป็นคนขุดดินจนเจอหม้อมนตรา มันจึงแกล้งทำเสียงน่าสงสารแล้วร้องขอให้เด็กน้อยช่วยปล่อยมันออกไปจากหม้อ

เด็กน้อยฟังคำของเจ้าปิศาจก็นึกเห็นใจจนลืมคิดให้รอบคอบ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหลงกลแกะผ้ายันต์ที่ปิดปากหม้อออก แล้วปล่อยให้เจ้าปิศาจร้ายได้เป็นอิสระ

เมื่อเจ้าปิศาจออกมาสู่โลกภายนอก มันก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น หลังจากนั้น มันก็คว้าตัวเด็กน้อยเอาไว้ด้วยมืออันใหญ่ยักษ์ของมัน พร้อมกับอ้าปากกว้างทำท่าจะจับเด็กน้อยกินให้หายหิว

เด็กน้อยตกใจมากที่เห็นเจ้าปิศาจคิดเนรคุณ แต่เด็กน้อยก็ยังพอมีสติ เขาจึงรีบตะโกนบอกเจ้าปิศาจให้ใจเย็น ๆ แล้วขอร้องเจ้าปิศาจว่า “หากท่านคิดจะกินหนู อย่างน้อย…ในฐานะที่หนูช่วยท่านเอาไว้ หนูอยากขออนุญาตไปลาแม่และขอกินอาหารแสนอร่อยฝีมือแม่อีกสักครั้งจะได้ไหม”

เมื่อเด็กน้อยพูดถึงแม่และอาหารฝีมือแม่ เจ้าปิศาจซึ่งจากแม่มานานก็เห็นใจ มันจึงยอมปล่อยตัวเด็กน้อยเป็นการชั่วคราว โดยมันขอตามไปชิมอาหารที่แม่ของเด็กน้อยทำด้วย

เด็กน้อยโล่งใจที่เขารอดพ้นจากการถูกกินมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ในขณะเดียวกัน การพาปิศาจกลับบ้านก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะมันอาจจับแม่ของเขากินเสียอีกคนหนึ่ง เด็กน้อยไม่อยากให้แม่ได้รับอันตราย เขาจึงคิดแผนจัดการกับเจ้าปิศาจด้วยการสืบหาจุดอ่อนของมัน

หลังจากที่เด็กน้อยพาเจ้าปิศาจเดินวนอยู่ในป่าและหลอกถามสลับกับเยินยอต่าง ๆ นานา ในที่สุด เด็กน้อยก็ได้รู้ว่าบุคคลที่เจ้าปิศาจกลัวจนหัวหดก็คือฤาษีจอมขมังเวทย์ผู้ซึ่งเป็นคนเนรมิตหม้อมนตราและจับเจ้าปิศาจขังเอาไว้นานนับร้อย ๆ ปี

แม้ตอนนี้เด็กน้อยจะไม่รู้ว่าท่านฤาษียังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เขาก็มีแผนดี ๆ ที่น่าจะทำให้เขาจัดการกับเจ้าปิศาจได้สำเร็จ

เมื่อเด็กน้อยคิดแผนการได้ เขาก็พาปิศาจเดินวนกลับไปยังจุดที่เขาขุดเจอหม้อมนตรา เด็กน้อยรอจังหวะที่เจ้าปิศาจเผลอแล้วจึงรีบทำตามแผนที่วางไว้ จากนั้น เด็กน้อยก็พาปิศาจเดินตรงไปยังชายป่าซึ่งเป็นเส้นทางสู่บ้านของเขา…ในช่วงที่แม่กำลังทำอาหารอยู่พอดี

กลิ่นหอมของอาหารฝีมือแม่ทำให้เจ้าปิศาจท้องร้องจ๊อก ๆ เมื่อเด็กน้อยเห็นเจ้าปิศาจหิวจนขาดสมาธิ เด็กน้อยจึงแกล้งบอกเจ้าปิศาจว่า “ท่านปิศาจจ๋า หนูเพิ่งนึกได้ว่าที่ปากทางก่อนออกจากป่า มีอาศรมของฤาษีตั้งอยู่ตรงนั้นด้วย บางทีอาจจะเป็นที่พักของฤาษีจอมขมังเวทย์ก็ได้ หนูว่าท่านน่าจะแปลงร่างให้เล็กลงแล้วเข้าไปซ่อนอยู่ในย่ามของหนูเสียก่อนนะ”

เจ้าปิศาจที่หิวจัดเห็นว่าการเข้าไปหลบอยู่ในย่ามของเด็กน้อยแสนซื่อไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันจึงแปลงกายแล้วกระโจนเข้าไปในย่ามของเด็กน้อยอย่างไม่รอช้า

