Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

อสุรกายมอมแมม : นิทานสอนใจเกี่ยวกับความสะอาดและมิตรภาพแสนที่อบอุ่น

นานมาแล้ว ในช่วงปีแรก ๆ ที่ผมเริ่มเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน ผมจำได้ว่า ตอนที่เขียนนิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” ได้สักพัก ผมก็รู้สึกเสียดายตัวละครเด็กผู้หญิงในนิทานเรื่องนั้น และแอบฝันว่าหากเป็นไปได้ จะพยายามเขียนนิทานตอนต่อของ “สกปรกที่สุดในโลก” เผื่อว่าสักวันจะนำนิทานเหล่านั้นมารวมเป็นเล่มได้แบบหนังสือเรื่อง “ปิ๊ปปี้ถุงเท้ายาว” ของประเทศสวีเดน (ผมฝันไปไกลเลย)

เมื่อเวลาผ่านมาอีกนานพอสมควร ผมจึงแต่งนิทานเรื่อง “อสุรกายมอมแมม” เป็นนิทานภาคต่อของนิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” แถมยังนำตัวละครจากนิทานอีกสองเรื่องมาร่วมแสดงในนิทานเรื่องนี้ด้วย

หากมีใครสงสัยว่า นิทานเรื่อง อสุรกายมอมแมม นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว มันมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง คำตอบก็คือ นิทานเรื่องนี้เป็นเสมือนบทเรียนเล็ก ๆ ที่ชวนให้เด็ก ๆ เห็นคุณค่าของการอาบน้ำและการดูแลความสะอาดของตนเอง ผ่านการผจญภัยที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความอบอุ่น และความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับกัน หวังว่าคุณผู้อ่านจะมีความสุขกับการอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

มอมแมมเป็นอสูรกายที่เกิดในกองขยะ  บ้านของมอมแมมเป็นภูเขาขยะขนาดมหึมา   มอมแมมชอบบ้านกองขยะของมันมาก  มันชอบคุ้ยหาข้าวของในกองขยะแล้วนำมันมาสร้างเป็นของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ  มอมแมมสร้างของเล่นเอาไว้มากมายเต็มไปหมด  ความฝันอันยิ่งใหญ่ของมอมแมมก็คือ มันอยากจะสร้างของเล่นเพื่อทำให้เด็ก ๆ ทุกคนมีความสุข

แม้มอมแมมจะสร้างของเล่นแสนสนุกเอาไว้สารพัดอย่าง  แต่ด้วยเนื้อตัวที่แสนสกปรกของมอมแมม  เด็ก ๆ จึงไม่ยอมเฉียดกายเข้าใกล้มอมแมมเลยแม้แต่นิดเดียว  มอมแมมทั้งเหงาทั้งเศร้า  มันอยากจะเป็นเพื่อนกับเด็ก ๆ มากจริง ๆ   แต่จนแล้วจนรอด  มอมแมมก็ไม่รู้ว่ามันควรจะทำอย่างไรดี

วันหนึ่ง  มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านกองขยะของมอมแมม   แต่เดิม…เด็กผู้หญิงคนนี้เคยได้ชื่อว่าเป็น “เด็กผู้หญิงที่สกปรกที่สุดในโลก”  (เธอสกปรกถึงขนาดที่มีกลิ่นเหม็นตุ ๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเลยทีเดียว)  แต่หลังจากที่เธอชวนแมวเหมียวเพื่อนรักที่สกปรกไม่แพ้กันไปเล่นเป่าฟองสบู่กลางสายฝน  เมื่อสายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่  เด็กผู้หญิงที่เคยมีกลิ่นเหม็นตุ ๆ ก็กลับกลายมาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีกลิ่นสบู่หอมสะอาดราวกับเป็นคนละคน

เมื่อเด็กผู้หญิงที่หอมกลิ่นสบู่เห็นเจ้าอสูรกายมอมแมมนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ภูเขากองขยะ เด็กหญิงใจดีจึงเอ่ยปากถามเจ้าอสูรกายว่าเกิดอะไรขึ้น? 

มอมแมมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เด็กน้อยที่มีกลิ่นสบู่หอมฟุ้งฟัง  และเมื่อเด็กหญิงได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด  เธอจึงรับอาสาช่วยทำให้มอมแมมกลายเป็นอสูรกายที่หอมสะอาดเหมือนกับตัวของเธอ 

จริง ๆ แล้ว การทำให้มอมแมมหอมสะอาดคงจะไม่วุ่นวายสักเท่าไหร่…ถ้าหากมอมแมมเป็นอสูรกายตัวเล็ก ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ   แต่ด้วยร่างกายของมอมแมมที่ใหญ่โตเกือบเท่าช้าง เด็กหญิงผู้ใจดีจึงจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเธอในการทำให้มอมแมมหอมสะอาด

เจ้าชายสายลมกับคุณฟันนักทำฟองเป็นคนที่เด็กหญิงขอร้องให้มาช่วยเหลือ  เด็กหญิงขอให้เจ้าชายสายลมใช้พลังบังคับให้ฝนมาตกตรงที่บ้านกองขยะของมอมแมม  จากนั้น เธอก็ขอให้คุณฟันนักทำฟองช่วยปีนขึ้นไปยืนบนยอดของภูเขาขยะ แล้วเป่าฟองสบู่ให้ล่องลอยออกมาเคล้ากับสายฝน

แน่นอน…เมื่อสายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่ ความสะอาดเอี่ยมอ่องจึงเกิดขึ้น  แต่เพราะคุณฟันเพลินกับการทำฟองมากไปหน่อย  ดังนั้น  แทนที่มอมแมมจะกลายเป็นอสูรกายแสนสะอาดที่มีกลิ่นหอมของสบู่ลอยฟุ้งออกมาจากตัวแต่เพียงผู้เดียว  ฟองสบู่กับสายฝนยังช่วยทำให้ของเล่นและภูเขาขยะขนาดมหึมากลับกลายเป็นดินแดนที่หอมฟุ้งไปกลิ่นสบู่หอมสะอาด

หลังฝนตก  เจ้าชายสายลมใช้สายลมเป่าขนสีขาว ๆ ของมอมแมมให้ฟูนุ่มดูน่ารัก  ส่วนเด็กหญิงกับคุณฟันก็ช่วยกันจัดทรงผมและผูกโบว์ที่ขนของมอมแมมจนไม่เหลือเค้าของอสูรกายให้เด็ก ๆ กลัวอีกต่อไป  

เมื่อมอมแมมกลายเป็นอสูรกายแสนน่ารักที่มีกลิ่นหอมสะอาดลอยฟุ้งออกมาจากตัว  เด็ก ๆ ที่เคยรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้มอมแมมก็พากันเปลี่ยนใจแย่งกันเข้ามากอดมอมแมมจนมอมแมมแทบตั้งตัวไม่ติด  เด็ก ๆ มีความสุขมากที่ได้เล่นของเล่นแสนสนุกที่มอมมอมสร้างขึ้น   ส่วนมอมแมมเองก็มีความสุขที่เด็ก ๆ ชอบของเล่นของมัน

มอมแมมขอบคุณเด็กหญิงใจดี เจ้าชายสายลมและคุณฟันนักทำฟองที่ช่วยทำให้มันเป็นที่รักของเด็ก ๆ  และแล้ว เรื่องวุ่น ๆ ของมอมแมมก็จบลงอย่างมีความสุข

เด็กหญิงกับอสุรกายมอมแมมเล่นฟองสบู่กลางสายฝน พร้อมแมวดำในฉากนิทานอบอุ่นเรื่องความสะอาดและมิตรภาพ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

สกปรกที่สุดในโลก : นิทานอบอุ่นที่เหมาะสำหรับอ่านก่อนนอน

นิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” ถือเป็นหนึ่งในนิทานเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้มีโอกาสเขียนลงในนิตยสาร ขวัญเรือน (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเรื่องที่สอง) ตอนนั้นผมยังเป็นนักเขียนนิทานมือใหม่ ทุกคำ ทุกประโยคที่เขียนลงไปเต็มไปด้วยความยากและความท้าทาย ผมค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ เลือกคำ เหมือนกำลังต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น ๆ จนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ แม้นิทานเรื่องนี้จะเป็นเพียงนิทานสั้น ๆ แต่ผมใช้เวลานานมากในการสร้างมันขึ้นมา

หากสังเกตการใช้ภาษาในเรื่อง จะเห็นการเล่นคำซ้ำ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละย่อหน้า ซึ่งเป็นความตั้งใจเพื่อสร้างจังหวะและความรู้สึกพิเศษให้กับผู้อ่าน ตัวละครเองก็มีความแปลกอยู่นิด ๆ เพราะทุกตัวละครมีกลิ่นตุ ๆ ติดตัว นั่นคือความพยายามของผมที่จะสร้างตัวละครที่แตกต่างจากนิทานเด็กทั่วไปในยุคนั้น รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และการแก้ปมปัญหาที่ดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วซ่อนความคิดที่ดึงเอาสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบมาเป็นฉากสำคัญของเรื่อง

แรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง คือ การอยากให้นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่เล่าก่อนชวนเด็ก ๆ ไปอาบน้ำ เพราะมีภาพของสายฝนและฟองสบู่ที่เชื่อมโยงกับความสะอาดและความสนุก แต่หากจะอ่านก่อนนอนก็ไม่ว่ากัน เพราะนิทานเรื่องนี้ยังคงอบอุ่นและน่าจะสร้างรอยยิ้มได้เสมอ ไม่ว่าจะอ่านในเวลาใดก็ตาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแมวอยู่ตัวหนึ่งเป็นแมวที่สกปรกที่สุดในโลก ไม่มีใครอยาก เข้าใกล้แมวน้อยตัวนี้เลย เพราะเพียงแค่เดินผ่าน กลิ่นเหม็นตุๆ ก็ลอยคลุ้งออกมาจากตัวของเจ้าแมวน้อยเสียแล้ว แต่เจ้าแมวน้อยก็ไม่เคยสนใจ เพราะเจ้าของของมัน ก็มีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเหมือนกัน

เจ้าของของแมวน้อยเป็นเด็กผู้หญิงที่ตัวสกปรกที่สุดในโลก เธอเคยอาบน้ำบ้างเหมือนกัน แต่เธอจำไม่ได้แล้วว่าเธออาบน้ำครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไร ถึงเธอจะมีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออก มาจากตัวเหมือนกับแมวของเธอ แต่เธอก็ไม่เคยสนใจ เพราะที่อยู่ของเธอเองก็มีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออกมาเหมือนกัน

ที่อยู่ของเด็กผู้หญิงคนนี้ เป็นบ้านที่สกปรกที่สุดในโลก แต่เดิมบ้านหลังนี้เคยเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่น่าอยู่มาก จนกระทั่งเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คือคุณพ่อและคุณแม่ของเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ ด่วนขึ้นสวรรค์ไปเสียก่อน บ้านจึงไม่มีใครดูแล เด็กผู้หญิงจึงไม่มีใครดูแล และแมวน้อยจึงไม่มีใครดูแล ดังนั้น พวกเค้าจึงมีกลิ่นเหม็นตุๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเหมือนๆ กัน

วันหนึ่งในฤดูฝน ฝนตกลงมาดังเปาะแปะ เปาะแปะ แมวน้อยนึกสนุกจึงวิ่งออกไปเล่นน้ำฝน เด็กผู้หญิงนึกสนุกบ้าง จึงเอากระป๋องกับสบู่ ไปเล่นเป่าลูกโป่งกลางสายฝน ส่วนบ้านหลังน้อยไม่ต้องวิ่งไปไหน เพราะฝนตกทีไร บ้านหลังน้อยได้ยืนเล่นน้ำฝนทุกที

สนุกกับสายฝนกันอยู่นาน ลูกโป่งฟองสบู่ก็เลยล่องลอยไปติดตามเนื้อตามตัวของทุกๆ คน สายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่ ก็เลยกลายเป็นความสะอาดเอี่ยมอ่อง

ถึงตอนนี้ แมวที่เคยสกปรกที่สุดในโลก ก็กลายเป็นแมวน้อยตัวสะอาดที่มีกลิ่นสบู่ติดอยู่ด้วย เด็กผู้หญิงที่เคยตัวสกปรกที่สุดในโลกก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวสะอาดที่มีกลิ่นสบู่ติดตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน ส่วนบ้านที่เคยสกปรกที่สุดในโลก ก็กลับกลายเป็นบ้านหลังเล็กแสนสะอาดที่มีกลิ่นสบู่หอมฟุ้งอยู่ทั้งหลัง

นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครเคยเห็นแมวน้อย, เด็กผู้หญิงและบ้านที่สกปรกที่สุดในโลกอีกเลย.

