Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

ลูกเสือกับกระต่ายมายากล : นิทานอบอุ่นใจเกี่ยวกับมายากลและมิตรภาพ

เด็ก ๆ รู้จักมายากลไหม? เด็ก ๆ เคยดูการแสดงกลที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจบ้างหรือเปล่า? บางคนอาจจำได้ว่ามีการหยิบสิ่งของออกมาจากหมวก หรือทำให้สิ่งของหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ การแสดงกลเหล่านี้มักทำให้หัวใจของเด็ก ๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสนุกสนาน

แล้วถ้าพูดถึง “นิทานเกี่ยวกับมายากล” ล่ะ… มีใครเคยอ่านนิทานที่เล่าเรื่องมายากลจริง ๆ บ้าง? เรามักพบว่านิทานส่วนใหญ่พูดถึงเจ้าหญิง เจ้าชาย เวทมนตร์ หรือการผจญภัย แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมายากลกลับมีน้อยมาก ทั้งที่มายากลเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ชื่นชอบและอยากรู้จักมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง พี่นำบุญจึงอยากแต่งนิทานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงมายากล ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งยากขึ้นไปอีก เมื่ออยากแต่งนิทานให้ออกมาสนุกและอบอุ่นหัวใจ แต่พี่นำบุญเชื่อว่า ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม และนิทานเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกเสือตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กลางป่าตามลำพัง ลูกเสือไม่มีเพื่อนเลย มันเหงามาก มันอยากมีใครสักคนเป็นเพื่อน

วันหนึ่ง ลูกเสือออกไปเดินเล่นในป่า มันบังเอิญพบกระเป๋าใส่อุปกรณ์เล่นกลและหมวกของนักมายากลตกอยู่แถว ๆ พุ่มไม้ ลูกเสือเหลียวซ้ายแลขวา…แต่มันก็หาเจ้าของไม่เจอ มันจึงนำกระเป๋าและหมวกที่พบกลับบ้านโดยตั้งใจที่จะออกตามหาเจ้าของในวันรุ่งขึ้น

คืนวันนั้น ในขณะที่ลูกเสือดูโทรทัศน์ มันนึกสนุกจึงอยากแสดงกลเลียนแบบรายการที่มันดู ลูกเสือเอาผ้าปูโต๊ะมาผูกแทนเสื้อคลุม จากนั้น มันก็ทำทีเป็นหยิบของในหมวกตามอย่างนักมายากลมืออาชีพ

ทันใดนั้นเอง มือของลูกเสือก็สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่มน่ารัก เมื่อลูกเสือหยิบของสิ่งนั้นออกมาดู สิ่งที่มันเห็นก็คือกระต่ายน้อยขนปุยที่กำลังร้องไห้ฮือ ๆ เพราะคิดถึงนักมายากลผู้เป็นเจ้าของหมวกและอุปกรณ์ทั้งหมด

ลูกเสือมองกระต่ายน้อยด้วยความสงสาร มันไม่อยากเห็นเจ้ากระต่ายน้อยร้องไห้เลย ดังนั้น มันจึงลูบเนื้อตัวของกระต่ายน้อยเบา ๆ พร้อมกับสัญญาว่ามันจะช่วยตามหานักมายากลจนสุดความสามารถ

วันรุ่งขึ้น ลูกเสือใส่หมวก หิ้วกระเป๋าและอุ้มกระต่ายน้อยออกตามหานักมายากลตั้งแต่เช้าตรู่ และหลังจากที่ลูกเสือดั้นด้นค้นหานักมายากลจนปวดขาไปหมด ในที่สุด มันก็พบนักมายากลที่มันเที่ยวตามหา

จริง ๆ แล้ว นักมายากลเจ้าของกระเป๋าอุปกรณ์และหมวกมายากลเป็นชายชราที่ตั้งใจเลิกอาชีพแสดงกลและอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข แต่ตอนที่เขานำของทั้งหมดไปทิ้ง เขาดันเผลอลืมนำกระต่ายออกจากหมวกจนทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น

เมื่อนักมายากลได้พูดคุยกับลูกเสือและรู้ว่าลูกเสือผู้มีจิตใจดีอยากมีเพื่อน นักมายากลจึงคิดว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างที่จะเป็นประโยชน์ทั้งกับลูกเสือและเจ้ากระต่ายน้อยที่เขารัก

