Posted in การรู้เท่าทันสื่อ, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

เจ้าหญิงกับกระจกวิเศษ : นิทานก่อนนอนสอนให้เด็ก ๆ รู้เท่าทันสื่อ

ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยสื่อออนไลน์และข้อมูลมากมาย นิทานก่อนนอนยังคงเป็นสื่อที่ทรงพลังในการสอนใจเด็กและผู้ใหญ่ นิทานเรื่อง “เจ้าหญิงกับกระจกวิเศษ” ไม่ได้เป็นเพียงนิทานเด็กที่เล่าเพื่อความสนุก แต่เป็นนิทานสอนใจที่ช่วยให้ผู้อ่านทุกวัยตระหนักถึงความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อ และการใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้ยินหรือเห็นในโลกออนไลน์

หลายครั้งเราพบโฆษณาขายของที่บรรยายสรรพคุณอย่างน่าเชื่อถือ หรือข้อความที่ชวนให้ทำตามโดยอ้างเหตุผลที่ดูสมจริง แต่หากตรวจสอบลึกลงไป อาจพบว่าเป็นข้อมูลที่บิดเบือนหรือมีเจตนาแอบแฝง นิทานเรื่องนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนความจริงในสังคมปัจจุบัน ผ่านการเล่าเรื่องที่สนุกสนานและเข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับใช้เป็นนิทานก่อนนอน นิทานเด็กดี และนิทานสอนใจที่ช่วยให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน

คุณค่าของนิทาน เจ้าหญิงกับกระจกวิเศษ อยู่ที่การสอนให้เด็กกล้าใช้วิจารณญาณ กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และรู้จักปรึกษาพ่อแม่เมื่อพบสิ่งที่น่าสงสัย ขณะเดียวกันก็เตือนผู้ใหญ่ให้รู้บทบาทของตนเองในการเป็นที่พึ่งที่ลูกไว้ใจได้ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงนิทานแฟนตาซี แต่เป็นนิทานอมตะที่เหมาะกับทุกวัย และควรค่าแก่การอ่านและแบ่งปันต่อ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดให้กับสังคมในยุคดิจิทัล

กาลครั้งหนึ่ง  มีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง  เป็นเจ้าหญิงที่ทั้งสวย ทั้งฉลาด และเชื่อฟังพ่อแม่เป็นที่สุด 

วันหนึ่ง  มีแม่มดสาวตนหนึ่ง ค้นพบกระจกวิเศษประจำตระกูล  นางจึงถามกระจกวิเศษว่า   “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”    เมื่อกระจกวิเศษตอบว่า   “ก็ต้องเป็นเจ้าหญิงน่ะสิ ทั่วทั้งปฐพี ไม่มีใครดีและงามเกิน”

ทันทีที่ได้ฟัง  แม่มดก็โกรธจัด  เพราะนางคิดว่าตนสวยที่สุด   เมื่อกระจกวิเศษเห็นเช่นนั้น   แทนที่มันจะปรามให้สงบ  กระจกวิเศษกลับยุให้แม่มด  หาทางจัดการกับเจ้าหญิงเสีย

แม่มดสาวคิดอยู่สักพัก  ในที่สุด   นางจึงวางแผนส่งกระจกวิเศษไปเป็นของขวัญให้เจ้าหญิงเพื่อให้กระจกยุให้เจ้าหญิงทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ  เพื่อให้เจ้าหญิงกลายเป็นคนไม่ดี

เมื่อถึงวันเกิดของเจ้าหญิง  แม่มดก็ทำตามแผนโดยแกล้งทำทีเป็นมีไมตรีจิต  แล้วมอบกระจกให้เจ้าหญิงโดยบอกว่า กระจกที่มอบให้  เป็นกระจกวิเศษที่ตอบคำถามได้ทุกอย่าง  (ราวกับอินเตอร์เน็ตหรือเอไอในสมัยนี้)

เจ้าหญิงตื่นเต้นและพอใจมาก  จึงนำกระจกวิเศษไปไว้ที่ห้อง  ครั้นเมื่อกระจกวิเศษ ได้อยู่กับเจ้าหญิงตามลำพัง กระจกก็เริ่มยุให้เจ้าหญิงทดลองทำสิ่งไม่ดีไม่งาม  โดยอ้างว่า เรามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะมันเป็นชีวิตของเรา!

กระจกแนะให้เจ้าหญิงนอนดึก  ๆ  หรือหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังในตอนกลางคืน  รวมทั้งชักชวนให้สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นการพนัน ตามแบบที่วัยรุ่นชอบทำกัน

คำแนะนำของกระจกวิเศษ ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกแปลก ๆ  เพราะคำพูดของกระจกวิเศษต่างจากคำสอนของพ่อกับแม่โดยสิ้นเชิง

เจ้าหญิงคิดว่ากระจกวิเศษ น่าจะมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ แต่เพื่อความแน่ใจ  เจ้าหญิงจึงแกล้งถามว่า “กระจกวิเศษจ๋า ถ้าหญิงทำตามที่พี่กระจกบอก แล้วเสด็จพ่อกับเสด็จแม่จับได้ หญิงควรทำอย่างไรดีล่ะจ๊ะ”

เมื่อกระจกวิเศษได้ฟัง  มันจึงแกล้งตอบว่า  “ถ้าพระราชากับพระราชินีจับได้  เจ้าหญิงก็แค่แต่งเรื่องโกหกเพื่อเอาตัวรอด  เดี๋ยวท่านก็หลงเชื่อเองแหละ”

การโกหกพ่อแม่เป็นเรื่องที่ไม่ดี  เจ้าหญิงจึงมั่นใจว่า กระจกวิเศษ  ต้องคิดร้ายกับพระองค์แน่ ๆ  (รวมทั้งแม่มดที่นำกระจกมาให้ก็คงมีแผนการร้ายซ่อนอยู่) ด้วยเหตุนี้ เจ้าหญิงจึงนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ซึ่งเมื่อทั้งสองพระองค์ได้ฟัง  ทั้งสองก็นำกระจกมาสอบสวน  จากนั้น ก็จัดการทำลายกระจกตัวร้ายเพื่อไม่ให้มันไปเสี้ยมสอนใคร ๆ ให้ทำเรื่องเลวร้ายได้อีก  นอกจากนี้  พระราชากับพระราชินีก็ให้พ่อมดหลวง ไปจับแม่มดมาขังไว้  เพื่อรอการลงโทษ

โชคดีเหลือเกินที่เจ้าหญิง ไม่ได้มีหน้าตาที่งดงามเท่านั้น  แต่พระองค์ยังเฉลียวฉลาด  และรู้จักนำเรื่องที่ได้พบได้ฟัง ไปปรึกษาหารือพ่อกับแม่  เพื่อให้ท่านช่วยคิด   คุณสมบัติต่าง ๆ นี้เองที่ทำให้เจ้าหญิงรอดจากผู้ประสงค์ร้าย

ในที่สุด  กระจกวิเศษของตระกูลแม่มดก็หมดโอกาสไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร ๆ อีก   ส่วนแม่มดที่มีจิตใจชั่วร้าย ก็ต้องรับโทษอยู่ในคุกเวทมนตร์ และได้ใช้เวลาสำนึกผิดอยู่ในคุกไปอีกนานแสนนาน

หมายเหตุ : หากชอบนิทานเรื่องนี้ รบกวนคลิกชมแบนเนอร์โฆษณาสักนิด เพื่อสนับสนุนให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้นะครับ ขอบคุณมากครับ 💛

เจ้าหญิงสวมมงกุฎและผ้าคลุมแดงยืนมองกระจกวิเศษที่สะท้อนใบหน้าปีศาจท่ามกลางเปลวไฟ ในห้องนอนกลางคืนพร้อมแมวน้อยและแสงเทียน
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานเจ้าชายเจ้าหญิง

เจ้าชายหมีถัก – นิทานแฟนตาซีความรักอบอุ่น ซาบซึ้งใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

นิทานความรักคือหนึ่งในรูปแบบนิทานที่งดงามและเป็นอมตะที่สุดในโลกวรรณกรรม จาก “เจ้าชายกบ” ถึง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” นิทานความรักได้ถ่ายทอดคุณค่าของความเสียสละ ความกล้าหาญ และความรักแท้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก นิทานเหล่านี้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ แต่ยังปลอบโยนหัวใจของผู้ใหญ่ที่เคยผ่านความรักและการสูญเสียมาแล้ว นิทานความรักจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัย และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปลูกฝังความเมตตาและความเข้าใจในมนุษย์

แต่การแต่งนิทานความรักเรื่องใหม่ให้มีคุณค่าเทียบเท่านิทานอมตะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้แต่งต้องสร้างเรื่องราวที่ทั้งสนุก ชวนติดตาม และซาบซึ้งใจ โดยไม่ซ้ำกับนิทานคลาสสิกที่ผู้คนคุ้นเคย การออกแบบตัวละครต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเนื้อเรื่องต้องมีจังหวะที่พาให้ผู้อ่านอยากรู้ว่า “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อต้องแต่งนิทานที่เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายกับความลึกซึ้งคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักเล่าเรื่อง

นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” คือหนึ่งในนิทานความรักร่วมสมัยที่กล้าฉีกกรอบเดิมอย่างน่าทึ่ง ตัวเอกฝ่ายชายไม่ใช่เจ้าชายรูปงาม แต่เป็นตุ๊กตาหมีที่ถักจากไหมพรม ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวานตามแบบฉบับนิทานคลาสสิก แต่เป็นเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดที่กล้าทดสอบหัวใจของผู้ชายทุกคน เรื่องราวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเสียสละ และความรักที่งดงามเหนือรูปลักษณ์ภายนอก ตอนจบของนิทานนี้ชวนให้ประทับใจอย่างลึกซึ้ง และองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” กลายเป็นนิทานแฟนตาซีอบอุ่นที่เหมาะสำหรับทุกวัย และควรค่าแก่การจดจำ

นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดองค์หนึ่ง ทรงวางแผนเพื่อค้นหาเจ้าชายที่รักพระองค์ยิ่งชีวิตมาเป็นคู่ครอง เจ้าหญิงขอร้องให้พระบิดาเชื้อเชิญเจ้าชายผู้กล้าหาญเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ของพระองค์ และในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงก็ทรงขอร้องให้พ่อมดหลวงกับเทพธิดาตัวจิ๋ว ร่วมมือกับพระองค์ในการเฟ้นหาเจ้าชายผู้มีจิตใจมั่นในรัก

เจ้าชายหมีถักแห่งอาณาจักรไหมพรมเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่งที่ตัดสินใจเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ จริง ๆ แล้ว เจ้าชายหมีถักไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ใดใดมาก่อนเลย ( เพราะเจ้าชายหมีถักทรงคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คงไม่มีเจ้าหญิงองค์ใดอยากแต่งงานกับเจ้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหมีอย่างพระองค์เป็นแน่) แต่ด้วยความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ดลใจเจ้าชายจนมิอาจอยู่เฉยได้ เจ้าชายจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นขี่ม้าแกลบคู่ชีพ แล้วควบม้าตรงไปยังงานเลือกคู่ของเจ้าหญิง…ทันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น

ทันทีที่เจ้าหญิงปรากฏกายให้เจ้าชายทุก ๆ องค์ได้ยลโฉม เจ้าชายต่างก็ถึงกับตกตะลึงในความงามของเจ้าหญิงจนเกือบจะลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เจ้าชายหมีถักเองก็ไม่แตกต่างไปจากเจ้าชายองค์อื่น ๆ พระองค์ทรงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของเจ้าชายหมีถักเต้นตูมตามอยู่ภายในร่างไหมพรมที่แสนอ่อนนุ่ม เจ้าชายหมีถักทรงบอกกับตัวเองว่า พระองค์ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงองค์นี้เข้าให้เสียแล้ว

เจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดทรงกล่าวทักทายเจ้าชายทุก ๆ พระองค์ที่ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเลือกคู่ จากนั้น เจ้าหญิงก็ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า เจ้าชายที่พระองค์ต้องการจะเลือกเป็นคู่ครองนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเก่งกาจฉลาดเฉลียวหรือมีบุคลิกที่สง่างามแต่อย่างใด พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งงานกับเจ้าชายธรรมดา ๆ ที่รักพระองค์อย่างสุดหัวใจ…ก็เพียงเท่านั้น

ไม่ทันที่เจ้าชายแต่ละพระองค์จะมีโอกาสพรรณนาถึงความรักที่ตนเองมีต่อเจ้าหญิง จู่ ๆ พ่อมดหลวงซึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้น และจัดการคาบเจ้าหญิงบินตรงไปยังหุบเหวมังกร แล้วปล่อยเจ้าหญิงให้ร่วงลงไปในเหวลึกตามแผนที่เจ้าหญิงทรงวางเอาไว้

เจ้าชายหมีถักทรงตกใจมากจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วตามไปช่วยเจ้าหญิงเป็นคนแรก แต่ด้วยความที่พระองค์ตัวเล็กกว่าเจ้าชายองค์อื่น ๆ ดังนั้น กว่าที่เจ้าชายหมีถักจะเดินทางไปถึงหุบเหวมังกร เจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็สามารถไล่มังกรยักษ์ซึ่งเฝ้าปากเหวให้บินหนีไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีเจ้าชายองค์ใดรู้เลยว่า ที่ด้านล่างของหุบเหวมังกร มีเทพธิดาตัวจิ๋วแอบเตรียมฟูกหนา ๆ เอาไว้รองรับตัวของเจ้าหญิงตามแผนที่เจ้าหญิงได้เตรียมการเอาไว้ เมื่อเจ้าหญิงรู้ว่ามีเจ้าชายติดตามมาช่วยพระองค์เป็น    จำนวนมาก เจ้าหญิงจึงดำเนินการตามแผนขั้นสุดท้ายเพื่อวัดใจเจ้าชายผู้มีรักแท้

เจ้าหญิงทรงแกล้งร้องไห้โอดครวญให้เจ้าชายที่อยู่บนปากเหวลงมาช่วยพระองค์โดยเร็วที่สุด แน่นอน…เจ้าชายทั้งหลายทรงอยากช่วยเจ้าหญิงด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายก้มลงไปมองในเหวลึกที่มืดมิดราวกับว่ามันเป็นหุบเหวไร้ก้น เจ้าชายแต่ละองค์ต่างก็จนใจและไม่มีใครคิดที่จะเสี่ยงปีนลงไปเพื่อช่วยเจ้าหญิงเลยแม้แต่คนเดียว

ในขณะที่เจ้าชายทั้งหลายยอมพ่ายแพ้ เจ้าชายหมีถักกลับตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ยื่นกิ่งอยู่เหนือกึ่งกลางของปากเหว จากนั้น พระองค์ก็ใช้มือซ้ายกำกิ่งไม้ไว้แน่น พลางใช้มือขวาแก้ปมไหมที่ส่วนเท้าของตนเอง แล้วค่อย ๆ ปลดเส้นไหมพรมจากร่างของพระองค์ เพื่อหย่อนลงไปช่วยเจ้าหญิงที่พระองค์ทรงรักยิ่งชีวิต

เจ้าหญิงไม่รู้เลยว่า เส้นไหมพรมที่พระองค์ทรงใช้ไต่ขึ้นมาที่ปากเหวคือชีวิตของเจ้าชายผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยรัก

ทันทีที่เจ้าหญิงโผล่ขึ้นมายังพื้นดิน สิ่งที่เจ้าหญิงเห็นก็คือภาพของมือไหมพรมน้อย ๆ ที่เกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น…อย่างไม่มีวันปล่อย

เจ้าหญิงทรงร้องไห้และกอดเส้นไหมพรมเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความเสียใจอย่างที่สุด พระองค์ทรงเชื่อแล้วว่าเจ้าชายองค์นี้รักพระองค์ด้วยความจริงใจ แต่เจ้าหญิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แผนการของพระองค์จะทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหญิงเสียใจมากและคิดที่จะไม่ยอมให้อภัยตัวเองไปตลอดชั่วชีวิต

เรื่องราวทั้งหมดเกือบจะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่โชคยังดี…เพราะเมื่อน้ำตาของเจ้าหญิงสัมผัสกับเส้นไหมพรมสีน้ำตาลของเจ้าชายหมีถัก ปาฏิหาริย์แห่งความรักที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น! เส้นไหมพรมทั้งหมดค่อย ๆ รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมีแสงสว่างวูบวาบตลอดเวลาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ และหลังจากที่เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เจ้าชายหมีถักก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่คราวนี้ พระองค์ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมอีกแล้ว เจ้าชายหมีถักกลายสภาพเป็นเจ้าชายรูปงามด้วยอานุภาพแห่งความรักที่แท้จริง

เจ้าหญิงทรงกล่าวคำขอโทษเจ้าชายด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าชายกลับไม่คิดติดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เจ้าชายทรงให้อภัยเจ้าหญิงทุก ๆ อย่าง และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหญิงและเจ้าชายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดแบนเนอร์โฆษณาต่าง ๆ ที่ขึ้นมาให้เห็น เพื่อทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ

เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว – นิทานคลาสสิกจากฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน

“เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว” (The Princess and the Pea) หรือในชื่อภาษาเดนมาร์กว่า Prinsessen på ærten เป็นนิทานสั้นที่แต่งโดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานผู้เปลี่ยนโลกแห่งวรรณกรรมเด็กด้วยเรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นิทานเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1835 และกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดของเขา

แม้เนื้อเรื่องจะดูเรียบง่าย คือเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ตามหาเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง และใช้เมล็ดถั่วเล็ก ๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าหญิง แต่นิทานเรื่องนี้กลับได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวางในแวดวงวรรณกรรมเด็กและจิตวิทยา นักวิชาการหลายท่านมองว่า “เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว” เป็นนิทานที่ยกย่องความอ่อนไหว ความละเอียดอ่อน และความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ซึ่งมักถูกมองข้ามในโลกที่ให้คุณค่ากับความแข็งแกร่งและรูปลักษณ์ภายนอก

เมล็ดถั่วในเรื่องจึงไม่ใช่แค่สิ่งของเล็ก ๆ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของ “ความจริงเล็ก ๆ” ที่สามารถเปิดเผยตัวตนของคนเราได้อย่างน่าทึ่ง และเตียงที่สูงลิบก็ไม่ใช่เพียงฉากในนิทาน แต่เป็นบททดสอบที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกแห่งนิทาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายองค์หนึ่งที่กำลังตามหาเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง เพื่อมาเป็นคู่ครองของพระองค์

เจ้าชายเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ มากมาย พบหญิงสาวมากหน้าหลายตา บางคนแต่งกายงดงามราวกับเจ้าหญิง บางคนพูดจาอ่อนหวานราวกับเจ้าหญิง แต่ไม่ว่าใครจะแสดงออกอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้เจ้าชายมั่นใจได้ว่า คน ๆ นั้นเป็นเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง เจ้าชายจึงกลับมายังปราสาทของพระองค์ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า

