Posted in นิทานตลกก่อนนอน, นิทานพื้นบ้าน, นิทานสอนใจ

นิทานญี่ปุ่น สามคนร้องไห้ : เรื่องเล่าพื้นบ้านสอนใจพร้อมข้อคิด

นิทานเรื่อง “สามคนร้องไห้” เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ที่เล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนานในหมู่ชาวบ้าน แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้แต่งคนใด แต่เนื้อหาของเรื่องสะท้อนอารมณ์ขันและมุมมองชีวิตแบบเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์ของนิทานญี่ปุ่น ซึ่งมักเล่าถึงคนธรรมดาในชีวิตประจำวัน ผ่านเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่กลับสร้างเสียงหัวเราะและข้อคิดที่น่าจดจำ

เสน่ห์ของนิทานประเภทนี้อยู่ที่การใช้ ความเข้าใจผิดและการกระทำเกินเหตุ มาสร้างความสนุกสนานและแฝงข้อคิดให้ผู้อ่านได้เห็นว่า บางครั้งความเศร้าเสียใจหรือความกังวลอาจไม่ได้มีเหตุผลที่แท้จริงเสมอไป แต่เป็นเพียงการ “เผลอไหลตามอารมณ์” เท่านั้น นิทานแนวนี้จึงไม่ได้มุ่งสอนตรง ๆ แต่ใช้เหตุการณ์ชวนขำขันให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ว่า ก่อนจะเชื่อหรือตัดสินสิ่งใด ควรหยุดคิดและมองให้ชัดเจนก่อน

สำหรับเวอร์ชันที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ ได้นำมาเรียบเรียงใหม่นี้ เราตั้งใจถ่ายทอดด้วยภาษาที่อ่านง่าย เห็นภาพ และเข้าใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เนื้อเรื่องยังคงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม แต่เพิ่มเติมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวละครมีมิติและบรรยากาศชัดเจนขึ้น ทำให้นิทานเรื่อง “สามคนร้องไห้” เวอร์ชันนี้ ไม่เพียงแต่สร้างรอยยิ้ม แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณและมองโลกด้วยความเข้าใจมากขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณยายคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ตามลำพัง เพราะลูกชายคนเดียวไปทำงานอยู่ในเมืองที่ห่างไกล

วันหนึ่ง มีจดหมายจากลูกชายของคุณยายส่งมา คุณยายดีใจมาก แต่เพราะคุณยายไม่รู้หนังสือ จึงอ่านจดหมายไม่ได้ พอดีก็ซามูไรคนหนึ่งเดินผ่านมา คุณยายจึงขอร้องให้ซามูไรอ่านจดหมายให้ฟ้ง

“นี่ ๆ ท่านซามูไร ข้าได้รับจดหมายจากลูกชาย แต่ข้าไม่รู้หนังสือ ช่วยอ่านจดหมายให้ข้าทีเถอะ”

คุณยายยื่นจดหมายให้ซามูไร ซามูไรก้มมองจดหมาย สักครู่หนึ่ง เขาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

คุณยายตกใจจึงรีบถามซามูไรว่า “มีข่าวร้ายเขียนไว้เหรอ ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็รับได้ กรุณาอ่านให้ข้าฟังด้วย”

แต่ซามูไรเอาแต่ร้องไห้โดยไม่ยอมปริปากพูด

“มันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากแน่ ๆ” คุณยายคิด จากนั้น คุณยายก็เริ่มร้องไห้บ้าง

ในขณะนั้นเอง มีคนขายหม้อดินคนหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อคนขายหม้อดินเห็นซามูไรและคุณยายกำลังร้องไห้ เขาจึงถามคุณยายว่า “ท่านทั้งสองเป็นอะไรไปเหรอ”

ซามูไรกับคุณยายไม่ตอบ คนขายหม้อดินเห็นจดหมาย จึงหยิบมาดู จากนั้น เขาก็เริ่มร้องไห้

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างแปลกใจที่่เห็นคนทั้งสามร้องไห้ ผู้คนจึงพากันมามุง แล้วถามไถ่ว่า “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ถ้าลำบากหรือติดขัดตรงไหน พวกเราจะช่วยเอง”

คนขายหม้อดินจึงพูดว่า “เมื่อปีก่อน ข้าไปขายหม้อดิน ระหว่างทาง ข้าหกล้มทำให้หม้อดินแตกหมด ข้าเสียใจมาก แต่ก็ยุ่งมากจนลืมร้องไห้ พอมาเห็นสองคนนี้ร้องไห้ ข้าจึงนึกขึ้นได้ถึงความเสียใจที่ข้าลืมไปแล้ว ดังนั้น ข้าก็เลยร้องไห้ยังไงล่ะ”

“อะไรนะ ร้องไห้ด้วยเหตุแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ” ผู้คนมองคนขายหม้อดินด้วยความระอาใจ จากนั้น พวกเขาก็ถามคุณยายว่า “แล้วคุณยายร้องไห้ทำไม”

คุณยายกลั้นน้ำตา แล้วตอบไปว่า “ในตอนแรก ข้าได้จดหมายจากลูกชายที่ไปทำงานในที่ที่ไกลมาก แต่ข้าอ่านหนังสือไม่ออก เลยให้ซามูไรท่านนี้อ่านให้ แต่พอซามูไรท่านนี้ก้มมองจดหมายได้ครู่เดียว ท่านซามูไรก็ร้องไห้ ข่าวคราวในจดหมายต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ ๆ พอคิดแบบนั้น ข้าก็เลยกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่”

“อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ผู้คนทั้งหลายเพิ่งเข้าใจ จากนั้น พวกเขาก็พูดกับซามูไรว่า “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ท่านซามูไรช่วยหยุดร้องไห้เถิด แล้วบอกคุณยายกับพวกเราให้รู้หน่อยว่า ในจดหมายเขาเขียนว่าอะไรบ้าง”

ซามูไรปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองมายังทุก ๆ คน จากนั้น เขาก็บอกว่า “ที่ข้าร้องไห้ ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวคราวในจดหมาย แต่พอดีข้านึกถึงสมัยที่ข้ายังเด็ก ตอนเด็ก…ข้ายังอ่านหนังสือไม่ได้เพราะเป็นคนที่ไม่ขยันเรียน ตอนนั้นข้าจำได้ว่า..ข้าเจ็บใจที่ตัวเองอ่านหนังสือไม่ได้ พอนึกถึงความหลังก่อนที่จะมาขยันเรียนหนังสือ ข้าก็เลยร้องไห้ออกมา”

“อะไรนะ ร้องไห้ด้วยเหตุแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ” ทุกคนทำหน้าระอาใจ

ซามูไรหัวเราะแหะ ๆ จากนั้น เขาก็อ่านจดหมายของลูกชายคุณยายให้คุณยายฟังว่า “ลูกสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ใกล้จะได้กลับบ้านในเร็ววันนี้แล้ว แล้วจะหาของไปฝากแม่ด้วยนะ”

ในที่สุด เรื่องราวก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

  • ก่อนจะเศร้าหรือกังวลในเรื่องใด ๆ ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน
  • บางครั้งอารมณ์ก็ทำให้เราคิดปรุงแต่งหรือตัดสินใจผิดโดยไม่มีเหตุผลรองรับ
  • การมีสติไตร่ตรอง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่หลงเชื่อหรือเข้าใจผิดอะไรง่าย ๆ
Posted in #นิทานตลก, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

บทสวดหนู – นิทานญี่ปุ่นก่อนนอนแสนสนุก

“บทสวดหนู” (ねずみきょう – Nezumi-kyō) เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่นที่เล่าต่อกันมาในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบทที่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างพุทธศาสนาและชินโต เรื่องราวของคุณยายผู้ศรัทธาในศาสนา แม้ไม่รู้บทสวดมนต์ ก็ยังตั้งใจภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จนวันหนึ่งได้พบพระหลงทางที่จำบทสวดไม่ได้ จึงสวดมนต์ด้นสดโดยใช้เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นแรงบันดาลใจ กลายเป็นบทสวดแปลก ๆ ที่ฟังดูขบขันแต่กลับมีพลังปกป้องคุณยายจากภัยร้ายอย่างเหลือเชื่อ

จุดเด่นของนิทานเรื่องนี้อยู่ที่การผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันและความศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ ตัวละครมีความน่ารักและมีมิติ โดยเฉพาะคุณยายที่แม้จะไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง แต่กลับมีจิตใจที่เปี่ยมด้วยความตั้งมั่นและเมตตา บทสวดที่ดูไร้สาระในสายตาของบางคน กลับกลายเป็นเครื่องป้องกันภัยจากโจรผู้ไม่รู้จักธรรมะ เป็นการสะท้อนว่า “ศรัทธา” ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ความจริงใจและความตั้งใจในการปฏิบัติ

ในฉบับภาษาไทยที่เรียบเรียงใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มเติมสีสันของภาษาและอารมณ์ขันให้เหมาะกับผู้อ่านไทย โดยยังคงเคารพโครงเรื่องและเจตนารมณ์ของนิทานต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การใช้ภาษาสวดมนต์แบบด้นสดที่มีจังหวะและเสียงที่ฟังแล้วขบขัน ช่วยให้เด็ก ๆ และผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านได้หัวเราะและไตร่ตรองไปพร้อมกัน นิทานเรื่องนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการอ่านในครอบครัว หรือใช้เป็นสื่อเสริมสร้างคุณธรรมในห้องเรียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณยายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ บนภูเขาตามลำพัง คุณยายเป็นคนที่เลื่อมใสในศาสนามาก ทุกเย็น คุณยายจะนั่งพนมมืออยู่ที่หน้าหิ้งพระ ทั้ง ๆ ที่คุณยายไม่รู้จักบทสวดมนต์เลยแม้สักนิด

วันหนึ่ง มีพระ (ในศาสนาชินโต) รูปหนึ่งหลงทางผ่านมาและกำลังลำบาก พระจึงเอ่ยปากขออาศัยที่บ้านของคุณยายหนึ่งคืน เพราะการเดินทางบนภูเขาในยามดึกคงเป็นเรื่องที่อันตรายมากเกินไป

คุณยายนิมนต์พระเข้ามาในบ้านด้วยความยินดี จากนั้น คุณยายก็ขอให้พระ ช่วยสอนถ้อยคำในบทสวดมนต์ให้คุณยายได้รู้

พระหลงทางรูปนั้นเป็นผู้บวชที่มีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ใส่ใจการภาวนาหรือกิจของพระสงฆ์อย่างที่ควรปฏิบัติ พระหลงทางจึงจำบทสวดไม่ได้ ดังนั้น พระหลงทางจึงต้องทำทีไปนั่งที่หน้าหิ้งพระ แล้วหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ในขณะนั้น พระหลงทางมองเห็นหนูตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากรูที่ผนังบ้าน พระหลงทางจึงแสร้งสวดมนต์ออกมาด้วยสำเนียงการสวดแบบโบราณที่ยานคางแต่เข้มขลังว่า “นะ…..โม…..ตัส….สะ….หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ”