นักมายากลคิดว่า แม้เขาจะเลี้ยงกระต่ายน้อยเอาไว้ แต่เจ้ากระต่ายก็คงจะไม่มีความสุขมากนัก เพราะมันคงไม่มีโอกาสได้ร่วมแสดงกลกับเขาอีก ดังนั้น เขาจึงเสนอตัวขอถ่ายทอดเคล็ดลับการแสดงมายากลทั้งหมดให้แก่ลูกเสือ โดยขอให้ลูกเสือพากระต่ายน้อยไปแสดงกลด้วยทุก ๆ ครั้งและห้ามทอดทิ้งกระต่ายน้อยอย่างเด็ดขาด

ลูกเสือดีใจมากที่มันจะได้แสดงมายากลโดยมีกระต่ายน้อยติดตามไปเป็นเพื่อน ส่วนเจ้ากระต่ายน้อยเองก็ดีใจที่มันจะได้แสดงกลต่อไปอีก

ลูกเสือตั้งใจฝึกฝนการแสดงมายากลจนคล่องแคล่ว หลังจากนั้น มันก็พากระต่ายน้อยตระเวนแสดงกลให้ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายได้รับความสุขกันโดยถ้วนหน้า

เสน่ห์จากการแสดงมายากลของเพื่อนรักทั้งสองทำให้พวกมันได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน และแล้ว ลูกเสือก็ไม่เคยเหงาอีกเลย…นับจากนั้น

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดดูแบนเนอร์โฆษณาสักนิด เว็บจะได้มีรายได้ครับ ขอบคุณครับ

นักมายากลแสดงกลหยิบกระต่ายออกจากหมวกให้ลูกเสือดูในห้องสมุดแสนอบอุ่น


Posted in นิทานหมา, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

เรื่องเล่าของเจ้าหมูอ้วน : นิทานเพื่อนแท้ที่ถูกลืม

ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน สัตว์เลี้ยงยังคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนความหมายของคำว่า “รักแท้” สำหรับหลายครอบครัว สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่เพื่อนเล่น แต่คือสมาชิกในบ้าน ผู้เฝ้ารอ ผู้ฟังเงียบ ๆ และผู้มอบความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

โดยเฉพาะ “หมา” สัตว์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความภักดีและความเสียสละ มันไม่สนว่าเราจะยุ่งแค่ไหน ไม่สนว่าเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้เฝ้าดู ได้รอคอย… ก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรัก

สำหรับเด็ก ๆ การมีสัตว์เลี้ยงคือการเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ ความอ่อนโยน และความผูกพันที่ไม่ต้องใช้คำพูด สัตว์เลี้ยงสอนให้เด็กรู้จักการดูแลผู้อื่น รู้จักความเศร้าเมื่อใครบางคนเจ็บป่วย และรู้จักความสุขจากการได้เห็นใครบางคนฟื้นกลับมา

แต่ในบางครั้ง… เมื่อความสนใจของเด็กเปลี่ยนไป เมื่อของใหม่เข้ามาแทนที่ สัตว์เลี้ยงที่เคยเป็นโลกทั้งใบก็อาจถูกมองข้าม ถูกลืม ถูกปล่อยให้เฝ้ารออยู่เงียบ ๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความรักจะกลับมา

นิทานเรื่องนี้คือบทบันทึกของ “เพื่อนแท้” ผู้ไม่เคยหายไปจากหัวใจ แม้จะถูกลืมไปจากสายตา…

ผมชื่อ “หมูอ้วน” ผมเป็นหมาของน้องพี ตอนที่ผมเป็นเด็ก น้องพีคอยดูแลผมไม่เคยห่าง เรากินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน และเล่นสนุกด้วยกัน น้องพีรักผมมาก ส่วนผมก็รักน้องพีสุดหัวใจ

เมื่อน้องพีโตขึ้น ผมก็โตขึ้นด้วย ตอนนี้…ผมไม่ใช่ลูกหมาแล้วนะ แต่ผมเป็นหมาหนุ่มที่แข็งแรงไม่ใช่เล่น ผมคอยเฝ้าบ้านให้น้องพีทุก ๆ คืน ส่วนน้องพีก็ยุ่งกับการบ้านจนเราไม่ค่อยได้เล่นกันสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม…ผมก็ยังรักน้องพีไม่มีเปลี่ยน

อยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อซื้อหมาหุ่นยนต์มาให้น้องพีเป็นของขวัญวันเกิด น้องพีตื่นเต้นมากเพราะหมาหุ่นยนต์ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและส่งเสียงโต้ตอบได้ราวกับมันมีชีวิต ผมดีใจที่เห็นน้องพีมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน…ผมก็กลัวว่าน้องพีอาจลืมผมไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง

นับจากวันนั้น น้องพีก็รีบทำการบ้านเพื่อที่จะได้มีเวลาเล่นกับหมาหุ่นยนต์ให้มากที่สุด น้องพีสนุกกับการป้อนข้อมูลให้หมาหุ่นยนต์ทำนู่นทำนี่ เจ้าหมาหุ่นยนต์ชอบหมุนตัวไปรอบ ๆ และเห่าด้วยเสียงประหลาด น้องพีมักจะหัวเราะเมื่อได้เห็น แต่พอผมแกล้งหมุนตัวและเห่าบ้าง น้องพีกลับทำหน้าเบื่อ ๆ แล้วเอาหมาหุ่นยนต์ขึ้นไปเล่นในห้องนอนโดยไม่ให้ผมตามไปด้วย น้องพีหลงเจ้าหมาหุ่นยนต์จนลืมหมาที่มีหัวใจอย่างผมไปเสียแล้ว!

ผมร้องไห้อยู่หลายวันจนไม่มีน้ำตาจะไหล ในที่สุด ผมก็เริ่มทำใจได้และรู้ตัวดีว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ยังคงรักน้องพีไม่มีเปลี่ยน ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงยอมอยู่ห่างจากน้องพีและตั้งใจที่จะเฝ้าบ้านให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องน้องพีให้นอนหลับฝันดีทุก ๆ คืน

แต่แล้วคืนหนึ่ง (ซึ่งเป็นคืนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้าน) จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนแปลกหน้าปีนกำแพงเข้ามาและแอบลอบเข้าไปในตัวบ้าน ผมตกใจมากเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับโจรเช่นนี้มาก่อน แต่ทันทีที่ผมได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของน้องพี ผมก็ได้สติและรีบกระโจนเข้าไปในบ้านอย่างเร็วจี๋

เมื่อผมวิ่งขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของน้องพี สิ่งที่ผมเห็นก็คือน้องพีกำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงโดยมีเจ้าโจรร้ายยืนขวางประตูพร้อมกับถือมีดเงาวับอยู่ในมือ

เสี้ยววินาทีนั้น…ผมกลัวจนตัวสั่น แต่เพราะผมรักน้องพียิ่งกว่าชีวิต ผมจึงตัดสินใจกระโดดเข้ากัดเจ้าโจรร้ายอย่างสุดแรงเกิด

แม้เจ้าโจรจะเจ็บและทำมีดหลุดมือ แต่มันก็ยังมีพิษสงรอบตัว เจ้าโจรทั้งทุบทั้งถีบผมเพื่อให้ผมปล่อยมันออกจากคมเขี้ยว ผมถูกโจรทำร้ายจนสะบักสะบอมไปหมด แต่เพื่อปกป้องน้องพีที่ผมรัก ผมจึงยอมสู้ตายถวายชีวิต

และแล้ว…โชคดีก็เป็นของผม เพราะก่อนที่ผมจะหมดแรงเฮือกสุดท้าย คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องพีก็ขับรถกลับมาถึงบ้าน ซึ่งทำให้เจ้าโจรตกใจและรีบเผ่นหนีไปในทันที

เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่เข้ามาเห็นสภาพภายในห้อง ท่านทั้งสองก็รีบโผเข้ากอดน้องพีที่ได้แต่ร้องไห้และชี้มือมาที่พื้น คุณพ่อมองเห็นหมาหุ่นยนต์ที่พังยับเยินอยู่ตรงนั้น ท่านจึงปลอบน้องพีว่าจะซื้อหมาหุ่นยนต์ให้ใหม่ แต่น้องพีไม่เอา น้องพีกลับร้องไห้ฟูมฟายพร้อม ๆ กับร้องเรียกชื่อผมไม่ยอมหยุด!ในตอนนั้น ผมดีใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ น้องพียังห่วงผม น้องพียังจำหมาอย่างผมได้ ผมดีใจได้สักพัก แล้วภาพต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ มืดหายไปจนหมด

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในร้านหมอโดยมีน้องพีคอยลูบตัวของผมเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง คุณหมอรักษาผมเป็นอย่างดี ท่านยืนยันว่าผมจะต้องหายเป็นปกติได้แน่ ๆ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน น้องพีเฝ้าดูแลผมเหมือนตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมอบอุ่นใจมากเมื่อน้องพีกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน และผมมีความสุขเหลือเกินเมื่อน้องพีบอกผมว่า ขอโทษนะเจ้าหมูอ้วน ฉันจะไม่ลืมเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันอีกแล้ว

ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ฟังถ้อยคำอันแสนวิเศษของน้องพี ผมจะต้องหายให้เร็วที่สุดเพราะผมไม่อยากให้น้องพีต้องเป็นห่วง

หลังจากนั้นไม่นาน…ผมก็ค่อย ๆ หายวันหายคืนจนแข็งแรงเหมือนเก่าไม่มีผิด ส่วนน้องพีก็ไม่เคยลืมเพื่อนสี่ขาที่แสนดีอย่างผมอีกเลย

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับผู้ใหญ่

นิทานสอนใจ: ฮันส์กับเจ้าของโรงสี – มิตรภาพที่ไม่เท่ากัน

นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นโดยนักเขียนชื่อก้องโลก ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) ผู้เปี่ยมด้วยสายตาเสียดสี และสำนวนที่ลึกซึ้งจนหลายคนเข้าใจผิดว่า “แค่เรื่องเด็ก”… แท้จริงแล้ว นิทานของเขา โดยเฉพาะ The Devoted Friend ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1888 คือบทเรียนแห่งชีวิต และคำถามที่สะเทือนใจคนอ่านทุกวัย

Wilde เริ่มเรื่องนี้ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา เขาให้สัตว์สามตัวในสวน ได้แก่ นกกระเรียน เม่น และหนูน้ำ (Water-rat) สนทนาถกเถียงกันเรื่อง “คุณธรรม” และ “มิตรภาพที่แท้จริง” ก่อนจะเล่าเรื่องราวของชายชื่อ “ฮันส์” กับเจ้าของโรงสีที่พูดจาอ่อนหวาน แต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ในหัวใจ

คุณจะเห็นว่า ทุกฉาก ทุกคำพูด ไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่อง แต่คือการตั้งคำถามถึง ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่ากัน ความดีที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ความอ่อนโยนที่กลายเป็นจุดอ่อน และมิตรภาพ…ที่ไม่มีความยุติธรรม

นิทานเรื่องนี้แต่งมาแล้วกว่า 135 ปี แต่ประเด็นยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อ่านจบแล้ว คุณอาจอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า เราเป็นเหมือนฮันส์ไหม หรือเราเป็นเจ้าของโรงสีที่อ้างคำว่าเพื่อนเพื่อใช้คนอื่นให้คุ้ม หรือแย่กว่านั้น…เราเคยเป็น “หนูน้ำ” ที่ตัดสินทุกอย่างจากความเชื่อของตัวเอง โดยไม่เข้าใจความจริงเลยสักนิด?

หวังว่าเรื่องเล่าก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้คุณ ๆ ได้แง่คิดดี ๆ นะครับ

วันหนึ่ง ในช่วงเย็นที่สระน้ำใหญ่ นกกระเรียนผู้เงียบขรึมเดินเข้ามาที่ริมสระ เม่นขดตัวอยู่บนดินพลางมองโลกผ่านหนามของตน หนูน้ำ (Water-rat) ออกมาเดินข้ามท่อนซุงด้วยท่าทีทะนง เมื่อหนูน้ำเห็นนกกระเรียนและเม่น มันจึงนั่งลงอย่างลำพอง

“ฉันคิดว่าคนดีควรเสียสละอย่างเต็มใจเพื่อเพื่อน” หนูน้ำเอ่ยขึ้น “เพื่อนที่ดีไม่ควรถามว่าจะได้อะไรตอบแทนจากความดี นั่นคือมิตรภาพที่แท้จริง”

นกกระเรียนไม่ได้ตอบอะไรในทันที มันได้แต่มองหนูน้ำด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่ฉันเคยฟัง อาจช่วยให้เธอเข้าใจ ‘ความดี’ และ ‘มิตรภาพ’ ได้ชัดเจนขึ้น”

หนูน้ำตกลงให้เล่าเรื่อง และเรื่องนั้นก็คือ “ฮันส์กับเจ้าของโรงสี”

……..