คืนหนึ่ง เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ลมพัดแรงจนต้นไม้โยกไหว ฝนตกกระหน่ำไม่หยุด และฟ้าร้องเสียงดังจนปราสาทสะเทือน ทุกคนต่างหลบอยู่ในห้องของตนเอง ไม่มีใครกล้าออกไปไหน

ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูปราสาทดังขึ้น เจ้าชายและพระราชินีต่างแปลกใจ เมื่อเปิดประตูออกดูเจ้าชายกับพระราชินีก็พบหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางสายฝน เสื้อผ้าเปียกโชก ผมเปียกชุ่ม และรองเท้าก็เต็มไปด้วยโคลน

หญิงสาวกล่าวอย่างสุภาพว่า “ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหญิงจากแดนไกล ขออภัยที่มาขอพักพิงในยามค่ำคืนเช่นนี้”

ราชินีมองหญิงสาวด้วยความสงสัย แม้เธอจะพูดจาอ่อนโยน แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอไม่เหมือนเจ้าหญิงเลย

ราชินีจึงคิดจะทดสอบว่าเธอเป็นเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริงหรือไม่ พระองค์สั่งให้คนรับใช้จัดเตียงนอนให้หญิงสาว โดยวางเม็ดถั่วหนึ่งเมล็ดไว้ใต้ฟูกที่นอน จากนั้นก็ซ้อนฟูกอีกถึงยี่สิบชั้น และปูผ้านวมอีกยี่สิบผืนไว้ด้านบน

เตียงนั้นสูงจนต้องใช้บันไดปีนขึ้นไป หญิงสาวขึ้นไปนอนบนเตียงนั้น ทุกคนในปราสาทต่างเฝ้ารอคำตอบในเช้าวันรุ่งขึ้น ว่าการทดสอบของราชินีจะได้ผลหรือไม่

เมื่อรุ่งเช้า ราชินีถามหญิงสาวว่าเธอนอนหลับสบายหรือไม่

หญิงสาวตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าพเจ้านอนไม่หลับเลยตลอดคืน มีบางสิ่งแข็ง ๆ อยู่ใต้ที่นอน มันทำให้ข้าพเจ้าปวดหลังจนแทบขยับตัวไม่ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชินีก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะมีเพียงเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่มีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนมากพอจะรู้สึกถึงเมล็ดถั่วเล็ก ๆ ใต้ฟูกหนานุ่มถึงยี่สิบชั้น

เจ้าชายดีใจอย่างยิ่งที่พบเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง พระองค์ขอเธอแต่งงานทันที และเจ้าหญิงก็ตอบรับด้วยความยินดี

พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างงดงาม และทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุข

ในที่สุด เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดของผู้ใหญ่คือการรู้จักใช้วิธีอ่อนโยนในการพิสูจน์ความจริง
  • การอบรมเลี้ยงดูที่ดีจะหล่อหลอมให้คนมีความละเอียดอ่อนโดยธรรมชาติ
  • ความละเอียดอ่อนคือคุณสมบัติที่ไม่สามารถแสร้งทำได้
ภาพเจ้าหญิงนอนบนเตียงสูงในนิทานเจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานผจญภัย

สาวน้อย เปโตรซิเนลลา: นิทานคลาสสิกจากอิตาลีที่เป็นต้นแบบของราพันเซล

นิทานเปโตรซิเนลลา (Petrosinella) เป็นนิทานพื้นบ้านจากอิตาลีที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี โดยปรากฏครั้งแรกในหนังสือ Lo cunto de li cunti หรือ The Tale of Tales ซึ่งเขียนโดย Giambattista Basile นักเขียนและนักสะสมนิทานพื้นบ้านชาวอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17

นิทานเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของนิทาน ราพันเซล ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี แม้ว่าเวอร์ชันของ Brothers Grimm จะได้รับความนิยมมากกว่าในยุคหลัง แต่ Petrosinella กลับมีโครงเรื่องที่ลึกซึ้งและมีรายละเอียดที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การที่นางเอกเรียนรู้เวทมนตร์จากนางยักษ์ และใช้ไหวพริบในการหลบหนีด้วยของวิเศษสามชิ้น

นักวิชาการด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบมักชื่นชม Petrosinella ในฐานะนิทานที่ให้บทเรียนเรื่อง “การเติบโตผ่านการเรียนรู้” และ “ชัยชนะของสติปัญญาเหนืออำนาจ” โดยเฉพาะในเวอร์ชันของ Basile ที่เน้นความกล้าหาญและความรักที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา

ในแง่ของวัฒนธรรม นิทานเรื่องนี้สะท้อนความเชื่อของชาวอิตาลีในยุคนั้นเกี่ยวกับเวทมนตร์ ความอยากในช่วงตั้งครรภ์ และการต่อรองกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นธีมที่พบได้บ่อยในนิทานยุโรปตอนใต้

การนำเสนอเรื่อง สาวน้อยเปโตรซิเนลลา ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ จึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวรรณกรรมคลาสสิกกับบทเรียนชีวิตที่เข้าถึงใจเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างลึกซึ้ง

ในเมืองเล็กแห่งหนึ่งของอิตาลี มีหญิงสาวชื่อปัสกาโดซเซียอาศัยอยู่กับสามีอย่างยากจน วันหนึ่งเธอตั้งครรภ์ และเกิดความอยากกินผักชีฝรั่งที่ปลูกอยู่ในสวนของนางยักษ์ข้างบ้าน ความอยากนั้นรุนแรงจนเธอขอให้สามีแอบเข้าไปเก็บมาให้

สามีแม้จะลังเล แต่ก็ยอมทำตามคำขอของภรรยา เขาแอบเข้าไปในสวนของนางยักษ์และเด็ดผักชีฝรั่งมาให้ภรรยากิน เมื่อภรรยากินแล้วก็ยิ่งอยากกินอีก เขาจึงกลับไปเก็บอีกครั้ง แต่คราวนี้นางยักษ์จับได้

นางยักษ์โกรธมากและขู่ว่าจะลงโทษเขา แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำไปเพราะความรักต่อภรรยา นางจึงยื่นข้อเสนอว่า หากเขายอมมอบลูกในครรภ์ให้เมื่อคลอดออกมา นางจะไม่ลงโทษและจะให้อภัย เขาจำใจตกลง

เมื่อเด็กหญิงเกิดมา นางยักษ์มารับตัวไปเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก และตั้งชื่อว่า เปโตรซิเนลลา ซึ่งหมายถึง “ผักชีฝรั่งน้อย” เด็กหญิงเติบโตขึ้นในบ้านของนางยักษ์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่ถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอก

เมื่อเปโตรซิเนลลาโตขึ้น เธอมีผมยาวสลวยและเสียงร้องเพลงไพเราะ วันหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านบ้านของนางยักษ์และได้ยินเสียงร้องเพลงของเธอ เขาหลงใหลในเสียงนั้นและแอบดูเธอจากหน้าต่าง

ชายหนุ่มพยายามหาทางเข้าไปหาเปโตรซิเนลลา แต่บ้านของนางยักษ์ไม่มีประตู มีเพียงหน้าต่างสูงที่นางยักษ์ใช้ปีนขึ้นโดยจับผมของเปโตรซิเนลลา เขาจึงเลียนแบบวิธีของนางยักษ์และเรียกให้เธอปล่อยผมลงมา

เมื่อเปโตรซิเนลลาเห็นชายหนุ่ม เธอตกใจแต่ก็รู้สึกอบอุ่น ทั้งสองพูดคุยกันและเริ่มมีความรักต่อกัน พวกเขาแอบพบกันทุกวันโดยใช้ผมของเธอเป็นทางขึ้นลง

นางยักษ์เริ่มสงสัยและจับได้ว่าเปโตรซิเนลลาแอบพบชายหนุ่ม เธอโกรธมากและวางแผนจะจับตัวเปโตรซิเนลลากลับไปขังไว้ในหอคอยกลางป่า เพื่อไม่ให้ใครเข้าถึงได้อีก

แต่เปโตรซิเนลลาไม่ยอมแพ้ เธอใช้ไหวพริบและเวทมนตร์ที่เรียนรู้จากนางยักษ์ แอบเตรียมของวิเศษไว้สามอย่าง ได้แก่ หวี หิน และกระจก ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งกีดขวางได้

คืนหนึ่ง เปโตรซิเนลลาแอบหลบหนีออกจากหอคอยพร้อมชายหนุ่ม โดยนำของวิเศษติดตัวไปด้วย นางยักษ์รู้ทันและรีบตามทั้งคู่ไปด้วยความโกรธจัด

เปโตรซิเนลลาโยนหวีลงพื้น หวีกลายเป็นป่าหนามขวางทาง นางยักษ์ใช้เวทมนตร์ฝ่าผ่านไปได้

เปโตรซิเนลลาจึงโยนหินลงไป หินกลายเป็นภูเขาสูง นางยักษ์ปีนข้ามไปอย่างยากลำบาก

สุดท้าย เปโตรซิเนลลาโยนกระจกลงพื้น กระจกกลายเป็นทะเลกว้าง นางยักษ์ไม่สามารถข้ามไปได้ และจมน้ำหายไปในที่สุด

เมื่อพ้นภัย เปโตรซิเนลลาและชายหนุ่มกลับไปยังเมืองของเขา ทั้งสองแต่งงานกันอย่างมีความสุข และใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรักและความกล้าหาญที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรักและสติปัญญาสามารถเอาชนะอำนาจที่กักขังได้ แม้จะต้องเผชิญกับความกลัวและอุปสรรคมากมาย หากมีความกล้าและความจริงใจ ก็สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้อย่างงดงาม