ทันใดนั้น หนูตัวที่สองก็โผล่ออกมาอีก พระจึงสวดมนต์ต่อไปว่า “ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ”

ฉับพลัน หนูตัวที่สามก็โผล่ออกมาอีก พระหลงทางจึงสวดมนต์ต่อไปว่า “ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่….ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ ”

เมื่อท่องบทสวดมนต์จบ 3 รอบ พระหลงทางต้องการไล่หนูเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน พระจึงตะคอกเสียงดังว่า “ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ สา……ธุ สา….ธุ สา…..ธุ”

พระหลงทางกำชับให้คุณยายสวดมนต์ตามนี้ คุณยายดีใจที่ได้รู้บทสวดมนต๋เสียที หลังจากพระลาจากไปแล้ว คุณยายจึงท่องบทสวดมนต์ทุกวันทั้งเช้าและเย็นเมื่อมาอยู่ที่หน้าหิ้งพระ

เย็นวันหนึ่ง มีโจร 3 คนแอบย่องเข้ามาที่บ้านของคุณยาย ซึ่งในขณะนั้น คุณยายกำลังท่องบทสวดมนต์อยู่ที่หน้าหิ้งพระอยู่พอดี

เมื่อโจรคนแรกชะโงกเข้าไปดูและเห็นยายนั่งหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ จู่ ๆ คุณยายที่กำลังสวดมนต์ก็เปล่งเสียงออกมาเป็นทำนองสวดซึ่งฟังดูแปลกหูและน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยว่า ” “นะ….โม….. ตัส….สะ…. หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ”

โจรทั้งแปลกใจทั้งตกใจ เขาไม่แน่ใจว่ายายที่หันหลังอยู่พูดว่าอะไร แต่ในขณะที่โจรคนที่สองชะโงกหน้าเข้ามา คุณยายก็เปล่งเสียงออกมาพอดีว่า “ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ”

โจรทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ และเมื่อโจรคนที่สามชะโงกหน้าเข้ามา คุณยายก็เปล่งเสียงออกมาพอดีว่า “ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่…..ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ ”

โจรทั้งสามคนตกใจและคิดปรุงแต่งไปว่า ยายแก่ที่อาศัยในบ้านบนภูเขาตามลำพังคนนี้ คงไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะดูเหมือนว่ายายจะมี “ตาที่สาม” อยู่ที่ด้านหลัง ทำให้เห็นว่าใครเข้ามาในบ้านบ้าง

ในขณะที่โจรทั้งสามกำลังตื่นกลัวกันอยู่นั้น คุณยายก็สวดมนต์ตามที่พระสอน โดยตะคอกเสียงดังว่า “ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ”

เมื่อโจรทั้งสามได้ฟัง พวกโจรก็ตกใจจนขาสั่น จากนั้น โจรทั้งสามก็พากันวิ่งหนีออกจากบ้านของคุณยายไปแบบไม่คิดชีวิต

ฝ่ายคุณยายซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เมื่อท่องบทสวดตามที่พระสอนแล้ว คุณยายก็ปิดท้ายการสวดมนต์อย่างอิ่มใจว่า “สา……ธุ สา….ธุ สา…..ธุ” และแล้ว เรื่องราวของคุณยายและบทสวดมนต์แปลก ๆ นี้ ก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

  • ศรัทธาที่บริสุทธิ์ แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็สามารถปกป้องและนำพาสิ่งที่ดีงามมาสู่ชีวิตได้
  • ความกลัว มักเกิดจากการคิดและปรุงแต่งไปเกินความจริง

Posted in #นิทานให้ข้อคิด, นิทานก่อนนอน, นิทานญี่ปุ่น

เจ้าหนูนักวาดแมว – นิทานก่อนนอนจากญี่ปุ่นที่สนุกสำหรับเด็ก และให้แง่คิดผู้ใหญ่

นิทานเรื่อง “เจ้าหนูนักวาดแมว” (The Boy Who Drew Cats) เป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่ถูกเรียบเรียงโดย Lafcadio Hearn และตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1898 โดยสำนักพิมพ์ Hasegawa Takejirō ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการเผยแพร่นิทานญี่ปุ่นในรูปแบบภาพพิมพ์ไม้สำหรับชาวต่างชาติ

นิทานพื้นบ้านจากญี่ปุ่นเรื่องนี้ เล่าเรื่องของเด็กชายตัวเล็กผู้มีความสุขกับการวาดแมว แม้จะถูกมองว่าไร้สาระ แต่สิ่งที่เขาทำกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราวที่ทั้งสนุก ลึกลับ และชวนให้ขบคิด

สำหรับเด็ก เรื่องนี้คือการผจญภัยที่เต็มไปด้วยจินตนาการ แต่สำหรับผู้ใหญ่ มันคือบทเรียนเงียบ ๆ ที่เตือนให้เราหยุดและทบทวนว่า…บางครั้ง สิ่งที่ดูไม่มีค่าในสายตาเรา อาจเป็นสิ่งที่มีพลังในโลกของเด็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นเด็กขยันและมีน้ำใจ แต่เขาตัวเล็กจึงไม่ถนัดทำงานในไร่นาเหมือนกับพี่ ๆ วันทั้งวัน…เด็กชายจะเอาแต่นั่งวาดรูปแมว…แมว…แล้วก็แมว เขาวาดรูปแมวบนเศษกระดาษ เศษไม้ หรือแม้แต่บนกำแพงบ้าน เด็กชายวาดรูปแมวได้ทั้งวันแบบไม่รู้เบื่อ