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน โลกช่างงดงามเหลือเกิน ดอกไม้แย้มบานทั่วแปลงสวนเล็กของลิตเติลฮันส์ ชูสีชมพู แดง และขาวเหมือนผ้าปักอันละเอียด เสียงนกขับขานจากพุ่มไม้ และผีเสื้อบินวนจากดอกหนึ่งสู่อีกดอกหนึ่ง

เจ้าของโรงสีผู้มั่งคั่งมาที่บ้านของฮันส์พร้อมตะกร้าใบใหญ่

“ฮันส์เพื่อนรัก” เขากล่าว “ดูสิว่าดอกไม้ของนายสวยเพียงใดในฤดูนี้ ขอดอกไม้สักช่อได้ไหม? ฉันอยากนำไปตกแต่งโต๊ะให้ภรรยาของฉันมีความสุข”

“ได้สิครับคุณฮิวจ์” ฮันส์ตอบ “ผมดีใจที่ดอกไม้เล็ก ๆ ของผมจะได้ทำให้คุณนายมีรอยยิ้ม”

เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าของโรงสีได้มายืมสิ่งต่าง ๆ จากฮันส์เป็นระยะ ทั้งกระถาง ปุ๋ย พลั่ว พร้อมกับคำว่า “เพื่อนแท้ย่อมช่วยเหลือกันได้เสมอ”

บางครั้ง เจ้าของโรงสีจะมาเยี่ยมฮันส์ พร้อมกับข้อเสนอใหม่ ๆ

“ฉันจะมอบล้อเกวียนเก่าของฉันให้เธอ เผื่อเธอจะเอาไปสร้างรถไว้ขนผลผลิต แต่ในฐานะเพื่อนที่ดี เธอช่วยฉันก่อนนะ ช่วยเอากระถาง 50 ใบใส่รถเข็น แล้วลากไปส่งที่โรงสีของฉันก่อน”

ฮันส์รับปาก แม้เขาจะต้องใช้เวลาทั้งวันในการนำกระถางไปส่ง แต่เขาก็ยินดีทำให้

ฮันส์ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือเจ้าของโรงสีทุกวัน จนไม่ได้วางแปลงสวนใหม่อย่างที่หวัง แต่เขาก็ยิ้มอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อว่า “ความดีคือสิ่งมีคุณค่า”

คืนหนึ่งฝนตกหนัก ลมพัดแรง และท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีเข้ม เจ้าของโรงสีนึกถึงล้อเกวียนที่เขาเคยให้ฮันส์ไว้เมื่อหลายเดือนก่อน แต่เขาต้องใช้ล้อเกวียนเพื่อขนของไปตลาดในวันพรุ่งนี้ เขาจึงเดินไปบ้านของฮันส์ แล้วเคาะประตูด้วยความรีบร้อน

“ฮันส์!” เขาตะโกน “ฉันมีเรื่องด่วน พรุ่งนี้ฉันต้องใช้ล้อเกวียนของฉัน อยากให้นายเอามันข้ามภูเขาไปไว้ที่โรงสีของฉันคืนนี้เลย”

“คืนนี้หรือครับ?” ฮันส์ถาม ขณะที่เปิดประตูและเห็นสายฝนเทอย่างต่อเนื่อง “ขอโทษนะครับคุณฮิวจ์ ฝนตกหนักมาก และทางก็ลื่น มันอันตรายนะครับ”

“เหลวไหล” เจ้าของโรงสีตะโกนกลับ “นายลืมไปหรือว่านายตกลงจะคืนมันแก่ฉันเมื่อฉันต้องการเพื่อนแท้ย่อมไม่ลังเลเมื่ออีกฝ่ายขอความช่วยเหลือนะ”

ฮันส์ก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าเถียง เขาสวมเสื้อกันฝนเก่า ๆ แล้วก้าวออกไปในความมืด พร้อมนำล้อเกวียนขึ้นรถลาก

กลางทาง มีลมกรรโชก ฮันส์เดินฝ่าความมืดอย่างมุ่งมั่น แต่ถนนเฉอะแฉะ น้ำท่วมขัง แล้วเขาก็ลื่นเสียหลัก

ล้อเกวียนหล่นจากรถลาก กระแทกหิน แล้วร่างของฮันส์ก็จมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยว

ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง และฝนยังก็ยังคงตกต่อไป

เช้าวันถัดมา เจ้าของโรงสีจิบกาแฟอย่างสบายใจ เขาเล่าเรื่องการเสียสละของฮันส์ให้ภรรยาฟังด้วยน้ำเสียงที่แฝงความภาคภูมิ

“เขาคือเพื่อนแท้ ยอมฝ่าฝนเพื่อนำล้อไปให้ฉัน แม้สุดท้ายเขาจะจมน้ำตาย…แต่ก็เป็นเพราะเขาทำหน้าที่ของคนดีอย่างสมบูรณ์”

ภรรยาไม่ได้กล่าวอะไร เธอแค่มองสามี ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ

……….

