เด็กเลี้ยงแกะ (The Boy Who Cried Wolf) คือหนึ่งในนิทานอีสปที่รู้จักกันดีทั่วโลก เป็นนิทานสอนใจอมตะที่เล่าต่อกันมายาวนานตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ จนถึงยุคปัจจุบัน นิทานเรื่องนี้โดดเด่นด้วยบทเรียนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ “การพูดโกหก” และ “ผลของการไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง” ทำให้คุณพ่อคุณแม่และครูทั่วโลกมักใช้นิทานเรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการสอนเด็ก ๆ เสมอ
นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาเล่าใหม่ให้สนุกขึ้น ในแบบฉบับของ “นิทานนำบุญ” โดยแทรกแฝงอารมณ์ขัน และยังคงใจความสำคัญเดิมไว้ครบถ้วน เพื่อให้เด็ก ๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย และได้ข้อคิดอย่างแท้จริง
มาอ่านนิทานเรื่อง “เด็กเลี้ยงแกะ” กันเถอะ…
เรื่องของเรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งเป็นคนที่มีนิสัยชอบโกหก
วันหนึ่งในขณะที่เด็กเลี้ยงแกะ ปล่อยให้ฝูงแกะกินหญ้าอยู่ที่เนินเขา จู่ ๆ เขาก็นึกสนุก อยากแกล้งชาวบ้านให้ตกใจเล่น เด็กเลี้ยงแกะจึงแกล้งตะโกนเสียงดันลั่นว่า “มามามามา มามามามา หมาป่ามา” จากนั้น เขาก็ตะโกนต่อไปอีกว่า “ชะชะชะช่วย ชะชะชะช่วย ชะชะชะช่วยด้วยจ้า”
เมื่อชาวบ้านได้ยิน ชาวบ้านก็พากันต๊กกะใจ แล้วพากันคว้าจอบเสียมมีดพร้า ไหปลาร้าไม้พลอง โถกระเทียมดองไม้ตีพริก และบางคนถึงขั้นแบกครกที่มีพริกอยู่เต็มไปหมด วิ่งขึ้นมาบนภูเขาเพื่อที่จะช่วยเด็กน้อย
แต่อนิจจา เมื่อพวกชาวบ้านวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาจนถึงเนินเขา เหงื่อแตกซิก เหงื่อแตกซิก พวกชาวบ้านกลับมองไม่เห็นเงาของหมาป่าเลยแม้แต่ตัวเดียว สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือเด็กเลี้ยงแกะที่เอาแต่ยืนหัวเราะ “ฮิฮิฮะฮะฮุฮุโฮะโฮะ ฮิฮิฮะฮะฮุฮุโฮะโฮะ” อย่างสะใจ
เด็กเลี้ยงแกะเห็นว่าการโกหกเป็นเรื่องสนุก เขาจึงไม่สนใจที่ชาวบ้านเหงื่อแตกซิก เหงื่อแตกซิก แบกข้าวของขึ้นมาเพื่อช่วยเขา เด็กเลี้ยงแกะมองว่า เมื่อชาวบ้านโง่เขลาแบบนี้ เขาจะต้องหลอกชาวบ้านอีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อเวลาผ่านไป จนชาวบ้านลืมเรื่องการโกหกของเด็กเลี้ยงแกะกันหมดแล้ว วันหนึ่ง ก็นึกสนุก เขาจึงทำการแกล้งตะโกนเสียงดันลั่นว่า “มามามามา มามามามา หมาป่ามา” จากนั้น เขาก็ตะโกนต่อไปอีกว่า “ชะชะชะช่วย ชะชะชะช่วย ชะชะชะช่วยด้วยจ้า”
เมื่อชาวบ้านได้ยิน ชาวบ้านก็ “ต๊กกะใจ” แล้วพากันคว้าจอบเสียมมีดพร้าไหปลาร้าไม้พลอง โถกระเทียมดองไม้ตีพริก บางคนถึงขั้นแบกครกที่มีพริกอยู่เต็มไปหมด วิ่งขึ้นมาบนภูเขาเพื่อที่จะช่วยขับไล่หมาป่า