วันหนึ่ง พ่อกับแม่ของเด็กชายเห็นว่าเขาไม่ถนัดทำงานในไร่ในนา พ่อกับแม่จึงพาเขาไปฝากไว้ที่วัดใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน โดยหวังให้เขาได้เป็นเณรน้อยช่วยงานที่วัด

ณ วัดแห่งนั้น…เด็กชายตั้งใจจะเป็นเณรที่ดี แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับเผลอวาดรูปแมวจนเต็มกำแพงวัด เมื่อพระอาจารย์เห็นเข้า พระอาจารย์ก็ส่ายหน้า พร้อมกับบอกเด็กชายว่า “เจ้าหนูเอ๋ย… ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะกับเจ้านักนะ”

เมื่อพระอาจารย์พูดเช่นนั้น เด็กชายจึงเก็บข้าวของ แล้วเดินออกจากวัดด้วยความรู้สึกผิด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงรักการวาดรูปแมวอยู่ดี

ระหว่างทาง เด็กชายเดินมาจนถึงวัดร้างที่อยู่ไม่ไกลจากวัดของพระอาจารย์นัก วัดแห่งนี้ดูเงียบสงัดและเหมือนไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ชาวบ้านบอกเด็กชายว่า วัดแห่งนี้ไม่มีคนกล้ามาอยู่เพราะกลัวปิศาจหนู เด็กชายคิดในใจว่า “ปิศาจหนูคงไม่น่ากลัวเท่ากับ..การเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการหรอกนะ” เด็กชายรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง แต่เขาไม่อยากกลุ้มใจนานนัก เขาจึงตัดสินใจพักค้างคืนในวัดร้างแห่งนั้น

ก่อนค่ำ เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นผนังโบสถ์ดูโล่ง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดแมวอีกครั้ง การวาดรูปคือความสุขของเขา คราวนี้เขาวาดรูปแมวอย่างสนุก เขาวาด….วาด….แล้วก็วาด เด็กชายวาดรูปแมวจนเต็มผนัง รูปแมวที่เขาวาดมีทั้งแมวตัวใหญ่ แมวตัวเล็ก บางตัวยิ้ม บางตัวยิงฟัน บางตัวกล้ามใหญ่ บางตัวเล็บยาว บางตัวทำท่าเหยียดขา และบางตัวนอนหลับปุ๋ยดูน่ารักมาก

ในคืนนั้น หลังจากที่เด็กชายวาดรูปแมวจนง่วง เขาก็หาที่นอนตรงมุมหนึ่งของโบสถ์ แล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

แต่ในขณะที่เด็กชายหลับอยู่ท่ามกลางความมืด จู่ ๆ เขาก็ได้เสียงฝีเท้าดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายที่มุ่งหน้าเข้ามาเพื่อล่าเหยื่อ

สัตว์ร้ายดังกล่าว คือ ปิศาจหนูตัวมหึมาที่ไล่ล่าผู้คน จนไม่มีใครกล้าอยู่ที่วัดแห่งนี้ ปิศาจหนูเดินเข้ามาในโบสถ์อย่างน่าสะพรึงกลัว มันใช้จมูกดมกลิ่นมนุษย์ พลางกวาดตามองหาเหยื่อด้วยสายตาที่หิวโหย

ทันใดนั้นเอง…เด็กชายที่นอนตัวสั่นด้วยความกลัว ก็ได้ยินเสียงขู่ที่น่ากลัว ซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเสียงของปิศาจหนู แต่เมื่อฟังให้ดี เขากลับพบว่าเสียงขู่นั้นดังมาจากรอบทิศ ตามด้วยเสียงข่วนผนังแกรก ๆ และเสียงร้องของแมวนับร้อย ๆ ตัวที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน

เสียงของแมวเหล่านั้น คือ เสียงจากแมวที่เด็กชายวาดไว้บนกำแพง ที่จู่ ๆ พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหว แล้วแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ปิศาจหนูจากทุกทิศทุกทาง

ปิศาจหนูร้องเจี๊ยก เหมือนลิงจ๋อ แล้วร้องเอ๋ง ๆ เหมือนหมาที่เจอเจ้าถิ่น มันรีบวิ่งหนีสุดชีวิต แต่พวกแมวก็ไม่ยอมให้มันหนีไปได้ง่าย ๆ การต่อสู้ที่ดุเดือดจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายก็จบลงที่ ปิศาจหนูสะบักสะบอมถึงขั้นต้องร้องขอชีวิต และสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนมนุษย์ที่วัดแห่งนี้อีก

ในที่สุด พวกแมวก็ยอมปล่อยปิศาจหนูไป เด็กชายที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงค่อย ๆ คลายความตระหนก แล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จากนั้น เด็กชายก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

เช้าวันต่อมา…พระอาจารย์ได้ทราบจากชาวบ้านว่า เด็กชายได้ไปพักอยู่ที่วัดร้างซึ่งมีปิศาจหนูคอยทำร้ายผู้คน และเมื่อคืน….เกิดเหตุเสียงดังเอะอะดูน่ากลัว พระอาจารย์รู้สึกผิดที่ให้เด็กชายออกจากวัด พระอาจารย์จึงรีบไปหาเด็กชายด้วยความเป็นห่วง