เมื่อนกกระเรียนเล่าเรื่องจบ หนูน้ำเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า:

“ฮันส์โง่เอง ไม่ใช่ความผิดของเพื่อนเขาหรอก ถ้าฮันส์ใช้สมองมากกว่านี้ เขาก็คงไม่มีต้องจมน้ำตาย ฉันไม่เห็นว่าจะได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้เลย” หนูน้ำกล่าว แล้วเดินจากไป

นกกระเรียนไม่พูดอะไร เม่นพลิกตัวและกลับสู่ความเงียบ เหลือเพียงเสียงน้ำกระเซ็นเบา ๆ และดอกไม้แห้งหนึ่งดอกที่ร่วงลงจากท้องฟ้า

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความดีที่ไม่มีขอบเขต อาจทำร้ายตัวเอง
  • มิตรภาพที่แท้จริงต้องมีความเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่าย
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูดหวาน ๆ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานแอนเดอร์เซน

เจ้าดอกเดซี่น้อย | นิทานจากแอนเดอร์เซนที่สะท้อนคุณค่าของชีวิตและอิสรภาพ

นิทานเรื่อง “เจ้าดอกเดซี่น้อย” (The Daisy) เป็นผลงานของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานชาวเดนมาร์ก ซึ่งเขียนขึ้นครั้งแรกในปี 1838

ในช่วงเวลานั้น ยุโรปกำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของยุคอุตสาหกรรม ความเจริญทางเทคโนโลยีและเมืองเริ่มกลืนกินวิถีชีวิตเรียบง่ายของธรรมชาติ ผู้คนจำนวนมากมุ่งสู่เมืองใหญ่ และ “ชีวิตเล็ก ๆ” ที่อยู่นอกสายตา มักถูกมองข้าม

แอนเดอร์เซน ซึ่งเติบโตมาอย่างยากจนและเปราะบางทางจิตใจ มักถ่ายทอด “เสียงของผู้ถูกมองข้าม” ผ่านเรื่องเล่าของเขาเสมอ
ไม่ว่าจะเป็น ลูกเป็ดขี้เหร่ ที่ไม่เป็นที่ต้องการ, หญิงสาวกับไม้ขีดไฟ ที่ไร้ที่พึ่ง, หรือแม้แต่ เงือกน้อย ที่มอบทุกอย่างให้ความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ในนิทานเรื่อง “เจ้าดอกเดซี่น้อย” เขาเลือกใช้ ดอกไม้ริมทาง และ นกเสียงไพเราะ เป็นตัวละครหลัก สะท้อนมุมมองของผู้ที่ไม่มีเสียงในสังคม

แม้นิทานเรื่องนี้จะดูเรียบง่าย ไม่มีพล็อตหักมุมหรือฉากแฟนตาซีอลังการ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความสะเทือนใจและคำถามลึกซึ้งถึง คุณค่าของชีวิต, อิสรภาพ, และ ความเมตตาที่มนุษย์มักหลงลืม

สำหรับผู้อ่านในปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เติบโตในยุคแห่งความเร่งรีบ นิทานเรื่องนี้จะช่วยเปิดพื้นที่ให้หยุดคิด ทบทวน และฝึก “มองเห็นสิ่งเล็ก ๆ” ที่อาจมีความหมายมากกว่าที่เราคิด

นานมาแล้ว มีดอกเดซี่ดอกเล็ก ๆ เติบโตอยู่ในทุ่งหญ้าอย่างมีความสุข และพอใจในชีวิตที่แสนธรรมดาของมัน แม้ดอกเดซี่จะไม่ได้งดงามเหมือนดอกไม้สวย ๆ ที่ปลูกในสวน แต่มันก็รู้สึกขอบคุณดวงอาทิตย์และธรรมชาติอยู่เสมอ

วันหนึ่ง มี “นกลาร์ค” (หรือที่เมืองไทยเรียกว่า นกจาบฝน) ได้บินผ่านมา พร้อมกับส่งเสียงร้องอันแสนไพเราะดังกังวานไปทั่วท้องทุ่ง

เจ้านกบินลงมาร้องเพลงใกล้ ๆ กับดอกเดซี่ ดอกเดซี่รู้สึกเป็นเกียรติและมีความสุขอย่างล้นเหลือที่ได้เป็นเพื่อนกับนกลาร์ค ดอกเดซี่ชื่นชมในอิสระและความสดใสของเจ้านกมาก มิตรภาพของ ดอกเดซี่ที่ต้อยต่ำกับนกลาร์คที่สูงส่งจึงเริ่มต้นขึ้น