อสุรกายขนฟูยิ้มกว้างถือของเล่นอยู่ท่ามกลางฟองสบู่และของเล่นหลากสี
มอมแมมกับของเล่นแสนสนุกในดินแดนฟองสบู่ อสุรกายผู้มีหัวใจอ่อนโยน กำลังสร้างความสุขให้เด็ก ๆ ด้วยของเล่นที่มันประดิษฐ์ขึ้นเอง

เด็กหญิงผมสีส้มถือไม้เป่าฟองสบู่ วิ่งเล่นกลางสายฝนกับแมวดำหน้าบ้านหลังเล็ก
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานเจ้าชายเจ้าหญิง

เจ้าชายหมีถัก – นิทานแฟนตาซีความรักอบอุ่น ซาบซึ้งใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

นิทานความรักคือหนึ่งในรูปแบบนิทานที่งดงามและเป็นอมตะที่สุดในโลกวรรณกรรม จาก “เจ้าชายกบ” ถึง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” นิทานความรักได้ถ่ายทอดคุณค่าของความเสียสละ ความกล้าหาญ และความรักแท้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก นิทานเหล่านี้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ แต่ยังปลอบโยนหัวใจของผู้ใหญ่ที่เคยผ่านความรักและการสูญเสียมาแล้ว นิทานความรักจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัย และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปลูกฝังความเมตตาและความเข้าใจในมนุษย์

แต่การแต่งนิทานความรักเรื่องใหม่ให้มีคุณค่าเทียบเท่านิทานอมตะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้แต่งต้องสร้างเรื่องราวที่ทั้งสนุก ชวนติดตาม และซาบซึ้งใจ โดยไม่ซ้ำกับนิทานคลาสสิกที่ผู้คนคุ้นเคย การออกแบบตัวละครต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเนื้อเรื่องต้องมีจังหวะที่พาให้ผู้อ่านอยากรู้ว่า “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อต้องแต่งนิทานที่เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายกับความลึกซึ้งคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักเล่าเรื่อง

นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” คือหนึ่งในนิทานความรักร่วมสมัยที่กล้าฉีกกรอบเดิมอย่างน่าทึ่ง ตัวเอกฝ่ายชายไม่ใช่เจ้าชายรูปงาม แต่เป็นตุ๊กตาหมีที่ถักจากไหมพรม ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวานตามแบบฉบับนิทานคลาสสิก แต่เป็นเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดที่กล้าทดสอบหัวใจของผู้ชายทุกคน เรื่องราวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเสียสละ และความรักที่งดงามเหนือรูปลักษณ์ภายนอก ตอนจบของนิทานนี้ชวนให้ประทับใจอย่างลึกซึ้ง และองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” กลายเป็นนิทานแฟนตาซีอบอุ่นที่เหมาะสำหรับทุกวัย และควรค่าแก่การจดจำ

นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดองค์หนึ่ง ทรงวางแผนเพื่อค้นหาเจ้าชายที่รักพระองค์ยิ่งชีวิตมาเป็นคู่ครอง เจ้าหญิงขอร้องให้พระบิดาเชื้อเชิญเจ้าชายผู้กล้าหาญเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ของพระองค์ และในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงก็ทรงขอร้องให้พ่อมดหลวงกับเทพธิดาตัวจิ๋ว ร่วมมือกับพระองค์ในการเฟ้นหาเจ้าชายผู้มีจิตใจมั่นในรัก

เจ้าชายหมีถักแห่งอาณาจักรไหมพรมเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่งที่ตัดสินใจเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ จริง ๆ แล้ว เจ้าชายหมีถักไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ใดใดมาก่อนเลย ( เพราะเจ้าชายหมีถักทรงคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คงไม่มีเจ้าหญิงองค์ใดอยากแต่งงานกับเจ้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหมีอย่างพระองค์เป็นแน่) แต่ด้วยความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ดลใจเจ้าชายจนมิอาจอยู่เฉยได้ เจ้าชายจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นขี่ม้าแกลบคู่ชีพ แล้วควบม้าตรงไปยังงานเลือกคู่ของเจ้าหญิง…ทันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น

ทันทีที่เจ้าหญิงปรากฏกายให้เจ้าชายทุก ๆ องค์ได้ยลโฉม เจ้าชายต่างก็ถึงกับตกตะลึงในความงามของเจ้าหญิงจนเกือบจะลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เจ้าชายหมีถักเองก็ไม่แตกต่างไปจากเจ้าชายองค์อื่น ๆ พระองค์ทรงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของเจ้าชายหมีถักเต้นตูมตามอยู่ภายในร่างไหมพรมที่แสนอ่อนนุ่ม เจ้าชายหมีถักทรงบอกกับตัวเองว่า พระองค์ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงองค์นี้เข้าให้เสียแล้ว

เจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดทรงกล่าวทักทายเจ้าชายทุก ๆ พระองค์ที่ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเลือกคู่ จากนั้น เจ้าหญิงก็ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า เจ้าชายที่พระองค์ต้องการจะเลือกเป็นคู่ครองนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเก่งกาจฉลาดเฉลียวหรือมีบุคลิกที่สง่างามแต่อย่างใด พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งงานกับเจ้าชายธรรมดา ๆ ที่รักพระองค์อย่างสุดหัวใจ…ก็เพียงเท่านั้น

ไม่ทันที่เจ้าชายแต่ละพระองค์จะมีโอกาสพรรณนาถึงความรักที่ตนเองมีต่อเจ้าหญิง จู่ ๆ พ่อมดหลวงซึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้น และจัดการคาบเจ้าหญิงบินตรงไปยังหุบเหวมังกร แล้วปล่อยเจ้าหญิงให้ร่วงลงไปในเหวลึกตามแผนที่เจ้าหญิงทรงวางเอาไว้

เจ้าชายหมีถักทรงตกใจมากจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วตามไปช่วยเจ้าหญิงเป็นคนแรก แต่ด้วยความที่พระองค์ตัวเล็กกว่าเจ้าชายองค์อื่น ๆ ดังนั้น กว่าที่เจ้าชายหมีถักจะเดินทางไปถึงหุบเหวมังกร เจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็สามารถไล่มังกรยักษ์ซึ่งเฝ้าปากเหวให้บินหนีไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีเจ้าชายองค์ใดรู้เลยว่า ที่ด้านล่างของหุบเหวมังกร มีเทพธิดาตัวจิ๋วแอบเตรียมฟูกหนา ๆ เอาไว้รองรับตัวของเจ้าหญิงตามแผนที่เจ้าหญิงได้เตรียมการเอาไว้ เมื่อเจ้าหญิงรู้ว่ามีเจ้าชายติดตามมาช่วยพระองค์เป็น    จำนวนมาก เจ้าหญิงจึงดำเนินการตามแผนขั้นสุดท้ายเพื่อวัดใจเจ้าชายผู้มีรักแท้

เจ้าหญิงทรงแกล้งร้องไห้โอดครวญให้เจ้าชายที่อยู่บนปากเหวลงมาช่วยพระองค์โดยเร็วที่สุด แน่นอน…เจ้าชายทั้งหลายทรงอยากช่วยเจ้าหญิงด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายก้มลงไปมองในเหวลึกที่มืดมิดราวกับว่ามันเป็นหุบเหวไร้ก้น เจ้าชายแต่ละองค์ต่างก็จนใจและไม่มีใครคิดที่จะเสี่ยงปีนลงไปเพื่อช่วยเจ้าหญิงเลยแม้แต่คนเดียว

ในขณะที่เจ้าชายทั้งหลายยอมพ่ายแพ้ เจ้าชายหมีถักกลับตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ยื่นกิ่งอยู่เหนือกึ่งกลางของปากเหว จากนั้น พระองค์ก็ใช้มือซ้ายกำกิ่งไม้ไว้แน่น พลางใช้มือขวาแก้ปมไหมที่ส่วนเท้าของตนเอง แล้วค่อย ๆ ปลดเส้นไหมพรมจากร่างของพระองค์ เพื่อหย่อนลงไปช่วยเจ้าหญิงที่พระองค์ทรงรักยิ่งชีวิต

เจ้าหญิงไม่รู้เลยว่า เส้นไหมพรมที่พระองค์ทรงใช้ไต่ขึ้นมาที่ปากเหวคือชีวิตของเจ้าชายผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยรัก

ทันทีที่เจ้าหญิงโผล่ขึ้นมายังพื้นดิน สิ่งที่เจ้าหญิงเห็นก็คือภาพของมือไหมพรมน้อย ๆ ที่เกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น…อย่างไม่มีวันปล่อย

เจ้าหญิงทรงร้องไห้และกอดเส้นไหมพรมเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความเสียใจอย่างที่สุด พระองค์ทรงเชื่อแล้วว่าเจ้าชายองค์นี้รักพระองค์ด้วยความจริงใจ แต่เจ้าหญิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แผนการของพระองค์จะทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหญิงเสียใจมากและคิดที่จะไม่ยอมให้อภัยตัวเองไปตลอดชั่วชีวิต

เรื่องราวทั้งหมดเกือบจะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่โชคยังดี…เพราะเมื่อน้ำตาของเจ้าหญิงสัมผัสกับเส้นไหมพรมสีน้ำตาลของเจ้าชายหมีถัก ปาฏิหาริย์แห่งความรักที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น! เส้นไหมพรมทั้งหมดค่อย ๆ รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมีแสงสว่างวูบวาบตลอดเวลาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ และหลังจากที่เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เจ้าชายหมีถักก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่คราวนี้ พระองค์ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมอีกแล้ว เจ้าชายหมีถักกลายสภาพเป็นเจ้าชายรูปงามด้วยอานุภาพแห่งความรักที่แท้จริง

เจ้าหญิงทรงกล่าวคำขอโทษเจ้าชายด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าชายกลับไม่คิดติดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เจ้าชายทรงให้อภัยเจ้าหญิงทุก ๆ อย่าง และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหญิงและเจ้าชายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดแบนเนอร์โฆษณาต่าง ๆ ที่ขึ้นมาให้เห็น เพื่อทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

ถุงเก็บแดด : นิทานก่อนนอนอบอุ่นหัวใจสำหรับทุกครอบครัว

นิทานเรื่อง ถุงเก็บแดด เป็นหนึ่งในนิทานที่ผม นำบุญ นามเป็นบุญ มักนำมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันในช่วงฤดูหนาว เพราะมันเป็นนิทานที่ผมแต่งเองและรักมาก ทั้งในแง่ของเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึก และที่มาของแรงบันดาลใจ นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นนิทานก่อนนอนที่อบอุ่นหัวใจ แต่ยังสะท้อนคุณค่าของความรักในครอบครัวและความหมายของแสงแดดที่ช่วยให้เรามีความหวังท่ามกลางความหนาวเหน็บ

ตอนที่ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ ผมจำได้ว่าเป็นช่วงที่อยากเขียนนิทานเกี่ยวกับความรักของพ่อ แต่ในตอนแรกสมองกลับว่างเปล่า ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน จนกระทั่งผมอยากท้าทายตัวเองด้วยการสร้างฉากในดินแดนที่หนาวเย็นมาก ๆ ผมใช้ประสบการณ์ที่เคยไปอยู่ประเทศสวีเดน 1 ปี ซึ่งความหนาวที่นั่นรุนแรงจนพื้นรองเท้าหลุด และกลางวันสั้นเสียจนแสงแดดยามเช้ากลายเป็นสิ่งล้ำค่า ความทรงจำเหล่านี้ทำให้ผมคิดเล่น ๆ ว่า หากมี “ถุง” ที่สามารถ “เก็บแดด” ได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ภาพชายผู้แบกถุงยักษ์ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอุ่น ๆ จึงเกิดขึ้นในหัว และกลายเป็นนิทานแฟนตาซีที่อบอุ่นท่ามกลางฉากหนาวเหน็บ

แม้ผมจะชอบนิทานเรื่องนี้มาก และเคยเผยแพร่ในเว็บไซต์และเพจหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรือให้เสียงตอบรับมากนัก ผมจึงลองทำภาพปกและภาพประกอบใหม่ เพื่อให้คนที่ยังไม่เคยอ่านได้ลองเข้ามาสัมผัสนิทานเรื่อง ถุงเก็บแดด ที่อาจช่วยให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นอีกนิดในวันที่หนาวเหน็บ และหวังว่าจะเป็นนิทานก่อนนอนที่มอบความสุข ความรัก และความหวังให้กับทุกครอบครัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ท่ามกลางดินแดนหิมะที่หนาวเหน็บ