แต่อนิจจา เมื่อพวกเขาวิ่งกระหืดกระหอบเหงื่อแตกซิก เหงื่อแตกซิกขึ้นมาถึงเนินเขา พวกเขากลับมองไม่เห็นเงาของหมาป่าเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ เจ้าเด็กเลี้ยงแกะที่เอาแต่ยืนหัวเราะ “ฮิฮิฮะฮะฮุฮุโฮะโฮะ ฮิฮิฮะฮะฮุฮุโฮะโฮะ” อย่างสะใจ
ชาวบ้านโกรธ ที่เด็กเลี้ยงแกะโกหกพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ชาวบ้านจึงตั้งใจว่า พวกเขาจะไม่เชือถือคำพูดใด ๆ ของเด็กเลี้ยงแกะอีกเลย
แต่ในขณะเดียวกัน แทนที่เด็กเลี้ยงแกะจะสำนึกตัว เขากลับไม่รู้จักสำนึก เขาพูดว่า ถ้าชาวบ้านโง่เขลาแบบนี้ เขาจะต้องหลอกชาวบ้านอีกให้ได้เป็นครั้งที่สาม
หนึ่งเดือนต่อมา เมื่อเด็กเลี้ยงแกะรอเวลาจนทุกคนน่าจะลืมเรื่องโกหกของเขาไปหมดแล้ว เด็กเลี้ยงแกะจึงตั้งใจที่จะหลอกชาวบ้านอีก
แต่ในวันนั้น ในขณะที่เด็กเลี้ยงแกะตั้งท่าจะตะโกนหลอกชาวบ้าน จู่ ๆ ก็มีหมาป่าตัวหนึ่ง เป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่มาก และมีเขี้ยวขาวโง้งคมกริบ มันโผล่มาจากพุ่มไม้ และทำท่าว่าจะวิ่งเข้าตะครุบลูกแกะทั้งฝูงของเด็กเลี้ยงแกะ ซ้ำร้ายมันอาจจะตะครุบเด็กเลี้ยงแกะเข้าให้ด้วย
เมื่อเด็กเลี้ยงแกะหันไปเห็นหมาป่า เด็กเลี้ยงแกะก็ “ต๊กกะใจ” ตะโกนเสียงดันลั่นว่า “มามามามา หมาหมาหมาหมา หมาป่ามา” จากนั้น เขาก็ตะโกนต่อไปอีกว่า “ชะชะชะช่วย ชะชะชะช่วย ชะชะชะช่วยด้วยจ้า”
เด็กเลี้ยงแกะตะโกนเสียงดังลั่นกว่าเดิม ดังกว่าทุก ๆ ครั้ง แม้ชาวบ้านจะได้ยินเสียงร้องให้ช่วย แต่คราวนี้ชาวบ้านคิดว่า เด็กเลี้ยงแกะก็คงพยายามจะโกหกอีกเป็นครั้งที่สามนั่นแหละ ดังนั้น ชาวบ้านจึงทำเป็นหูทวนลม ไม่รู้ไม่ชี้ และไม่ยอมสนใจกับเสียงร้องให้ช่วยของเด็กเลี้ยงแกะเลยแม้สักนิด
ในที่สุด เจ้าหมาป่าก็จัดการกินลูกแกะไปเกือบหมดทั้งฝูง แม้เด็กเลี้ยงแกะจะโชคดีที่รอดจากคมเขี้ยวของหมาป่ามาได้ แต่เขาก็รู้สำนึกแล้วว่า เพราะเขาเป็นเด็กที่ขี้โกหกนั่นเอง จึงไม่มีใครมาช่วยเขา ดังนั้น เขาจึงตั้งใจที่จะไม่โกหกใคร ๆ อีก เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่า พิษภัยของการโกหกนั้นมีมากเพียงใด
ข้อคิดจากนิทานเรื่อง “เด็กเลี้ยงแกะ”
- การโกหกแม้เพียงเล่น ๆ อาจทำให้ไม่มีใครเชื่อในเวลาที่เราพูดความจริง
- ความรับผิดชอบในหน้าที่คือสิ่งสำคัญที่เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้
- คนที่เสียความน่าเชื่อถือ อาจไม่มีใครช่วยเหลือได้จริงในยามลำบาก
- ความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นสร้างยาก แต่ทำลายง่ายเพียงคำโกหกคำเดียว
#นิทานนำบุญ
………………