ในเวลาต่อมา มีเด็กชาวบ้านดักจับนกลาร์คไปขังไว้ในกรง แม้ในกรงจะมีการตกแต่อย่างสวยงามแต่เจ้านกกลับรู้สึกทุกข์ทรมานที่สูญเสียอิสรภาพไป

วันหนึ่ง เด็กชาวบ้านได้ขุดดอกเดซี่ไปตกแต่งในกรงของนกให้ดูสวยขึ้น แต่เจ้านกก็ยังทุกข์ทรมานอยู่ดี

ณ ที่แห่งนั้น ดอกเดซี่ได้เห็นความทุกข์ของนกผู้เป็นเพื่อนรักอย่างชัดเจน ดอกเดซี่เจ็บปวดใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนได้

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เด็ก ๆ ก็เบื่อนกในกรงที่ดูเศร้าซึมตลอดเวลา เด็ก ๆ พากันไปเล่นอย่างอื่น และลืมไปเลยว่า นกเป็นสิ่งมีชีวิต ดอกไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต แม้พวกมันจะต้อยต่ำ แต่พวกมันต้องการการดูแลเอาใจใส่ ไม่นานนัก นกลาร์คก็หมดแรง เพราะขาดน้ำดื่ม!

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต นกลาร์คอยากร้องเพลงอำลาให้เพื่อนรักของมันฟัง

ดอกเดซี่ทุกข์ใจมาก แต่มันก็พยายามกลั้นอารมณ์ทุกข์ แล้วตั้งใจฟังเสียงเพลงจากเพื่อน จนกระทั่งเพื่อนรักได้จากมันไป…ชั่วนิรันดร์

ไม่กี่วันต่อมา ดอกเดซี่ที่เคยมีความสุขกับชีวิตเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ เหี่ยวเฉา

สุดท้าย มันก็ถูกโยนทิ้งไป เมื่อเด็ก ๆ อยากใช้กรงเพื่อการเล่นสนุกครั้งใหม่ !

และแล้ว….นิทานก็จบลง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนชั้นหรือรูปลักษณ์ภายนอก
  • อย่ามองข้ามสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจมีคุณค่ามากกว่าที่เห็น
  • อิสรภาพคือของขวัญล้ำค่าที่เรามักมองข้าม จนกระทั่งมันถูกพรากไป
  • ความเมตตาและการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คือหัวใจสำคัญของความเป็นมนุษย์

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

พลังวิเศษของกูรูบูจู้ : นิทานก่อนนอน แนวแฟนตาซีอบอุ่นใจ

แต่สำหรับนิทานเรื่อง “พลังวิเศษของกูรูบูจู้” นิทานแฟนตาซีเรื่องใหม่จากผู้แต่งนำบุญ นามเป็นบุญ ความแฟนตาซีในเรื่องนี้กลับมีความอบอุ่นที่ต่างออกไป นิทานนำบุญไม่เพียงแค่พาผู้อ่านเข้าสู่โลกเวทมนตร์ แต่ยังแฝงความละมุนละไมความอบอุ่น และความซนแบบมีเสน่ห์ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้เขียน ทำให้นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานแฟนตาซีที่มีหัวใจ และมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าการผจญภัยทั่วไป

นิทานเรื่อง “พลังวิเศษของกูรูบูจู้” เป็นนิทานก่อนนอนเรื่องใหม่ ที่พี่นำบุญแต่งขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ถือเป็นนิทานเรื่องใหม่เรื่องที่ 4 หลังจากหยุดแต่งนิทานมาตั้งแต่ตอนที่นิตยสารขวัญเรือนปิดตัวลง นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นที่จังหวัดนครพนม ในช่วงที่มีการประกวดนางงามจักรวาล ซึ่งแอนโทเนียได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ ด้วยความซนของผู้แต่ง จึงนำชื่อของเธอมาตั้งเป็นชื่อตัวละคร และยังมีอะไรซน ๆ ซ่อนอยู่ในนิทานเรื่องนี้อีกหลายจุด ที่รอดักรอยยิ้มของผู้อ่านอยู่เป็นระยะ ๆ

กูรูบูจู้เป็นสัตว์ที่เป็นมิตรและชอบเล่นกับสัตว์ป่าอื่น ๆ มาก แต่กูรูบูจู้ไม่ใช่สัตว์ที่เกิดตามธรรมชาติมันเป็นผลงานการเนรมิตของนักเวทย์ที่ชื่อว่า “แอนโทเนีย”