เมื่อพระอาจารย์มาถึง พระอาจารย์พบว่าเด็กชายกำลังหลับอยู่ในวัดร้างแห่งนั้นตามลำพัง และพบว่าเด็กชายวาดรูปแมวเอาไว้ที่ผนังโบสถ์เต็มไปหมด

เมื่อเด็กชายตื่นนอนและเห็นพระอาจารย์ เด็กชายจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอาจารย์ฟัง

เมื่อพระอาจารย์ได้ฟังจนจบ พระอาจารย์ก็ลูบหัวเด็กชายเบา ๆ พลางกล่าวว่า “บางที การวาดแมวของเจ้าก็มีค่ามากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกนะ”

หลังจากวันนั้น พระอาจารย์ก็ให้เด็กชายกลับไปอยู่ที่วัด โดยท่านอนุญาตให้เด็กชายผู้รักการวาดแมว วาดแมวได้ แต่ต้องวาดในเศษกระดาษ ไม่ใช่วาดไปทั่ว

เด็กชายดีใจและเข้าใจ เขารับปากพระอาจารย์และตามกลับไปอยู่ที่วัดดังเดิม

ในที่สุด เรื่องราวของเด็กชายผู้รักการวาดรูปแมว ก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • สิ่งที่ดูไร้สาระในสายตาผู้ใหญ่ อาจมีคุณค่าในโลกของเด็ก
  • เด็กบางคนมีแรงขับภายในที่ผู้ใหญ่ควรเข้าใจ มากกว่าควบคุม
  • การเปิดใจของผู้ใหญ่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานจากทั่วโลก, นิทานญี่ปุ่น, นิทานสอนใจ

นิทานก่อนนอนจากญี่ปุ่น เรื่อง โมโมทาโร่ เจ้าหนูลูกท้อ | นิทานสอนใจจากทั่วโลก

โมโมทาโร่ หรือที่แปลว่า “เจ้าหนูลูกท้อ” เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่เล่าขานกันมานานหลายร้อยปี เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่เกิดจากลูกท้อ และมีจิตใจกล้าหาญ ออกเดินทางไปปราบเหล่าปีศาจด้วยความมุ่งมั่น พร้อมด้วยเพื่อนสัตว์ผู้ซื่อสัตย์ เรื่องนี้ไม่เพียงสนุกและชวนติดตาม แต่ยังแฝงข้อคิดเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความเสียสละ และพลังของมิตรภาพ เหมาะสำหรับเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้เด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่รักการอ่านนิทานจากทั่วโลก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตากับยายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ณ หมู่บ้านอันห่างไกล ทุกวัน คุณตาจะขึ้นเขาไปเก็บฟืนเพื่อนำไปขาย ส่วนคุณยายจะทำหน้าที่ดูแลงานบ้านต่าง ๆ ให้บ้านเรียบร้อยและน่าอยู่ที่สุด คุณตากับคุณยายรักกันมาก ทั้งคู่ใช้ชีวิตเล็ก ๆ อย่างมีความสุขร่วมกันมาตลอดตั้งแต่แต่งงานกัน สิ่งเดียวที่คุณตากับคุณยายเฝ้ารอแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ คือ การได้มีลูกสักคนเพื่อเป็นพยานแห่งความรัก แต่หลังจากที่เฝ้ารอมานาน ทั้งคู่ก็ได้แต่ทำใจว่าพวกตนคงไม่มีวาสนาที่จะมีลูก

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่คุณตาขึ้นเขาไปเก็บฟืน ส่วนคุณยายไปซักผ้าริมลำธารตามปกติ จู่ ๆ คุณยายก็สังเกตเห็นลูกท้อลูกหนึ่งลอยมาตามกระแสน้ำ ลูกท้อมีขนาดใหญ่กว่าปกติและดูน่ากินมาก คุณยายจึงลุยน้ำไปเก็บลูกท้อโดยตั้งใจจะเก็บไว้กินกับคุณตาผู้เป็นที่รัก แต่เมื่อคุณยายลุยน้ำไปเก็บลูกท้อ คุณยายก็พบว่าลูกท้อลูกนั้นหนักกว่าที่คุณยายคาดไว้หลายเท่า

หลังจากเก็บลูกท้อได้แล้ว คุณยายก็หอบลูกท้อกลับบ้าน จากนั้น คุณยายก็จัดโต๊ะอาหาร แล้วรอให้คุณตาลงมาจากภูเขา

ตกบ่าย เมื่อคุณตากลับมาถึงบ้าน คุณยายก็จูงคุณตามาที่โต๊ะอาหาร แล้วชี้ชวนให้คุณตาดูลูกท้อที่เก็บได้ จากนั้น ทั้งคู่ก็ลงมือผ่าลูกท้อ

แต่ทันทีที่คุณตากับคุณยายผ่าลูกท้อจนแยกออกเป็นสองส่วน สิ่งที่คุณตากับคุณยายได้เห็นก็คือ มีเด็กทารกเพศชายคนหนึ่งนอนร้องไห้อยู่ในลูกท้อ คุณตากับคุณยายมองเด็กน้อยที่อยู่ในลูกท้อด้วยความประหลาดใจ คุณตารำพึงว่า “หรือนี่คือลูกที่สวรรค์ส่งมาให้พวกเรานะยาย” คุณยายมองคุณตาแล้วน้ำก็ไหลออกมา จากนั้น คุณยายก็พูดว่า “ต้องใช่แน่ ๆ ต้องใช่แน่ ๆ” เมื่อทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน ความแปลกใจจึงแปรเปลี่ยนเป็นความ ปลื้มปีติ คุณตากับคุณยายอุ้มเด็กทารกตัวน้อยออกมาจากลูกท้อ แล้วขนานนามให้ลูกชายของพวกเขาว่า “โมโมทาโร่” ซึ่งมีความหมายว่า “เด็กชายลูกท้อ” หรือ “เจ้าหนูลูกท้อ” ตามลูกท้อที่คุณยายเก็บมาได้