โยฮัน แคทย่า และเจ้าหนูเอคินเป็นพ่อแม่ลูกชาวน้ำแข็งที่อาศัยอยู่ในบ้านน้ำแข็งหลังเล็ก ๆ หลังนั้น แม้ว่าผู้คนชาวน้ำแข็งจะคุ้นเคยกับความโหดร้ายของอากาศหนาวในแถบขั้วโลกเป็นอย่างดี แต่สำหรับปีนี้ ทั้งกองไฟกองเล็ก ๆ ที่ให้ความอบอุ่นอยู่ภายในบ้าน เสื้อกันหนาวหนาหนักที่พวกเขากำลังสวมใส่กันอยู่ หรือแม้แต่ผ้าคลุมขนสัตว์ที่พวกเขาใช้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่อาจต้านทานความหนาวติดลบของอากาศภายนอกบ้านเอาไว้ได้

พายุหิมะที่พัดกระหน่ำทั้งกลางวันกลางคืน ทำให้โยฮันซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวบอกภรรยาและลูกชายว่า เขาคงจะต้องออกไปนำเอาความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ที่สองสว่างอยู่ในดินแดนทางตอนใต้ มาใช้ต่อสู้กับความหนาวที่เย้นยะเยือกจากพายุหิมะในครั้งนี้ โยฮันขอให้แคทย่าช่วยเย็บถุงเก็บแดดจากหนังของแมวน้ำที่พวกเขาสะสมกันอาไว้ และเขาบอกกับเจ้าหนูเอคินที่นั่งตาแดงด้วยความเป็นห่วงพ่อว่า เขาจะกลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับแสงแดดและความอบอุ่น

วันรุ่งขึ้น โยฮันหยิบกิ่งไม้ที่ผูกติดกับถุงเก็บแดดขึ้นพาดบ่า แล้วเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังดินแดนทางตอนใต้ตังแต่เช้าตรู่ แม้พายุหิมะในขณะนั้นจะสงบนิ่ง แต่เพียงก้าวแรกที่โยฮันย่ำย่างออกจากบ้าน สายลมหนาวบาง ๆ ก็พัดเอาความหนาวเย็นมาปะทะกับตัวเขาจนเขารู้สึกปวดชาไปทั้งตัว โยฮันกัดฟันทนและยึดเอาความรักที่เขามีต่อลูกและภรรยาเป็นพลังในการต่อสู้กับความหนาวเย็นที่อยู่เบื้องหน้า

โยฮันก้าวย่างทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง ความลื่นของพื้นหิมะที่เย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง อาจทำให้เขาหกล้มจนเกิดอันตรายได้ตลอดเวลา โยฮันพยายามควบคุมสติของตัวเอง และค่อย ๆ ย่ำเท้าไปอย่างช้า ๆ ทีละก้าว เขาเดินทางโดยไม่มีการหยุดพัก ข้ามเนินเขาหิมะไปทีละลูก และเมื่อเขาเดินทางมาถึงกลางหุบเขาลูกสุดท้าย ปุยหิมะก็ค่อย ๆ โปรยปรายลงมาจากฟ้าแลดูคล้ายกับขนนกบางเบาที่ปลิดปลิวลงมาพร้อมกับความหนาวเย็น

ทันใดนั้นเอง สายลมวูบใหญ่ก็พัดเข้ามาปะทะกับร่างของโยฮันจนเขารู้สึกปวดไปถึงขั้วกระดูก มันป็นความหนาวเหน็บที่เสียดแทงไปทุกรูขุมขน โยฮันรู้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่ความหนาวเย็นของสายลมหนาวธรรมดา ๆ แต่มันเป็นความเย็นยะเยือกที่มาพร้อมกับปิศาจในตำนานที่ชาวน้ำแข็งทุกคนรู้จักกันดี และก่อนทีโยฮันจะทันตั้งตัว ราชินีหิมะก็ปรากฏกายขึ้น

โยฮันรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขากำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง ความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของราชินีหิมะทำให้ร่างกายทุก ๆ ส่วนของโยฮันสั่นสะท้านจนเกินกว่าที่จะควบคุมเอาไว้ได้ โยฮันนึกถึงเจ้าหนูเอคินที่กำลังตั้งตารอเขาอยู่ด้วยความหวัง ดังนั้น โยฮันจึงรวบรวมพลังครั้งสุดท้ายและพูดกับราชินีหิมะอย่างหนักแน่นด้วยแววตาของคนที่เป็นพ่อว่า เขาจะตายไม่ได้!

ราชินีหิมะรู้สึกพิศวงต่อความมุ่งมั่นในการมีชีวิตอยู่ของชายผู้เป็นพ่อ เมื่อเธอทราบว่า โยฮันกำลังจะเดินทางไปยังดินแดนทางตอนใต้เพื่อเก็บแดดกลับมาฝากลูกชายตัวน้อย นางจึงขอให้โยฮันปันแสงแดดส่วนหนึ่งที่เก็บมาได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไว้ชีวิตในครั้งนี้ โยฮันสัญญาว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับแสงแดดเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการมีชีวิตอยู่ และแล้ว ร่างของราชินีหิมะก็ค่อย ๆ เลือนหายไป

โยฮันทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน เพียงข้ามหุบเขานี้ไป เขาก็จะเดินทางไปถึงสุดเขตดินแดนน้ำแข็งซึ่งติดต่อกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ โยฮันพยายามที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินทางต่อไป แต่ด้วยความอ่อนล้าของร่างกายและความหนาวเย็นของอากาศ ร่างกายของโยฮันจึงถึงขีดสุด เขาไม่อาจที่จะเดินทางต่อไปได้อีกแล้ว

โชคดีที่ในหุบเขาแห่งนั้นเป็นที่พำนักของหมีขั้วโลกพ่อแม่ลูก พ่อหมีเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่โยฮันประกาศว่าเขาจะตายไม่ได้ ด้วยหัวอกของผู้ที่เป็นพ่อเหมือน ๆ กัน พ่อหมีจึงออกมาจากที่จำศีล และรับอาสาพาโยฮันไปส่งที่สุดเขตของดินแดนน้ำแข็ง โดยพ่อหมีมีข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือมันอยากขอปันแสงแดดสักส่วนหนึ่ง เพื่อให้ลูกของมันได้ใช้คลายหนาวลงไปบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า โยฮันยินดีที่จะทำเช่นนั้น

เมื่อโยฮันขี่หลังพ่อหมีมาถึงสุดเขตของดินแดนน้ำแข็ง อุปสรรคอย่างสุดท้ายที่โยฮันต้องฝ่าฟันไปให้ได้ก็คือการเดินทางข้ามมหาสมุทรไปยังดินแดนทางตอนใต้ พ่อหมีช่วยโยฮันคิดหาวิธีข้ามฝั่ง โดยมันบอกให้โยฮันขึ้นไปนั่งบนก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ กับชายฝั่ง จากนั้น มันก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อนกเพนกวินทั้งหลายฟัง และขอร้องให้พ่อนกเหล่านั้นช่วยกันว่ายน้ำและผลักก้อนน้ำแข็งไปยังดินแดนทางตอนใต้ แน่นอน…ข้อแม้เพียงอย่างเดียวที่พ่อนกทั้งหลายต้องการก็คือ พวกมันอยากให้โยฮันปันแสงแดดที่เก็บมาได้ให้กับลูก ๆ ของพวกมันบ้าง และโยฮันก็รับปากที่จะทำเช่นนั้น

โยฮันเดินทางไปพร้อมกับก้อนน้ำแข็งจนถึงดินแดนแห่งแสงแดดในเช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบฟ้า ความอบอุ่นก็ค่อย ๆ ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าของโยฮันมีพลังเพิ่มขึ้นทีละน้อย โยฮันเริ่มต้นเก็บแสงแดดใส่เข้าไปในถุงหนังแมวน้ำ โดยเลือกเฉพาะแสงแดดที่อุ่นสบายเท่านั้น และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในตอนเย็น ถุงเก็บแดดของโยฮันก็อัดแน่นไปด้วยแสงแดดอุ่น ๆ จนถุงมีขนาดพอ ๆ กับลูกบัลลูนเลยทีเดียว

เช้าวันรุ่งขึ้น โยฮันเดินทางกลับมาถึงดินแดนน้ำแข็งอีกครั้ง ลูกนกเพนกวินส่งเสียงร้องกิ๊บกั๊บเมื่อโยฮันนำแสงแดดอุ่น ๆ มาฝากพวกมัน ส่วนครอบครัวหมีก็พากันออกมาจากที่จำศีล เพื่ออาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่โยฮันตั้งใจนำมาฝาก สำหรับราชินีหิมะก็ได้แต่ยืนหลับตาพริ้มด้วยความอุ่นสบายเมื่อแสงแดดจากดินแดนทางตอนใต้สัมผัสผิวกายที่ไร้สีเลือดของตัวนาง เมื่อโยฮันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับทุก ๆ คนแล้ว เขาก็ขอตัวและรีบนำถุงเก็บแดดมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของเขาทันที

เจ้าหนูเอคินเฝ้านับวันคืนให้พ่อกลับมาด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของพ่อก้าวเข้ามาใกล้ น้ำตาของลูกผู้ชายชาวน้ำแข็งก็ค่อยๆ เอ่อล้นลงมาที่แก้มสีแดงระเรื่อ เจ้าหนูเอคินโผเข้ากอดพ่อทันที่ที่พ่อก้าวพ้นประตูบ้านเข้ามา ส่วนแคทย่าเองก็ดีใจจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก โยฮันจูงมือเจ้าหนูเอคินตรงเข้าไปหาแม่ แล้วพ่อแม่ลูกชาวน้ำแข็งก็สวมกอดกันด้วยความรัก

แม้ภายนอกบ้านจะยังคงหนาวเหน็บด้วยเกล็ดหิมะ แต่ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังนี้กลับอุ่นสบายไปด้วยแสงแดดและไอรักที่ทุก ๆ คนมีให้แก่กัน และแล้ว….นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

ครอบครัวชาวน้ำแข็ง—พ่อแม่ลูก—นั่งกอดกันข้างกองไฟเล็ก ๆ ภายในบ้านน้ำแข็งท่ามกลางพายุหิมะ สื่อถึงความรัก ความอบอุ่น และการปกป้องกันในวันที่หนาวเหน็บ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

ลูกเสือกับกระต่ายมายากล : นิทานอบอุ่นใจเกี่ยวกับมายากลและมิตรภาพ

เด็ก ๆ รู้จักมายากลไหม? เด็ก ๆ เคยดูการแสดงกลที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจบ้างหรือเปล่า? บางคนอาจจำได้ว่ามีการหยิบสิ่งของออกมาจากหมวก หรือทำให้สิ่งของหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ การแสดงกลเหล่านี้มักทำให้หัวใจของเด็ก ๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสนุกสนาน

แล้วถ้าพูดถึง “นิทานเกี่ยวกับมายากล” ล่ะ… มีใครเคยอ่านนิทานที่เล่าเรื่องมายากลจริง ๆ บ้าง? เรามักพบว่านิทานส่วนใหญ่พูดถึงเจ้าหญิง เจ้าชาย เวทมนตร์ หรือการผจญภัย แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมายากลกลับมีน้อยมาก ทั้งที่มายากลเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ชื่นชอบและอยากรู้จักมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง พี่นำบุญจึงอยากแต่งนิทานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงมายากล ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งยากขึ้นไปอีก เมื่ออยากแต่งนิทานให้ออกมาสนุกและอบอุ่นหัวใจ แต่พี่นำบุญเชื่อว่า ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม และนิทานเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกเสือตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กลางป่าตามลำพัง ลูกเสือไม่มีเพื่อนเลย มันเหงามาก มันอยากมีใครสักคนเป็นเพื่อน

วันหนึ่ง ลูกเสือออกไปเดินเล่นในป่า มันบังเอิญพบกระเป๋าใส่อุปกรณ์เล่นกลและหมวกของนักมายากลตกอยู่แถว ๆ พุ่มไม้ ลูกเสือเหลียวซ้ายแลขวา…แต่มันก็หาเจ้าของไม่เจอ มันจึงนำกระเป๋าและหมวกที่พบกลับบ้านโดยตั้งใจที่จะออกตามหาเจ้าของในวันรุ่งขึ้น