แม้กูรูบูจู้จะเป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นจากเวทมนตร์ แต่กูรูบูจู้มีความแตกต่างจากสัตว์เนรมิตของนักเวทย์คนอื่น ๆ นั่นก็คือ มันเป็นสัตว์เนรมิตที่ “มีหัวใจ” และรู้จักการส่งมอบความรัก

กูรูบูจู้เป็นสัตว์เนรมิตที่แอนโทเนียรักมากที่สุด ส่วนกูรูบูจู้ก็รักและถือว่าแอนโทเนียเป็นแม่ของมันด้วยเหตุนี้เอง กูรูบูจี้จึงตั้งใจที่จะเป็นสัตว์เนรมิตที่ดี และต้องการปกป้องแอนโทเนียให้ปลอดภัยจากผู้ที่ไม่หวังดีทั้งหลาย

แต่การจับกูรูบูจู้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกูรูบูจู้มีอาวุธเป็นเขา แถมยังบินได้ ที่สำคัญ มันมีความผูกพันกับแอนโทเนียมาก จึงมักอยู่ใกล้ ๆ เธอเสมอ หากใครคิดจะไปลักพาตัวหรือจับกูรูบูจู้ แอนโทเนียก็คงปกป้องกูรูบูจู้ด้วยเวทมนตร์ของเธออย่างเต็มที่

วันนั้น นักเวทย์คนหนึ่งได้ปลอมตัวมาหลอกกูรูบูจู้ว่า ในป่าเวทมนตร์มีสมุนไพรที่สามารถรักษาแอนโทเนียให้หายป่วยได้ ส่วนนักเวทย์คนอื่น ๆ ก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าเวทมนตร์ เพื่อรอเวลาในการจับตัวกูรูบูจู้มาศึกษา

แต่เมื่อมันไปถึงที่หมาย มันกลับพบว่าไม่มีสมุนไพรใด ๆ อยู่ที่นั่น มีก็แต่เหล่านักเวทย์จอมเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนตัวอยู่ และทุกคนก็รวมพลังเวทมนตร์ เพื่อสะกดไม่ให้กูรูบูจู้ขยับปีกหรือใช้เขาในการต่อสู้ ในที่สุด กูรูบูจู้ก็ถูกจับนักเวทย์ทั้งหลายต่างพากันกระหยิ่มยิ้มย่องที่จับกูรูบูจู้ได้สำเร็จ

ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นได้สัมผัสกับความอบอุ่น และความจริงใจจากหัวใจของกูรูบูจู้ พวกมันก็เริ่มรู้สึกเหมือนเลือดลมในร่างเนรมิตของพวกมันเริ่มไหลเวียน จนพวกมันเริ่มรู้สึกถึงความมีชีวิตอย่างแท้จริง และพวกมันก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญ ของการส่งมอบความรักให้แก่ผู้อื่น

พวกสัตว์เนรมิตช่วยกันหาวิธีพากูรูบูจู้หนีออกจากห้องเวทมนตร์ลึกลับอยู่สักพัก ในที่สุด พวกมันก็ทำได้สำเร็จ

เมื่อกูรูบูจู้หนีการติดตามมาจนเข้าเขตบ้านของแอนโทเนีย แอนโทเนียซึ่งยังคงป่วยอยู่ได้ยินเสียงผิดปกติจึงลุกขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่หน้าต่าง

เมื่อกูรูบูจู้เห็นแอนโทเนีย มันก็รีบโผเข้าหาวงแขนอันอบอุ่นนั้น ส่วนแอนโทเนียก็กอดเจ้ากูรูบูจู้สัตว์เนรมิตที่เธอรักเหมือนลูกเอาไว้ในอ้อมอก

แต่ก่อนที่เหล่านักเวทย์จะลงมือ สัตว์เนรมิตทั้งหลายก็ทำเรื่องที่เหล่านักเวทย์คาดไม่ถึง นั่นคือ พวกมันพากันโผเข้ากอดเหล่านักเวทย์ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่ผู้สร้างชีวิตให้แก่มัน

ครั้นเมื่อเหล่านักเวทย์ถูกสัตว์เนรมิตที่ตนเองสร้างโผเข้ากอดและส่งมอบความรักให้ หัวใจอันหยาบกระด้างของพวกเขาก็ค่อย ๆ ละมุนละไมมากขึ้น

ในที่สุด เรื่องราวท้ั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข