Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

หักเหลี่ยมพ่อค้าเร่

นิทานก่อนนอนเรื่อง “หักเหลี่ยมพ่อค้าเร่” เป็นนิทานที่มีคติสอนใจเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในลักษณะของนิทานโบราณ โดยจินตนาการให้บรรยากาศมีลักษณะเป็นดินแดนแถบอาหรับ (หรือดินแดนในแถบนั้น) หวังว่าเรื่องราวและข้อคิดของนิทานเรื่องนี้จะถูกใจเด็ก ๆ นะครับ

นิทานเรื่อง หักเหลี่ยมพ่อค้าเร่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีชายสูงวัยคนหนึ่งชื่อว่า “นาฮิม”  นาฮิมเป็นพ่อค้าเร่ผู้มีจิตใจดีงาม  เขามักคัดเลือกสินค้าดี ๆ แล้วนำใส่เกวียนไปขายยังหมู่บ้านต่าง ๆ โดยบวกกำไรเพิ่มเพียงแค่เล็กน้อย  ลูกค้าทั้งหลายจึงมีความสุขที่ได้ซื้อของดีสมราคาจากพ่อค้าผู้ซื่อสัตย์อย่างนาฮิม

เมื่อนาฮิมมีอายุมากขึ้น  เขาปรารถนาให้ลูกชายเป็นพ่อค้าเร่สืบต่อจากเขา  แต่เนื่องจากลูกชายของนาฮิมซึ่งมีชื่อว่านาธานไม่ชอบวิธีค้าขายแบบตรงไปตรงมาของพ่อ  นาธานจึงขอแยกไปเร่ขายสินค้าตามลำพังและขอทำการค้าด้วยวิธีที่เขาคิดว่าน่าจะทำกำไรได้มากกว่า

วิธีที่นาธานเลือกใช้คือการนำสินค้าคุณภาพดีมาจัดเรียงให้ลูกค้าเห็น พร้อมกับตั้งราคาขายที่ถูกแสนถูก  แต่เมื่อลูกค้าชำระเงิน  นาธานก็จะแอบสับเปลี่ยนเอาสินค้าปลอมใส่ห่อให้ลูกค้าแทน   ลูกค้าส่วนใหญ่มักหลงกลซื้อของไปโดยไม่ทันสังเกต  และกว่าที่พวกเขาจะรู้ตัว นาธานก็เคลื่อนเกวียนออกจากหมู่บ้านแห่งนั้นไปเสียแล้ว 

กลโกงของนาธานทำให้เขาได้กำไรมากมายมหาศาล  แม้นาฮิมจะเตือนลูกชายให้เลิกการหลอกลวงผู้คนแล้วหันมาค้าขายอย่างสุจริต  แต่นาธานกลับไม่สนใจฟัง  เพราะเขาเชื่อว่าตนเองมีพรสวรรค์ในการค้าขายที่เหนือกว่าพ่อหลายเท่าตัวนัก

หลังจากที่นาธานเที่ยวหลอกลวงชาวบ้านไปทั่วทุกสารทิศ   ผู้คนทั้งหลายจึงพากันไปร้องเรียนต่อนายอำเภอเพื่อให้นายอำเภอช่วยจัดการพ่อค้าเจ้าเล่ห์อย่างนาธานให้เข็ดหลาบ แต่ทันทีที่นายอำเภอเชิญตัวนาธานไปพบ  แทนที่นาธานจะขอโทษหรือรู้สึกสำนึกผิด  เขากลับกล่าวหาว่าชาวบ้านไม่รู้จักตรวจดูสินค้าให้ดีเสียก่อน เพราะสินค้าที่ถูกและดีไม่มีในโลก การซื้อของราคาถูก แล้วพบว่าเป็นของปลอมหรือมีตำหนิจึงเป็นเรื่องธรรมดา คนซื้อไม่รู้จักตรวจดูสินค้าให้ดีเอง  ดังนั้น ชาวบ้านจึงไม่ควรมากล่าวโทษตัวเขาดังเช่นที่เป็นอยู่!

นายอำเภอและชาวบ้านต่างเอือมระอาในความเห็นแก่ได้ของนาธานจนพูดไม่ออก เมื่อนาธานกลับไปแล้ว  นาฮิมที่แอบตามมาดูลูกชายจึงออกมาขอโทษทุก ๆ คนพร้อมกับสัญญาว่าเขาจะรีบหาวิธีดัดนิสัยลูกชายเจ้าเล่ห์ของเขาเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นอีก

หลายวันต่อมา  นาฮิมเริ่มแผนของเขาด้วยการแอบเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งก่อนที่นาธานจะไปถึง  จากนั้น  พ่อค้าผู้ซื่อสัตย์ก็นำเงินที่ติดตัวไปด้วยแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านที่คุ้นเคยกัน แล้วขอร้องให้ชาวบ้านเหล่านั้นช่วยทำตามแผนที่เขาวางเอาไว้

เมื่อนาธานเดินทางไปถึงหมู่บ้าน  ชาวบ้านที่ได้รับเงินจากนาฮิมก็พากันมารุมซื้อสินค้าที่นาธานนำมาขาย  เพียงครู่เดียว…นาธานก็ขายสินค้าได้จนหมด  พ่อค้าเจ้าเล่ห์ดีใจมาก  เขารีบหอบเงินทั้งหมดกลับบ้าน แล้วเตรียมนับเงินที่ได้มาอย่างมีความสุข  

แต่อนิจจา…ในขณะที่นาธานนับเงินไปได้สักพัก  นาธานก็เริ่มสังเกตเห็นว่า เงินส่วนใหญ่ที่เขาได้รับมีลักษณะแตกต่างจากเงินปกติ และเมื่อเขาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนเขาก็พบว่าเงินเหล่านั้นเป็นเงินปลอมเกือบทั้งหมด!

นาธานทั้งตกใจทั้งโมโห  เขารีบนำเรื่องไปแจ้งนายอำเภอเพื่อให้นายอำเภอจับชาวบ้านมาลงโทษ  แต่เมื่อนายอำเภอซึ่งรู้แผนการของนาฮิมได้ฟังคำร้องของนาธาน  นายอำเภอจึงบอกกับนาธานว่า การได้เงินปลอมจากการขายสินค้าปลอมก็เป็นเรื่องที่สมกันดีอยู่แล้ว  คนขายไม่รู้จักตรวจดูเงินที่ได้รับให้ดีเอง  ดังนั้น นาธานจึงไม่ควรมากล่าวโทษชาวบ้านเช่นนี้

เมื่อนาธานได้ฟังคำตัดสินของนายอำเภอ  เขาก็ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  ครั้นเมื่อนาฮิมเห็นว่าลูกชายจนมุม  นาฮิมจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วสั่งสอนลูกชายให้ได้คิดว่า  “การซื้อขายสินค้านั้น  เราต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  ลูกไม่ชอบเงินปลอมฉันท์ใด  ชาวบ้านก็ไม่ชอบสินค้าปลอมฉันท์นั้น ถ้าคนซื้อและคนขายเห็นอกเห็นใจกันและซื่อสัตย์ต่อกัน  ทุกคนก็จะมีแต่ความสุข”

หลังจากที่นาธานได้ฟังคำสอนของพ่อ  นาธานก็สำนึกผิดและเข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่ถูกเอาเปรียบอย่างถ่องแท้  ด้วยเหตุนี้เอง  นาธานจึงสัญญากับนาฮิมและนายอำเภอว่าเขาจะปรับปรุงตัวเสียใหม่โดยไม่ใช้กลโกงใด ๆ ในการค้าขายอีก  

นาธานตั้งใจทำตามคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้อย่างเต็มที่  แม้ในช่วงแรกชาวบ้านจะไม่ไว้ใจเขาสักเท่าไร  แต่หลังจากที่นาธานพยายามใช้ความจริงใจและซื่อสัตย์ในการขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง  ในที่สุด  ทุก ๆ คนจึงให้อภัยและยอมมาซื้อของกับเขาอีกครั้ง   

นาฮิมดีใจมากที่ลูกชายกลับตัวเป็นพ่อค้าที่ดีได้สำเร็จ  ส่วนนาธานก็ดีใจที่เขามีพ่อเป็นต้นแบบที่ดีในการดำเนินชีวิต

#นิทานนำบุญ

……………………..

หมายเหตุ : ถ้ายังอ่านนิทานไม่จุใจ ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ดูนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อค้าเหมือนกัน 🙂

https://bit.ly/3nttSH3

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์

นิทานเรื่อง ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีหญิงชราผู้หนึ่งมีลูกชาย 3 คน เมื่อลูกชายทั้งสามถึงวัยที่ต้องออกไปหางานทำ หญิงชราจึงอวยพรให้ลูก ๆ โชคดีและสอนให้ทุกคนยึดถือความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง

หลังจากที่สามพี่น้องล่ำลาแม่แล้ว พวกเขาก็พากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองใหญ่ซึ่งน่าจะมีงานดี ๆ รอพวกเขาอยู่  ครั้นเมื่อสามพี่น้องมาถึงหน้าร้านอาหารหรูหราและเห็นป้ายประกาศรับสมัครพ่อครัว พี่น้องทั้งสามซึ่งพอทำอาหารเป็นอยู่บ้างจึงตัดสินใจเข้าไปสมัครงานอย่างไม่รอช้า

ในการสัมภาษณ์งาน  เจ้าของร้านถามหนุ่มน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กว่า “เจ้าทำอาหารแบบชาววังได้ไหม”  หนุ่มน้อยเป็นคนซื่อสัตย์ เขาจึงตอบตามจริงว่า “ผมทำไม่ได้”  

ฝ่ายพี่ชายคนรองนั้น  แม้เขาจะอยากได้งาน  แต่เขาก็ยังละอายต่อการพูดปด  ชายหนุ่มจึงตอบตามความเป็นจริงว่า “ผมเองก็ทำไม่ได้ ” 

ครั้นพี่ชายคนโตที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าน้อง เห็นว่าน้อง ๆ พูดความจริงแล้วไม่ได้งาน  เขาจึงโกหกว่าเขาทำอาหารแบบชาววังได้สบายมาก ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ใหญ่จึงได้ทำงานเป็นพ่อครัวสมดังหวัง

เมื่อพี่ชายคนโตได้งานไปแล้ว  สองพี่น้องที่เหลือจึงพากันเดินทางต่อ  ไม่นานนัก พวกเขาก็พบประกาศรับสมัครคนเลี้ยงม้าติดอยู่ที่หน้าบ้านของเศรษฐี  สองพี่น้องเคยเลี้ยงม้ามาบ้าง  ทั้งคู่จึงรีบเข้าไปสมัครงานทันที

ในการสัมภาษณ์งาน  เศรษฐีเจ้าของบ้านสอบถามน้องคนเล็กว่า “เจ้าขี่ม้าแข่งเป็นไหม” ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์จึงตอบตามจริงว่า “ผมขี่ม้าแข่งไม่เป็น…เคยแต่ขี่เล่น ๆ เท่านั้น”

ฝ่ายพี่ชายคนรองที่เห็นพี่ชายคนโตโกหกแล้วได้งานทำจึงพูดแทรกไปว่า “แต่ผมขี่ม้าแข่งได้สบายมาก”  ด้วยเหตุนี้  พี่ชายคนรองจึงได้งานเป็นคนขี่ม้าแข่งในบ้านเศรษฐี

เมื่อพี่ทั้งสองคนต่างได้งานกันไปหมดแล้ว  น้องชายคนเล็กจึงเริ่มลังเลใจว่า  เขาควรพูดความจริงตามที่แม่สอนหรือโกหกพกลมตามแบบที่พี่ชายทั้งสองทำ 

น้องชายคนเล็กหางานต่อไปอีกหลายแห่ง  โดยเขายังคงพูดแต่ความจริงเท่านั้น  ซึ่งผลสุดท้าย…เขาก็ไม่ได้งานเลยแม้แต่ที่เดียว

ในขณะที่ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์กำลังสับสน  เขาก็บังเอิญพบประกาศรับสมัครยามเฝ้าประตูแปะอยู่ที่หน้าพระราชวังของพระราชา  ชายหนุ่มเห็นว่าการเป็นยามคงไม่ยาก และหากเขาโกหกสักหน่อย  เขาก็คงได้งานเหมือนกับพี่ชายทั้งสอง  ชายหนุ่มจึงรีบเข้าไปสมัครงานทันที

ในท้องพระโรงของพระราชา  มีผู้คนมากหน้าหลายตามารอสมัครงานเป็นแถวยาวเหยียด  เมื่อเสนาบดีสัมภาษณ์ผู้สมัครแต่ละคนว่า “เจ้าอดทนไม่หลับไม่นอนอยู่ยามได้นานแค่ไหน”  ผู้สมัครแต่ละคนต่างก็คุยฟุ้งว่าตนเองอดนอนได้นานกว่าคนก่อนหน้า แถมบางคนยังคุยโวว่าตัวเขาอดนอนได้นานถึง 365 วันเลยทีเดียว

ครั้นเมื่อถึงคราวของชายหนุ่ม  เมื่อเสนาบดีถามเขาว่าเขาอดนอนได้นานแค่ไหน  แม้ในตอนแรกเขาคิดจะโกหกตามแบบที่พี่ชายทั้งสองได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น เสียงของแม่ที่ย้ำเตือนให้เขายึดถือความซื่อสัตย์ก็ดังแว่วขึ้นในใจ ดังนั้น แทนที่เขาจะโกหกว่าตนเองอดนอนได้ยาวนานกว่าคนอื่น  เขากลับพูดความจริงว่า “ผมอดนอนได้ไม่น่าเกิน 2 คืน แต่ถ้าได้ทำงานเป็นยาม ผมก็จะอดทนอยู่ยามให้ดีที่สุด จะไม่ยอมละเลยหน้าที่โดยเด็ดขาด”

หลังจากตอบคำถามไปแล้ว  ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงไม่ได้งานอีกเช่นเคย  แต่ผิดถนัด…เสนาบดีกลับยิ้มแล้วประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ชายหนุ่มผู้ซื่อตรงคนนี้เหมาะสมที่จะได้เป็นยามเฝ้าประตูห้องบรรทมของพระราชามากที่สุด  เพราะความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานสำคัญของทหารยามที่พระราชาต้องการ

ชายหนุ่มดีใจมากที่เขาได้ทำงานรับใช้พระราชาในวังหลวง  การเชื่อฟังคำสอนของแม่ส่งผลให้เขาได้ทำงานที่มีเกียรติอย่างไม่คาดฝัน  ส่วนพี่ชายทั้งสองคนของเขานั้น หลังจากที่พวกเขาทำงานได้ไม่นาน  นายจ้างก็รู้ว่าพวกเขาโกหกและต้องถูกไล่ออกจากงาน เพราะไม่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ดังคำที่แม่พร่ำสอน

#นิทานนำบุญ