คืนวันนั้น ในขณะที่ลูกเสือดูโทรทัศน์ มันนึกสนุกจึงอยากแสดงกลเลียนแบบรายการที่มันดู ลูกเสือเอาผ้าปูโต๊ะมาผูกแทนเสื้อคลุม จากนั้น มันก็ทำทีเป็นหยิบของในหมวกตามอย่างนักมายากลมืออาชีพ

ทันใดนั้นเอง มือของลูกเสือก็สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่มน่ารัก เมื่อลูกเสือหยิบของสิ่งนั้นออกมาดู สิ่งที่มันเห็นก็คือกระต่ายน้อยขนปุยที่กำลังร้องไห้ฮือ ๆ เพราะคิดถึงนักมายากลผู้เป็นเจ้าของหมวกและอุปกรณ์ทั้งหมด

ลูกเสือมองกระต่ายน้อยด้วยความสงสาร มันไม่อยากเห็นเจ้ากระต่ายน้อยร้องไห้เลย ดังนั้น มันจึงลูบเนื้อตัวของกระต่ายน้อยเบา ๆ พร้อมกับสัญญาว่ามันจะช่วยตามหานักมายากลจนสุดความสามารถ

วันรุ่งขึ้น ลูกเสือใส่หมวก หิ้วกระเป๋าและอุ้มกระต่ายน้อยออกตามหานักมายากลตั้งแต่เช้าตรู่ และหลังจากที่ลูกเสือดั้นด้นค้นหานักมายากลจนปวดขาไปหมด ในที่สุด มันก็พบนักมายากลที่มันเที่ยวตามหา

จริง ๆ แล้ว นักมายากลเจ้าของกระเป๋าอุปกรณ์และหมวกมายากลเป็นชายชราที่ตั้งใจเลิกอาชีพแสดงกลและอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข แต่ตอนที่เขานำของทั้งหมดไปทิ้ง เขาดันเผลอลืมนำกระต่ายออกจากหมวกจนทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น

เมื่อนักมายากลได้พูดคุยกับลูกเสือและรู้ว่าลูกเสือผู้มีจิตใจดีอยากมีเพื่อน นักมายากลจึงคิดว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างที่จะเป็นประโยชน์ทั้งกับลูกเสือและเจ้ากระต่ายน้อยที่เขารัก

นักมายากลคิดว่า แม้เขาจะเลี้ยงกระต่ายน้อยเอาไว้ แต่เจ้ากระต่ายก็คงจะไม่มีความสุขมากนัก เพราะมันคงไม่มีโอกาสได้ร่วมแสดงกลกับเขาอีก ดังนั้น เขาจึงเสนอตัวขอถ่ายทอดเคล็ดลับการแสดงมายากลทั้งหมดให้แก่ลูกเสือ โดยขอให้ลูกเสือพากระต่ายน้อยไปแสดงกลด้วยทุก ๆ ครั้งและห้ามทอดทิ้งกระต่ายน้อยอย่างเด็ดขาด

ลูกเสือดีใจมากที่มันจะได้แสดงมายากลโดยมีกระต่ายน้อยติดตามไปเป็นเพื่อน ส่วนเจ้ากระต่ายน้อยเองก็ดีใจที่มันจะได้แสดงกลต่อไปอีก

ลูกเสือตั้งใจฝึกฝนการแสดงมายากลจนคล่องแคล่ว หลังจากนั้น มันก็พากระต่ายน้อยตระเวนแสดงกลให้ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายได้รับความสุขกันโดยถ้วนหน้า

เสน่ห์จากการแสดงมายากลของเพื่อนรักทั้งสองทำให้พวกมันได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน และแล้ว ลูกเสือก็ไม่เคยเหงาอีกเลย…นับจากนั้น

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดดูแบนเนอร์โฆษณาสักนิด เว็บจะได้มีรายได้ครับ ขอบคุณครับ

นักมายากลแสดงกลหยิบกระต่ายออกจากหมวกให้ลูกเสือดูในห้องสมุดแสนอบอุ่น


Posted in นิทานครู, นิทานสร้างแรงบันดาลใจ, นิทานเด็ก, นิทานแฝงข้อคิด

คุณครูดอกไม้กับวิชานักสืบ : นิทานสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษ

นิทานเรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนในช่วงที่กำลังเรียนปริญญาโท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้พบว่าเพื่อนหลายคนมีความกลัวภาษาอังกฤษอย่างฝังใจ บางคนถึงขั้นมองว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นฝันร้าย และเมื่อถึงเวลาเรียน สมองก็จะปิดรับทันทีโดยอัตโนมัติ

ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มตั้งคำถามว่า…ถ้าเด็ก ๆ ก็รู้สึกแบบเดียวกัน เราจะช่วยให้พวกเขาเปิดใจเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างไร โดยไม่ต้องใช้ความกดดันหรือความกลัวเป็นตัวขับเคลื่อน

จากคำถามนั้น จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งนิทานเรื่องนี้ขึ้นมา นิทานที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม โดยใช้จินตนาการและความสนุกเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนรู้

“คุณครูดอกไม้กับวิชานักสืบ” จึงไม่เพียงแค่เป็นนิทานสำหรับเด็ก แต่ยังเป็นข้อความที่อยากส่งถึงครู ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่ทุกคน เพื่อชวนให้ลองมองการเรียนภาษาอังกฤษผ่านมุมใหม่ มุมที่เต็มไปด้วยความสุข ความท้าทาย และแรงบันดาลใจ

ผู้เขียนหวังว่าเด็ก ๆ จะสนุกกับเรื่องราวในนิทาน และได้รับแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ส่วนผู้ใหญ่อาจได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็ก ๆ เปิดใจและเรียนรู้อย่างมีความสุขมากขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีโรงเรียนเล็ก ๆ  แห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งดอกไม้ที่แสนงดงาม  โรงเรียนแห่งนี้มีครูสาวชื่อ  “คุณครูดอกไม้”  คอยดูแลและสอนหนังสืออยู่เพียงลำพัง   แม้เด็ก ๆ จะตั้งใจเรียนมาก   แต่ก็มีบางวิชาที่เด็ก ๆ ไม่ถนัดและรู้สึกเครียดทุกครั้งที่ถึงวิชานี้ ซึ่งวิชาดังกล่าวก็คือวิชาภาษาอังกฤษ  คุณครูดอกไม้จึงคิดว่าเธอควรทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่

คุณครูดอกไม้คิด..คิด..แล้วก็คิด  คุณครูดอกไม้ใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน  ในที่สุด คุณครูดอกไม้ก็ได้วิธีแก้ปัญหา

วิธีของคุณครูดอกไม้เริ่มจากการยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษ แล้วเปลี่ยนชั่วโมงภาษาอังกฤษเป็นวิชานักสืบ!

ทันทีที่เด็ก ๆ ทราบข่าว  เด็ก ๆ ต่างก็ดีใจที่ไม่ต้องทนเรียนวิชาภาษาอังกฤษต่อไปอีก  ส่วนพ่อแม่ของเด็ก ๆ กลับไม่เห็นด้วย พวกเขาคิดว่าคุณครูดอกไม้กำลังหนีปัญหา เพราะการยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษเช่นนี้จะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีทางเก่งภาษาอังกฤษได้เลยตลอดชั่วชีวิต

หลังจากคุณครูดอกไม้ยืนยันว่าจะยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษ  คุณครูดอกไม้ก็ดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปด้วยการทำภาพคำศัพท์จำนวน 100 ภาพ โดยวาดภาพและเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษลงบนกระดาษแข็ง แล้วนำไปติดไว้ตามที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งโรงเรียน

เมื่อถึงชั่วโมงนักสืบ  คุณครูดอกไม้ก็ทำตามแผนการขั้นที่สาม ด้วยการชวนเด็ก ๆ เล่นเป็นนักสืบ โดยคุณครูแจกบัตรคำศัพท์ปริศนาซึ่งมีแต่คำศัพท์…ไม่มีภาพ ให้เด็ก ๆ คนละ 1 ใบ เด็ก ๆ มีเวลา 1 ชั่วโมงในการเดินสืบหาคำศัพท์ปริศนาที่ตัวเองถืออยู่ว่ามันตรงกับภาพคำศัพท์ภาพใดในจำนวน 100 ภาพที่คุณครูแปะอยู่ทั่วทั้งโรงเรียน ซึ่งหากเด็ก ๆ ทำได้สำเร็จ คุณครูก็จะมอบรางวัลให้ด้วยการอนุญาตให้เด็ก ๆ ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษแสนสนุกเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเต็ม

เด็ก ๆ ต่างตื่นเต้นและสนุกกับการเป็นนักสืบคำศัพท์กันมาก ๆ  พวกเขาเล่นเกมนักสืบคำศัพท์กันได้ทุกวันโดยไม่รู้เบื่อ  ซึ่งสามเดือนหลังจากนั้น  กระทรวงความรู้ได้ส่งข้อสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษมาที่โรงเรียนของคุณครูดอกไม้  และเมื่อเด็ก ๆ ทำข้อสอบ  เด็ก ๆ แต่ละคนก็ทำคะแนนภาษาอังกฤษได้เกือบเต็มทั้ง ๆ ที่ทางโรงเรียนได้ยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษไปแล้ว

ผู้ปกครองหลายคนพากันสงสัยว่าทำไมลูก ๆ จึงทำคะแนนภาษาอังกฤษได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ คุณครูดอกไม้จึงอธิบายให้ทุกคนฟังว่า  “นับตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ข่าวว่าโรงเรียนของเราจะยกเลิกวิชาภาษาอังกฤษ สมองที่เคยปิดเพราะความเครียดก็เปิดออก  และเมื่อเด็ก ๆ ได้สวมบทบาทเป็นนักสืบค้นหาคำศัพท์ปริศนารอบโรงเรียน  ความท้าทาย (แต่ไม่กดดัน) นี้ก็ทำให้สมองเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น  ดังนั้น นอกจากคำศัพท์ที่ตัวเองค้นหา เด็ก ๆ ก็ได้ซึมซับคำศัพท์อื่น ๆ ที่มองเห็นผ่านตาไปโดยไม่รู้ตัว  นอกจากนี้ การได้ดูหนังการ์ตูนเป็นรางวัลยังเป็นตัวเสริมแรงให้เด็กอยากค้นหาคำศัพท์ปริศนาและทำให้เด็กคุ้นเคยกับการฟัง รวมทั้งสำเนียงภาษาอังกฤษมากขึ้นด้วย”   

คำอธิบายและวิธีที่คุณครูดอกไม้เลือกใช้ทำให้ทุก ๆ คนหมดข้อกังขา  แม้โรงเรียนแห่งนี้จะไม่มีวิชาภาษาอังกฤษ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เด็ก ๆ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มพูนขึ้นไม่ได้

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต่างยกย่องว่าคุณครูดอกไม้เป็นคุณครูที่เก่งมาก ๆ  และทุกคนก็เชื่อมั่นว่าคุณครูสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้จะดูแลลูกของพวกเขาให้เฉลียวฉลาดได้ไม่แพ้เด็กนักเรียนในโรงเรียนอื่นแน่ ๆ

ในที่สุด  คุณครูดอกไม้ก็ช่วยเด็ก ๆ ให้เก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นได้ตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนเด็ก ๆ ก็มีความสุขที่ได้เล่น แถมยังได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น จนเด็กทุกคนเริ่มรู้สึกว่าภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่พวกเขาเคยกลัวเลย

หมายเหตุ : อ่านนิทานจบแล้ว ช่วยกดดูโฆษณาสักนิด จะช่วยให้เว็บมีรายได้ครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานโครเอเชีย

เรย์กอช (Regoč): นิทานคลาสสิกจากโครเอเชีย โดย Ivana Brlić-Mažuranić ที่ควรอ่านสักครั้งในชีวิต

นิทานพื้นบ้านคือรากฐานทางวัฒนธรรมที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โครเอเชียเป็นหนึ่งในประเทศที่ยกย่องนักเขียนนิทานในฐานะผู้สืบทอดจิตวิญญาณของชาติ โดยเฉพาะ Ivana Brlić-Mažuranić นักเขียนหญิงผู้ได้รับฉายาว่า “แอนเดอร์เซนแห่งโครเอเชีย” ผลงานของเธอได้รับการบรรจุในหลักสูตรการศึกษา ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล และยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดงานศิลปะหลากหลายแขนงในประเทศของเธอ

“เรย์กอช” (Regoč) คือหนึ่งในนิทานที่ทรงพลังที่สุดของ Ivana เรื่องราวของยักษ์ผู้เงียบขรึมและนางฟ้าผู้กล้าหาญที่ร่วมกันเดินทางเพื่อช่วยเหลือผู้คน แม้จะเป็นนิทานสำหรับเด็ก แต่กลับแฝงด้วยปรัชญาเกี่ยวกับความเมตตา ความเข้าใจ และการเปลี่ยนแปลง นักวิจารณ์วรรณกรรมชี้ว่านิทานเรื่องนี้สะท้อนแนวคิดมนุษยนิยม ผ่านโครงสร้างนิทานพื้นบ้านอย่างงดงาม และสามารถตีความได้ลึกซึ้งในหลายระดับ

การเรียบเรียงใหม่ครั้งนี้จัดทำขึ้นด้วยความเคารพต่อต้นฉบับ โดยคงไว้ซึ่งโครงเรื่อง ตัวละคร และอารมณ์หลัก พร้อมปรับภาษาให้ร่วมสมัยและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสเสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบที่เข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับวิธีการเล่า แต่จิตวิญญาณของเรื่องยังคงเดิม

ในเรื่องของลิขสิทธิ์ นิทานเรื่องนี้ถือเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เนื่องจากผู้แต่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1938 และลิขสิทธิ์หมดอายุตามกฎหมายระหว่างประเทศ การเผยแพร่ฉบับเรียบเรียงใหม่จึงสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อสืบสานคุณค่าทางวรรณกรรม ยกย่องภูมิปัญญาของโครเอเชีย ไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

หากผู้อ่านต้องการสัมผัสต้นฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์วรรณกรรมของโครเอเชีย เช่น lektire.hr ซึ่งมีเนื้อหาภาษาโครเอเชียให้ศึกษาเพิ่มเติม ต้นฉบับมีความยาวและรายละเอียดลึกซึ้งกว่าฉบับเรียบเรียงใหม่ การอ่านต้นฉบับคือการเปิดประตูสู่โลกของนิทานพื้นบ้านยุโรปที่งดงามและทรงคุณค่าอย่างแท้จริง

ตอนที่ 1: เมืองที่หลับใหล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนที่ผู้คนลืมเลือน มีเมืองโบราณชื่อว่าเลเกนกราด (Legen-grad) ตั้งอยู่กลางหุบเขาอันเงียบสงบ เมืองแห่งนี้เคยรุ่งเรืองในอดีตกาล มีหอคอยสูงตระหง่านและกำแพงหินที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็พากันจากไป เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และมอสเขียวหนาแน่น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงฝีเท้า มีเพียงสายลมที่พัดผ่านซอกหินอย่างแผ่วเบา ราวกับเมืองทั้งเมืองกำลังหลับใหลอยู่ใต้ผืนฟ้า

ในซากเมืองแห่งนั้น มีสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงอาศัยอยู่ เขาคือเรย์กอช (Regoč) ยักษ์ชราผู้รักความสงบ เรย์กอชมีร่างกายใหญ่โตจนต้นไม้ต้องโน้มกิ่งหลบเมื่อเขาเดินผ่าน ผิวของเขาเป็นสีเขียวหม่นคล้ายหินที่มีมอสขึ้นปกคลุม ดวงตามีแววครุ่นคิด แต่สงบนิ่ง ราวกับบึงที่ไม่เคยถูกรบกวน

เรย์กอชไม่รู้จักโลกภายนอก เขาไม่รู้ว่าผู้คนพูดกันอย่างไร ไม่รู้ว่ามีเมืองอื่นอยู่ไกลออกไป เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย นั่งเงียบ ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟังเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็ก ๆ ที่ยังคงไหลผ่านเมือง และเฝ้ามองดอกไม้ป่าที่ผลิบานตามฤดูกาล เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีพละกำลังมหาศาล เพราะไม่เคยมีเหตุให้ต้องใช้มัน ไม่เคยมีใครมาขอให้ช่วยเหลือ และเขาก็ไม่เคยคิดจะออกไปช่วยใคร

แต่ในความเงียบงันนั้น เรย์กอชไม่ได้รู้สึกเหงา เขาไม่รู้จักคำว่า “เหงา” ด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เคยมีเพื่อน ไม่เคยมีใครให้เปรียบเทียบ เขาเพียงอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับหิน ดิน และลมที่พัดผ่าน และนั่นก็เพียงพอสำหรับเขา

ตอนที่ 2: นางฟ้าผู้มาเยือน

วันหนึ่ง ขณะที่เรย์กอชกำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร เขาได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย มันเป็นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ก้าวผ่านหญ้าและใบไม้แห้ง เสียงนั้นไม่เหมือนเสียงสัตว์ป่าที่เขาเคยได้ยิน มันมีจังหวะที่มั่นคงและตั้งใจ ราวกับผู้มาเยือนรู้ว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เรย์กอชเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และมองไปยังทิศทางของเสียง

สักครู่หนึ่ง มีหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ปรากฏตัวขึ้นจากแนวพุ่มไม้ เธอมีผมสีทองยาวเป็นลอน สวมชุดพื้นเมืองที่ปักลายอย่างประณีต และมีปีกโปร่งใสที่สะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ จนดูราวกับแสงดาวในยามเช้า เธอชื่อว่าโคเชนกา (Kosjenka) เป็นนางฟ้าผู้กล้าหาญจากเมืองดูลาเบีย (Đulabija) ที่อยู่ห่างออกไปหลายวันเดินทาง เมืองของเธอกำลังเผชิญกับภัยพิบัติจากการทะเลาะกันของผู้คน และสะพานหินที่เชื่อมเมืองกับทุ่งนาได้พังลง ทำให้เกิดน้ำท่วมและความวุ่นวาย โคเชนกาได้ยินจากนกป่าตัวหนึ่งว่า มียักษ์ผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในเมืองที่หลับใหล และเธอจึงตัดสินใจออกเดินทางเพียงลำพัง เพื่อขอความช่วยเหลือ

เมื่อเธอเดินเข้าใกล้ เรย์กอชมองเธอด้วยความสงสัยแต่ไม่แสดงท่าทีรังเกียจ โคเชนกายืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างมั่นใจ จากนั้น เธอก็เอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า “ข้าขออภัยที่รบกวนท่าน แต่ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ” เรย์กอชไม่ตอบทันที เขาจ้องมองเธอนิ่ง ๆ ราวกับกำลังชั่งใจว่าเสียงเล็ก ๆ ตรงหน้าควรได้รับคำตอบหรือไม่

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าไม่เคยออกจากเมืองนี้…ข้าไม่รู้จักเมืองของเจ้า” โคเชนกายิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้จักเมืองนี้เช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่าท่านมีพลังที่สามารถช่วยผู้คนได้ หากท่านเต็มใจ” คำพูดนั้นไม่ได้เร่งเร้า ไม่ได้อ้อนวอน แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่เรียบง่ายและจริงใจ

เรย์กอชนิ่งไปอีกครั้ง เขาไม่เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครมองเขาเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ เขาเคยคิดว่าตนเป็นเพียงเงาของเมืองที่พังทลาย เป็นส่วนหนึ่งของหินและมอสที่ไม่มีใครต้องการ แต่คำพูดของโคเชนกาเหมือนแสงแรกที่ส่องเข้ามาในถ้ำที่เขาอาศัยอยู่มานาน

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และกล่าวว่า “ข้าจะไปกับเจ้า” โคเชนกาไม่พูดอะไรอีก เธอแค่ยิ้ม แล้วขยับปีกบินขึ้นไปนั่งบนไหล่ของเรย์กอช จากนั้น ทั้งสองก็ออกเดินทางจากเมืองที่หลับใหล โดยมีดอกไม้ป่าค่อย ๆ โน้มตัวพร้อมกับส่งกลิ่นหอม เหมือนอยากอวยพรให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

ตอนที่ 3: การเดินทางของมิตรภาพ

หลังจากออกเดินทางจากเมืองเลเกนกราด เรย์กอชและโคเชนกาเดินทางข้ามทุ่งหญ้าและเนินเขาอย่างเงียบงัน ท้องฟ้าในวันนั้นสดใสและเย็นสบาย ลมพัดเบา ๆ ผ่านยอดหญ้าและใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีตามฤดูกาล โคเชนกานั่งอยู่บนไหล่ของเรย์กอชอย่างสง่างาม เธอไม่พูดมากนัก แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยความตั้งใจและความหวัง ส่วนเรย์กอชก็ยังคงเงียบเช่นเคย เขาไม่ชินกับการมีใครอยู่ใกล้ ๆ และเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

ระหว่างทาง โคเชนกาเล่าเรื่องเมืองดูลาเบีย (Đulabija) ให้เรย์กอชฟัง เธอเล่าว่าผู้คนในเมืองเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่เมื่อสะพานหินที่เชื่อมเมืองกับทุ่งนาเกิดรอยร้าว ผู้คนก็เริ่มโทษกันไปมา ไม่มีใครยอมซ่อมสะพาน เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน ความขัดแย้งเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นความบาดหมางที่ทำให้เมืองทั้งเมืองสั่นคลอน และเมื่อสะพานพังลง น้ำจากแม่น้ำก็ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่เกษตร ผู้คนเริ่มขาดอาหาร และความโกรธก็ยิ่งทวีขึ้น

เรย์กอชฟังอย่างเงียบ ๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงทะเลาะกันเรื่องสะพาน เขาเคยเห็นสะพานหินมากมายในเมืองที่หลับใหล และเคยซ่อมมันเล่น ๆ ด้วยหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้มือ สำหรับเขา การซ่อมสะพานไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลต่อชีวิตของใครมากมายขนาดนั้น

เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ โคเชนกาเริ่มเหนื่อย เธอหลับไปบนไหล่ของเรย์กอชอย่างเงียบ ๆ ยักษ์ชรามองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ไม่เคยมีใครไว้ใจเขาขนาดนี้มาก่อน และเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายต่อใครเลย จนกระทั่งวันนี้

สามวันผ่านไป ทั้งสองเดินทางมาถึงริมเมืองดูลาเบีย เมืองที่เคยสดใสบัดนี้เต็มไปด้วยความเงียบและความตึงเครียด ผู้คนมองหน้ากันด้วยความระแวง และไม่มีใครยิ้มให้กันเลย โคเชนกาบินลงจากไหล่ของเรย์กอช แล้วเดินเข้าไปในเมืองเพื่อบอกข่าวว่า เธอพายักษ์มาช่วยซ่อมสะพาน

ผู้คนในเมืองต่างตกใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของเรย์กอชที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน บางคนก็รู้สึกหวาดกลัว แต่โคเชนกาเดินเข้าไปกลางฝูงชน และกล่าวด้วยเสียงมั่นคงว่า “เขามาเพื่อช่วย ไม่ใช่เพื่อทำร้าย” คำพูดนั้นทำให้ผู้คนเริ่มเงียบลง และมองเรย์กอชด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

เรย์กอชไม่พูดอะไร เขาแค่เดินไปยังจุดที่สะพานหินเคยตั้งอยู่ และมองดูเศษหินที่กระจัดกระจาย อยู่ริมฝั่ง เขาโน้มตัวลง หยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาทีละก้อน และวางมันลงอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องใช้แรงมากนัก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับเขากำลังซ่อมหัวใจของเมือง ไม่ใช่แค่สะพาน

ผู้คนเริ่มมุงดูด้วยความสงบ ไม่มีเสียงโต้เถียง ไม่มีเสียงวิจารณ์ มีเพียงความเงียบที่เต็มไปด้วยความหวัง และในวันนั้น เมืองดูลาเบียก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย

ตอนที่ 4: สะพานแห่งความเข้าใจ

เมื่อเรย์กอชวางหินก้อนสุดท้ายลงตรงกลางแม่น้ำ เสียงน้ำที่เคยไหลแรงก็เริ่มสงบลง สะพานหินที่เคยพังทลายกลับคืนสู่สภาพมั่นคงอีกครั้ง แม้จะไม่เหมือนเดิมทุกประการ แต่ก็แข็งแรงพอให้ผู้คนเดินข้ามได้อย่างปลอดภัย ผู้คนในเมืองดูลาเบีย มองสะพานที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยความเงียบสงบ ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีเสียงโห่ร้อง มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของแต่ละคน ความรู้สึกนั้นก็คือ ความละอาย ความสำนึก และความหวัง