นับจากวันนั้น คุณตากับคุณยายก็เฝ้าดูแลโมโมทาโร่ด้วยความรัก คุณยายทำข้าวปั้นแสนอร่อยให้โมโมทาโร่กินทุกวัน โมโมทาโร่ก็ชอบกินข้าวปั้นฝีมือคุณยายมาก เมื่อเวลาผ่านไป โมโมทาโร่ค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม มีร่างกายแข็งแรง และที่สำคัญ เขามีพละกำลังมหาศาลมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งเท่ากับว่า โมโมทาโร่คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน

อยู่มาวันหนึ่ง โมโมทาโร่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจแห่งเกาะโอนิงาชิม่า ที่คอยรังควานผู้คนในหมู่บ้านจนทุกคนหวาดกลัวกันไปทั่ว โมโมทาโร่ผู้มีจิตใจดีงามและมีร่างกายแข็งแกร่ง จึงขออนุญาตคุณตาคุณยายเดินทางไปปราบปิศาจ

ในตอนแรก คุณตากับคุณยายเป็นห่วงโมโมทาโร่มาก แต่เมื่อโมโมทาโร่ขอร้องและยกเหตุผลว่า “การช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเดือดร้อนเป็นสิ่งที่ควรกระทำมิใช่หรือ” ในที่สุด คุณตากับคุณยายจึงอนุญาต โดยคุณตากำชับให้โมโมทาโร่ระวังตัว ส่วนคุณยายได้ทำข้าวปั้นแสนอร่อยให้โมโมทาโร่นำไปกินระหว่างทางด้วย

เมื่อโมโมทาโร่ออกเดินทาง เขามุ่งหน้าไปยังเกาะโอนิงาชิม่าด้วยจิตใจที่กล้าหาญ แต่ก่อนที่โมโมทาโร่จะเดินพ้นจากหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็มีหมาตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้วถามโมโมทาโร่ว่า “ท่านกำลังจะไปไหนน่ะ แล้วท่านพอจะมีของกินติดตัวมาบ้างไหม”

โมโมทาโร่ตอบว่า “ฉันกำลังจะไปปราบปิศาจที่เกาะโอนิงาชิ ส่วนของกินก็มีข้าวปั้นแสนอร่อยที่คุณยายทำไว้ให้ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเธอยินดีไปปราบปิศาจกับฉัน ฉันจะแบ่งข้างปั้นแสนอร่อยให้เธอชิ้นนึง”

เจ้าหมาอยากชิมรสชาติของข้าวปั้นแสนอร่อย และมันก็คิดว่า การไปปราบปิศาจเพื่อช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น เจ้าหมาจึงขอกินข้าวปั้นด้วย แล้วมันก็ร่วมเดินทางไปปราบปิศาจกับโมโมทาโร่

ในเวลาต่อมา โมโมทาโร่ได้พบกับไก่ฟ้าตัวหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถามเขาว่า “ท่านกำลังจะไปไหนน่ะ แล้วท่านพอจะมีของกินติดตัวมาบ้างไหม”

โมโมทาโร่ตอบว่า “ฉันกำลังจะไปปราบปิศาจที่เกาะโอนิงาชิ ส่วนของกินก็มีข้าวปั้นแสนอร่อยที่คุณยายทำไว้ให้ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเธอยินดีไปปราบปิศาจกับฉัน ฉันจะแบ่งข้างปั้นแสนอร่อยให้เธอชิ้นนึง”

ไก่ฟ้าอยากชิมรสชาติของข้าวปั้นแสนอร่อย และมันก็คิดว่า การไปปราบปิศาจเพื่อช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ไก่ฟ้าจึงขอกินข้าวปั้นด้วย แล้วมันก็ร่วมเดินทางไปปราบปิศาจกับโมโมทาโร่และเจ้าหมา

ก่อนถึงเกาะโอนิงาชิ โมโมทาโร่ได้พบกับลิงตัวหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถามเขาว่า “ท่านกำลังจะไปไหนน่ะ แล้วท่านพอจะมีของกินให้ติดตัวมาบ้างไหม”

โมโมทาโร่ตอบว่า “ฉันกำลังจะไปปราบปิศาจที่เกาะโอนิงาชิ ส่วนของกินก็มีข้าวปั้นแสนอร่อยที่คุณยายทำไว้ให้ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเธอยินดีไปปราบปิศาจกับฉัน ฉันจะแบ่งข้างปั้นแสนอร่อยให้เธอชิ้นนึง”

เจ้าลิงอยากชิมรสชาติของข้าวปั้นแสนอร่อย และมันก็คิดว่า การไปปราบปิศาจเพื่อช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น เจ้าลิงจึงขอกินข้าวปั้นด้วย แล้วมันก็ร่วมเดินทางไปปราบปิศาจกับโมโมทาโร่ เจ้าหมาและไก่ฟ้า

เมื่อโมโมทาโร่กับเพื่อนสัตว์ทั้งสามเดินทางมาถึงเกาะโอนิงาชิม่า พวกเขาก็พบว่ามีประตูบานใหญ่ขวางทางอยู่ แต่โชคดี ที่โมโมทาโร่มีไก่ฟ้ามาด้วย ไก่ฟ้าจึงบินข้ามประตูไปเปิดกลอนจากด้านใน ซึ่งทำให้ทุกคนผ่านประตูไปได้อย่างง่ายดาย

เมื่อทุกคนเดินผ่านประตูมาแล้ว พวกเขาก็พบว่า เหล่าปิศาจกำลังจัดงานฉลองดื่มสุรายาเมาจนคอพับคออ่อน ขาดสติ และไม่มีใครสังเกตเห็นการมาถึงของพวกโมโมทาโร่เลย

เมื่อโมโมทาโร่เห็นว่าปิศาจกำลังอ่อนแอแถมไม่รู้ตัวว่ามีผู้บุกรุก โมโมทาโร่ผู้แข็งแกร่งและเพื่อนสัตว์ทั้งสามก็ตรงเข้าจู่โจมเหล่าปิศาจที่บังอาจสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ด้วยการ….จิกด้วยจะงอย ต่อยด้วยหมัด กัดด้วยเขี้ยวคม ๆ ถล่มด้วยผลไม้ แถมด้วยท่าไม้ตาย ต่อตัวกระโดดเตะแบบควงสว่าน จนเหล่าปิศาจสิ้นฤทธิ์

เด็กน้อยที่เติบโตและมีพละกำลังมหาศาลจากการกินข้าวปั้นแสนอร่อยฝีมือคุณยาย และเหล่าเพื่อนสัตว์ใจสู้ที่พร้อมใจกันสู้ด้วยความสามัคคี ทำให้พวกเขาเอาชนะเหล่าปิศาจไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ในที่สุด โมโมทาโร่ก็เอาชนะเหล่าปิศาจได้สำเร็จ หัวหน้าของพวกปีศาจยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เพราะมันรู้ดีว่า จริง ๆ แล้ว โมโมทาโร่ยังเหลือพละกำลังอีกมาก ที่สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างสบาย ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าปิศาจจึงพูดว่า

“โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด พวกเราจะไม่รังแกผู้คนอีกแล้ว และพวกเราขอมอบสมบัติทั้งหมดที่เรามีให้แก่ท่านอีกด้วย”

เมื่อเหล่าปิศาจให้สัญญาและมอบสมบัติทั้งหมดให้ โมโมทาโร่และสัตว์ทั้งสาวก็นำสมบัติเหล่านั้นเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน

และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • จิตใจที่ดีงามและความกล้าหาญคือพลังที่แท้จริง
  • มิตรภาพและความสามัคคีเปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
  • น้ำใจเล็กน้อย สร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่
ภาพโมโมทาโร่ เจ้าหนูลูกท้อ เด็กชายในชุดญี่ปุ่น เดินทางไปปราบปีศาจกับสัตว์ต่าง ๆ
โมโมทาโร่ เจ้าหนูลูกท้อ เด็กผู้กล้าแห่งนิทานญี่ปุ่น
Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

แอปเปิ้ลให้เพื่อน

นิทานก่อนนอนเรื่อง “แอปเปิ้ลให้เพื่อน” เป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น ที่สะท้อนให้เห็นว่า ศาสนาชินโตที่คนญี่ปุ่นนับถือ มีสาระสำคัญไม่ต่างจากศาสนาอื่น ๆ คือการกล่อมเกลาให้คนมีจิตใจที่ดีงาม นอกจากนี้ การนับถือศาสนาชินโตยังส่งผลให้คนญี่ปุ่นมองโลกในแง่ดี มีความยืดหยุ่น ยอมรับความเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี

นิทานก่อนนอนเรื่อง “แอปเปิ้ลให้เพื่อน” เป็นนิทานญี่ปุ่นสั้น ๆ ที่น่ารักและมีข้อคิดสอนใจ ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้อ่านนิทานเรื่องนี้จากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง แล้วประทับใจ จึงลองนำต้นฉบับมาเรียบเรียงให้อ่านได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงเนื้อเรื่องแบบเดิมเอาไว้ทั้งหมด หวังว่านิทานญี่ปุ่นพร้อมข้อคิดเรื่องนี้ จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขกับการฟังนิทานก่อนนอนนะครับ

นิทานเรื่อง แอปเปิ้ลให้เพื่อน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกษตรกรคนหนึ่งมีลูกชาย 4 คน

ลูกชายคนโตมีชื่อว่า “ทาโร่” ลูกชายคนรองมีชื่อว่า “จิโร่” ลูกชายคนที่สามชื่อว่า “ซาบุโร่” ส่วนลูกชายคนสุดท้องน้องสุดท้ายมีชื่อว่า “ชิโร่”

(แต่เนื่องจากชื่อเหล่านี้อาจทำให้เด็ก ๆ ในเมืองไทยสับสน ผู้เรียบเรียงจึงขอใช้ชื่อเล่นต่อไปนี้ แทนชื่อลูก ๆ แต่ละคน คือ ลูกคนโตที่ชื่อทาโร่ ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “หนึ่งโร่” ลูกคนรองที่ชื่อจิโร่ ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “สองโร่” ลูกชายคนที่สามที่ชื่อ “ซาบุโร่” ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “สามบุโร่” และลูกชายคนที่สี่ที่ชื่อ “ชิโร่” ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “เตาอั้งโล่” อุ๊ย! เรียกว่า “สี่โร่” ดีกว่า)

วันหนึ่ง เกษตรกรผู้เป็นพ่อเดินทางเข้าไปในเมือง แล้วพบแอปเปิ้ลผลใหญ่กว่าปกติมาก ๆ วางขายอยู่ คุณพ่อจึงซื้อแอปเปิ้ลกลับมาด้วย 7 ผล

หนึ่งโร่ สองโร่ สามบุโร่ ได้รับแอปเปิ้ลยักษ์จากคุณพ่อคนละ 2 ผล รวมเป็น 6 ผล

ส่วนน้องเตาอั้งโล่ เอ้ย! สี่โร่ ได้แอปเปิ้ลเพียงแค่ผลเดียว เพราะเป็นน้องคนเล็กที่ยังเป็นเด็กน้อยอยู่

เมื่อพ่อมอบแอปเปื้ลให้ลูก ๆ แล้ว พ่อจึงกำชับกับลูก ๆ ว่า “แอปเปิ้ลแบบนี้หากินยาก เป็นแอปเปิ้ลอย่างดี เอาไปกินซะนะ อย่าเอาไปให้ใครกินล่ะ”

ในคืนต่อมา พ่อเรียกลูก ๆ ทั้งสี่มาหาอีกครั้ง แล้วถามลูกทีละคนเกี่ยวกับแอปเปิ้ลที่ได้รับไป

พ่อถามอั้งโล่ เอ้ย! สี่โร่ลูกคนเล็กก่อนว่า “แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้างลูก?”

สี่โร่แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วตอบพ่อว่า “ผมกินหมดแล้ว หมดเกลี้ยงเลย อร่อยมาก ๆ”

พ่อยิ้มแล้วถามหนึ่งโร่ลูกชายคนโตบ้างว่า ” แล้วลูกล่ะ แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง?”

หนึ่งโร่ตอบว่า “ผมกินหมดแล้ว มันอร่อยมาก แล้วผมก็เอาเมล็ดของมันไปปลูกเรียบร้อยแล้วครับ” พ่อยิ้มพร้อม ๆ กับชมหนึ่งโร่ว่า “เยี่ยมเลย เจ้านี่สมกับเป็นลูกชายคนโตของเกษตรกรจริง ๆ”

หลังจากนั้น พ่อก็ถามสองโร่ลูกชายคนรองว่า “แล้วเจ้าล่ะ แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง?”

สองโร่ตอบพ่อเขิน ๆ ว่า “ผมยังไม่ได้กินหรอกพ่อ คือ ผมเอาแอปเปิ้ลไปให้เพื่อนดู เพื่อนอยากกิน ผมก็เลยขายไปทั้งสองลูก ได้กำไรเยอะเลยครับ” พ่อส่ายหัวด้วยความเอ็นดูแกมระอาใจ แล้วจึงพูดว่า “เจ้านี่ชอบทำอะไรออกนอกลู่นอกทางอยู่เรื่อย ซื้อมาให้กินกลับเอาไปขาย แต่ก็ยังดีที่มีหัวการค้า”

ท้ายสุด พ่อหันมาถามลูกชายคนที่สามบ้างว่า “แล้วเจ้าล่ะสามบุโร่ แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง?”

สามบุโร่เป็นคนหัวอ่อน พูดน้อย แต่จิตใจดี เมื่อพ่อถาม เขากลับก้มหน้าหลบสายตาพ่อ และไม่ยอมตอบพ่อ จนพ่อต้องถามเขาอีกหลายครั้ง

พ่อเห็นท่าทางของลูกชายก็พอจะคาดเดาได้ พ่อจึงบ่นออกมาว่า “อุตส่าห์ซื้อแอปเปิ้ลอย่างดีมาฝาก แต่พอให้อะไรไป เจ้าก็คงเอาไปแบ่งให้คนอื่นเหมือนทุกครั้งอีกใช่ไหม”

สามบุโร่เม้มปาก ตาแดง เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ เด็กหัวอ่อนที่เชื่อฟังพ่อรู้สึกผิด จากนั้น เขาก็สารภาพกับพ่อว่า “พอดี….เพื่อนของผมไม่สบายมาก เขานอนป่วยอยู่หลายวันแล้ว ผมเลย….เอาแอปเปิ้ลอย่างดีที่พ่อให้ เอาไปให้เขา แต่ผมไม่ได้เอาไปให้เขากินนะ ผมแค่…..แค่วางไว้ที่ข้างเตียงของเขาเฉย ๆ แล้วก็กลับมา”

สามบุโร่บอกพ่อ เหมือนอยากบอกให้พ่อรู้ว่า เขาไม่เคยลืมคำที่พ่อกำชับไว้เลย แต่เขาอยากให้กำลังใจเพื่อนที่ป่วยอยู่

เมื่อพ่อมองลูกชายผู้มีจิตใจดีงาม พ่อก็ส่งยิ้มให้สามบุโร่อย่างอ่อนโยน จากนั้น พ่อก็พูดกับลูก ๆ ทุกคนว่า “สามบุโร่เป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา สิ่งที่พวกเราต้องจำไว้คือ พวกเราต้องไม่ลืมหัวใจดีงามแบบนี้นะ”

ลูก ๆ ทุกคนพยักหน้าและมองสามบุโร่ด้วยความชื่นชม ในที่สุด นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น

…………………