ทันทีที่เจ้าปิศาจกระโดดเข้าไปในย่าม เด็กน้อยก็รีบหยิบผ้ายันต์ที่เขาแอบซุกเอาไว้ออกมา แล้วจัดการนำมันปิดปากหม้อมนตราที่เขาซ่อนเอาไว้ในย่ามตามแผนที่วางไว้

เมื่อเด็กน้อยใช้ยันต์ของฤาษีจอมขมังเวทย์ปิดปากหม้อมนตราแล้ว เจ้าปิศาจจึงถูกขังอยู่ในหม้อใบนั้นดังเดิม

เจ้าปิศาจเพิ่งรู้ตัวว่ามันโดนเด็กน้อยหลอกให้หลงกลอย่างคาดไม่ถึง มันพยายามโอด-ครวญสุดชีวิต แต่คราวนี้เด็กน้อยไม่เชื่อคารมของมันอีกแล้ว มิหนำซ้ำ…เด็กน้อยยังเขียนข้อความเตือนไว้ไม่ให้ใครเผลอแกะผ้ายันต์ออกจากปากหม้ออีกเป็นอันขาด

เด็กน้อยดีใจเหลือเกินที่เขาสามารถจัดการกับเจ้าปิศาจได้สำเร็จ แม้การช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่เด็กน้อยก็ได้เรียนรู้แล้วว่า เขาควรคิดให้รอบคอบและช่วยแต่คนที่ควรได้รับความช่วยเหลือจริง ๆ เท่านั้น

เด็กน้อยยิ้มและถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากนั้น เขาก็จัดการฝังหม้อมนตราให้พ้นหูพ้นตาของผู้คนทั้งหลาย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความดีต้องมาพร้อมกับสติและการไตร่ตรองเสมอ
  • อย่าตัดสินใจช่วยใครเพียงเพราะคำพูดหรือความสงสารในชั่วขณะ
  • คนฉลาดคือคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
  • ความรักและความห่วงใยในครอบครัวเป็นพลังให้เราฝ่าฟันอันตรายได้
ภาพเด็กน้อยถือย่ามยืนมองหม้อดินที่มีปิศาจถูกขังอยู่ เป็นฉากในนิทานเรื่องเด็กน้อยกับปิศาจ
เด็กน้อยผู้มีน้ำใจเผชิญหน้ากับปิศาจร้ายจากหม้อมนตรา
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานสอนใจ

ช่างตีเหล็กกับปีศาจ

นิทานเรื่อง “ช่างตีเหล็กกับปีศาจ” (The Blacksmith and the Devil) เป็นนิทานพื้นบ้านจากยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะในแถบรัสเซียและยูเครน ซึ่งมีการเล่าขานกันมายาวนานในหมู่ชาวบ้านและช่างฝีมือ เรื่องนี้ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือ Tales and Legends from the Land of the Tzar (1891) โดย Edith M. S. Hodgetts ผู้เรียบเรียงและแปลนิทานพื้นบ้านรัสเซียเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นแหล่งต้นฉบับหลักที่ใช้ในการเรียบเรียงนิทานฉบับภาษาไทยครั้งนี้ โดยยึดตามโครงเรื่องดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด

นักวิชาการด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบมักจัดนิทานเรื่องนี้ไว้ในกลุ่ม “นิทานต่อรองกับปีศาจ” เช่นเดียวกับ Faustbuch (1587) จากเยอรมนี หรือ The Devil and Tom Walker จากอเมริกา โดยมีโครงสร้างคล้ายกันคือ ตัวละครหลักทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ปรารถนา แต่สิ่งที่ทำให้ “ช่างตีเหล็กกับปีศาจ” โดดเด่นคือการใช้ไหวพริบและภูมิปัญญาชาวบ้านในการพลิกสถานการณ์อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์หรือปรัชญาลึกซึ้ง เป็นนิทานที่เข้าถึงได้ง่ายและให้ความรู้สึกสนุกแบบพื้นบ้าน

เราเลือกเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ใหม่ เพราะมันให้อารมณ์ที่ต่างจาก “ฟาวสต์” อย่างชัดเจน คือไม่ใช่เรื่องของนักปราชญ์ผู้แสวงหาความรู้เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของช่างฝีมือธรรมดาที่ใช้ไหวพริบเอาชนะสิ่งลี้ลับด้วยมือเปล่า การเรียบเรียงเป็นไปโดยยึดตามต้นฉบับของ Hodgetts เพียงเล่มเดียว ไม่เติมเนื้อหาใหม่ แต่ปรับภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย และเหมาะกับผู้อ่านร่วมสมัย หากท่านสนใจอ่านต้นฉบับ สามารถค้นหาได้จากแหล่งออนไลน์ เช่น Wikisource โดยใช้คำค้นว่า “The Blacksmith and the Devil by Hodgetts”