หลังจากสะพานซ่อมเสร็จ โคเชนกาก็เดินไปกลางสะพาน และหันหน้าไปยังชาวเมือง เธอไม่ได้กล่าวโทษใคร ไม่ได้ตำหนิความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เธอเพียงกล่าวว่า “สะพานนี้ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยหินเพียงอย่างเดียว แต่สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้ที่ไม่เคยรู้จักเราเลย” คำพูดนั้นทำให้ผู้คนเริ่มหันมามองหน้ากัน บางคนเริ่มพูดคุย บางคนเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อช่วยกันเก็บเศษไม้และซ่อมแซมพื้นที่เกษตรที่ถูกน้ำท่วม

เรย์กอชยืนอยู่เงียบ ๆ ริมแม่น้ำ เขาไม่เข้าใจคำพูดของโคเชนกาทั้งหมด แต่เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนไม่ได้มองเขาด้วยความหวาดกลัวอีกแล้ว เด็ก ๆ เริ่มเดินเข้าใกล้เขา และบางคนก็กล้าถามว่า “ท่านมาจากเมืองไหน” เรย์กอชไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มเล็กน้อย และมองไปยังทิศทางของเมืองเลเกนกราดที่อยู่ไกลออกไป

วันต่อมา เมืองดูลาเบียกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผู้คนเริ่มช่วยกันซ่อมแซมบ้านเรือน ปลูกพืช และแบ่งปันอาหารกันมากขึ้น ไม่มีใครพูดถึงความขัดแย้งอีกต่อไป เพราะทุกคนรู้ดีว่า หากไม่มีโคเชนกาและเรย์กอช เมืองนี้อาจไม่มีวันฟื้นกลับมาได้

เรย์กอชไม่ได้อยู่ในเมืองนานนัก เขาไม่ชอบเสียงจอแจ ไม่ชอบถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน และไม่ชอบคำถามที่มากเกินไป เขาเพียงต้องการกลับไปยังเมืองที่หลับใหล กลับไปยังต้นไม้ใหญ่และลำธารที่เขาคุ้นเคย โคเชนกาเข้าใจดี และไม่ได้รั้งเขาไว้ เธอเพียงเดินไปส่งเขาที่ชายป่า และกล่าวว่า “ขอบคุณที่ท่านมา” เรย์กอชพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

ตอนที่ 5: การกลับคืนและคำตอบของชีวิต

หลังจากเรย์กอชเดินออกจากเมืองดูลาเบีย โคเชนกาก็ได้แต่ยืนมองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อย ๆ ลับหายไปในแนวต้นไม้ เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการคำขอบคุณ ไม่ต้องการเสียงสรรเสริญ เขาเพียงทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วกลับไปยังที่ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

หลายวันผ่านไป เมืองดูลาเบียเริ่มฟื้นตัวอย่างมั่นคง ผู้คนกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ความขัดแย้งที่เคยฝังลึกค่อย ๆ จางหายไป และในบทสนทนาของชาวเมือง มักมีชื่อของเรย์กอชปรากฏขึ้นเสมอ แม้เขาจะไม่อยู่ตรงนั้น แต่ความเงียบสงบและความเมตตาของเขายังคงอยู่ในใจของผู้คน

ในขณะเดียวกัน เรย์กอชกลับมาถึงเมืองเลเกนกราดที่หลับใหล เขาเดินผ่านซากหินที่คุ้นเคย ผ่านลำธารที่ยังคงไหลอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่เขาเคยนั่งอยู่ทุกวัน แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้เมืองจะยังเงียบงันเหมือนเดิม แต่ในใจของเขากลับมีเสียงใหม่ เสียงของโคเชนกา เสียงของผู้คนที่เขาได้ช่วยเหลือ และเสียงของความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นก็คือ….ความผูกพัน

เขาเริ่มมองเมืองที่พังทลายด้วยสายตาใหม่ ไม่ใช่เพียงซากหินที่ไร้ชีวิต แต่เป็นสถานที่ที่เขาเคยอยู่ และอาจเป็นสถานที่ที่เขาสามารถฟื้นฟูได้ เขาเริ่มเก็บหินก้อนเล็ก ๆ มาวางเรียงกันอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่เพื่อสร้างสิ่งใหญ่โต แต่เพื่อให้เมืองนี้มีชีวิตเล็ก ๆ กลับคืนมา

วันหนึ่ง โคเชนกากลับมาเยี่ยมเขาอีกครั้ง เธอไม่ได้มาขอความช่วยเหลือ แต่เพียงมานั่งข้างเขาใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองไม่พูดอะไรมากนัก เพียงนั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงลมและเสียงน้ำไหล เหมือนกับว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็คือ…มิตรภาพที่แท้จริง

และนับจากวันนั้น เมืองเลเกนกราดก็ไม่ใช่เมืองที่หลับใหลอีกต่อไป แม้จะยังไม่มีผู้คนมากมาย ไม่มีเสียงจอแจ แต่ก็มีชีวิตเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างเงียบ ๆ มีดอกไม้ป่าที่ผลิบานมากขึ้น มีลำธารที่ใสขึ้น และมีมิตรภาพที่ยังคงอยู่ในใจของยักษ์ชราและนางฟ้าผู้กล้าหาญ.

ยักษ์เรย์กอชนั่งใต้ซุ้มหินกลางป่าฤดูใบไม้ร่วง กำลังเล่านิทานให้โคเชนกา นางฟ้าตัวเล็กผมทองที่มีปีกโปร่งใส สวมชุดพื้นเมืองปักลายอย่างประณีต ท่ามกลางแสงแดดอ่อนและใบไม้ร่วงที่โรยทั่วพื้นป่า

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

ความรักของพี่กับน้อง : นิทานแห่งสายใยรักที่ไม่มีวันจาง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ความรักระหว่างพี่น้องคือหนึ่งในสายใยที่มั่นคงและงดงามที่สุด นิทานที่ถ่ายทอดเรื่องราวของพี่กับน้องไม่เพียงแต่ช่วยปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เด็ก ๆ แต่ยังสะท้อนถึงความเสียสละ ความห่วงใย และความผูกพันที่ไม่มีวันจางหาย

นิทานพี่น้องเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสอนเรื่องความรักในครอบครัว ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตา ไม่ว่าจะเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กเล็ก หรือนิทานซึ้งใจสำหรับผู้ใหญ่ที่แสวงหาความอบอุ่นในยามค่ำคืน เรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าในทุกช่วงวัย

นิทานเรื่อง “ความรักของพี่กับน้อง” คือหนึ่งในนิทานอบอุ่นหัวใจที่สะท้อนพลังของความรักแท้ระหว่างพี่น้องอย่างลึกซึ้ง โดยไม่ต้องพึ่งพาความสมบูรณ์แบบ หากแต่ใช้หัวใจที่จริงแท้เป็นตัวนำทาง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กกำพร้าสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันมาก  พี่ชายมีชื่อว่าฮัค อายุสิบสองปี ส่วนน้องสาวมีชื่อว่ายู อายุแปดปี  เด็กทั้งสองคนอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ ที่อยู่นอกตัวเมืองโดยไม่มีญาติผู้ใหญ่คนใดมาช่วยดูแลพวกเขา

ทุกวัน  ฮัคจะตื่นนอนแต่เช้าแล้วออกจากบ้านไปทำงานในโรงงานตุ๊กตาที่อยู่ในตัวเมือง  ส่วนยูก็จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน แล้วกลับมาทำงานบ้านต่าง ๆ รวมทั้งทำอาหารค่ำเอาไว้รอพี่ชาย  แม้บางครั้งยูจะเหงาบ้างที่ไม่มีพ่อกับแม่คอยอยู่ใกล้ ๆ และต้องรอพี่ชายกลับจากโรงงาน  แต่เด็กน้อยก็ยังคงอุ่นใจ เพราะเธอรู้ดีว่าพี่ชายมีความรักให้เธอไม่แพ้พ่อกับแม่

อยู่มาวันหนึ่ง ยูสังเกตเห็นว่า พี่ชายของเธอตื่นไปทำงานเร็วกว่าเดิมครึ่งชั่วโมงและกลับบ้านช้ากว่าเดิมถึงหนึ่งชั่วโมง  หนำซ้ำ พี่ชายยังกินอาหารค่ำเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ขอตัวไปเข้านอน   ยูไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย!  เธอได้แต่คิดว่าพี่ชายอาจมีงานยุ่งทำให้ต้องทำงานมากกว่า เดิมและเหนื่อยจนไม่มีแรงกินข้าว

ในวันต่อ ๆ มา  ฮัคก็ยังคงตื่นออกไปทำงานแต่เช้าและกลับบ้านค่ำกว่าปกติอีก ฮัคบอกน้องสาวว่าไม่ต้องรอกินข้าว…ให้กินก่อนได้เลย  แม้ฮัคจะยังคงยิ้มแย้มและใจดีไม่แปรเปลี่ยน  แต่ยูกลับกังวลว่าพี่ชายอาจรักเธอน้อยลง   เด็กผู้หญิงที่กำพร้าพ่อแม่อย่างยูจึงรู้สึกเหงามาก  ยูกลัวว่าพี่ชายจะไม่รักเธอเหมือนเดิมอีกแล้ว

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป  ฮัคตื่นแต่เช้า แล้วบอกน้องสาวว่าคืนนี้ให้รอกินข้าวพร้อมกับเขาด้วย  ยูดีใจที่พี่ชายจะกลับมากินอาหารค่ำด้วยกันเหมือนเดิมอีก  เธอจึงรับคำและตั้งใจทำอาหารค่ำรอพี่ชายอย่างสุดฝีมือ

เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ  ยูนั่งรอพี่ชายด้วยใจจดจ่อ  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ฮัคก็ยังมาไม่ถึงบ้านเสียที  ยูทั้งห่วงพี่ชาย, กังวลและเหงาอย่างบอกไม่ถูก  ตั้งแต่เกิดมา..ฮัคไม่เคยผิดสัญญาใด ๆ กับเธอเลย  ยูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ก่อนที่ยูจะคิดไปไกล  ประตูบ้านก็เปิดออก

ทันทีที่ฮัคเปิดประตูเข้ามา  ฮัคก็รีบขอโทษน้องสาวที่เขามาช้ากว่าเวลานัดหมาย  ฮัคเล่า ว่า เขาพยายามจะขึ้นรถประจำทางเหมือนเช่นทุกวัน  แต่วันนี้เขาเอาของชิ้นใหญ่กลับบ้านมาด้วย  เขาจึงขึ้นรถไม่ได้และจำเป็นต้องเดินกลับมาที่บ้านแทน  ยูดีใจมากที่พี่ชายกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็แปลกใจที่เห็นพี่ชายอุ้มตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เข้ามาในบ้าน

ตุ๊กตาที่ฮัคนำกลับมาบ้านนั้นเป็นตุ๊กตาที่เขาทำขึ้นเองเพื่อนำมามอบให้น้องสาวในวันคล้ายวันเกิด!  ฮัคอยากให้ยูมีเพื่อนอยู่ด้วยเวลาที่เขายังไม่กลับจากโรงงาน เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวต้องเหงาจนเกินไป  ส่วนยูจำไม่ได้เลยว่าวันนี้คือวันเกิดของเธอ  เมื่อพี่ชายเตือนว่านี่คือวันเกิดของเธอและนำของขวัญมาให้  ยูจึงดีใจมาก

จริง ๆ แล้ว ในตอนแรก…ฮัคตั้งใจที่จะซื้อตุ๊กตาจากโรงงานมาให้ยู  แต่เนื่องจากตุ๊กตาในโรงงานมีราคาแพงและเขาก็ทำงานได้เงินไม่มากนัก  ดังนั้น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา  ฮัคจึงเที่ยวเก็บเศษผ้าขนปุย ๆ ที่เหลือจากการทำตุ๊กตาในโรงงาน แล้วใช้เวลาว่าง (ที่เขายอมตื่นเช้าขึ้นและกลับบ้านดึกขึ้น) เพื่อเย็บเศษผ้าเหล่านั้นให้กลายเป็นตุ๊กตาสำหรับน้องสาวที่เขารัก

แม้ตุ๊กตาที่ฮัคทำขึ้นจะดูปุปะเพราะทำจากเศษผ้าหลากสี  แต่ความตั้งใจและความรักของพี่ชายที่มีต่อน้องสาวก็ทำให้ยูดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

ยูร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติจนฮัคต้องกอดน้องสาวพร้อมกับกระซิบเบา ๆ ว่า “สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะคนดี” แล้วสองพี่น้องก็นั่งกินอาหารค่ำด้วยกันในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข

คืนวันนั้น หลังจากที่ฮัคเข้านอนแล้ว  ยูก็แอบนำโบว์ผูกผมสีแดงที่เธอใช้อยู่เป็นประจำมาม้วนเป็นดอกกุหลาบดอกเล็ก ๆ แล้วติดเข้ากับเข็มกลัด เพื่อเตรียมมอบให้พี่ชายใช้ดูต่างหน้าเวลาที่พี่ชายไปทำงานที่โรงงาน

เช้าวันรุ่งขึ้น  ฮัคนำดอกกุหลาบที่น้องสาวทำให้กลัดเข้ากับเสื้อแล้วออกไปทำงานอย่างมีความสุข  ส่วนยูก็ไปเรียนหนังสือและกลับมาทำงานบ้านในตอนเย็น โดยเธอไม่เหงาอีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่เธอมองเจ้าปุปะ เธอก็รับรู้ได้ถึงความรักที่พี่ชายมีให้และรู้สึกได้ว่าพี่ชายอยู่ใกล้ ๆ หัวใจของเธอเสมอ   

ความรักของสองพี่น้องเป็นพลังใจที่ทำให้เด็กกำพร้าทั้งสองคนสามารถยืดหยัดและมีชีวิตอยู่ได้…แม้พวกเขาจะไม่มีพ่อแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ   

ความรักมีพลังอันยิ่งใหญ่  การมอบความรักให้แก่กันจึงเป็นสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งของโลก

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานเชคสเปียร์

เจ้าชายแฮมเล็ต (Hamlet) : นิทานก่อนนอนจากบทละครอมตะของเชคสเปียร์

Hamlet คือบทละครโศกนาฏกรรมที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1600–1601 และถือเป็นหนึ่งในบทละครที่ลึกซึ้งและทรงพลังที่สุดของเชคสเปียร์ ถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าชายแห่งเดนมาร์กผู้ต้องเผชิญกับความจริงอันเจ็บปวด การสูญเสีย และความลังเลในการแก้แค้น

นักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วโลกยกย่อง Hamlet ว่าเป็นบทละครที่สะท้อนความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างหน้าที่ ความรู้สึก และความจริง ตัวละครแฮมเล็ตกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยวเหงา ความคิดลึก และการตั้งคำถามต่อชีวิตและความตาย บทละครเรื่องนี้ยังเป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญในวงการปรัชญา จิตวิทยา และศิลปะการละครทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Hamlet – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ

ณ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก อากาศหนาวเย็นและเงียบงันในยามค่ำคืน ทหารยามสองนาย ชื่อว่า ฟรานซิสโก (Francisco) และบาร์นาร์โด (Bernardo) ยืนเฝ้าบนกำแพงปราสาทเอลซินอร์ (Elsinore) พวกเขาสลับเวรอย่างเคร่งครัด แต่ในคืนหนึ่ง มีบางสิ่งปรากฏขึ้นที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว

“มันมาอีกแล้ว” บาร์นาร์โดกล่าวเสียงสั่น “เงาร่างนั้น…เหมือนพระราชาองค์ก่อนทุกประการ”

วิญญาณเงียบงัน ไม่พูดจา เพียงเดินผ่านกำแพงด้วยท่าทีสงบแต่เยือกเย็น ทหารยามรีบไปแจ้ง ฮอเรชิโอ (Horatio) เพื่อนของเจ้าชายแฮมเล็ต (Hamlet) ผู้มีสติปัญญาและไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ

เมื่อฮอเรชิโอเห็นวิญญาณ เขาก็เปลี่ยนใจทันที “มันคือพระราชาแน่ ข้าต้องบอกแฮมเล็ต”

ในปราสาทเอลซินอร์ เจ้าชายแฮมเล็ต เศร้าโศกอย่างหนัก พระบิดาของเขาเพิ่งสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน และพระมารดาผู้มีพระนามว่า ราชินีเกอร์ทรูด (Gertrude) ได้แต่งงานใหม่กับ คลอเดียส (Claudius) พระอนุชาของพระราชาองค์ก่อน ซึ่งตอนนี้ขึ้นครองราชย์แทน

แฮมเล็ตไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้ เขาเฝ้าถามตัวเอง “เหตุใดแม่จึงแต่งงานกับเขา? เหตุใดข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ?”

เมื่อฮอเรชิโอแจ้งเรื่องวิญญาณ แฮมเล็ตรีบไปยังกำแพงปราสาทในคืนถัดมา และแล้ว…วิญญาณก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

วิญญาณหยุดอยู่ตรงหน้าแฮมเล็ต และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าคือบิดาของเจ้า…ข้าถูกฆาตกรรม”

แฮมเล็ตตกใจ “ใครทำเช่นนั้น?”

วิญญาณตอบ “คลอเดียส น้องของข้า เขาเทยาพิษลงในหูข้าขณะหลับ และแย่งบัลลังก์ไป เขาแต่งงานกับแม่ของเจ้า และปิดบังความจริงไว้ทั้งหมด”

แฮมเล็ตนิ่งงัน โลกทั้งใบเงียบลงในใจของเขา

“จงแก้แค้นให้ข้า…แต่อย่าทำร้ายแม่ของเจ้า” วิญญาณกล่าวก่อนจะจางหายไปในความมืด

แฮมเล็ตยืนอยู่ลำพังในราตรีอันหนาวเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวด “ข้าจะทำเช่นไร…ข้าจะเชื่อสิ่งที่ข้าเห็นหรือไม่?”

…………

หลังจากคืนที่วิญญาณของพระราชาองค์ก่อนปรากฏตัวต่อหน้าแฮมเล็ต (Hamlet) และเปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึง แฮมเล็ตกลับสู่ปราสาทเอลซินอร์ด้วยจิตใจที่สับสน เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่า สิ่งที่เขาเห็นคือความจริง หรือเป็นภาพลวงจากความเศร้าและความแค้น

“ข้าต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจะลงมือ” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าจะไม่ฆ่าใครด้วยความสงสัย”

เพื่อปกปิดความตั้งใจและสังเกตพฤติกรรมของคลอเดียส แฮมเล็ตจึงเริ่มแสร้งทำเป็นเสียสติ เขาพูดจาแปลกประหลาด เดินไปมาอย่างไร้ทิศทาง และตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ

ราชินีเกอร์ทรูดและคลอเดียสเริ่มวิตก พวกเขาเชิญเพื่อนเก่าของแฮมเล็ต คือ โรเซนแครนซ์ (Rosencrantz) และกิลเดนสเติร์น (Guildenstern) ให้มาสังเกตพฤติกรรมของเขา และรายงานกลับ

“ข้ารู้ว่าเขาไม่บ้า” คลอเดียสกล่าว “แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

ในขณะเดียวกัน แฮมเล็ตเริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัว เขาเฝ้าสังเกตผู้คน และเริ่มเห็นความหลอกลวงที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มและคำพูด

เขาเดินไปยังห้องว่าง และกล่าวกับตัวเองในความเงียบ “To be, or not to be—that is the question…”

แฮมเล็ตครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต ความตาย และความเจ็บปวดที่มนุษย์ต้องเผชิญ

“การมีชีวิตอยู่คือการทนทุกข์ หรือการสิ้นใจคือการหลุดพ้น?” เขาถามโดยไม่มีคำตอบ

แฮมเล็ตไม่เพียงสงสัยในความจริงของโลกภายนอก แต่ยังสงสัยในความจริงภายในใจของตนเอง เขาเริ่มวางแผนเพื่อเปิดโปงคลอเดียส โดยไม่ใช้ดาบ แต่ใช้การแสดง

“ข้าจะให้คณะละครมาแสดงเรื่องราวของการฆาตกรรม…เหมือนที่วิญญาณเล่าให้ข้าฟัง หากเขามีความผิด เขาจะเผยออกมาเอง”

………….

แฮมเล็ต (Hamlet) เรียกคณะละครเร่ที่เดินทางผ่านเมืองให้มาแสดงในปราสาทเอลซินอร์ เขาเลือกเรื่องที่มีฉากการฆาตกรรมของกษัตริย์โดยน้องชาย เหมือนกับสิ่งที่วิญญาณเล่าให้เขาฟัง และขอให้พวกนักแสดงเพิ่มฉากสำคัญเข้าไป เพื่อให้คลอเดียสได้เห็นภาพสะท้อนของความผิด

“ข้าจะดูปฏิกิริยาของเขา หากเขาสะดุ้งหรือหลบตา ข้าจะรู้ว่าเขามีความผิด” แฮมเล็ตกล่าวกับฮอเรชิโอ (Horatio) ซึ่งนั่งข้างเขาในค่ำคืนแห่งการแสดง

เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น แขกในราชสำนักต่างนั่งชมอย่างสงบ ฉากแรกผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อถึงฉากที่กษัตริย์หลับในสวน และน้องชายเทยาพิษลงในหูของเขา คลอเดียสเริ่มขยับตัวอย่างไม่สบายใจ สักพัก คลอเดียสลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตระหนก และกล่าวเสียงดัง “หยุดการแสดงนี้!”

ทุกคนในห้องเงียบงัน คลอเดียสเดินออกจากห้องอย่างรีบร้อน ทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง


แฮมเล็ตหันไปหาฮอเรชิโอ “เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหม? เขาไม่อาจทนดูฉากนั้นได้”

“ข้าเห็นชัดเจน” ฮอเรชิโอตอบ “เขามีความผิดในใจแน่นอน”

แฮมเล็ตมั่นใจแล้วว่า วิญญาณพูดความจริง เขาเริ่มวางแผนต่อไป แต่ความลังเลยังคงอยู่ในใจของเขา เขาไม่ใช่ชายที่ฆ่าโดยไม่คิด เขาเป็นชายที่ต้องเข้าใจทุกสิ่งก่อนลงมือ

ในขณะเดียวกัน คลอเดียสเองก็เริ่มหวาดกลัว เขารู้ว่าแฮมเล็ตสงสัย และอาจลงมือเมื่อใดก็ได้ เขาจึงวางแผนส่งแฮมเล็ตไปยังอังกฤษ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย

“ข้าจะส่งเขาไปพร้อมกับโรเซนแครนซ์และกิลเดนสเติร์น…และข้าจะให้จดหมายลับไปด้วย” คลอเดียสกล่าวกับราชินี

แฮมเล็ตรู้ทันแผนนี้ และเริ่มเตรียมใจสำหรับการเดินทางที่อาจไม่มีวันกลับ

……

แฮมเล็ต (Hamlet) ออกเดินทางไปอังกฤษตามคำสั่งของคลอเดียส แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ในแผนนี้ เขายังลังเลว่าจะลงมือแก้แค้นหรือไม่ เขาไม่ใช่ชายที่ฆ่าเพราะโกรธ แต่เป็นผู้ที่ต้องเข้าใจความจริงอย่างลึกซึ้งก่อนจะตัดสินใจ

ในขณะเดียวกันนั้น โอฟีเลีย (Ophelia) หญิงสาวผู้เคยใกล้ชิดกับแฮมเล็ต กำลังเผชิญความเจ็บปวดจากการสูญเสียโปลอเนียส (Polonius) ผู้เป็นบิดา ซึ่งถูกแฮมเล็ตแทงโดยไม่ตั้งใจขณะซ่อนตัวอยู่หลังม่านในห้องของราชินี

โอฟีเลียไม่อาจรับมือกับความเศร้าได้ นางเริ่มพูดจาเลื่อนลอย ร้องเพลงเศร้า และเดินไปมาในสวนอย่างไร้จุดหมาย

“เขาฆ่าพ่อข้า…แต่ข้าก็ยังรักเขา” นางพึมพำกับดอกไม้ในมือ

เมื่อ ลาร์ทีส (Laertes) พี่ชายของโอฟีเลีย กลับมาจากต่างเมืองและรู้ข่าวการตายของบิดา รวมทั้งเรื่องอาการของน้องสาว เขาโกรธแฮมเล็ตอย่างรุนแรง ดังนั้น เขาจึงไปหาคลอเดียสเพื่อขอความยุติธรรม

“ข้าจะสู้กับเขา…ข้าจะล้างแค้นให้พ่อข้า” ลาร์ทีสกล่าวด้วยดวงตาแข็งกร้าว

คลอเดียสเห็นโอกาส จึงเสนอให้จัดการประลองดาบระหว่างลาร์ทีสกับแฮมเล็ต โดยแอบชโลมพิษไว้ที่ปลายดาบของลาร์ทีส และเตรียมถ้วยไวน์ผสมยาพิษไว้ให้แฮมเล็ตดื่ม หากเขารอดจากดาบ

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จู่ ๆ ข่าวการตายของโอฟีเลียก็แพร่ไปทั่วปราสาท นางจมน้ำในลำธารขณะเก็บดอกไม้ แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือความตั้งใจ

เมื่อแฮมเล็ตทราบข่าว เขารับกลับมาที่เดนมาร์ก…ทันเวลาเห็นพิธีฝังศพของโอฟีเลีย เขายืนอยู่ข้างหลุมศพด้วยหัวใจที่แตกสลาย

“ข้ารักนางมากกว่าที่ใครเคยรัก…ไม่มีใคร แม้แต่พี่ชาย ที่จะรักนางได้เท่าข้า” เขากล่าวเสียงสั่น

ลาร์ทีสซึ่งอยู่ในพิธีด้วย โกรธแฮมเล็ตอย่างสุดขั้ว ทั้งสองเผชิญหน้ากัน และการประลองได้ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในวันถัดไป

……………………..

