Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน เจ้าบ่าวของหนูสาว – เรื่องของความรักที่อยู่ใกล้กว่าที่คิด

“เจ้าบ่าวของหนูสาว” (The Mouse Bride หรือ The Most Powerful Husband) คือหนึ่งในนิทานพื้นบ้านจีนโบราณที่มีชื่อเสียง และถูกเล่าต่อกันมาอย่างยาวนานทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เล่าถึงครอบครัวหนูที่แสวงหาว่าที่เจ้าบ่าวที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ให้กับลูกสาวแสนสวย และในการเดินทางตามหาว่าที่เจ้าบ่าว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า “พลังที่แท้จริง” อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด

ในเวอร์ชันนี้ — ซึ่งจัดทำขึ้นใหม่ในรูปแบบ “นิทานก่อนนอน” ที่เหมาะกับเด็ก ๆ สมัยใหม่ — ผู้เขียนได้ปรับภาษาให้นุ่มนวล อ่านง่าย และเพิ่มเสน่ห์ด้วยภาพประกอบแสนน่ารักที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก ๆ ทั้งยังคงรักษาแก่นของนิทานต้นฉบับไว้ครบถ้วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่านิทานก่อนนอน เพื่อสร้างบทสนทนาที่อบอุ่นระหว่างพ่อแม่กับลูก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูสาวตัวหนึ่งเป็นหนูสาวที่มีหน้าตาน่ารักที่สุดในโลก เมื่อหนูสาวเติบโตถึงวัยที่ควรจะมีครอบครัว พ่อกับแม่ของหนูสาวจึงคิดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก

เจ้าบ่าวคนแรกที่พ่อหนูนึกถึงก็คือพระอาทิตย์ผู้มีแสงเจิดจ้า แต่เมื่อพ่อหนูกับแม่หนูไปบอกกับพระอาทิตย์ว่าพวกตนกำลังตามหาเจ้าบ่าวที่เก่งกาจให้ลูกสาว พระอาทิตย์ก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาให้เหตุผลว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ก้อนเมฆต่างหากที่เก่งกาจกว่าฉัน ดูสิ..เพียงแค่เมฆลอยผ่านมา มันก็บดบังฉันจนมิด ฉันว่า..เมฆน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามที่พระอาทิตย์ชี้แจง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหาก้อนเมฆ เพื่อขอให้ก้อนเมฆแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อก้อนเมฆได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู ก้อนเมฆก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขากล่าวว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของก้อนเมฆ ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา สายลมเพื่อขอให้สายลมแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อสายลมได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู สายลมก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของสายลม ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหากำแพง เพื่อขอให้กำแพงแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อกำแพงได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู กำแพงก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ยังมีคนอื่นที่เก่งกาจมากกว่าฉัน ดูสิ..เขาใช้ฟันเจาะตัวฉันจนเป็นรูได้ด้วย ฉันว่า..เขาน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมมากกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูดูรูที่กำแพง แล้วก็รู้สึกคล้อยตามคำพูดที่ได้ฟัง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา “ผู้เก่งกาจ” เพื่อขอให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของตน และมันก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับพรหมลิขิต! เพราะผู้เก่งกาจที่กำแพงพูดถึงก็คือหนูหนุ่มคู่รักของหนูสาวนั่นเอง

หนูหนุ่มดีใจมากที่จู่ ๆ พ่อกับแม่ของหนูสาว ก็มาขอให้มันแต่งงานกับหนูสาวที่มันเฝ้าฝันถึง หนูหนุ่มรีบตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข ส่วนพ่อหนูกับแม่หนูก็ดีใจ ที่พวกมันสามารถหาเจ้าบ่าวผู้เก่งกาจ ให้แก่ลูกสาวได้เป็นผลสำเร็จ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าตัดสินใครจากฐานะหรือรูปลักษณ์ภายนอก
  • การมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่น คือสิ่งสำคัญยิ่งในความสัมพันธ์
  • ผู้ปกครองควรฟังความรู้สึกของลูก ไม่ใช่ตัดสินใจแทนโดยลำพัง

#นิทานโบราณ

หนูสาวในชุดกระโปรงชมพูยืนเคียงข้างหนูหนุ่มในชุดเอี๊ยมฟ้า ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสและแสงอาทิตย์ สื่อถึงความรักและการแต่งงานในนิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว”
เพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” เพลงสนุก ฟังเพลิน ถ่ายทอดความรักแท้ผ่านตัวละครหนูสาวและหนูหนุ่ม
Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

คนต่อเทียน

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่อง “คนต่อเทียน” เป็นนิทานที่มีความหมายสำหรับผมมาก ตอนที่ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ ผมไม่แน่ใจว่าผู้อ่านจะชอบนิทานเรื่องนี้ไหมหรือจะเข้าใจเนื้อหาของนิทานไหม แต่หัวใจของนิทานเรื่องนี้คือสิ่งที่ผมเชื่อจริง ๆ เหมือนที่ผมเลือกแต่งนิทาน เพราะผมเชื่อว่า การทำให้เด็กมีความสุขเป็นสิ่งที่ผมควรทำ

หลังจากนิทานได้พิมพ์ลงในนิตยสารขวัญเรือนไปแล้ว นิทานเรื่องนี้ก็ไม่ได้รับเสียงสะท้อนใด ๆ จากผู้อ่าน (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) แต่เมื่อผมนำนิทานเรื่องนี้ไปพิมพ์เป็นหนังสือภาพกับสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ หนังสือภาพสำหรับเด็กเรื่อง “คนต่อเทียน” ก็ได้รับรางวัลราว 3-4 รางวัล รวมถึงรางวัลที่สำคัญที่สุดในอาชีพนักเขียนนิทานของผม แต่ถ้อยคำในหนังสือคนต่อเทียน กับ นิทานต้นฉบับมีความแตกต่างกันตามรูปแบบของสื่อหนังสือภาพและสื่อนิทาน ดังนั้น ผมจึงอยากเชิญชวนให้คุณผู้อ่านลองอ่านนิทานเรื่องนี้ในแบบดั้งเดิม และถ้าถูกใจอาจลองหาฉบับหนังสือภาพของสำนักพิมพ์สถาพรบุ้กส์มาอ่านอีกครั้ง ผมเชื่อว่านิทานและหนังสือภาพเรื่อง “คนต่อเทียน” เป็นผลงานที่มีคุณค่าสำหรับเด็กที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตครับ

นิทานเรื่อง คนต่อเทียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกที่ห่างไกลจากความเจริญ ผู้คนในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่เป็นคนยากจนและมีชีวิตที่ลำบาก  หนำซ้ำ…หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน  ชาวบ้านทุกคนก็แทบจะไม่กล้าออกจากเรือนพัก เพราะรอบ ๆ หมู่บ้านเป็นป่าทึบที่แม้แต่แสงจันทร์ก็ยังยากที่จะส่องลงมาได้  ทำให้สัตว์ร้ายต่าง ๆ มักแฝงตัวอยู่ในความมืด แล้วหาโอกาสทำร้ายชาวบ้านหรือนักเดินทางที่บังเอิญผ่านไปผ่านมาอยู่เสมอ ๆ

วันหนึ่ง  ชายชราซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของหมู่บ้านรู้สึกเป็นห่วงลูก ๆ หลาน  ๆ และผู้คนที่อาจโดนสัตว์ป่าทำร้ายไม่วันใดก็วันหนึ่ง  ชายชราจึงปรึกษากับภรรยาที่มีอายุไล่เลี่ยกันเพื่อหาวิธีป้องกันอันตรายให้แก่ทุก ๆ คน

หลังจากที่สองตายายปรึกษาหารือกันอยู่หลายวัน  ในที่สุด ทั้งคู่ก็ตัดสินใจนำเงินที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิตไปซื้อเทียนไขจำนวนหนึ่งหมื่นเล่ม แล้วทำการจุดเทียน พร้อมกับนำมันไปติดตั้งบนก้อนหินทั้งในตัวหมู่บ้านและในราวป่า  จนหมู่บ้านและป่าที่เคยมืดสนิทในยามค่ำคืนกลับสว่างไสวด้วยแสงเทียนดูงามตาน่าพิศวง 