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในป่าลึก มีช่างตีเหล็กผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องฝีมืออันยอดเยี่ยม เขาสามารถตีเหล็กให้เป็นรูปทรงใด ๆ ก็ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเกือกม้า ดาบ หรือเครื่องมือเกษตร งานทุกชิ้นล้วนแข็งแรงและงดงามจนผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงต่างพากันมาใช้บริการ

ช่างตีเหล็กผู้นี้มีนิสัยห้าวหาญ พูดจาตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวสิ่งใด แม้แต่เรื่องเล่าของปีศาจที่ชาวบ้านมักพูดถึง เขาก็มักหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินคนพูดถึงการทำข้อตกลงกับปีศาจ “ข้าไม่กลัวมันหรอก” เขาพูดเสมอ “ถ้ามันกล้ามา ข้าจะตีมันให้กลายเป็นเกือกม้าเสียเลย”

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งพักหลังจากทำงานหนักมาตลอดวัน เขาเริ่มครุ่นคิดถึงชีวิตของตนเอง แม้จะมีฝีมือดี แต่เขาก็ยังไม่ร่ำรวยเท่าที่ควร เขาอยากมีเงินทองมากกว่านี้ อยากให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปไกลกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาอาศัยอยู่

ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ขณะที่เขานั่งอยู่หน้าเตาไฟในโรงตีเหล็ก เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างอย่างแผ่วเบา เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง “ถ้าปีศาจมีจริง ข้าก็อยากจะทำข้อตกลงกับมันเสียหน่อย ให้ข้าได้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แล้วข้าจะยอมทำอะไรก็ได้ตามที่มันต้องการ”

ทันใดนั้น เปลวไฟในเตาเหล็กพลันลุกโชนขึ้นอย่างผิดปกติ และเงาดำรูปร่างประหลาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเงานั้น “เจ้ากล่าวเรียกข้าใช่หรือไม่ ช่างตีเหล็ก?” ชายผู้นั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ถอยหนี เขายืนขึ้นอย่างมั่นคง “ถ้าเจ้าเป็นปีศาจจริง ก็มาเจรจากันเถอะ”

ปีศาจยืนอยู่กลางแสงไฟที่ลุกโชนจากเตาเหล็ก ดวงตาของมันแดงวาวเหมือนถ่านที่เพิ่งถูกพัดให้ร้อนจัด “ข้าสามารถให้เจ้าได้ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา” มันกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ เพียงแต่เจ้าต้องให้ข้าสิ่งหนึ่งตอบแทน” ช่างตีเหล็กขมวดคิ้ว “สิ่งนั้นคืออะไร?” ปีศาจยิ้มอย่างเยือกเย็น “วิญญาณของเจ้า”

ช่างตีเหล็กนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าการทำข้อตกลงเช่นนี้มีราคาที่ต้องจ่าย แต่ความปรารถนาในใจเขาก็แรงกล้าเกินกว่าจะปฏิเสธ “ข้าจะให้เจ้าในวันที่ข้าตาย” เขากล่าว “แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้า ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ข้าเรียก” ปีศาจหัวเราะเบา ๆ “ตกลงตามนั้น” แล้วมันก็หายวับไปในเงาไฟ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกำมะถันและความรู้สึกเย็นวาบในอากาศ

ตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของช่างตีเหล็กเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขามีเงินทองมากมาย ลูกค้าหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปไกลกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาเคยอยู่ เขาสร้างบ้านหลังใหญ่ มีคนรับใช้ และใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยฝันว่าจะได้สัมผัส

แต่แม้จะมีทุกสิ่ง เขากลับรู้สึกว่างเปล่าในบางคืน เมื่อเขานั่งอยู่คนเดียวหน้าเตาไฟ ความเงียบในบ้านหลังใหญ่ทำให้เขานึกถึงวันเก่า ๆ ที่เขาเคยตีเหล็กด้วยมือเปล่าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ ปีศาจยังคงปรากฏตัวเมื่อเขาเรียก และทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่สายตาของมันมักแฝงรอยยิ้มที่ชวนให้ไม่สบายใจ