ในวันแห่งการประลอง แฮมเล็ตและลาร์ทีส ยืนเผชิญหน้ากันกลางห้องโถงของปราสาทเอลซินอร์ ผู้คนในราชสำนักต่างมาชมด้วยความตึงเครียด คลอเดียสและราชินีเกอร์ทรูดนั่งอยู่บนบัลลังก์ โดยมีถ้วยไวน์วางอยู่ข้างกาย

แฮมเล็ตกล่าวอย่างสงบ “ข้าขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของเจ้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ลาร์ทีสพยักหน้าเล็กน้อย แต่ความแค้นยังคงอยู่ในดวงตา “ข้าจะสู้เพื่อเกียรติของครอบครัวข้า”

การประลองเริ่มขึ้น ดาบฟาดกันอย่างรวดเร็ว เสียงเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่วห้อง ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด และในจังหวะหนึ่ง ลาร์ทีสแทงแฮมเล็ตด้วยดาบที่ชโลมพิษไว้

แต่แล้ว ดาบหลุดจากมือของลาร์ทีส และแฮมเล็ตหยิบขึ้นมาแทงกลับโดยไม่รู้ว่ามีพิษเช่นกัน

ราชินีเกอร์ทรูดซึ่งไม่รู้เรื่องยาพิษในไวน์ ดื่มถ้วยที่คลอเดียสเตรียมไว้ให้แฮมเล็ต และล้มลงทันที

“ไวน์นั้นมีพิษ!” ลาร์ทีสร้องขึ้นด้วยความสำนึก “ข้าถูกหลอก…ข้ากับเจ้า…เราทั้งคู่กำลังจะตาย”

แฮมเล็ตหันไปหาคลอเดียสด้วยดวงตาแข็งกร้าว “เจ้าคือผู้วางแผนทั้งหมดนี้” แล้วแฮมเล็ตก็แทงคลอเดียสด้วยดาบพิษ และบังคับให้เขาดื่มไวน์ถ้วยนั้น

คลอเดียสสิ้นใจ ราชินีสิ้นใจ ลาร์ทีสสิ้นใจ และแฮมเล็ตเองก็ล้มลงเช่นกัน

ก่อนสิ้นลมหายใจ แฮมเล็ตเรียกฮอเรชิโอ “อย่าตายตามข้า…จงเล่าเรื่องของข้าให้โลกฟัง…ให้คนรู้ว่าความจริงคืออะไร”

ฮอเรชิโอพยักหน้า น้ำตาไหล “ข้าจะเล่า…ข้าสัญญา”

…….

เสียงแตรดังขึ้น และม่านแห่งโศกนาฏกรรมก็ปิดลง

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานแฝงข้อคิด

ความฝันของพู : นิทานก่อนนอนสำหรับเด็กที่อยากเป็นยอดมนุษย์

เด็กหลายคนเคยฝันอยากเป็นยอดมนุษย์ ที่มีพลังวิเศษ บินได้ หรือช่วยโลกจากเหล่าร้าย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กธรรมดาคนหนึ่งไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่ยังคงเชื่อมั่นในความฝันของตัวเอง

“ความฝันของพู” เป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กที่อยากเป็นยอดมนุษย์ นิทานอบอุ่นหัวใจที่สอนให้รู้ว่า พลังที่แท้จริงอาจไม่ใช่พลังเหนือธรรมชาติ แต่คือ “พลังแห่งความคิด” และ “ความตั้งใจจริง”

นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับเด็กวัยประถม ผู้ปกครอง และครูที่ต้องการปลุกแรงบันดาลใจในใจเด็ก ๆ ผ่านเรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า ‘พู’

พูเป็นเด็กธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักอย่าง เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง, เล่นกีฬาก็แค่พอใช้ได้, หน้าตาก็เหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาน่าสนใจคือ เขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ ความฝันที่อยากจะเป็น “ยอดมนุษย์”

พูรู้ดีว่า ยอดมนุษย์ต้องมีพลังพิเศษอะไรสักอย่าง พูจึงพยายามค้นหาพลังพิเศษที่อาจหลับไหลอยู่ในตัวของเขา

เวลาว่าง…พูจึงมักทดสอบพลังด้วยการเพ่งมองช้อนกินข้าว เพื่อทำให้ช้อนงอ บางครั้งเขาจะวิ่งแล้วกระโดดพร้อมกับกระพือแขนพึ่บพั่บเผื่อว่าตัวเองจะบินได้ บางคราวเขาถึงกับลองบีบจมูกและอธิษฐานให้ตัวของเขากลายเป็นมนุษย์ล่องหน พูทดสอบตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เด็กน้อยก็ไม่เคยพบว่าตัวของเขามีพลังพิเศษอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม แม้ความพยายามค้นหาพลังยอดมนุษย์ของพูจะล้มเหลวมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นยอดมนุษย์ให้จงได้

วันหนึ่ง เมื่อคุณครูประจำชั้นของพูให้นักเรียนเขียนเรียงความในหัวข้อ “ความฝันของฉัน”

พูจึงตัดสินใจเขียนเล่าความฝันและความพยายามในการค้นหาพลังพิเศษส่งให้คุณครูได้อ่าน

เมื่อคุณครูได้อ่านเรียงความของพู คุณครูก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะในขณะที่เด็กส่วนใหญ่ฝันอยากเป็นคุณหมอ, คุณครู, ทหาร, ตำรวจ วิศวกร, นักธุรกิจหรือดารานักร้อง แต่เด็กนักเรียนตัวผอมกะหร่องอย่างพูกลับฝันอยากเป็นยอดมนุษย์

คุณครูชื่นชมที่พูมีความฝันและมีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ คุณครูจึงอยากช่วยพูค้นหาพลังยอดมนุษย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเขา

วันรุ่งขึ้น เมื่อคุณครูนำเรียงความกลับมาที่ชั้นเรียนแล้วให้นักเรียนอ่านเรียงความให้เพื่อนฟัง เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังเรียงความของพู แทนที่เด็ก ๆ จะตื่นเต้นหรือชื่นชม เด็กทั้งชั้นกลับหัวเราะขบขัน เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเด็กผู้ชายอย่างพูจะโตขึ้นเป็นยอดมนุษย์ผู้ต่อสู้กับเหล่าร้ายได้เลย

เมื่อคุณครูเห็นท่าไม่ดี คุณครูจึงบอกเด็กทุกคนว่า “ความฝันบางความฝันอาจดูเหมือนเป็นไปได้ยาก แต่หากเราแน่วแน่และตั้งใจ ความฝันทั้งหลายก็มีโอกาสเป็นจริงได้ด้วยกันทั้งนั้น”

คำพูดของคุณครูทำให้พูมีกำลังใจมากขึ้น แต่เพียงครู่เดียว นักเรียนคนหนึ่งก็ยกมือแล้วพูดว่า “ในเมื่อพูไม่มีพลังพิเศษแบบยอดมนุษย์ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับพวกผู้ร้ายล่ะครับ ถึงจะฝึกร่างกายสักแค่ไหน แต่คนธรรมดาก็ไม่มีทางแข็งแรงแบบยอดมนุษย์ได้หรอกครับ ผมว่ายังไงพูก็เป็นยอดมนุษย์ไม่ได้”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะจ๊ะ” คุณครูของเด็ก ๆ ยิ้ม จากนั้น คุณครูก็หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาแผ่นหนึ่งพร้อมกับถามเด็ก ๆ ว่า “ครูไม่ใช่ยอดมนุษย์และไม่มีพลังพิเศษ ถ้าครูเอากระดาษแผ่นนี้จุ่มลงไปในอ่างปลาบนโต๊ะ มันมีทางไหมที่กระดาษจะไม่เปียก”

เด็กนักเรียนมองกระดาษเปล่าและอ่างปลาพลางคิดภาพตาม เพียงครู่เดียว เด็ก ๆ ก็พร้อมใจกันตอบคุณครูว่า “ยังไงกระดาษก็ต้องเปียกอยู่แล้ว”

ในขณะที่เด็กทั้งหลายเลิกคิดและมั่นใจว่ากระดาษต้องเปียกแน่ ๆ แต่พูซึ่งยืนอยู่ที่หน้าชั้นกลับไม่ยอมหยุดคิด เขาพยายามคิด…คิด…แล้วก็คิด ในที่สุด พูก็เกิดความคิดที่แตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ

พูค่อย ๆ รวบรวมสิ่งที่คิดได้ แล้วเอ่ยปากบอกคุณครูว่า “คุณครูครับ… ผมคิดว่ามีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้กระดาษไม่เปียก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอากระดาษใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น พอจุ่มน้ำ กระดาษก็จะไม่เปียก หรืออีกวิธีนึง ถ้าเราเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้นิดหน่อย กระดาษก็จะไม่เปียกเหมือนกัน ผมอยากทดลองให้ดู…ไม่ทราบว่าคุณครูจะอนุญาตไหมครับ”

คุณครูยิ้มแทนคำตอบ พูจึงขอกระดาษจากคุณครู แล้วเดินไปหยิบถ้วยพลาสติกที่ใต้โต๊ะของเขา จากนั้น พูก็ขยำกระดาษเป็นก้อน ยัดกระดาษเข้าไปในถ้วย คว่ำถ้วยแล้วกดลงไปในอ่างปลาตรง ๆ เมื่อพูยกถ้วยขึ้นจากน้ำ หยิบกระดาษออกมา เด็กทั้งห้องก็ถึงกับส่งเสียงร้อง “อู้หู” เพราะกระดาษแผ่นนั้นถูกแรงดันอากาศภายในถ้วยปกป้องไว้จนไม่มีร่องรอยว่าเปียกน้ำเลยสักนิด

เด็กทั้งห้องปรบมือให้พูด้วยความชื่นชม ส่วนคุณครูก็ส่งยิ้มให้ศิษย์รักแล้วพูดกับเด็กทั้งชั้นว่า “เห็นไหมจ๊ะ เรื่องบางเรื่องที่เราคิดว่ายากหรือเป็นไปไม่ได้ แต่หากเราไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ขึ้นมาเหมือนกัน ถึงเวลานี้ทุกคนคงรู้แล้วนะจ๊ะว่า พูจะเป็นยอดมนุษย์ได้รึเปล่าและพลังพิเศษของพูคือพลังอะไร”

เมื่อเด็กนักเรียนได้ฟังคำพูดของคุณครู เด็กทุกคนก็พยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้เพื่อนนักคิดของพวกเขา พูดีใจมากที่ทุก ๆ คนส่งกำลังใจให้ ในที่สุด พูก็ค้นพบว่า เขามีพลังพิเศษติดตัวมานานแล้ว ซึ่งมันก็คือพลังความคิดและพลังแห่งความตั้งใจจริงนั่นเอง

แม้การเป็นยอดมนุษย์จะไม่ใช่เรื่องง่ายและยังมีเรื่องท้าทายรอพูอีกมาก แต่พูก็เชื่อมั่นในความฝันและพลังที่เขามีอยู่

สิบกว่าปีต่อมา เด็กน้อยผู้ยึดมั่นในความฝันก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาใช้ความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์เพิ่มพลังให้ตัวเองมากมาย ทั้งยังใช้ความคิดแก้ปัญหาได้สารพัด

และแล้ว….พูก็ได้เป็นยอดมนุษย์สมดังที่เขาตั้งใจเอาไว้