แสงเทียนที่งดงามทำให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศอยากรู้ว่าแสงสว่างกลางป่ามีที่มาอย่างไร  ชาวเมืองที่อยู่ห่างไกลบางคนเข้าใจว่า ผู้ที่นำเทียนมาติดตั้งในป่าอาจเป็นคนของพระราชาผู้ครองแคว้น, บางคนเดาว่าอาจเป็นความเมตตาของเศรษฐีใจบุญที่มีเงินมหาศาล, บางคนคิดไปว่าอาจเป็นฝีมือของเทวดาที่แอบมาช่วยเหลือมนุษย์  เมื่อความสงสัยทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ  ชาวเมืองทั้งหลายจึงพากันเข้าไปในป่าเพื่อหาคำตอบ 

เมื่อชาวเมืองทั้งหลายพากันเข้ามาในป่า  พวกเขาก็เห็นชายชรากับภรรยาค่อย ๆ เดินจุดเทียนไปทีละเล่ม ๆ จนครบทั้งหนึ่งหมื่นเล่มอย่างไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อย  หลังจากนั้น  ชาวเมืองก็ตามสองตายายกลับไปที่เรือนพัก ซึ่งเพียงแค่เห็นสภาพของเรือนพัก ทุกคนก็รู้ในทันทีว่า ผู้เฒ่าทั้งสองไม่น่าจะเป็นคนที่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้แต่อย่างใดเลย

ชาวเมืองทั้งหลายจึงสงสัยว่า ชายชรากับภรรยาได้อะไรจากการจุดเทียนไปทั่วทั้งป่า (หรือมีคนจ้างวานให้ทำเช่นนี้) แต่เมื่อชาวเมืองได้ฟังคำตอบของผู้เฒ่าทั้งสอง ชาวเมืองก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะทั้งคู่ตอบว่า  สิ่งที่ได้จากการจุดเทียนมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น

จริง ๆ แล้ว  สองตายายผู้คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในป่าไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างในยามค่ำคืนเลยแต่เพียงเพราะผู้เฒ่าทั้งสองอยากป้องกันภัยให้ลูก ๆ หลาน ๆ ในหมู่บ้านของตัวเองและผู้คนทั้งหลายที่อาจจำเป็นต้องเดินทางผ่านป่าในยามค่ำคืน  ชายชราและภรรยาจึงเสียสละเงินส่วนตัวก้อนสุดท้ายและเรี่ยวแรงที่มี ทำการจุดเทียนหนึ่งหมื่นเล่มทุกวันเพื่อให้ทุก ๆ คนปลอดภัยจากสัตว์ร้ายในป่า

ความตั้งใจดีของสองตายายจุดประกายให้ทุก ๆ คนนึกอยากทำความดีเพื่อผู้อื่นบ้าง  ชาว เมืองทั้งหลายจึงผลัดกันนำเทียนเล่มใหม่มาแทนเทียนหนึ่งหมื่นเล่มของชายชราและภรรยาที่ค่อย ๆ สั้นลงทุกวัน ๆ  รวมทั้งพวกเขายังบริจาคเงินทองและแบ่งปันข้าวของให้แก่ชาวบ้านในป่าที่มีฐานะยากจนกว่าอีกด้วย

ส่วนชาวบ้านในป่านั้น  พวกเขาก็นำอ่างใส่น้ำดื่มมาตั้งไว้ที่หน้าบ้าน, ทำเพิงนั่งพักให้คนที่เหนื่อยอ่อนจากการเดินทางได้ใช้หลบแดด, ติดป้ายและกระดิ่งที่ประตูให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือเรียกหาได้ทุกเวลา, จัดขนมผัดขนมต้มและผลไม้วางไว้ให้นักเดินทางได้ใช้รองท้อง และพยายามเสนอตัวช่วยเหลือคนทุกคนตามกำลังที่มีอยู่

ความดีที่ผู้สูงอายุทั้งสองได้กระทำลงไปเปรียบเหมือนการเริ่มต้นจุดเทียนให้แสงสว่างแก่สังคมที่มืดมิด  แม้ในตอนแรกแสงอาจยังน้อย แต่เมื่อผู้คนเห็นดีเห็นงามกับการทำความดีและพร้อมใจกันต่อเทียนแห่งความดีด้วย   ทุกหนทุกแห่งจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีงามและความสุข

สองตายายดีใจมากที่ได้เห็นคนทุกคนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ส่วนผู้คนทั้งหลายนั้น  เมื่อพวกเขาเล็งเห็นถึงจิตใจอันดีงามของผู้เฒ่าทั้งสอง  ทุกคนจึงช่วยกันดูแลชายชราและภรรยาผู้เป็นบุคคลต้นแบบให้มีความสุขสืบมา…ตลอดชั่วชีวิตของท่าน

#นิทานนำบุญ

…………………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

โถวงกต

นิทานเรื่อง โถวงกต

“นาธาน” เป็นเด็กหนุ่มซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แร้นแค้นแสนเข็ญ  แม้ชาวบ้านจะเป็นคนขยัน แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจึงค่อย ๆ ย่ำแย่ลงตามลำดับ นาธานไม่อยากปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เขาอยากให้ทุก ๆ คนมีชีวิตที่ดีขึ้น  ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปแสวงโชค ณ ดินแดนแห่งอื่น

ในระหว่างการเดินทาง  นาธานได้พบหญิงชราคนหนึ่งนอนเป็นลมล้มฟุบอยู่ริมถนน  ชายหนุ่มนึกถึงคำของพ่อกับแม่ที่สอนให้เขามีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรีบเข้าช่วยเหลือหญิงชราผู้น่าสงสารทันที

เมื่อหญิงชรามีอาการดีขึ้น  นางจึงมอบโถดินเผาขนาดยักษ์ที่นางปั้นเองกับมือให้แก่นาธานเพื่อเป็นการขอบคุณ  แม้นาธานจะไม่ได้หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทน แต่เขาก็ไม่อยากให้หญิงชราต้องเสียน้ำใจ  ดังนั้น นาธานจึงยอมรับโถดินเผาเอาไว้แต่โดยดี

โถดินเผาที่หญิงชราทำขึ้นนั้นมีชื่อเรียกว่า “โถวงกต”  มันเป็นโถแปลกประหลาดที่เมื่อใส่ของเข้าไปแล้ว ของที่ใส่ลงไปก็จะหลงทางอยูในโถโดยไม่มีใครสามารถนำมันออกมาจากโถได้อีก  นาธานไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหญิงชราจึงทำโถแปลก ๆ เช่นนี้ออกขาย (เขาเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากซื้อโถประหลาด ๆ แบบนี้เป็นแน่) แต่ถึงกระนั้นก็ตาม  นาธานก็ยังคงแบกมันติดตัวไปด้วย โดยหวังว่าสักวัน เขาจะสามารถไขข้อสงสัยให้กระจ่างได้

นาธานออกเดินทางต่อจนได้พบกับเมืองร้างและปราสาทที่มีเพียงพระราชา พระราชินี และเจ้าหญิงอาศัยอยู่ เมื่อนาธานสอบถามถึงต้นสายปลายเหตุจากพระราชา พระองค์ก็ทรงเล่าให้นาธานฟังว่า เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเพราะมีปิศาจมากหน้าหลายตามาติดใจรักใคร่เจ้าหญิงผู้เป็นลูกสาวของพระองค์ แต่เนื่องจากเจ้าหญิงไม่อยากเป็นเจ้าสาวของปิศาจ ปิศาจทั้งหลายจึงแกล้งมาหลอกหลอนจนผู้คนในเมืองพากันหนีหายไปจนหมด

เด็กหนุ่มไม่ชอบการกระทำของพวกปิศาจเอาเสียเลย และเมื่อเขานึกถึงคำสอนของพ่อกับแม่ เขาจึงอาสาช่วยพระราชาจัดการกับปิศาจเหล่านั้น

แม้นาธานจะไม่มีพลังพิเศษใด ๆ ที่จะใช้ต่อกรกับพวกปิศาจ แต่เขาเชื่อมั่นว่าหากเขาใช้ปัญญาขบคิด เขาก็น่าจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และด้วยความเชื่อมั่นนี้เอง นาธานจึงรวบรวมสมาธิเพื่อคิดหาวิธีปราบปิศาจ จนในที่สุด เขาก็ค้นพบหนทางที่น่าจะเป็นไปได้

นาธานเล่าแผนการทั้งหมดให้พระราชาฟัง จากนั้น เขาก็ขอร้องให้พระราชา พระราชินี และเจ้าหญิงช่วยกันเล่นละครเพื่อลวงเหล่าปิศาจให้ติดกับ!

ตกกลางคืน เมื่อปิศาจทั้งหลายพากันมาชุมนุมที่ปราสาทของพระราชา พระราชากับพระราชินีจึงแกล้งทำทีว่าพระองค์ทรงตัดสินใจที่จะยกเจ้าหญิงให้แก่เหล่าปิศาจ เพื่อเป็นการยุติปัญหา พระราชาแจ้งให้พวกปิศาจทราบว่า พระองค์ได้ใส่แหวนประจำตระกูลเอาไว้ในโถดินเผาขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนพื้น ซึ่งหากปิศาจตนใดสามารถนำแหวนออกมาจากโถได้เร็วที่สุด พระองค์ก็จะยกเจ้าหญิงให้แต่งงานด้วยโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ อีก

ทันทีที่พระราชาพูดจบ ปิศาจทั้งหลายก็แปลงกายเป็นหมอกควันแล้วแย่งกันพุ่งตัวเข้าไปในโถวงกตอย่างไม่รอช้า พระราชา พระราชินี เจ้าหญิงและนาธานต่างมองโถใบยักษ์ด้วยใจจดจ่อ จนเมื่อเวลาผ่านไปนานพอควร  ทุก ๆ คนจึงมั่นใจว่าปิศาจทั้งหลายคงจะหลงวนเวียนอยู่ในโถวงกตโดยไม่มีโอกาสกลับมาก่อความเดือนร้อนได้อีกเป็นแน่

ในที่สุด นาธานก็ค้นพบประโยชน์ของโถประหลาดที่ช่วยให้เขาสามารถแก้ปัญหาได้อย่างคาดไม่ถึง เมื่อสถานการณ์เลวร้ายคลี่คลายลง พระราชากับพระราชินีจึงกล่าวขอบคุณหนุ่มน้อยผู้มีน้ำใจ จากนั้น ทั้งสองพระองค์ ก็เชื้อเชิญให้ชายหนุ่มพาชาวบ้านรวมทั้งพ่อแม่ของเขามาอาศัยอยู่ที่เมืองอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์แทนประชาชนที่อพยพออกไปแล้ว

นาธานดีใจที่ได้รับความกรุณาจากพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ และแล้ว…เขาก็สามารถช่วยผู้คนจากหมู่บ้านของเขาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้สมดังปรารถนา

#นิทานนำบุญ

………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ผีน้อยจอมเกเร

การอ่านนิทานผีก่อนนอนอาจทำให้เด็ก ๆ นอนหลับแบบไม่ค่อยสบายใจ แต่นิทานก่อนนอนเรื่อง “ผีน้อยจอมเกเร” เป็นนิทานที่ต่างออกไป เพราะการได้อ่านหรือได้ฟังนิทานผีเรื่องนี้ จะทำให้เด็ก ๆ ยิ้มหรือไม่ก็หัวเราะ แถมตอนจบคงทำให้เด็ก ๆ โล่งใจและนอนหลับฝันดีได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หวังว่านิทานเรื่อง “ผีน้อยจอมเกเร” จะเป็นนิทานผีอีกเรื่องที่ทำให้เด็ก ๆ มีความสุขนะครับ

นิทานเรื่อง ผีน้อยจอมเกเร

กองกอยเป็นผีน้อยขี้แกล้ง มันชอบแกล้งโผล่ขึ้นมาตอนที่เด็ก ๆ เผลอ เพื่อหลอกให้เด็ก ๆ ขวัญผวา ยิ่งกองกอยแกล้งเด็กให้กลัวได้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งภูมิใจในความเป็นผีของมันมากขึ้นเท่านั้น กองกอยเคยแกล้งหลอกเสียจนเด็กตัวเล็ก ๆ น้ำตาร่วง และในบางครั้ง เด็กบางคนกลัวกองกอยเสียจนฉี่เลอะกางเกงเลยก็มี

เมื่อเวลาผ่านไป   เด็ก ๆ ที่เคยโดนกองกอยแกล้งก็ค่อย ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่  พวกเขาเริ่มรู้ว่ากองกอยเป็นเพียงผีกิ๊กก๊อกที่ทำได้แค่เพียงโผล่ขึ้นมาหลอกตอนที่มนุษย์เผลอ  ดังนั้นพวกเขาจึงบอกเล่าความไม่เอาไหนของกองกอยให้เด็ก ๆ ทุกคนรู้  และในเวลาไม่ช้าไม่นาน  กองกอยก็กลายเป็นผีน้อยที่ไม่มีความน่ากลัวอีกต่อไป 

กองกอยไม่พอใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเอาเสียมาก ๆ   ผีที่หลอกให้ใคร ๆ กลัวไม่ได้ จะอยู่เป็นผีต่อไปเพื่ออะไร  กองกอยไม่อยากเป็นผีกระจอก  มันจึงเริ่มหาทางแกล้งเด็กด้วยวิธีใหม่ ๆ  เพื่อทวงความน่ากลัวของมันกลับคืนมาอีกครั้ง

กองกอยเลือกที่จะทำตัวเป็นจิ๊กโก๋รุ่นเล็ก คือทำตัวเป็นนักเลงที่คอยแย่งของจากเด็ก ๆ มาเป็นของของตัวเอง  แม้กองกอยจะไม่มีอำนาจที่น่ากลัวเหมือนกับผีชนิดอื่น ๆ  แต่ถ้าดูจากรูปร่างของมันแล้ว  กองกองก็สามารถรังแกเด็กที่มีอายุไม่ถึง 10 ขวบได้อย่างสบาย  ซึ่งหลังจากที่กองกอยตัดสินใจแกล้งเด็กด้วยวิธีนี้  เด็ก ๆ ก็กลับมากลัวผีน้อยจอมเกเรอย่างกองกอยอีกจนได้

ครูออยซึ่งเป็นครูสอนเด็กเล็ก ไม่พอใจต่อการกระทำของกองกอยเอาเสียมาก ๆ   ทุก ๆ วัน  ครูออยจะต้องคอยปลอบเด็ก ๆ ที่ร้องไห้ เพราะถูกกองกอยแย่งของต่าง ๆ ไปคนละชิ้นสองชิ้นเสมอ   ครูออยซึ่งเคยโดยกองกอยแกล้งสมัยที่เธอยังเป็นเด็กคิดในใจว่า  ถึงเวลาแล้วที่เจ้าผีน้อยจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสม

เช้าวันรุ่งขึ้น ครูออยแอบไปที่บ้านของเด็ก ๆ แต่ละคน แล้วนำลูกโป่งสีสวยไปให้ลูกศิษย์ของเธอคนละ 1 ลูก  เด็ก ๆ ดีใจมากที่ได้รับลูกโป่งสวรรค์จากคุณครูของพวกเขา  แต่พวกเขากลับดีใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อครูออย กระซิบความลับบางอย่างให้พวกเขาฟัง

เมื่อใกล้ถึงเวลาโรงเรียนเข้า  เด็ก ๆ ทุกคนพร้อมใจกันนำลูกโป่งไปโรงเรียนด้วย  นี่คือแผนการที่ครูออยวางเอาไว้  และก็เป็นไปดังคาด เมื่อกองกอยเห็นลูกโป่งแสนสวยของเด็ก ๆ   เจ้าผีน้อยจอมเกเรก็ตรงรี่เข้าไปแกล้งเด็ก ๆ  ด้วยการแย่งลูกโป่งของเด็ก ๆ มาเป็นของ ๆ ตัวเอง

กองกอยแย่งลูกโป่งจากเด็ก ๆ ทีละลูกสองลูก  จนในที่สุด ลูกโป่งทั้งหมดของเด็ก ๆ ก็มารวมกันอยู่ในมือน้อย ๆ ของกองกอยแต่เพียงผู้เดียว

และแล้ว แผนการของครูออยก็สัมฤทธิ์ผล  เพราะเมื่อกองกอยถือลูกโป่งทั้งหมดเอาไว้ในมือ  ลูกโป่งสวรรค์ที่มีสีสันแสนสวยก็พาร่างน้อย ๆ ของกองกอยลอยล่องขึ้นไปบนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ และสายลมก็ช่วยพัดพา กองกอยให้ลอยไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

เด็ก ๆ ต่างดีใจที่ลูกโป่งสวรรค์พากองกอยลอยไปไกลเกินกว่าที่จะกลับมาแกล้งพวกเขาได้ ส่วนครูออยเองก็แอบภูมิใจอยู่ลึก ๆ ที่เธอมอบบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้าผีน้อยจอมเกเร

#นิทานนำบุญ

………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

มิตรภาพในป่าเท่าเทียม

คำว่า “ความเท่าเทียม” เป็นคำที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้ยินมานาน ตัวอย่างที่ค่อนข้างชัด คือสมัยที่ได้ฟังเพลง “สองเราเท่ากัน” ของเรวัต พุทธินันทน์ ที่พูดถึงความเท่าเทียมของผู้ชายผู้หญิงที่ควรก้าวเดินไปพร้อม ๆ กันอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในโลกของเด็ก คำว่า “ความเท่าเทียม” ไม่ได้มีความหมายแบบในโลกของผู้ใหญ่ เด็กรู้จักการแบ่งขนมให้เท่า ๆ กัน แบ่งของเล่นให้เท่า ๆ กัน แต่ถ้าแบ่งแล้วไม่เป๊ะ ก็มองข้ามได้ เพราะแทนที่จะมานั่งปวดหัวกับเรื่องแบบนี้ สู้กินขนมให้เสร็จ ยิ้มให้กัน แล้วไปเล่นกันต่อดีกว่า มิตรภาพในป่าเท่าเทียมเป็นนิทานเด็กที่ผมแต่งไว้ราว 10 ปีแล้ว แต่ข้อคิดของนิทานเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลาย ๆ คน

นิทานเรื่อง มิตรภาพในป่าเท่าเทียม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีลูกช้าง ลูกกระต่าย และลูกเต่าเป็นเพื่อนกัน

ลูกช้าง ลูกกระต่าย และลูกเต่า เกิดในป่าเท่าเทียม ซึ่งทุกสิ่งทุกทุกอย่างในป่าแห่งนี้มีขนาดที่เท่า ๆ กันไปหมด  ส่วนนกน้อยเพิ่งเดินทางเข้ามาในป่าได้ไม่นาน และเพิ่งเป็นเพื่อนกับลูกสัตว์ทั้งสามได้เพียงไม่กี่วัน มันจึงมีขนาดตัวที่แตกต่างจากเพื่อน ๆ และแตกต่างกับทุกสิ่งทุกอย่างในป่าเท่าเทียม จนเพื่อนทั้งสามคิดว่าคงต้องหาทางช่วยให้นกน้อย “เหมือน” กับทุก ๆ สิ่งในป่าโดยเร็วที่สุด

ลูกเต่ายิ้มให้นกน้อยแล้วบอกว่า “ฉันจะหาอาหารที่มีขนาดเท่ากับตัวฉัน มาให้เธอกินนะ เธอก็แค่กิน ๆ ๆ กินจนกว่าจะตัวโตเท่ากับฉัน  สู้ ๆ นะ…เพื่อนรัก”

ลูกกระต่ายยิ้มให้นกน้อยแล้วบอกว่า “ส่วนฉันจะฝึกให้เธอกระโดดดึ๋ง ๆ ๆ ๆ ผ่านป่าที่ต้นไม้ทุกต้น ก้อนหินทุกก้อน มีขนาดเท่ากับตัวฉัน ฉันจะฝึกให้เธอมีร่างกายที่แข็งแรงและค่อย ๆ เติบโตจนมีขนาดตัวเท่ากับฉันให้ได้  สู้ ๆ นะ…เพื่อนรัก”

ลูกช้างอมยิ้มแล้วพูดขึ้นบ้างว่า “ถ้าสองวิธีแรกไม่ได้ผล ฉันจะใช้งวงจุ๊บที่ปากของเธอ แล้วเป่าลมปู้ด ๆ ๆ ๆ ให้เธอพองลมจนตัวโตเท่ากับทุกสิ่งทุกอย่างในป่า พวกเรารักเธอมากนะ สู้ ๆ นะ…เพื่อนรัก”

นกน้อยฟังเพื่อน ๆ พูดจนจบ   มันครุ่นคิดอยู่สักพัก  แล้วมันก็ถามเพื่อน ๆ ว่า “เอ่อ.. ฉันอยากรู้จัง ที่พวกเธอยอมรับให้ฉันเป็นเพื่อน  พวกเธอชอบฉันที่ตรงไหนกันเหรอจ๊ะ”

ลูกเต่ารีบตอบทันทีว่า “ฉันชอบที่เธอให้เกียรติและเอ่ยปากขอเป็นเพื่อนกับพวกเราก่อนยังไงล่ะ มันทำให้รู้สึกดีจริง ๆ เลยนะ”

ลูกกระต่ายคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “ฉันชอบเวลาเธอพูด  เธอพูดเพราะ ฟังแล้วสบายใจ”

ส่วนลูกช้างตอบว่า “ฉันชอบเวลาเธอร้องเพลงนะ  ฟังทีไร เพลินทุกทีเลยล่ะ”

นกน้อยฟังคำตอบของเพื่อน ๆ แล้วก็ยิ้ม  จากนั้น มันก็บอกกับเพื่อน ๆ ว่า “ถ้าพวกเธอรับฉันเป็นเพื่อนโดยไม่เกี่ยวข้องกับขนาดร่างกายของฉัน ฉันอยากจะขอเป็นตัวเองแบบนี้ต่อไปจะได้ไหม เพราะฉันก็ชอบพวกเธออย่างที่พวกเธอเป็นเหมือนกันนะจ๊ะ”

คำพูดของนกน้อยทำให้ลูกสัตว์ทั้งสามได้คิด 

การเปลี่ยนให้เพื่อนมีขนาดตัวเหมือนเราไม่ใช่สิ่งที่เท่าเทียมกันเลย  แต่การรักและให้เกียรติเพื่อนอย่างเท่าเทียมกับที่เพื่อนรักและให้เกียรติเราต่างหาก  ที่เป็นความเท่าเทียมอย่างแท้จริง

ลูกสัตว์ทั้งสามตัวขอโทษนกน้อยที่คิดจะเปลี่ยนเพื่อนรักให้เป็นอย่างที่ตนเองอยากให้เป็น แทนที่จะยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเป็นอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อลูกสัตว์ทั้งสี่ปรับความเข้าใจจนตรงกัน  มิตรภาพของพวกมันจึงราบรื่น

และแล้ว ลูกช้าง, ลูกกระต่าย, ลูกเต่าและนกน้อยก็คบหาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันสืบมาตราบนานเท่านาน

#นิทานนำบุญ

……………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ” เป็นนิทานแนวนิทานสระ หรือนิทานตลก ๆ ก่อนนอนที่อาจใช้เป็นนิทานสอนอ่าน สำหรับให้เด็กได้ฝึกอ่านภาษาไทย แม้คำศัพท์ในนิทานเรื่องนี้อาจจะยากอยู่สักหน่อย แต่เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังนิทานหลาย ๆ ครั้งและเข้าใจความหมายของคำมากขึ้นแล้ว เมื่อต้องอ่านเอง ถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นคำคล้องจองซึ่งลงท้ายด้วยสระอุทั้งหมด ก็น่าจะทำให้เด็ก ๆ คาดเดาคำที่อ่านได้ไม่ยากเกินไปนัก หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่อง “เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ” จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่เด็ก ๆ ชื่นชอบนะครับ

นิทานเรื่อง เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ

เรื่องจริง…ไม่ใช่เรื่องกุ

มีเด็กน้อยชื่อว่า ‘วสุ’

เป็นเด็กหน้าตาคิขุ

อาศัยอยู่ที่เกาะทะลุ

ในวันแดดร้อนระอุ

เด็กน้อยมักไปนอนอุตุ

หลบแดดที่เพิงผุผุ

ตรงชายหาดใกล้บ่อน้ำพุ

วันหนึ่ง มีฝูงวัตถุ

คลานมาหาเด็กชายวสุ

พวกมันคือเต่าตนุ

ตัวนิดเดียวแต่ดูอ้วนตุ๊

วสุถามเต่าตนุ

“มาจากไหนโปรดจงระบุ”

พวกเต่าบอกเด็กคิขุ

“ช่วยเราด้วย สาธุ…สาธุ…

พวกเราเจอยักษ์ยอดดุ

เขี้ยวแหลมแหลมแถมแก้มฉุฉุ

มันอยากกินเต่าตนุ

จึงไล่จับเราใส่กระชุ

โชคดีกระชุมันผุ

มีไม้ไผ่เป็นวัสดุ

พวกเราลูกเต่าตนุ

จึงมุดหนีตรงรูทะลุ”

เต่าน้อยอ้อนวอนวสุ

ให้ช่วยปราบเจ้ายักษ์ยอดดุ

ไม่นาน…เด็กน้อยคิขุ

ก็ยอมช่วยเต่าตามแรงยุ

ขั้นแรกเจ้าหนูวสุ

เริ่มจากหาตำราในกรุ

เป็นสูตรยาอันเอกอุ

ตำรับของพระวิษณุ

จากนั้น เด็กน้อยคิขุ

ก็ปรุงยาตามสูตรระบุ

ผสม ‘จุนสีสตุ’

ในเตาไฟที่ร้อนคุคุ

เมื่อเสร็จ..เด็กชายวสุ

ก็บอกกับเหล่าเต่าตนุ

ขออึที่เหม็นตุตุ

ใส่เข้าไปเป็นอันล่วงลุ

พวกเต่าหัวเราะหุหุ

เมื่อทราบสูตรยาของวสุ

เด็กน้อยบอกเต่าตนุ

“อย่าเอ็ดไป จุ๊จุ๊จุ๊จุ๊”

จากนั้น เด็กชายวสุ

ก็ทำการห่อพัสดุ

ส่งให้เจ้ายักษ์หน้าฉุ

หลอกว่าเป็นขนมทองพลุ

 เจ้ายักษ์หลงกลวสุ

กินขนมจากพัสดุ

ด้วยความที่มันกินจุ

ฤทธิ์ของยาจึงเริ่มประทุ

สงสาร..เจ้ายักษ์ยอดดุ

ที่ขนพองท้องไส้ระอุ

ฟันฟางก็ค่อยค่อยผุ

หมดเรี่ยวแรงแทบสิ้นอายุ

เมื่อเห็นว่ายักษ์หน้าฉุ

สิ้นฤทธิ์ด้วยยาของวสุ

บรรดาพวกเต่าตนุ

จึงฉลองด้วยการยิงพลุ

นี่คือเรื่องของวสุ

กับการช่วยเหลือเต่าตนุ

จบแล้วนิทานสระอุ

ช่วยหัวเราะ “ฮุฮุฮุฮุ”

#นิทานนำบุญ

—————————

คำศัพท์น่ารู้ :

กระชุ    หมายถึง ภาชนะสานอย่างหนึ่งใช้บรรจุของ

กรุ       หมายถึง ห้องที่ทำไว้ใต้ดิน

คิขุ       หมายถึง น่ารัก (ใช้ในภาษาพูด)

จุนสีสตุ  หมายถึง สารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งเป็นส่วนผสมของทองแดงและกำมะถัน 

พระวิษณุ หมายถึง เทพเจ้าฮินดูผู้ปกปักรักษาโลก

เอกอุ     หมายถึง เป็นเลิศ

Posted in ครอบครัว, นิทาน

ความฝันของนักเขียนนิทาน

ความฝันของนักเขียนนิทาน

คำว่า “นักเขียนนิทาน” หรือ “นักแต่งนิทาน” ถ้าจะบอกว่าเป็น “อาชีพ” มันก็ดูจะแปลก ๆ อยู่สักหน่อย เพราะถ้ามันเป็นอาชีพ มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำเงินเลี้ยงชีวิตได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ไม่ใช่

“นักเขียนนิทาน” หรือ “นักแต่งนิทาน” จึงน่าจะเป็นสถานะหรือบทบาทอะไรสักอย่าง ที่เวลาคนถามเราว่า “คุณทำงานอะไร” แม้ผมจะตอบว่า “เป็นนักเขียนนิทานครับ” แต่ความรู้สึกลึก ๆ ผมไม่ได้บอกว่า “ผมมีอาชีพเป็นนักเขียนนิทานครับ” ผมอยากสื่อสารเหมือนเวลาที่บอกว่า “ผมเป็นผู้ชายครับ ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนครับ ผมเป็นนักเขียนนิทานครับ” อะไรทำนองนี้

การบังเอิญได้เป็นนักเขียนนิทาน แถมบังเอิญเป็นอยู่นาน จนแต่งนิทานเอาไว้เยอะมาก ทำให้ผมแอบมีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความฝันที่ไม่สลักสำคัญอะไร แค่อยากเฉย ๆ นั่นคือ การรวบรวมนิทานที่ผมแต่งเอาไว้ทั้งหมด พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มหนา ๆ แบบหนังสือโบราณที่เห็นในหนังหรือเห็นในรูปภาพต่าง ๆ

ความฝันนี้อาจมีที่มาจากการที่ผมเป็นคนชอบหนังสือ (ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือนะครับ ผมชอบความเป็นหนังสือ ชอบกระดาษ ชอบรูปเล่ม ชอบสิ่งที่มันเป็น) ตอนเด็ก ๆ ผมชอบไปซื้อหนังสือการ์ตูนที่แผงหนังสือ พอเข้าชั้นมัธยมต้น ก็หัดเข้าร้านหนังสือ ในช่วงเดียวกัน ผมก็เริ่มรู้จักการเข้าไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุด เพื่อค้นหนังสือเก่า ๆ ตามชั้นหนังสือมามานั่งดู มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเหมือนการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตแบบในสมัยนี้ และการที่ผมได้เห็นหนังสือโบราณเล่มหนา ๆ จากต่างประเทศ (ซึ่งสมัยนั้นการได้สัมผัสสื่อจากต่างประเทศเป็นเรื่องยาก) มันจึงทำให้ผมแอบรู้สึกว่า ถ้าตัวเองมีหนังสือแบบนั้นบ้างก็คงจะดีทีเดียว

การทำหนังสือรวมนิทานเล่มหนา ๆ ขายเป็นเรื่องที่….ผมไม่ทำแน่ ๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยทำสำนักพิมพ์เล็ก ๆ และพิมพ์นิทานรวมเล่มของตัวเองมาหลายเล่ม ซึ่งประสบการณ์ตอนนั้นสอนให้รู้ว่า อย่าทำอีก

แต่ความฝันในการรวมผลงานนิทานเป็นหนังสือเล่มหนา ๆ แบบหนังสือโบราณเป็นความคิดที่ต่างออกไป เพราะผมไม่ได้คิดจะทำขาย แต่เป็นการทำเพื่อรวบรวม “งานชีวิต” ที่ตัวเองได้ทำเอาไว้ ให้ตัวเองได้ภูมิใจในสิ่งเล็ก ๆ ที่ตัวเองทำฝากไว้ให้เด็ก ๆ

ก่อนหน้าที่ผมจะได้เริ่มทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ความฝันเรื่องการรวมผลงานในลักษณะนี้ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะนิทานมีมากถึง 417 เรื่อง แถมมีความหลากหลายจนผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า จะจัดเรียงนิทานและจัดรูปเล่มของหนังสืออย่างไรให้เหมาะสม แต่เมื่อผมได้ทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ และได้แบ่งนิทานออกเป็นหมวดหมู่ (ตาม Keyword เพื่อทำ SEO) ผลที่ตามมาคือ มันทำให้ผมเห็นแนวทางการจัดเรียงนิทานในเล่มได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

บทความนี้จึงเป็นเสมือนบันทึกความคิดของผมเกี่ยวกับโครงสร้างของหนังสือรวมนิทานที่ผมแอบฝันเอาไว้ ผมคงเขียนและแก้ไขไปเรื่อย ๆ เท่าที่คิดได้ ซึ่งเมื่อลงตัวเมื่อไหร่ ก็คงนำสิ่งที่เขียนไปเป็นแนวทางในการจัดรูปเล่มของหนังสือต่อไป ดังนั้น บทความนี้อาจไม่มีสาระมากนักสำหรับคุณผู้อ่าน แต่สำหรับผมนั้น ผมเชื่อว่าอย่างน้อยผมก็ได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการทบทวนความคิด และอาจใช้เป็นแนวทางในการพิมพ์หนังสือ หากผมไม่ได้เป็นคนจัดการเอง (เพราะชีวิตไม่แน่นอน)

หากไม่นับหน้าคำนำและสารบัญของหนังสือ ผมอยากเริ่มต้นหนังสือของผมด้วยการเขียน “บทเกริ่นนำ” เพื่อเล่าความรู้สึกนึกคิดของการได้มาเป็นนักเขียนนิทาน รวมถึงแนวทางที่ผมใช้ในการแต่งนิทาน ให้คนอ่านได้รู้ ผมว่าการบอกเล่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่า เพราะมันทำให้คนอ่านเข้าใจ “โลกของคนเขียน” ชัดเจนยิ่งขึ้น (ผมเองก็อยากรู้ความคิดของนักแต่งนิทานในอดีตมาก ๆ แต่ก็หาอ่านไม่ค่อยได้)

ลำดับถัดไป ผมอยากเริ่มนิทานเรื่องแรกของเล่ม ด้วยนิทานเรื่อง “ชายผู้ปลูกดอกไม้สีจาง” และปิดท้ายเล่ม ด้วยนิทานเรื่อง “ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง” เพราะนิทานทั้งสองเรื่อง เป็นนิทานแทนตัวผม

https://bit.ly/3uEaiJ8
https://bit.ly/2RKj9KJ

เนื้อหาของเล่ม ผมอยากเริ่มด้วย “นิทานแสนรัก” ซึ่งผมอยากคัดเลือกนิทานที่ผมแต่งโดยมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเอง คนในครอบครัว หรือนิทานเรื่องพิเศษบางเรื่องที่มีความหมายกับชีวิตบางช่วงของผมมาก ๆ มาให้อ่านกันเป็นหมวดแรก เพราะนิทานเหล่านี้สะท้อนตัวตนภายในของผมในฐานะนักแต่งนิทานได้มาก

ลำดับถัดไป ผมอยากนำนิทานแต่ละหมวดในเว็บไซต์นิทานนำบุญ มาจัดเรียงนำเสนอที่ละหมวด ซึ่งนิทานในแต่ละหมวดจะมีอยู่ราว 10 เรื่อง (ยกเว้นบางหมวดที่อาจมีไม่ถึง 10 เรื่อง) เช่น นิทานก่อนนอนสั้น ๆ นิทานตลก ๆ ก่อนนอน นิทานก่อนนอนความรัก นิทานธรรมะก่อนนอน นิทานพ่อมดแม่มด นิทานปรับพฤติกรรมเด็ก (ควรปรับชื่อใหม่) ฯลฯ โดยนิทานแต่ละหมวดควรมีหน้าเปิด 1 หน้าเป็นหน้าคั่น เพื่อแยกนิทานแต่ละหมวดออกจากกัน และหากเป็นไปได้ ผมอยากให้นิทานทุกเรื่องมีภาพประกอบลายเส้นขาวดำ เรื่องละอย่างน้อย 1 ภาพ และอาจเขียนเกริ่นนำเกี่ยวกับนิทานในแต่ละชุด เพื่อให้ผู้อ่านได้พักอารมณ์จากนิทานในชุดก่อนหน้าสักนิด และเป็นพื้นที่ที่ให้ผมได้สื่อสารความรู้สึกนึกคิดกับผู้อ่านเกี่ยวกับมุมมองของผมที่มีต่อนิทานเหล่านั้น

เมื่อนำเสนอนิทานทีละหมวด ๆ หนังสืออาจคั่นนิทานเหล่านั้นด้วยนิทานหมวดพิเศษ คือ หมวดของนิทานที่มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้หนังสือไม่ราบเรียบจนเกินไป

https://bit.ly/33rHXdm

หลังจากนั้น จึงค่อยนำเสนอนิทานในหมวดอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ หรือหากรวมเป็นหมวดไม่ได้ ก็อาจนำเสนอนิทานที่เหลือในรูปแบบของคลังนิทานที่เรียงลำดับนิทานที่เหลือตามลำดับตัวอักษร (แต่วิธีการนี้อาจทำให้นิทานกระจัดกระจายไม่น่าอ่าน ดังนั้น จึงควรพิจารณาอีกครั้ง)

ก่อนเข้าสู่นิทานเรื่องสุดท้าย (ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง) ผมอยากปิดเล่มด้วยหมวดของ “นิทานที่เป็นเกียรติต่อชีวิตนักเขียนนิทานอย่างผม” ซึ่งได้แก่นิทานเรื่อง “พระราชาผู้เป็นที่รัก”และนิทานที่เคยพิมพ์เป็นเล่มในชุดตามรอยพระราชา เช่น “ของขวัญแด่พระราชา” และ “คนต่อเทียน” รวมทั้งนิทานเรื่องอื่น ๆ ที่ให้แง่คิดสอนใจในลักษณะเดียวกัน เพราะนิทานเหล่านี้มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับผมมาก

ท้ายเล่ม หลังจบนิทานเรื่อง “ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง” หากมีโอกาส ผมก็อยากเขียนขอบคุณบุคคลทุกคนที่เกี่ยวกับการที่ผมได้มาเป็นนักเขียนนิทาน ทั้งครอบครัว ครูบาอาจารย์ นิตยสารขวัญเรือน เพื่อน และผู้อ่าน

ความฝันเรื่องการทำหนังสือรวมผลงานนิทานของชีวิต ดูแล้วน่าจะมีความเป็นไปได้มากขึ้น แถมปัจจุบัน การพิมพ์หนังสือก็ทำได้ง่ายขึ้นมาก ผมจึงเชื่อว่า ฝันนี้น่าจะเป็นจริงได้ในสักวัน

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายนักปลูกดอกไม้

นิทานเรื่อง เจ้าชายนักปลูกดอกไม้

นานแสนนานมาแล้ว  ณ ดินแดนกลางผืนน้ำซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรแห่งหนึ่ง ยังมีเจ้าชายองค์น้อยพระองค์หนึ่งทรงเป็นเจ้าชายที่อ่อนโยนและรักการปลูกดอกไม้มาก

ทุกวัน  เจ้าชายจะตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อไปทักทายหมู่ผีเสื้อและดูแลสวนดอกไม้ที่พระองค์ทรงปลูกเอาไว้   เจ้าชายเชื่อว่าความงามของดอกไม้มีพลังที่สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงปลูกดอกไม้ชนิดต่าง ๆ จนเต็มสวนไปหมด  

อยู่มาวันหนึ่ง  เจ้าชายทรงคิดอยากมอบความสุขให้แก่ประชาชนของพระองค์  เจ้าชายจึงแอบออกจากวังเพื่อไปหาที่เหมาะ ๆ ในการปลูกดอกไม้  

แต่อนิจจา! เมื่อเจ้าชายเหยียบย่างเข้าไปในเมือง  เจ้าชายกลับพบภาพที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาเลยตลอดชั่วชีวิต  

เจ้าชายทรงเห็นเด็ก ๆ ร้องไห้ด้วยความหิวโหย   พระองค์ทรงพบผู้คนที่เอาเปรียบกัน เจ้าชายทรงเจอฝูงชนที่ทำร้ายกันจนเลือดตกยางออก  ซ้ำร้าย…พระองค์ยังเห็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุด นั่นก็คือภาพของผู้คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่สนใจใยดีเลยแม้สักนิด!

เจ้าชายทรงรู้สึกหดหู่ใจมากต่อสิ่งที่ได้พบ  พระองค์จึงรีบนำเรื่องไปหารือกับพระบิดาและเหล่าเสนาบดีผู้รอบรู้

เมื่อพระราชาและเหล่าเสนาบดีได้ฟังเรื่องที่เจ้าชายนำมาปรึกษา  ทุกคนจึงชี้แจงให้เจ้าชายทราบว่า ความยากจน, การเอารัดเอาเปรียบและการทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก  ผู้คนต่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้  และไม่มีใครสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมดาเหล่านี้ให้เป็นอื่นไปได้!

คำตอบที่เจ้าชายได้ฟังทำให้พระองค์ผิดหวังมาก เพราะแม้ว่าสิ่งที่เจ้าชายได้พบจะเป็นเรื่องจริง  แต่มันก็เป็นความจริงที่โหดร้ายเกินกว่าที่ผู้คนพึงจะยอมรับ  ด้วยเหตุนี้เอง  เจ้าชายจึงตัดสินใจทำเรื่องไม่ธรรมดาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนกล้าทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้!

เจ้าชายเริ่มแผนของพระองค์โดยการขอร้องให้เหล่าผีเสื้อในสวนดอกไม้ช่วยพาพระองค์ไปยังก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้า  

ทันทีที่ผีเสื้อได้ฟังคำขอร้องของเจ้าชาย  เหล่าผีเสื้อนับพัน ๆ ตัวก็พากันบินมาเกาะตามตัวของพระองค์ แล้วช่วยกันกระพือปีกจนเจ้าชายค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น 

เมื่อเหล่าผีเสื้อพาเจ้าชายไปถึงก้อนเมฆ  พวกมันก็ช่วยกันบินประคองให้เจ้าชายลอยนิ่งอยู่กับที่ เจ้าชายทรงมองเมฆซึ่งชุ่มชื้นไปด้วยละอองน้ำอย่างมีความหวัง  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงโปรยเมล็ดของดอกไม้จนทั่วไปทั้งผืนเมฆ

เมื่อเวลาผ่านไป  เจ้าชายทรงพบว่าการโปรยเมล็ดอย่างไม่เอาใจใส่ทำให้ต้นอ่อนของดอกไม้ไม่ยอมงอกออกมาทักทายพระองค์เลยแม้สักต้น  เจ้าชายจึงขอให้หมู่ผีเสื้อพาพระองค์ลงไปยืนบนปุยเมฆที่ทั้งนุ่มและทรงตัวได้ยาก แล้วพระองค์ก็ลงมือปลูกดอกไม้อีกครั้ง โดยคราวนี้เจ้าชายทรงพรวนเมฆจนร่วนซุย ก่อนที่จะบรรจงปลูกดอกไม้ด้วยความตั้งอกตั้งใจทีละเมล็ด

หลายคืนต่อมา  เมล็ดพืชที่ถูกปลูกด้วยความเอาใจใส่ก็ค่อย ๆ ขยับตัวกระดุ๊กกระดิ๊กและต้นอ่อนก็เริ่มงอกขึ้นมาจากเมล็ดเหล่านั้นอย่างช้า ๆ  

แต่น่าเสียดายเหลือเกิน  เมื่อต้นอ่อนของดอกไม้ที่แสนบอบบางสัมผัสเข้ากับแสงแดดที่จัดจ้า  พวกมันก็พาลอ่อนแรงลงและเหี่ยวเฉาตายไปจนหมดสิ้น

แม้ความพยายามของเจ้าชายจะล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สอง  แต่พระองค์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เจ้าชายทรงเลือกเมล็ดพืชชนิดใหม่ที่ทนแสงได้ดีกว่าเดิม  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงลงมือพรวนเมฆ   แล้วนำเมล็ดพืชที่คัดสรรลงปลูกในแปลงด้วยความรักความเอาใจใส่  

เพียงไม่กี่วัน  ต้นอ่อนของดอกไม้ก็งอกขึ้นมาจากปุยเมฆ  เจ้าชายทรงดีใจมาก  แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท  ตลอดทั้งวัน…พระองค์จึงทรงใช้ตัวเองยืนบังแสงแดดให้ต้นอ่อนของดอกไม้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันเฉาตายเพราะแสงอาทิตย์  ซึ่งเมื่อเจ้าชายทุ่มเทดูแลต้นอ่อนของดอกไม้อย่างเต็มที่   ในที่สุด  ดอกไม้แสนสวยก็เติบโตและปกคลุมผืนเมฆจนทั่วไปหมด

เมื่อก้อนเมฆเต็มไปด้วยดอกไม้  มันจึงลอยต่ำลงและส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งอาณาจักร  ชาวเมืองต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นสวนดอกไม้ลอยอยู่เหนืออาณาจักรของพวกเขา  แต่เมื่อเมฆลอยต่ำลงมาอีก  พวกเขาก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้น เพราะผู้ที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆก็คือเจ้าชายองค์น้อยของพวกเขานั่นเอง

ทันทีที่พระราชาและเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ได้เห็นเรื่องเกินฝันที่เจ้าชายทรงกระทำ  ทุกคนก็เกิดแรงบันดาลใจอยากทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมาบ้าง 

ฝ่ายผู้คนในอาณาจักรที่เคยชาชินกับเรื่องธรรมดาอันเลวร้าย  มาบัดนี้…พวกเขาก็เกิดความกล้าที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้นเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาดีงามและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

เมื่อทุก ๆ คนร่วมมือร่วมใจกัน  ท้ายที่สุด  พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมดาอันเลวร้ายให้กลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ดีงามได้เป็นผลสำเร็จ

เจ้าชายองค์น้อยทรงดีใจมากที่ความพยายามปลูกดอกไม้บนก้อนเมฆของพระองค์ช่วยทำให้อาณาจักรธรรมดาที่พระองค์รักแสนรักกลายเป็นอาณาจักรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข 

ส่วนพระราชา, เหล่าเสนาบดีและประชาชนทุกคนต่างก็รู้สึกชื่นชมเจ้าชายองค์น้อยที่นอกจากพระองค์จะปลูกดอกไม้บนก้อนเมฆได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว  พระองค์ยังได้ปลูกดอกไม้ที่แสนวิเศษในหัวใจของพวกเขาอีกด้วย

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เครื่องดื่มสุดวิเศษ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เครื่องดื่มสุดวิเศษ” เป็นนิทานก่อนนอนที่ผมตั้งใจแต่งเพื่อใช้เป็นนิทานสำหรับฤดูร้อนหรือวันที่อากาศร้อน นิทานเรื่องนี้อาจมีบางช่วงบางตอนที่ดูน่ากลัวนิดหน่อย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับยักษ์ แต่ตอนท้าย เรื่องราวก็พลิกกลับมาน่ารักตามแบบของนิทานนำบุญ ลองอ่านนิทานเรื่องนี้เพื่อคลายร้อนกันนะครับ

นิทานเรื่อง เครื่องดื่มสุดวิเศษ

กาลครั้งหนึ่ง ในวันที่อากาศร้อนจัด มียักษ์ตนหนึ่งวิ่งออกจากถ้ำอันร้อนระอุเพื่อหาเลือดเย็น ๆ ดื่มดับกระหาย

เจ้ายักษ์วิ่งฝ่าเปลวแดดเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างบ้าคลั่ง มันขู่ให้ชาวบ้านหาเลือดเย็น ๆ มาให้มันดื่มเพื่อคลายร้อน ชาวบ้านต่างกลัวเจ้ายักษ์จนเลือดในตัวเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แต่ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องปกปิดไม่ให้เจ้ายักษ์รู้ว่าตอนนี้เลือดของพวกเขานั้นเย็นขนาดไหน และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หัวหน้าหมู่บ้านจึงรวบรวมความกล้าแล้วบอกกับเจ้ายักษ์ว่า “ท่านยักษ์โชคดีเหลือเกินที่มาที่นี่ เพราะหมู่บ้านของเรามีเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วสดชื่นมากกว่าเลือดเย็น ๆ ตั้งหลายชนิด ถ้าท่านได้ลองลิ้มชิมรส รับรองว่าท่านจะต้องรู้สึกเย็นสดชื่นจนลืมการดื่มเลือดได้แน่ ๆ ว่าแต่ท่านสนใจจะลองไหมขอรับ”

เจ้ายักษ์สนใจอยากชิมเครื่องดื่มชนิดพิเศษที่หัวหน้าหมู่บ้านอวดสรรพคุณเอาไว้ มันจึงตกลงใจที่จะลองดื่มเครื่องดื่มเหล่านั้น เผื่อว่ามันจะรู้สึกคลายร้อนลงได้บ้าง

เมื่อแผนเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้ายักษ์ได้ผล หัวหน้าหมู่บ้านจึงขอเวลาหารือกับชาวบ้านเพื่อเลือกเครื่องดื่มดับร้อนมาให้เจ้ายักษ์ได้ชิม

เครื่องดื่มชนิดแรกที่ชาวบ้านเลือกคือน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่ทั้งหวานเจี๊ยบและเย็นจัด ซึ่งชาวบ้านรวบรวมมาจากตู้แช่ของร้านสะดวกซื้อ โดยชาวบ้านช่วยกันเทน้ำผลไม้ใส่ถัง 100 ลิตร แล้วรีบนำไปให้เจ้ายักษ์ดื่มเพื่อดับร้อน

ทันทีที่เจ้ายักษ์ได้ดื่มน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบ มันก็ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะน้ำผลไม้หวานจัดและเย็นเจี๊ยบทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกสดชื่นขึ้นจริง ๆ