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ในโรงตีเหล็กเก่าเพื่อรำลึกความหลัง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากให้เจ้าลองเข้าไปในเตาไฟ แล้วดูว่าข้าจะตีเจ้าให้เป็นอะไรได้บ้าง” ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทันที “เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ?” ช่างตีเหล็กยิ้ม “ข้าไม่เคยล้อเล่นเรื่องงานของข้า” ปีศาจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปในเตาเหล็กตามคำสั่ง

ทันทีที่ปีศาจก้าวเข้าไปในเตาเหล็ก ช่างตีเหล็กก็รีบปิดประตูเตาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้คีมหนีบร่างของมันไว้แน่น เขาหยิบค้อนเหล็กขึ้นมา และเริ่มตีปีศาจอย่างไม่ลังเล เสียงโลหะกระทบกับผิวหนังของปีศาจดังก้องไปทั่วโรงตีเหล็ก ปีศาจร้องด้วยความเจ็บปวด “หยุด! เจ้าทำอะไร!” ช่างตีเหล็กตอบด้วยเสียงเย็น “ข้ากำลังตีเจ้าให้เป็นเกือกม้า ตามคำสัญญา”

ปีศาจดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ไม่อาจหลุดจากคีมของช่างตีเหล็กได้ เปลวไฟในเตาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ราวกับโกรธแค้นที่เจ้าของมันถูกตี ช่างตีเหล็กยังคงตีต่อไปด้วยความมั่นคง ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่ด้วยความตั้งใจ เขาตีจนปีศาจอ่อนแรงลง และเสียงร้องของมันกลายเป็นเสียงครางเบา ๆ

เมื่อเห็นว่าปีศาจหมดแรง ช่างตีเหล็กจึงหยุดมือ เขาเปิดเตาและปล่อยให้ปีศาจออกมา ร่างของมันสั่นเทา ดวงตาแดงวาวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอับอาย “เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ปีศาจถาม ช่างตีเหล็กยิ้ม “ข้าก็แค่ใช้สิ่งที่ข้ามี คือ ค้อน เหล็ก และไหวพริบ”

ปีศาจถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ?” มันถามด้วยเสียงแผ่ว ช่างตีเหล็กเดินเข้าไปใกล้ “ข้าจะไม่ยกวิญญาณให้เจ้า ข้าจะใช้สัญญานั้นให้เป็นประโยชน์ และข้าจะไม่กลัวเจ้าอีกต่อไป” ปีศาจจ้องเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้

จากวันนั้นเป็นต้นมา ช่างตีเหล็กกลายเป็นคนที่ผู้คนเคารพยำเกรง ไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือ แต่เพราะเขาเคยปราบปีศาจด้วยค้อนของตนเอง ปีศาจยังคงปรากฏตัวเมื่อถูกเรียก แต่ไม่กล้าแสดงอำนาจอีกต่อไป มันกลายเป็นผู้รับใช้ที่เงียบงัน และช่างตีเหล็กก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ แม้จะรู้ดีว่าสัญญายังไม่สิ้นสุด

เวลาผ่านไปหลายปี ช่างตีเหล็กแก่ตัวลง แต่ยังคงทำงานด้วยความขยันขันแข็ง วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งพักใต้ต้นไม้หน้าโรงตีเหล็ก เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรงกว่าที่เคย เขาหลับตาและนึกถึงสัญญาที่เคยทำไว้กับปีศาจ “ถึงเวลาที่เจ้าจะมาเอาสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วกระมัง” เขาพึมพำกับตนเอง

ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทันที ร่างของมันดูใหญ่โตและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน “เจ้าพร้อมจะไปกับข้าแล้วหรือยัง?” มันถามด้วยเสียงเย็นชา ช่างตีเหล็กยิ้มอย่างอ่อนแรง “ข้ายังมีคำสั่งสุดท้ายให้เจ้าทำก่อนจะไป” ปีศาจเลิกคิ้ว “ว่ามา” ช่างตีเหล็กชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ “ข้าต้องการให้เจ้าปีนขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วเก็บใบไม้ใบหนึ่งมาให้ข้า”

ปีศาจหัวเราะ “ง่ายเกินไปสำหรับข้า” มันกระโดดขึ้นต้นไม้ทันที แต่เมื่อมันแตะกิ่งไม้ ช่างตีเหล็กก็เอ่ยคำสั่งเสียงดัง “ข้าสั่งให้เจ้าติดอยู่บนต้นไม้นั้นจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่!” ปีศาจร้องด้วยความตกใจ มันพยายามดิ้นรน แต่ไม่สามารถลงมาได้ “เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว!” มันตะโกน ช่างตีเหล็กหัวเราะเบา ๆ “ข้าแค่ใช้สิ่งที่ข้ามี…อีกครั้ง”

ปีศาจติดอยู่บนต้นไม้เป็นเวลานาน ไม่สามารถลงมาได้ แม้จะพยายามทุกวิถีทาง ช่างตีเหล็กใช้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลาย โดยไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป เขาเล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟัง พร้อมคำเตือนว่า “อย่าได้ทำข้อตกลงกับสิ่งที่เจ้าควบคุมไม่ได้ เว้นแต่เจ้าจะมีไหวพริบมากพอที่จะชนะมัน”

เมื่อช่างตีเหล็กสิ้นชีวิต ปีศาจก็ยังคงติดอยู่บนต้นไม้ และเรื่องราวของเขาก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานกันในหมู่บ้านและทั่วแคว้น ว่าแม้ปีศาจจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่หากมนุษย์มีสติ ไหวพริบ และความกล้าหาญ ก็สามารถเอาชนะมันได้ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล่า หากเป็นบทเรียนที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับผู้ใหญ่

ฟาวสต์ : ชายผู้ทำสัญญากับปีศาจ

“ฟาวสต์ : ชายผู้ทำสัญญากับปีศาจ” เป็นนิทานคลาสสิกจากยุโรปที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวรรณกรรม ศิลปะ และปรัชญาตะวันตก เรื่องนี้ปรากฏครั้งแรกในหนังสือชื่อ Historia von D. Johann Fausten หรือที่รู้จักกันในชื่อ Faustbuch (1587) ซึ่งตีพิมพ์ในเยอรมนีโดยผู้เรียบเรียงนิรนาม และต่อมาได้รับการแปลและดัดแปลงโดยนักเขียนระดับโลก เช่น Christopher Marlowe และ Johann Wolfgang von Goethe นิทานเรื่องนี้เล่าถึงนักปราชญ์ผู้แสวงหาความรู้เหนือธรรมชาติจนยอมแลกวิญญาณกับปีศาจ เป็นเรื่องที่ทั้งสะเทือนใจและชวนครุ่นคิด ถูกเล่าขานและตีความใหม่ในหลากหลายยุคสมัย

นักวิจารณ์และนักวิชาการมองว่า “ฟาวสต์” เป็นนิทานปรัชญาที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างปัญญาและศีลธรรม หลายคนตีความว่าเรื่องนี้เป็นคำเตือนต่อการหลงใหลในอำนาจและความรู้ที่ปราศจากคุณธรรม ในขณะที่บางกลุ่มมองว่าเป็นบทสนทนาเชิงศาสนาเกี่ยวกับการไถ่บาปและเสรีภาพในการเลือกของมนุษย์ ไม่ว่าจะมองจากมุมใด นิทานเรื่องนี้ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ทรงพลังที่สุดในวรรณกรรมยุโรป และเป็นต้นแบบของ “นิทานสอนใจ” ที่มีความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณ

เวอร์ชั่นที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ “นิทานนำบุญ” นี้ ได้รับการเรียบเรียงใหม่โดยยึดตามโครงเรื่องดั้งเดิมจาก Faustbuch (1587) อย่างเคร่งครัด โดยปรับภาษาให้ร่วมสมัยและเหมาะสมกับผู้อ่านทุกวัย เราเน้นการรักษาเจตนารมณ์ของต้นฉบับ ทั้งในด้านศีลธรรม ความรู้สึก และโครงสร้างเหตุการณ์ เพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับแก่นแท้ของเรื่องอย่างแท้จริง สำหรับท่านที่สนใจอ่านฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาได้จากแหล่งออนไลน์ เช่นโครงการ Gutenberg หรือหอสมุดดิจิทัลของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยใช้คำค้นว่า “Faustbuch 1587 full text” หรือ “Historia von D. Johann Fausten”

ในแคว้นเยอรมันอันเงียบสงบ มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อ “ฟาวสต์” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รู้แห่งยุค เขาเชี่ยวชาญทั้งปรัชญา เทววิทยา การแพทย์ และกฎหมาย ไม่มีศาสตร์ใดที่เขาไม่เข้าใจ แต่แม้จะมีความรู้มากมาย เขากลับรู้สึกว่างเปล่าในจิตใจ เพราะสิ่งที่เขาแสวงหาไม่ใช่เพียงความรู้ แต่คืออำนาจเหนือธรรมชาติ และความลับของจักรวาลที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึง

แม้ฟาวสต์จะได้รับการยกย่องจากผู้คนว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความกระหายที่ไม่อาจดับได้ เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับศาสตร์ของมนุษย์ที่วนเวียนอยู่กับความรู้ซ้ำซากและข้อจำกัด เขาเชื่อว่ามีพลังบางอย่างที่เหนือกว่าตำรา พลังที่สามารถเปิดเผยความลับของธรรมชาติและจักรวาล เขาจึงหันไปศึกษาวิชาเวทมนตร์และการเรียกวิญญาณ ซึ่งเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่นักบวชและผู้มีศีลธรรมต่างพากันสาปแช่ง

เมื่อฟาวสต์หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ต้องห้าม เขาเริ่มค้นหาวิธีเรียกวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้เหนือธรรมชาติ วันหนึ่ง เขาพบตำราเก่าแก่ที่กล่าวถึง “วิธีเรียกปีศาจรับใช้” โดยต้อง “เขียนวงไสยเวทย์” ที่พื้นตามแบบแผนโบราณ และท่องถ้อยคำเฉพาะในคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง ฟาวสต์เชื่อมั่นในสิ่งที่อ่าน เขาเตรียมทุกอย่างตามตำรา เทียนสี่เล่ม สมุดหนังสัตว์ และขนนกสำหรับเซ็นสัญญา

ในคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง ฟาวสต์เขียนวงไสยเวทย์ลงบนพื้นหินของห้องใต้ดินตามแบบแผนในตำรา เขาจุดเทียนสี่เล่มตามทิศ และท่องถ้อยคำเรียกวิญญาณด้วยเสียงหนักแน่น เมื่อถ้อยคำสุดท้ายหลุดจากปาก วงไสยเวทย์ก็เริ่มเรืองแสงอ่อน ๆ ลมเย็นพัดผ่านทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องลม และเงาดำก็ปรากฏขึ้นกลางวงเวทมนตร์อย่างช้า ๆ ก่อนที่จะกลายเป็นร่างของปีศาจตนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่ ผิวคล้ำ ดวงตาแดงเรืองแสง และมีรอยยิ้มที่เย็นชา

ปีศาจที่ปรากฏตัวในวงไสยเวทย์แนะนำตนว่ามันชื่อ “เมฟิสโตเฟลิส” ฟาวสต์ถามมันว่า หากเขายอมมอบวิญญาณให้ปีศาจ เขาจะได้รับสิ่งใดตอบแทน เมฟิสโตเฟลิสตอบว่า เขาจะได้รับความรู้เหนือมนุษย์ ได้รับอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ และได้สัมผัสความสุขในโลกนี้เป็นเวลา 24 ปี แต่หลังจากนั้น วิญญาณของเขาจะเป็นของนรกตลอดกาล ฟาวสต์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายอมแลก”

เมื่อฟาวสต์ตกลงรับข้อเสนอ เมฟิสโตเฟลิสได้ยื่นแผ่นสัญญาให้เขา เป็นหนังสัตว์เก่าแก่ที่จารึกถ้อยคำโบราณไว้ด้วยหมึกสีดำ ฟาวสต์ต้องเซ็นชื่อด้วยเลือดของตนเองตามธรรมเนียมของนรก เขาจึงกรีดนิ้วด้วยมีดเล่มเล็ก หยดเลือดลงบนปลายขนนก และเขียนชื่อของตนลงบนสัญญาอย่างมั่นคง เมื่อเขาเซ็นเสร็จ เมฟิสโตเฟลิสกล่าวว่า “จากนี้ไป ข้าจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้าในโลกนี้…แต่เมื่อครบกำหนด 24 ปี วิญญาณของเจ้าจะเป็นของข้าโดยไม่มีข้อแม้”

เมื่อสัญญาเริ่มมีผล เมฟิสโตเฟลิสกลายเป็นผู้ติดตามของฟาวสต์ในทุกการเดินทาง มันพาฟาวสต์ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ฟาวสต์ใช้เวทมนตร์เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน เช่น การเรียกไฟจากอากาศ เปลี่ยนโลหะเป็นทองคำ เสกอาหารและเครื่องดื่มขึ้นจากความว่างเปล่า ผู้คนต่างตกตะลึงและยกย่องเขาว่าเป็นผู้วิเศษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังนั้นคือสัญญากับนรก

เมื่อฟาวสต์ได้รับอำนาจจากสัญญา เขาเริ่มใช้เวทมนตร์เพื่อสนองความปรารถนาของตนโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม เขาเสกภาพลวงตาเพื่อหลอกลวงหญิงสาวให้หลงใหลในรูปลักษณ์และวาจาอ่อนหวานของเขา หลายคนถูกล่อลวงด้วยความมั่งคั่งและความรู้ที่เขาแสดงออก แต่เมื่อความจริงปรากฏ พวกเธอก็ถูกทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ฟาวสต์ไม่รู้สึกผิด เขาเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเครื่องมือในการเติมเต็มความอยากของตน

ชื่อเสียงของฟาวสต์แพร่ไปถึงหูของเจ้านายและขุนนางในหลายแคว้น เขาได้รับเชิญเข้าสู่ราชสำนักเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้ากษัตริย์และเหล่าขุนนางผู้ทรงอำนาจ เมฟิสโตเฟลิสช่วยเขาเสกภาพลวงตาอันน่าตื่นตะลึง เช่น ปราสาทลอยฟ้า เหล่าสตรีงามจากยุคโบราณ และสัตว์ประหลาดในตำนาน ผู้ชมต่างพากันปรบมือและถวายเกียรติแก่เขาอย่างสูงสุด ฟาวสต์ยิ้มรับคำสรรเสริญ แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่า เพราะทุกสิ่งที่เขาแสดงออกนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นของจริง

ฟาวสต์มิได้พึงพอใจเพียงการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อผู้คน เขาเริ่มใช้เวทมนตร์เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเข้าถึง ทั้งเมืองลับในหุบเขา ปราสาทโบราณในตำนาน และแม้แต่ภาพลวงตาของอดีตกาล เขาเสกตนเองให้ปรากฏตัวในยุคของเฮเลนแห่งทรอย เพื่อชื่นชมความงามที่เล่าขานกันมานาน เมฟิสโตเฟลิสเป็นผู้เปิดประตูแห่งกาลเวลาให้เขา แต่ทุกการเดินทางกลับทำให้ฟาวสต์ยิ่งห่างไกลจากความจริง และใกล้ชิดกับความหลงใหลที่ไม่มีวันเติมเต็ม

เมื่อเวลาผ่านไป ฟาวสต์ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ เขาเสพสุขจากทรัพย์สมบัติที่เสกขึ้นจากเวทมนตร์ ดื่มกินอย่างไม่รู้จักพอ และล่อลวงผู้คนด้วยภาพลวงตา เขาได้รับการยกย่องจากผู้มีอำนาจ ได้รับของขวัญและตำแหน่งในราชสำนัก แต่ในยามค่ำคืน เมื่ออยู่เพียงลำพัง เขากลับรู้สึกว่างเปล่าและไร้ความหมาย เพราะทุกสิ่งที่เขาสร้างขึ้นไม่มีราก ไม่มีความจริง และไม่มีความรักที่แท้จริง

เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสอง ฟาวสต์เริ่มรู้สึกถึงเงาแห่งคำสัญญาที่ตามหลอกหลอน เมฟิสโตเฟลิสไม่กล่าวอะไรตรง ๆ แต่เริ่มปรากฏตัวบ่อยขึ้นในยามค่ำคืน บางครั้งมันยืนอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง บางครั้งเพียงส่งสายตาเตือน ฟาวสต์เริ่มฝันร้าย เห็นตนเองถูกลากลงสู่เหวลึก เห็นเปลวไฟล้อมรอบ และเสียงหัวเราะของปีศาจดังก้องในหัว เขาตื่นขึ้นด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ แต่ไม่กล้าบอกใครถึงสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา

เมื่อเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสาม ฟาวสต์เริ่มหวาดกลัวต่อสิ่งที่เขาเคยยอมแลก เขาเปิดตำราเก่า พยายามค้นหาวิธีลบล้างสัญญา หรือหาทางไถ่บาปด้วยการทำบุญและสวดมนต์ แต่ทุกถ้อยคำในสัญญานั้นชัดเจน ไม่มีช่องว่าง ไม่มีเงื่อนไขให้หลบหนี เมฟิสโตเฟลิสเตือนเขาว่า “เจ้าคือผู้เลือกเอง ไม่มีใครบังคับ” ฟาวสต์เริ่มหลีกเลี่ยงเวทมนตร์ ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อีก และใช้ชีวิตอย่างเงียบงัน แต่เงาแห่งคำสัญญายังคงตามหลอกหลอนเขาไม่หยุด

เมื่อเข้าสู่ปีสุดท้ายของสัญญา ฟาวสต์เริ่มถอนตัวจากสังคม เขาไม่เดินทาง ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อีก และใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องหนังสือเก่าที่เคยเป็นที่พักพิงของความรู้ เขาเปิดพระคัมภีร์ พยายามสวดมนต์และขออภัยจากพระเจ้า แต่ทุกครั้งที่เขาเอ่ยคำสวด เมฟิสโตเฟลิสจะปรากฏขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเย็นชา “สายไปแล้ว ฟาวสต์” มันกล่าว “เจ้าคือผู้เลือกข้า ไม่ใช่พระเจ้า” ฟาวสต์หลับตาแน่น เขารู้ดีว่าไม่มีทางหนีจากสิ่งที่เขาเคยยอมแลก