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความรักแท้ต้องมาพร้อมความกล้าหาญในการเผชิญอุปสรรค
  • สติปัญญาและการเตรียมตัวสามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก
  • การกักขังไม่อาจหยุดยั้งจิตใจที่โหยหาอิสรภาพและความรัก
ภาพประกอบนิทานสาวน้อยเปโตรซิเนลลา เด็กหญิงผมแดงกำลังหลบหนีจากนางยักษ์ในฉากป่า สื่อถึงความกล้าหาญและการหลุดพ้น
เปโตรซิเนลลาใช้ไหวพริบและเวทมนตร์หลบหนีจากนางยักษ์ เพื่อค้นหาอิสรภาพและความรักแท้
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานเจ้าหญิง

เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) เวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์: นิทานคลาสสิกที่อบอุ่น

ในโลกของนิทานคลาสสิก มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลาอย่างไม่เสื่อมคลาย—เรื่องของเจ้าหญิงผู้หลับใหลด้วยคำสาป และตื่นขึ้นด้วยจุมพิตแห่งรักแท้ นิทานเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ Sleeping Beauty หรือ “เจ้าหญิงนิทรา” แต่ในเวอร์ชั่นดั้งเดิมของพี่น้องกริมส์จากประเทศเยอรมนี นิทานนี้มีชื่อว่า Dornröschen ซึ่งแปลว่า “กุหลาบหนาม” อันเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ความอดทน และการรอคอยอย่างมีความหวัง

แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับฉบับดิสนีย์ที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยภาพฝัน แต่แท้จริงแล้ว “เจ้าหญิงนิทรา” มีรากฐานจากนิทานพื้นบ้านยุโรปที่เก่าแก่และลุ่มลึก เวอร์ชั่นแรกสุดที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรคือ Sun, Moon, and Talia โดย จาแมตติสตา บาซีล (Giambattista Basile) ในศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีเนื้อหาเข้มข้นและมืดมนกว่าฉบับที่เรารู้จักในปัจจุบัน ต่อมาในปี 1697 ชาร์ลส์ แปโรต์ (Charles Perrault) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ได้ปรับเรื่องให้ละมุนขึ้นใน La Belle au bois dormant ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเวอร์ชั่นดิสนีย์ในเวลาต่อมา

พี่น้องกริมส์ (Jacob และ Wilhelm Grimm) ได้นำเรื่องนี้มาปรับใหม่ในชื่อ Dornröschen โดยตีพิมพ์ในปี 1812 จุดเด่นของเวอร์ชั่นกริมส์คือการเน้นความบริสุทธิ์ของเจ้าหญิง ความกล้าหาญของเจ้าชาย และภาพพุ่มหนามที่ปกคลุมพระราชวังเป็นดั่งม่านเวลาที่ปกป้องความงามไว้ให้คนที่คู่ควรได้พบเจอ นิทานนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวของเวทมนตร์และโชคชะตา แต่ยังสะท้อนบทเรียนชีวิตเรื่อง “การรอคอยอย่างไม่สิ้นหวัง” และ “รักแท้ที่ไม่ต้องเร่งรีบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีพระองค์หนึ่ง ทั้งสองพระองค์ครองราชย์มานาน แต่ก็ยังไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาเลยสักองค์ พระราชินีทรงเศร้าโศกและภาวนาทุกวันว่าขอให้มีลูกเสียที

วันหนึ่ง พระราชินีเสด็จไปอาบน้ำที่สระน้ำ ทันใดนั้น ปลาตัวหนึ่งว่ายโฉบขึ้นมาแล้วพูดว่า “ความปรารถนาของพระนางกำลังจะเป็นจริง อีกไม่นานพระองค์จะมีลูกสาวแล้ว”

ไม่นานนัก พระราชินีก็ให้กำเนิดพระธิดางดงาม พระราชาและพระราชินีดีใจยิ่งนัก ทั้งอาณาจักรเต็มไปด้วยความสุข พระราชาจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเหล่านางฟ้ามามอบพรให้เจ้าหญิงน้อย

ในราชอาณาจักรมีนางฟ้าอยู่ 13 องค์ แต่ในพระราชวังมีจานทองเพียง 12 ใบ พระราชาจึงจำใจเชิญนางฟ้ามาเพียง 12 องค์ เพื่อเลี้ยงดูอย่างสมเกียรติ

ในงานเลี้ยง นางฟ้าแต่ละองค์ต่างพากันประทานพรให้เจ้าหญิง ทั้งความงาม ความใจดี ความร่ำรวย ความสุข และพรดี ๆ อีกมากมาย แต่แล้ว…จู่ ๆ นางฟ้าองค์ที่ 13 ซึ่งไม่ได้รับเชิญก็มาปรากฏกายขึ้น นางโกรธมากที่ถูกลืม นางไม่ได้กินเลี้ยงกับคนอื่น และไม่ได้รับเกียรติใด ๆ เลย

นางฟ้าองค์ที่ 13 จึงกล่าวคำสาปเสียงดังว่า “เมื่อเจ้าหญิงมีอายุครบ 15 ปี เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นด้ายตำมือ และจะต้องสิ้นพระชนม์!”

สิ้นเสียงนั้น นางฟ้าก็หายวับไปในทันที ทั้งราชวังตกอยู่ในความตกใจและเศร้าโศก

แต่ยังมีนางฟ้าองค์ที่ 12 ซึ่งยังไม่ได้มอบพร นางจึงออกมากล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าพเจ้าจะช่วยได้ แม้พรของข้าจะไม่สามารถลบคำสาปได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าหญิงไม่ตาย เพียงแต่จะหลับใหลไปเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แล้วจะมีเจ้าชายมาปลุกให้ฟื้นคืน”

พระราชาได้ยินดังนั้นก็โล่งใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังกลัว จึงรับสั่งให้เผาเครื่องปั่นด้ายทุกอันในอาณาจักรทิ้งให้หมด

กาลเวลาผ่านไป เจ้าหญิงเติบโตเป็นสาวงดงาม มีน้ำใจอ่อนโยน และเป็นที่รักของทุกคน ครั้นเมื่อถึงวันเกิดครบ 15 ปี พระราชาและพระราชินีไม่อยู่ในพระราชวัง เจ้าหญิงจึงเดินเที่ยวไปตามห้องต่าง ๆ ด้วยความซุกซน

แล้วเจ้าหญิงก็มาถึงหอคอยสูง ห้องเล็ก ๆ ที่เจ้าหญิงไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างในมีหญิงชราองค์หนึ่งกำลังนั่งปั่นด้ายอยู่ “คุณยายกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ” เจ้าหญิงถามด้วยความอยากรู้ “ยายกำลังปั่นด้ายจ้ะ” หญิงชราตอบ เจ้าหญิงสนใจจึงขอลองทำบ้าง แต่ทันทีที่เจ้าหญิงจับเครื่องปั่นด้าย เข็มก็ทิ่มนิ้วของพระนาง คำสาปของนางฟ้าที่ 13 จึงเป็นจริง เจ้าหญิงทรุดลงและหลับใหลไปในทันที

และแล้ว…ทั้งพระราชวังพลันตกอยู่ในความสงบงัน พระราชา พระราชินี และเหล่าข้าราชบริพารต่างก็หลับไปเช่นเดียวกัน แม้แต่ม้าในคอก นกบนหลังคา หรือไฟที่กำลังลุกในเตา ก็หยุดนิ่งราวกับเวลาถูกสะกด

ไม่นานหลังจากนั้น พุ่มกุหลาบหนามก็ขึ้นปกคลุมรอบพระราชวัง พงหนามนั้นหนาทึบจนไม่มีใครสามารถเข้าไปถึงได้ และไม่นานนัก พระราชวังทั้งหลังได้หายไปจากสายตาของผู้คน

มีเรื่องเล่ากันไปทั่วดินแดน ว่าภายในพุ่มหนามนั้นมีเจ้าหญิงงดงามนอนหลับใหลอยู่ ใครก็ตามที่เข้าไปพยายามฝ่าพงหนามก็ล้วนติดอยู่ในนั้น ไม่มีใครกลับออกมาได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ครบหนึ่งร้อยปีเต็ม พุ่มหนามก็กลับกลายเป็นกุหลาบงดงามบานสะพรั่ง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งได้เดินทางผ่านมา และได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงในวังที่ถูกสาป เจ้าชายต้องการเห็นความจริงด้วยตา จึงตัดสินใจลองเข้าไปดู

ทันทีที่เจ้าชายเริ่มเดินเข้าไปในพุ่มหนาม พงกุหลาบหนามที่เคยพันเกี่ยวแน่นหนา กลับแยกตัวออกเป็นทางให้เจ้าชายก้าวเข้าไปได้โดยง่าย

เมื่อเข้าไปถึงในวัง เจ้าชายก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่อย่างเงียบสงัด ผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ หลับใหลนิ่งไม่ไหวติง จนเจ้าชายไปถึงห้องบรรทมของเจ้าหญิง

เมื่อเจ้าชายมองเห็นเจ้าหญิงนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าหญิงทรงงดงามราวกับเทพธิดา พระองค์รู้สึกเหมือนหัวใจถูกดึงดูดอย่างแรงกล้า เจ้าชายจึงเผลอก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของเจ้าหญิง

ทันใดนั้น เจ้าหญิงก็ลืมพระเนตรขึ้น และตื่นจากการหลับใหล พระราชา พระราชินี และทุกชีวิตในวังก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็จัดงานมงคลสมรสขึ้น พระราชวังกลับมามีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข และพวกเขาทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การรอคอยอย่างอดทนและไม่สิ้นหวัง คือพลังเงียบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันงดงาม
  •  ความรักแท้ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหรือเร้าอารมณ์ หากแต่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม และปลุกชีวิตให้เบ่งบานอีกครั้ง
  • สิ่งที่ดูเหมือนอุปสรรค เช่นพุ่มหนาม อาจเป็นการปกป้องสิ่งงดงามไว้ให้คนที่คู่ควรได้พบเจอในเวลาที่ใช่
เจ้าหญิงนิทรานอนหลับอยู่ในห้องบรรทม ท่ามกลางแสงอ่อนและพุ่มกุหลาบหนามที่ปกคลุม สื่อถึงการหลับใหลหนึ่งร้อยปีตามคำสาปในนิทานเจ้าหญิงนิทรา sleeping beauty หรือ Dornröschen
ภาพประกอบจากนิทาน Dornröschen เวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์ ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เจ้าหญิงหลับใหลในวังที่ถูกพุ่มหนามปกคลุม รอคอยรักแท้ที่จะปลุกให้ตื่นขึ้น
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานสอนใจ, นิทานอินเดีย

ซาวิตรีและสัตยาวัน : นิทานความรัก ความกตัญญู และชัยชนะเหนือโชคชะตา

นิทานเรื่อง ซาวิตรีและสัตยาวัน ไม่ได้เป็นเพียงนิทานความรักที่เล่าขานกันในอินเดียเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งในเรื่องย่อยอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏอยู่ใน มหากาพย์มหาภารตะ — วรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ยาวที่สุดในโลก และเป็นเสาหลักของวัฒนธรรมฮินดู มหากาพย์นี้มีความลึกซึ้งทั้งในด้านศาสนา ปรัชญา และจริยธรรม โดยเรื่องของซาวิตรีถูกบรรจุไว้ใน “วนบรรพ” หรือ “บรรพแห่งป่า” ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวละครหลักของมหากาพย์ถูกเนรเทศและได้เรียนรู้ธรรมะผ่านเรื่องเล่าจากฤๅษีผู้ทรงภูมิ

แม้จะเป็นเพียงเรื่องย่อยในมหากาพย์ แต่ ซาวิตรีและสัตยาวัน กลับได้รับการยกย่องจากนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในนิทานที่สะท้อน “ธรรมะในชีวิตจริง” ได้อย่างงดงามที่สุด ตัวละครหญิงในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เลอโฉม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ประกอบด้วยสติปัญญา ความกตัญญู และความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับโชคชะตา นิทานเรื่องนี้จึงถูกนำไปตีความและดัดแปลงในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก รวมถึงในไทย

สำหรับคนไทย นิทานเรื่องนี้อาจมีบริบทบางอย่างที่แตกต่างจากค่านิยมไทย เช่น การเลือกคู่ครองด้วยตนเอง หรือการสนทนากับเทพแห่งความตาย แต่เมื่อเข้าใจพื้นฐานของมหากาพย์มหาภารตะและวัฒนธรรมอินเดียแล้ว จะพบว่าเรื่องนี้มีคุณค่าอันเป็นสากลและเข้าถึงใจของคนทุกเชื้อชาติ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เราเข้าใจความรัก ความเสียสละ และพลังของปัญญาในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอัศวปตี ที่รุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์ มีพระราชาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระราชาอัศวปตี” พระองค์ทรงมีทุกสิ่งครบถ้วน ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว นั่นคือบุตรหรือธิดาที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์

ทุกค่ำคืน พระราชาอัศวปะตีจะทรงสวดมนต์ภาวนาและบำเพ็ญตบะ ด้วยความหวังอันแรงกล้าที่จะได้ทายาทผู้เปี่ยมด้วยปัญญามาสืบทอดวงศ์ตระกูล

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระแม่แห่งปัญญาได้เสด็จมาในความฝันของพระราชาอัศวปตี แล้วตรัสว่า “เจ้าจะได้ธิดา ผู้เปล่งประกายดุจจันทรา แต่จงรู้ไว้เถิด…นางมีโชคชะตาอันท้าทายรอคอยอยู่”

ในเวลาต่อมา พระราชาอัศวปตีก็ได้พระธิดาสมดังใจ พระธิดาผู้เลอโฉมพระองค์นั้นมีนามว่า “ซาวิตรี” นางงดงามเหนือหญิงใดโลกหล้า ทั้งยังเฉลียวฉลาด กตัญญู ซื่อตรง และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรจึงพากันรักใคร่ชื่นชมพระองค์มาก

ครัันเมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีเติบโตถึงวัยอันสมควร พระราชาได้ตรัสกับพระธิดาว่า “เจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญา หากไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อมถึงดวงจันทร์อย่างเจ้า เจ้าจงออกเดินทางเถิด แล้วเลือกชายผู้คู่ควร ด้วยหัวใจของเจ้าเอง”

เมื่อพระบิดาตรัสเช่นนั้น เจ้าหญิงซาวิตรีจึงออกเดินทางพร้อมเหล่าข้าราชบริพาร ท่องไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ และได้พบชายหนุ่มเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกว่า “คือคนที่ใช่” สำหรับพระองค์

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ท่ามกลางป่าลึกที่สงบงาม เจ้าหญิงซาวิตรีได้พบชายหนุ่มผู้หนึ่ง นามว่า “สัตยาวัน” สัตยาวันไม่ได้มีสมบัติใด ๆ ที่เทียบเคียงกับเจ้าหญิงได้ แต่เขามีหัวใจที่อ่อนโยน, มีมือที่ขยันขันแข็ง และมีดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา

จริง ๆ แล้ว สัตยาวันเป็นโอรสของกษัตริย์ผู้ถูกโค่นอำนาจ เขาจึงต้องมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในป่า และต้องดูแลบิดามารดาผู้ชราภาพด้วยความรักและความกตัญญู เจ้าหญิงซาวิตรีรู้ในทันทีว่า… นี่คือผู้ชายที่หัวใจของพระองค์เฝ้าตามหา

เมื่อเจ้าหญิงซาวิตรีกลับไปกราบทูลพระราชาและขออนุญาตแต่งงานกับสัตยาวัน โหรหลวงประจำราชสำนักได้ทูลว่า “สัตยาวันเป็นบุรุษที่มีบุญ แต่ดวงชะตากำหนดไว้แล้วว่า…เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น!”

พระราชาทรงตกใจ และพยายามหว่านล้อมให้เจ้าหญิงซาวิตรีเปลี่ยนใจ แต่เจ้าหญิงกลับกล่าวด้วยสายตาอันมั่นคงว่า “แม้จะมีเพียงหนึ่งปีแห่งความสุขที่แท้จริงกับคนที่หม่อมฉันรัก ก็ยังดีกว่ามีชีวิตทั้งชีวิตกับคนที่หม่อมฉันไม่ได้รัก” ในที่สุด…เจ้าหญิงซาวิตรีก็ตัดสินใจแต่งงานกับสัตยาวัน โดยพระองค์ได้ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง แล้วไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในป่าร่วมกับสามีและบิดามารดาของเขาอย่างเต็มใจ

หนึ่งปีผ่านไป วันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง…ได้เวียนมาถึงวาระ วันนั้น สัตยาวันออกไปตัดไม้ในป่าตามปกติ แต่ซาวิตรีรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซาวิตรีจึงขอตามสามีไปด้วย

ตลอดทั้งวัน…ยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในขณะที่สัตยาวันกำลังแบกฟืนกลับบ้าน เขากลับทรุดลงด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง

ในวินาทีนั้น “ยมราช” ผู้เป็นเทพแห่งความตาย ได้ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางลมพัดเย็นยะเยือก

“ถึงเวลาของสัตยาวันแล้ว เจ้าจงถอยไปเถิด” ยมราชพูดกับซาวิตรี พร้อม ๆ กับเตรียมนำวิญญาณของสัตยาวันออกจากร่าง

แต่ซาวิตรีไม่ยอม นางจึงกล่าวกับยมราชว่า “ท่านเป็นเทพแห่งธรรมะและความยุติธรรมมิใช่หรือ? ภรรยาผู้สัตย์ซื่อต้องตามสามีไปทุกแห่ง แม้แต่โลกหลังความตาย ข้าย่อมต้องติดตามเขา”

หัวใจที่มุ่งมั่นและสายตาที่เอาจริงของซาวิตรี ทำให้ยมราชประทับใจในความเด็ดเดี่ยว ยมราชจึงกล่าวว่า “หัวใจของเจ้าช่างประเสริฐ เอาล่ะ…ข้าจะให้พรแก่เจ้า เจ้าจะขอพรอะไรก็ได้ 3 ประการ…ยกเว้นการขอชีวิตของสัตยาวัน”

ซาวิตรีประนมหัตถ์ขอบคุณและกล่าวว่า “ข้าขอให้พระบิดาของข้าได้ทายาทอีกองค์ เพื่อสืบสันตติวงศ์” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญู

ข้อที่สอง “ข้าขอให้บิดาของสัตยาวันได้อาณาจักรคืน เพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของตระกูลเขา” การที่ซาวิตรีขอพรเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อสามีและครอบครัวของสามี

ข้อสุดท้าย “ข้าขอให้ข้ามีบุตรกับสัตยาวัน”

ยมราชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะหากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป ซาวิตรีก็ย่อมไม่มีโอกาสมีบุตรกับสัตยาวันเป็นแน่

ยมราชไม่ให้ซาวิตรีขอชีวิตของสัตยาวัน นางจึงเลี่ยงการขอชีวิตสามี โดยผูกตรรกะที่ไม่อาจโต้แย้งได้ พระองค์รับรู้ในทันทีว่า ซาวิตรีเป็นสตรีที่มีสติปัญญาสูงส่ง หากยมราชเอาชีวิตของสัตยาวันไป พรข้อสามก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้!

ยมราชยิ้มอย่างชื่นชม “เจ้าชนะแล้ว ซาวิตรี…ข้าจะคืนชีวิตให้สัตยาวัน”

เมื่อสัตยาวันฟื้นคืนชีวิต ซาวิตรีก็รีบประคองเขาไว้แนบกาย พร้อมกับขอบคุณยมราชที่เมตตา

ครั้นเมื่อซาวิตรีและสัตยาวันเดินทางกลับสู่อาณาจักร บิดาและมารดาของสัตยาวันที่ได้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ ก็รอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่นั่น ส่วนบิดาของซาวิตรีได้มีพระโอรสองค์น้อยตามที่ซาวิตรีขอพรเอาไว้

ในที่สุด เรื่องราวความรักของซาวิตรีและสัตยาวันก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • รักแท้มีค่ากว่าทุกสิ่ง
  • รักแท้เอาชนะโชคชะตาได้
  • ผู้กตัญญูจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
  • สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้


จ้าหญิงซาวิตรีเจรจากับยมราชในป่า เพื่อช่วยชีวิตสามีสัตยาวัน – ภาพประกอบนิทานจากมหาภารตะ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ตี้ตี้กับถูถู

นิทานก่อนนอนสั้น ๆ เรื่อง “ตี้ตี้กับถูถู” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในช่วงปีแรก ๆ ของการเป็นนักเขียนนิทาน นิทานเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องเบา ๆ ไม่ซับซ้อน แต่น่าจะสร้างรอยยิ้มให้เด็ก ๆ ได้ เมื่ออ่านนิทานจบแล้ว ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ

นิทานเรื่อง ตี้ตี้กับถูถู

กาลครั้งหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งชื่อว่าตี้ตี้  แม่ของตี้ตี้เป็นช่างทำตุ๊กตา   ตี้ตี้มักจะเฝ้าดูแม่ทำตุ๊กตาอยู่เสมอ  จนกระทั่งวันหนึ่ง ตี้ตี้เกิดอยากมีตุ๊กตาเป็นของตัวเอง  เขาจึงลองหาเศษผ้าเหลือ ๆ ที่แม่ทิ้งแล้ว เอามาเย็บเข้าด้วยกันแบบเดียวกับที่แม่ทำ  จนในที่สุด  ตุ๊กตาตัวแรกในชีวิตของตี้ตี้ก็ถือกำเนิดขึ้น

ตุ๊กตาของตี้ตี้มีชื่อว่าถูถู   ถูถูเป็นตุ๊กตาหน้าตาเด๋อ ๆ   ตาของถูถูดูคล้ายกับหมีแพนด้า  แต่หูที่ยืดยาวออกมาทำให้มันดูคล้ายกับกระต่าย  แถมจมูกของถูถูยังแบะ ๆ แบน ๆ อย่างกับจมูกของหมูเสียอีก  ไป ๆ มา ๆ  ถูถูก็เลยกลายเป็นตุ๊กตาที่มีหน้าตาตลกที่สุดในโลก

ตี้ตี้รักตุ๊กตาของเขามาก  ตี้ตี้มักจะพาถูถูออกไปเดินเล่นทุก ๆ เช้า   ภาพของเด็กน้อยที่เดินจูงตุ๊กตาหน้าตาประหลาด ทำให้ใครต่อใครอดยิ้มไม่ได้ด้วยความเอ็นดู  ตี้ตี้มักจะพาถูถูเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ แล้วทั้งคู่ก็มักจะพากันเก็บดอกไม้เพื่อนำไปฝากแม่

อยู่มาวันหนึ่ง  ในขณะที่ตี้ตี้กำลังเก็บดอกไม้  มีทหารใจร้ายค่อย ๆ ย่องเข้ามาในสวนแล้วแอบขโมยถูถูไปโดยที่ตี้ตี้ไม่รู้ตัว  ทหารคนนี้หวังที่จะได้รางวัลจากเจ้าหญิงองค์น้อยเพราะเจ้าหญิงองค์น้อยมักจะให้รางวัลคนที่นำของเล่นแปลก ๆ ไปถวาย  เมื่อถูถูหายไป  ตี้ตี้ก็ได้ร้องไห้จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ  แม่ของตี้ตี้สงสารตี้ตี้มาก แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตี้ตี้ได้อย่างไร

เจ้าหญิงองค์น้อยทรงชอบถูถูมากกว่าของเล่นชิ้นใด ๆ ที่พระองค์เคยมีมา  เจ้าหญิงให้รางวัลแก่ทหารใจร้ายจนทหารใจร้ายยิ้มไม่หุบ เจ้าหญิงองค์น้อยพาถูถูเดินไปทุก ๆ ที่  พระองค์หาเสื้อผ้าดี ๆ ให้ถูถูใส่  เจ้าหญิงมีความสุขมากที่มีถูถูอยู่ใกล้ ๆ  แต่พระองค์ไม่รู้เลยว่า ถูถูกำลังเศร้าใจเพราะมันได้ยินเสียงตี้ตี้เพื่อนรักของมันกำลังร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า

เมื่อเจ้าหญิงนอนหลับ  ถูถูก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าหญิงฟัง  ถูถูขอโทษเจ้าหญิงที่ต้องแอบหนีเจ้าหญิงไปในขณะที่เจ้าหญิงกำลังนอนหลับ  ถูถูเดาว่าเจ้าหญิงคงไม่ยอมให้มันกลับบ้านแน่ ๆ เพราะเจ้าหญิงรักมันมาก  แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ ที่มันต้องรีบกลับไปหาตี้ตี้ เพราะตี้ตี้กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร

และทันทีที่ตี้ตี้เห็นถูถู  ตี้ตี้ก็โผเข้ากอดถูถูด้วยความดีใจ  ทั้งตี้ตี้และถูถูต่างมีความสุขที่ได้พบกันอีกครั้ง  แต่แม่ของตี้ตี้กลับรู้สึกกังวลใจเพราะนางไม่รู้ว่าเจ้าหญิงจะตามมาเอาถูถูกลับคืนไปหรือไม่

โชคดีที่เจ้าหญิงองค์น้อยเป็นเจ้าหญิงที่แสนดี  แม้ว่าพระองค์จะเสียใจที่ถูถูหนีกลับไปหาตี้ตี้  แต่พระองค์ก็ไม่ได้โกรธตี้ตี้หรือถูถูเลยแม้สักนิด  เจ้าหญิงสั่งให้ทหารดีจัดการทำโทษทหารใจร้ายในข้อหาขโมยของเด็ก  แล้วพระองค์ก็เขียนจดหมายจ่าหน้าถึงตี้ตี้และถูถูโดยจดหมายฉบับนั้นมีข้อความว่า

“ถึงตี้ตี้กับถูถู…ฉันขอโทษที่มีส่วนทำให้เธอทั้งสองไม่สบายใจ  เพื่อนรักก็ควรได้อยู่กับเพื่อนรัก  ฉันขอให้เธอทั้งสองเป็นเพื่อนที่รักกันตลอดไปนะ  ถ้ามีเวลาว่างแวะมาเยี่ยมเยียนฉันด้วย  ฉันเหงาและอยากจะเลี้ยงขนมพวกเธอเพื่อเป็นการไถ่โทษ…จากเจ้าหญิง”

ตี้ตี้และถูถูดีใจมากที่ได้รับจดหมายจากเจ้าหญิง  ทั้งสองตกลงกันว่าจะไปเยี่ยมเจ้าหญิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  และเพื่อที่จะทำให้เจ้าหญิงไม่เหงาอีกต่อไป  ตี้ตี้จึงลงมือทำตุ๊กตาตัวที่สองเพื่อมอบให้แก่เจ้าหญิงแสนดีโดยเฉพาะ   

 และแล้ว  นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

Posted in #นิทานนานาชาติ, #นิทานเจ้าหญิง, นิทานก่อนนอน

นิทานเจ้าหญิงสโนว์ไวต์ (Snow White) | นิทานเด็กอมตะจากยุโรป | นิทานนำบุญ

“เจ้าหญิงสโนว์ไวต์” (Snow White) เป็นนิทานพื้นบ้านจากยุโรปที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะในฉบับของพี่น้องกริมม์แห่งเยอรมนี เรื่องราวของเจ้าหญิงผู้มีจิตใจงดงามกับกระจกวิเศษและแอปเปิ้ลต้องสาปนี้ ถูกนำมาดัดแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในรูปแบบภาพยนตร์ การ์ตูน และหนังสือสำหรับเด็ก

หากคุณกำลังมองหา “นิทานสำหรับเด็กที่อ่านที่น่าประทับใจ” นิทานเรื่องนี้คือหนึ่งในนิทานคลาสสิกที่ไม่ควรพลาดเลยจริง ๆ

มาอ่านนิทานเรื่อง “สโนว์ไวต์” กันเถอะ…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งชื่อว่า “สโนว์ไวต์”   สโนว์ไวต์เป็นเจ้าหญิงที่สวยมาก ๆ   สวยกว่าผู้หญิงคนใด ๆ ในปฐพี  แต่นอกจากความสวยของหน้าตา  สโนว์ไวต์ยังมีนิสัยและจิตใจที่งดงามด้วย  ดังนั้น ไม่ว่าใครได้พบกับสโนว์ไวต์ ก็มักจะหลงรักสโนว์ไวต์ตั้งแต่แรกเห็น

อยู่มาวันหนึ่ง มีแม่มดใจร้ายตนหนึ่ง อยากที่จะครองอาณาจักรของพระราชา ผู้เป็นพ่อของสโนว์ไวต์  แม่มดจึงใช้ยาพิษกำจัดพระราชินี แล้วใช้ยาเสน่ห์ทำให้พระราชาหลงรักจนกระทั่งมาขอแต่งงานด้วย

เมื่อแม่มดได้กลายเป็นพระราชินีองค์ใหม่ เธอก็ผสมยาพิษอีกครั้ง โดยให้พระราชากินวันละเล็กวันละน้อย จนพระองค์ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์

หลังจากพระราชาสิ้นพระชนม์   แม่มดใจร้ายในคราบของราชินีองค์ใหม่ จึงได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่สมดังที่ใจหวัง

ทันทีที่พระราชินีใจร้ายได้ครองอาณาจักร  นางก็นำเงินจากท้องพระคลังไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพื่อบำรุงปรุงโฉมของตัวเอง ให้สวยงามกว่าใคร ๆ ในปฐพี

ครั้นเมื่อพระราชินีใจร้ายรู้สึกว่าตัวเองสวยได้ที่แล้ว  นางจึงถามกระจกวิเศษประจำตระกูลของแม่มดว่า  “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ว่าใครงามเลิศในปฐพี”

เมื่อกระจกวิเศษได้ฟัง  กระจกวิเศษก็ตอบว่า “อ๋อใช่ ก็เจ้าหญิงสโนว์ไวท์น่ะสิ  ทั่วทั้งปฐพี ไม่มีใครงามเกิน”

คำตอบของกระจกวิเศษ ทำให้ราชินีใจร้ายโมโหมาก  ด้วยความริษยา…นางจึงสั่งให้นายพราน  พาสโนว์ไวต์เข้าไปในป่า แล้วให้จัดการกับสโนว์ไวต์  เพื่อไม่ให้เธอได้ออกมาจากป่าอีก

เมื่อนายพรานได้พบกับเจ้าหญิงมีหน้าตาสะสวย  และมีนิสัยใจคอที่งดงามอย่างสโนว์ไวต์  นายพรานก็รู้สึกผิด เกินกว่าจะปลิดชีวิตของเธอ  ด้วยเหตุนี้  นายพรานจึงตัดสินใจพาสโนว์ไวต์ ไปอาศัยอยู่ในบ้านของคนแคระทั้งเจ็ดในป่าลึก    แล้วกำชับให้คนแคระทั้งเจ็ดเพื่อนของเขา ดูแลสโนว์ไวต์ให้ดีที่สุด

สโนว์ไวต์อาศัยอยู่ในบ้านของคนแคระทั้งเจ็ดอย่างมีความสุขเป็นเวลานานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่ง  เมื่อพระราชินีใจร้ายถามกระจกวิเศษอีกครั้งหนึ่งว่า “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ว่าใครงามเลิศในปฐพี”

เมื่อกระจกวิเศษตอบว่า “อ๋อใช่ ก็เจ้าหญิงสโนว์ไวต์น่ะสิ  ทั่วทั้งปฐพี ไม่มีใครงามเกิน”

คำตอบของกระจกวิเศษนี่เอง ที่ทำให้ราชินีใจร้ายรู้ในทันทีว่า สโนว์ไวต์ยังคงมีชีวิตอยู่

พระราชินีใจร้ายใช้เวลาสืบอยู่สักพักก็รู้ว่า สโนว์ไวต์แอบไปอาศัยอยู่กับคนแคระทั้งเจ็ดในป่าลึก พระราชินีใจร้ายอยากกำจัดสโนว์ต์  นางจึงปรุงยาพิษที่เมื่อใครกินเข้าไปแล้ว ก็จะหลับไหลไปตลอดกาล จนกว่าจะมีใครมาจุมพิตด้วยความรัก จึงจะฟื้นขึ้นมาได้ จากนั้น พระราชินีก็นำเอายาพิษ มาเคลือบไว้ที่ผิวของแอปเปิ้ลสีแดงสด   ก่อนที่จะปลอมตัวเป็นหญิงชรา  แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด เพื่อทำตามแผนที่วางเอาไว้

พระราชินีในคราบของหญิงชรา เฝ้ารอจนคนแคระทั้งเจ็ดออกไปทำงานนอกบ้าน จากนั้น  นางก็ใช้มารยาเล่นบทน่าสงสาร ทำทีเป็นขอน้ำดื่มเพื่อดับกระหายจากสโนว์ไวต์ ครั้นเมื่อนางได้ดื่มน้ำแล้ว นางก็กล่าวขอบคุณ สโนว์ไวต์ พร้อมกับคะยั้นคะยอให้สโนว์ไวต์กินแอปเปิ้ลที่นางนำติดตัวมาด้วย

“เออ หลานจ๊ะ  หลานช่างมีน้ำใจกับยายเหลือเกิน  อ่ะนะ ๆ  หลานให้ยายกินน้ำ ยายก็จะให้หลานกินแอปเปิ้ลอาบยาพิษ เอ๊ย ไม่ใช่ ๆ  ยายก็จะให้หลานกินแอปเปิ้ลจากสวนของยาย  มามะ มากินแอปเปิ้ลนะจ๊ะหลานจ๋า”

ในตอนแรก สโนว์ไวต์ไม่กล้ารับแอปเปิ้ลจากหญิงชรา เพราะเธอไม่ได้อยากได้สิ่งใดตอบแทนจากหญิงชราเลย   แต่เมื่อหญิงชราคะยั้นคะยอไม่ยอมหยุด สโนว์ไวต์จึงต้องยอมกินแอปเปิ้ลเพื่อให้หญิงชราสบายใจ

อนิจจา  สโนว์ไวต์ผู้น่าสงสารไม่รู้เลยว่า แอปเปิ้ลลูกนั้นเป็นแอปเปิ้ลอาบยาพิษ  ทันทีที่สโนว์ไวต์กินแอปเปิ้ลเข้าไป เธอก็ค่อย ๆ ง่วงและก็หลับใหลไปที่สุด

เมื่อพระราชินีใจร้ายจัดการกับสโนว์ไวต์ได้สำเร็จ นางก็สบายใจ แล้วรีบหนีกลับพระราชวังไป โดยไม่เคยคิดถึงเรื่องของสโนว์ไวต์อีกเลย

ฝ่ายคนแคระทั้งเจ็ดนั้น เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน และพบร่างของสโนไวต์นอนอยู่ที่พื้น พวกเขาก็พยายามช่วยกันเรียกให้สโนว์ไวต์ตื่น แต่ไม่ว่าคนแคระทั้งเจ็ดจะทำอย่างไร สโนว์ไวต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาได้เลย  คนแคระเสียใจมาก  พวกเขาคิดว่าสโนว์ไวต์มีสภาพแทบจะไม่ต่างจากคนตาย  แต่พวกเขาเห็นว่า พวกเขาไม่ควรฝังสโนว์ไวต์ไว้ใต้ดิน เพราะเธอยังคงหายใจอยู่  ด้วยเหตุนี้  คนแคระจึงช่วยกันสร้างโลงแก้ว แล้วบรรจุร่างของสโนว์ไวต์เอาไว้ในนั้น  โดยแอบหวังไว้ในใจว่า สักวัน…สโนว์ไวต์อาจฟื้นขึ้นมาและพูดคุยกับพวกเขาได้อีกครั้ง

เวลาผ่านไปนาน  นานจนคนแคระเริ่มจะหมดหวัง แต่แล้วในวันหนึ่ง ก็บังเอิญมีเจ้าชายรูปงานพระองค์หนึ่ง ทรงขี่ม้ากุบกับ ๆ ๆ  ผ่านมาเห็นโลงแก้วเข้า

เมื่อเจ้าชายลงจากหลังม้า  แล้วเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ  พระองค์ก็ทรงหลงใหลในความงามของเจ้าหญิงที่น่าสงสารผู้นอนอยู่ในโลงแก้วนั้น  เจ้าชายเผลอก้มลงจุมพิตเจ้าหญิงองค์นั้นด้วยความรักอันบริสุทธิ์

และทันทีที่เจ้าชายถอยตัวออกมา สโนไวต์ก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่น จากนั้น เธอก็ชันตัวขึ้นจากโลงแก้ว  ท่ามกลางความแปลกใจของเจ้าชายและเหล่าคนแคระทั้งหลาย

หลังจากที่สโนว์ไวต์เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าชายกับคนแคระฟัง   ทุกคนก็ลงความเห็นว่า ทั้งหมดคงเป็นแผนของราชินีใจร้าย ที่หมายจะเอาชีวิตของสโนว์ไวท์ด้วยแอปเปิ้ลอาบยาพิษ

เจ้าชายไม่อยากให้สโนว์ไวต์ต้องเผชิญกับเรื่องร้าย ๆ อีกเลย  พระองค์จึงขอแต่งงานกับสโนว์ไวต์ และเชิญสโนว์ไวต์ให้ไปอยู่ในอาณาจักรของพระองค์

ในที่สุด สโนไวต์ก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงาม แล้วทั้งคู่ก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขท่ามกลางความยินดีของคนแคระทั้งหลาย

#นิทานนำบุญ

ภาพประกอบนิทานเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวต์ เป็นฉากสำคัญที่แม่มดใจร้ายในคราบหญิงชรานำแอปเปิ้ลอาบยาพิษมายื่นให้เจ้าหญิงสโนว์ไวต์