คืนสุดท้ายมาถึงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ฟาวสต์รู้ดีว่าเวลาของเขาหมดลงแล้ว เขาจุดเทียนสี่เล่มในห้องหนังสือ นั่งลงกลางวงไสยเวทย์ที่เคยใช้เรียกเมฟิสโตเฟลิส และเฝ้ารอด้วยใจที่หนักอึ้ง เขาไม่ได้สวดมนต์ ไม่ร้องขอ ไม่ต่อรองอีกต่อไป เพียงนั่งเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดที่ค่อย ๆ มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ เสียงลมพัดแรงทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องลม และกลิ่นกำมะถันเริ่มลอยคลุ้งในอากาศ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้รับสัญญากำลังมา

เมื่อเที่ยงคืนมาถึง เมฟิสโตเฟลิสปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ในร่างของผู้รับใช้ แต่ในรูปลักษณ์ที่แท้จริงของปีศาจแห่งนรก มันไม่ได้พูดคำใด เพียงยื่นมือออกไปหา ฟาวสต์ที่นั่งอยู่กลางวงไสยเวทย์ ร่างของฟาวสต์เริ่มสั่น เสียงฟ้าร้องกึกก้องทั่วฟ้า ประตูหน้าต่างเปิดออกเอง ลมแรงพัดกระหน่ำ เทียนทั้งสี่เล่มดับลงพร้อมกัน เงาดำล้อมรอบตัวเขาเหมือนเถาวัลย์ที่ไม่มีวันปล่อย

เสียงกรีดร้องของฟาวสต์ดังก้องไปทั่วห้อง เสียงฟ้าร้องและลมกรรโชกแรงทำให้บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน ผู้คนในละแวกนั้นต่างตื่นขึ้นด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดู เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อประตูถูกเปิดออก ทุกสิ่งในห้องหนังสือถูกรื้อกระจัดกระจาย รอยเลือดเปื้อนพื้นหิน และไม่มีร่องรอยของฟาวสต์หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงแผ่นสัญญาที่ถูกฉีกครึ่ง และกลิ่นกำมะถันที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ

ข่าวการหายตัวไปของฟาวสต์แพร่กระจายไปทั่วเมือง ผู้คนต่างพูดถึงเสียงกรีดร้องในคืนสุดท้าย รอยเลือด และกลิ่นกำมะถันที่ยังไม่จางหาย หลายคนเชื่อว่าเขาถูกปีศาจพรากไปตามสัญญาที่เขาเคยเซ็นไว้ เรื่องราวของฟาวสต์กลายเป็นคำเตือนที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านและนักปราชญ์ ว่าอย่าได้หลงใหลในอำนาจหรือความรู้ที่ปราศจากศีลธรรม เพราะแม้จะได้ทุกสิ่งในโลกนี้ แต่หากต้องแลกด้วยวิญญาณ สิ่งนั้นอาจไม่คุ้มค่าเลย

เรื่องราวของฟาวสต์ถูกบันทึกไว้ในตำราและคำบอกเล่าของผู้รู้ เพื่อเตือนใจผู้ที่แสวงหาความรู้และอำนาจโดยไม่ตั้งอยู่บนคุณธรรม ว่าการแลกสิ่งสูงส่งอย่างวิญญาณเพื่อความสุขชั่วคราวนั้น ย่อมนำมาซึ่งความพินาศในที่สุด ฟาวสต์มิใช่เพียงนักปราชญ์ผู้หลงผิด แต่เป็นภาพสะท้อนของมนุษย์ที่ลืมตน ลืมพระเจ้า และลืมความหมายแท้จริงของชีวิต เรื่องนี้จึงมิใช่เพียงนิทาน หากเป็นคำเตือนที่ก้องอยู่ในกาลเวลา

ฟาวสต์คือภาพแทนของมนุษย์ผู้แสวงหาความรู้และอำนาจโดยปราศจากการยึดมั่นในคุณธรรม เขาเลือกเส้นทางที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน เรื่องราวของเขาจึงมิใช่เพียงนิทาน หากเป็นคำเตือนที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง ว่าแม้มนุษย์จะมีปัญญาและความสามารถเพียงใด หากขาดความสำนึกในสิ่งที่ดีงาม ก็อาจกลายเป็นเหยื่อของความหลงใหล และถูกกลืนหายไปในเงามืดของสิ่งที่ตนเองเลือก