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทาน ซินเดอเรลล่า

Continue reading “นิทาน ซินเดอเรลล่า”
Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

สัตว์เลี้ยงของเจ้าหญิง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งทรงเป็นเจ้าหญิงที่มีนิสัยสุดแสนจะขี้เกียจชนิดที่หาใครเทียบได้ยาก วันทั้งวัน..เจ้าหญิงจะเอาแต่กินกับนอน โดยปล่อยให้เหล่าพี่เลี้ยงคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ราวกับว่าพระองค์ยังคงเป็นเจ้าหญิงตัวเล็ก ๆ ที่พึ่งพาตนเองไม่ได้

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหญิงมีความจำเป็นต้องหาสัตว์เลี้ยงคู่กายมาเลี้ยงเอาไว้ ดังเช่นที่เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายพึงปฏิบัติ และด้วยเหตุนี้เอง เจ้าหญิงจึงเรียกนางฟ้าประจำตัวให้มาพบ แล้วขอให้นางฟ้าเนรมิตสัตว์เลี้ยงให้แก่พระองค์สักตัวหนึ่ง

นางฟ้าตรึกตรองอยู่พักใหญ่ ในที่สุด นางฟ้าก็เสกสุนัขตัวเล็ก ๆ ที่มีแววตาใสซื่อให้เป็นเพื่อนกับเจ้าหญิง   เจ้าหญิงทรงพอพระทัยมาก พระองค์ทรงเห่อเจ้าสุนัขตัวน้อยอย่างออกนอกหน้า แต่หลังจากเวลาผ่านไปเพียงแค่สามวัน เจ้าหญิงก็ทรงขี้เกียจให้อาหารเจ้าสุนัขตัวน้อย ดังนั้น เจ้าสุนัขจึงแอบหนีไปจากเจ้าหญิงด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

เมื่อไม่มีสัตว์เลี้ยงประจำตัว เจ้าหญิงจึงเรียกนางฟ้าให้มาช่วยเนรมิตสัตว์เลี้ยงให้แก่พระองค์อีกเป็นหนที่สอง ซึ่งในคราวนี้ เจ้าหญิงทรงกำชับกับนางฟ้าว่า พระองค์ทรงต้องการสัตว์เลี้ยงที่งามสง่า แต่สามารถหาอะไร ๆ กินเองได้ในยามที่พระองค์ทรงขี้เกียจให้อาหาร

นางฟ้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุด นางฟ้าก็ตัดสินใจเนรมิตแมวเปอร์เซียให้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเจ้าหญิง เจ้าหญิงทรงปลื้มสัตว์เลี้ยงของพระองค์มาก เพราะเจ้าแมวน้อยแลดูสง่างามและมีท่าทางเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปได้อีกเพียงสามวัน เจ้าหญิงก็ทรงขี้เกียจใส่ใจดูแลเจ้าแมวขนฟูเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับเจ้าสุนัขที่น่าสงสาร ซึ่งเมื่อเจ้าแมวเห็นว่าเจ้าหญิงไม่เต็มใจจะเป็นนายของมันอีกต่อไปแล้ว เจ้าแมวจึงตีจากเจ้าหญิงไปด้วยความผิดหวัง

เมื่อเจ้าหญิงไม่มีสัตว์เลี้ยงประจำตัว พระองค์จึงจำเป็นต้องเรียกนางฟ้าให้มาช่วยเนรมิตสัตว์เลี้ยงให้แก่พระองค์อีกเป็นครั้งที่สาม ซึ่งในคราวนี้ เจ้าหญิงทรงเน้นย้ำกับนางฟ้าว่า พระองค์ทรงต้องการสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับนิสัยของพระองค์จริง ๆ โดยขอให้เป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถให้อาหารแบบนาน ๆ ครั้งได้!

นางฟ้าพยายามใช้ความคิดอย่างเต็มที่ และแล้ว…นางฟ้าก็ตัดสินใจเนรมิตนกแสนสวยให้เป็นเพื่อนใหม่ของเจ้าหญิง เจ้าหญิงทรงพอใจเจ้านกแก้วตัวใหญ่ของพระองค์มาก เพราะนอกจากสีสันของมันที่ดูฉูดฉาดสะดุดตาแล้ว เจ้าหญิงยังสามารถเลี้ยงดูมันด้วยการใส่เมล็ดพืชไว้ในถ้วยเพียงสัปดาห์ละครั้งและเปลี่ยนน้ำดื่มให้มันทุก ๆ สามวันเท่านั้น เจ้าหญิงรู้สึกว่านกแก้วเป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับนิสัยของพระองค์มากที่สุด แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปได้เพียงสองสัปดาห์ เจ้าหญิงก็ทรงขี้เกียจใส่ใจดูแลนกของพระองค์อีกเช่นเคย ด้วยเหตุนี้ เจ้านกจึงบินจากเจ้าหญิงไปอย่างเศร้าสร้อย

เจ้าหญิงจอมขี้เกียจเรียกนางฟ้าเข้าพบเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งในคราวนี้ เจ้าหญิงพยายามย้ำแล้วย้ำอีกให้นางฟ้าเนรมิตสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับนิสัยของพระองค์จริง ๆ (ประเภทที่พระองค์ไม่ต้องดูแลมันเลยได้ยิ่งดี) นางฟ้าเหนื่อยหน่ายต่อนิสัยที่สุดแสนจะขี้เกียจของเจ้าหญิงเป็นอันมาก แต่อย่างไรก็ตาม นางฟ้าก็สัญญากับเจ้าหญิงว่า ตนเองจะลองกลับไปนอนคิดสักคืน แล้วจะเนรมิตสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมที่สุดให้แก่เจ้าหญิงในเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อเจ้าหญิงทรงตื่นนอน พระองค์พยายามสอดส่ายสายตามองหาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ตามที่นางฟ้าได้ให้สัญญาเอาไว้ แต่หลังจากที่เจ้าหญิงมองหาอยู่นาน พระองค์ก็ยังคงไม่พบเห็นสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับพระองค์มากที่สุดตัวนั้นเลย เจ้าหญิงทรงเกาศีรษะด้วยความสงสัย จากนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกให้นางฟ้าประจำตัวมาเข้าเฝ้าอีกครั้ง

นางฟ้าส่งยิ้มให้เจ้าหญิงพร้อมกับยืนยันว่า ตนเองได้เนรมิตสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมที่สุดให้แก่เจ้า-หญิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหญิงทรงมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง แต่พระองค์ก็ยังคงมองไม่เห็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ดังคำ   กล่าวอ้างของนางฟ้า เจ้าหญิงทรงเกาศีรษะด้วยความงุนงง พระองค์ทรงเกาด้วยมือซ้าย แล้วก็ก็ย้ายมาเกาด้วยมือขวา จากนั้น พระองค์ก็ใช้ทั้งสองมือเกาศีรษะไปมาไม่ยอมหยุด เจ้าหญิงทรงแปลกใจมากที่จู่ ๆ พระองค์ก็ทรงคันศีรษะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง นางฟ้าประจำตัวของเจ้าหญิงก็เอ่ยปากบอกเจ้าหญิงว่า “นั่นไงล่ะ สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับเจ้าหญิงมากที่สุด สัตว์เลี้ยงที่พระองค์ไม่ต้องดูแลมัน ไม่ต้องคอยให้อาหาร แต่มันจะภักดีและคอยหากินอยู่บนศีรษะของพระองค์ตราบนานเท่านาน”

เจ้าหญิงทรงร้องไห้ด้วยความขยะแขยง พระองค์ไม่ต้องการมี ‘ตัวเหา’ เป็นสัตว์เลี้ยงดังเช่นที่เป็นอยู่นี้ เจ้าหญิงทรงร้องขอให้นางฟ้าช่วยกำจัดตัวเหาออกไปจากศีรษะของพระองค์เสีย แต่นางฟ้ายื่นเงื่อนไขให้เจ้าหญิงสัญญาว่าจะเลิกนิสัยเกียจคร้าน และต้องรับปากว่าจะเลี้ยงดูเจ้าสุนัขตัวน้อย, เจ้าแมวขนฟู และเจ้านกแสนสวย ให้สมกับที่พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของพระองค์ เจ้าหญิงทรงให้สัญญากับนางฟ้า และทันใดนั้น…เจ้าหญิงก็ทรงตื่นขึ้นมาจากความฝัน

เมื่อเจ้าหญิงตื่นจากฝันร้าย พระองค์ก็ทรงเห็นเจ้าสุนัขตัวน้อย, เจ้าแมวขนฟูและเจ้านกแสนสวยกำลังรอคอยการตื่นนอนของพระองค์อยู่อย่างใจจดใจจ่อ เจ้าหญิงทรงดีใจที่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงทั้งสามอีกครั้ง (แทนที่จะเป็นตัวเหา) พระองค์ทรงกอดสัตว์ทั้งสามเอาไว้ด้วยความรัก และพระองค์ก็ทรงตั้งใจที่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนางฟ้าในความฝัน

ไม่ช้าไม่นาน…เจ้าหญิงจอมขี้เกียจก็กลับกลายเป็นเจ้าหญิงที่มีความรับผิดชอบและรู้จักดูแลตัวเองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และด้วยเหตุที่เจ้าหญิงมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจถึงสามตัว ดังนั้น เจ้าหญิงจึงมีความโดดเด่นเหนือกว่าเจ้าหญิงองค์อื่น ๆ ถึงสามเท่าเลยทีเดียว

#นิทานนำบุญ

…………………………………….