แต่หลังจากที่เจ้ายักษ์ดื่มน้ำผลไม้หมดเพียงครู่เดียว ระดับน้ำตาลในตัวของเจ้ายักษ์ก็เริ่มไม่สมดุล ทำให้มันหิวกระหายขึ้นมาอีก ชาวบ้านจึงต้องรีบปรึกษากันเพื่อหาเครื่องดื่มชนิดใหม่มาให้แก่เจ้ายักษ์

เครื่องดื่มชนิดที่สองที่ชาวบ้านเลือกมาปรนเปรอเจ้ายักษ์ คือ น้ำอัดลมแช่เย็นชนิดไร้น้ำตาล ที่ทั้ง  ซู่ซ่าและดับกระหายได้เป็นอย่างดี

เมื่อเจ้ายักษ์ได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบ มันก็รู้สึกสดชื่นและคึกคักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

แต่หลังจากที่เจ้ายักษ์ดื่มน้ำอัดลมหมด ความคึกคักจากสารกาเฟอีนในน้ำอัดลมและการติดความหวานจากรสชาติที่ได้ชิม ก็ทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกกระวนกระวายอยากหาเครื่องดื่มมาดับกระหายอีก

ชาวบ้านเริ่มกลุ้มใจว่าพวกเขาควรหาเครื่องดื่มชนิดใดมาให้เจ้ายักษ์  เครื่องดื่มที่ไม่หวานจัด ไม่ซู่ซ่า แต่ให้ความสดชื่นได้อย่างวิเศษ

 ในขณะที่ทุกคนกำลังกลุ้มใจกันอยู่นั้น จู่ ๆ คุณยายผู้มีอายุมากที่สุดในหมู่บ้านก็พูดขึ้นมาว่า    “ในสมัยก่อน เครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจที่สุด ก็คือน้ำฝนในตุ่ม ลูก ๆ ลองเอาน้ำฝนทั้งตุ่มไปให้เจ้ายักษ์ชิมดูสิจ๊ะ”

 ในตอนแรก ชาวบ้านไม่ค่อยอยากทำตามคำแนะนำของคุณยายนัก แต่เพราะพวกเขาแทบไม่เหลือเงินในการนำไปซื้อเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ และยังคิดหาเครื่องดื่มที่เหมาะสมไม่ได้ พวกเขาจึงลองทำตามคำแนะนำของคุณยายเพื่อถ่วงเวลาไปก่อน

แต่เมื่อเจ้ายักษ์ได้ชิมน้ำฝน  รสชาติของน้ำฝนที่มีความหวานจาง ๆ เจืออยู่ ประกอบกับความเย็นแบบพอดี ๆ ของน้ำฝนที่แช่อยู่ในตุ่ม ก็ทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีที่ได้ดื่ม ทั้งยังไม่เกิดอาการกระวนกระวายใจเพราะความหวานหรือสารกระตุ้นอย่างเครื่องดื่มสองชนิดก่อนหน้านี้

เจ้ายักษ์ยอมรับว่า น้ำฝนในตุ่มเป็นเครื่องดื่มที่วิเศษจริง ๆ มันจึงตัดสินใจเลิกดื่มเลือด แต่สัญญากับตัวเองว่าจะหันมาดื่มน้ำฝนในตุ่มแทน นอกจากนี้ เจ้ายักษ์ยังอาสาใช้สวิงยักษ์เก็บก้อนเมฆมาสะสมบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้าน เพื่อให้ฝนตกดับความร้อนและเพื่อให้ชาวบ้านรองน้ำฝนใส่ตุ่มให้มันได้ดื่มดับกระหาย

ชาวบ้านดีใจที่เจ้ายักษ์เปลี่ยนใจมาหลงใหลการดื่มน้ำฝนแทนการดื่มเลือด และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข ไชโย ไชโย ไชโย

#นิทานก่อนนอน

………………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นกน้อยเจ้าเวหา

นิทานเรื่อง นกน้อยเจ้าเวหา

นานมาแล้ว มีนกกระจอกตัวหนึ่งเป็นนกน้อยที่ดูต่ำต้อยด้อยค่า เจ้านกกระจอกหวังว่าสักวัน มันจะได้รับการยอมรับจากนกตัวอื่น ๆ บ้าง ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะมันเชื่อว่าความรู้จากการเล่าเรียนเขียนอ่านจะทำให้มันกลายเป็นนกที่ไม่กระจอกได้ในอนาคต 

อยู่มาวันหนึ่ง พญาอินทรีผู้เป็นราชาแห่งนกทั้งหลายได้ประกาศรับสมัครเจ้าเวหาตัวใหม่ เพื่อให้มาดูแลเหล่านกแทนมันที่แก่ชราลงทุกขณะ  

เมื่อพวกนกทราบข่าว นกทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านของพญาอินทรี โดยนกส่วนใหญ่มาเพื่อออกเสียงเลือกผู้นำตัวใหม่ ในขณะที่นกบางตัวมาเพื่อสมัครเป็นเจ้าเวหาราชาแห่งนกทั้งหลาย

เมื่อถึงเวลาอันควร  พญาอินทรีก็กล่าวเปิดงานแล้วให้นกที่สนใจสมัครเป็นราชาแห่งนกออกมานำเสนอจุดเด่นของตนเอง

นกตัวแรกที่สมัครเป็นราชาแห่งนกคือนกยูง  เมื่อพญาอินทรีให้มันออกมาพูดถึงจุดเด่นของตัวเอง  เจ้านกยูงก็ค่อย ๆ ก้าวออกมาที่กลางลานอย่างช้า ๆ  แล้วรำแพนหางแสนสวยพร้อมกับบอกนกทั้งหลายว่า “จุดเด่นของฉันอยู่ที่ความงามสง่าที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้กับพวกเราเหล่านกทั้งหลายได้ ถ้าอยากให้โลกยกย่องและชื่นชมพวกเรา พวกเธอก็ต้องเลือกฉันให้เป็นราชาแห่งนก” เมื่อได้ฟังคำพูดของนกยูง นกทั้งหมดก็ตบปีกเสียงดัง “พั่บ ๆ ๆ” พร้อมกับผงกหัวเห็นด้วยเป็นการใหญ่ 

ครั้นเมื่อนกยูงกลับไปนั่งที่แล้ว  นกไนติงเกลก็บินออกมาที่กลางลานบ้าง นกไนติงเกลส่งเสียงร้องเพลงแสนไพเราะจนนกทั้งหลายรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ  และเมื่อนกไนติงเกลร้องเพลงจบ มันก็พูดว่า “จุดเด่นของฉันคือการมีเสียงสวรรค์ที่รังสรรค์ความสุขให้ทุกคนได้ ถ้าพวกเธออยาก

มีเพลงไพเราะฟังทุกวัน พวกเธอก็ต้องเลือกฉันให้เป็นเจ้าเวหานะเมื่อได้ฟังคำพูดของนกไนติงเกล นกทุกตัวก็พากันยิ้ม แล้วตบปีกเสียงดัง“พั่บ ๆ ๆ” ไม่แพ้ตอนที่ได้ฟังคำพูดของเจ้านกยูง

เมื่อนกไนติงเกลเดินกลับไปนั่งที่  เจ้านกกระจอกตัวน้อยที่สมัครเป็นเจ้าเวหากับเขาด้วยก็คาบข้าวของ เช่น กะลามะพร้าว, เศษไม้, ขวดพลาสติก, ดินเหนียว, ใบไม้แห้ง, เชือก ฯลฯ ซึ่งพูดรวม ๆ ก็คือเศษขยะ นำใส่ถุงตาข่ายแล้วลากเข้ามาที่กลางลาน เมื่อนกทั้งหลายเห็นนกกระจอก พวกมันก็พากันหัวเราะเยาะ  แต่นกกระจอกไม่ได้ใส่ใจ  มันนำของในถุงตาข่ายออกมา แล้วก้มหน้าก้มตานำข้าวของเหล่านั้นมาประกอบเป็นสิ่งของต่าง ๆ ที่นกทั้งหลายคาดไม่ถึง

นกกระจอกนำกะลามะพร้าว, ดินและเศษไม้มาทำเป็นบ้านนกหลังเล็ก ๆ  จากนั้น มันก็นำเชือกมาถักเป็นตาข่ายแล้วแซมด้วยใบไม้จนเต็มพื้นที่เพื่อใช้เป็นแผงกันลมกันฝนรวมทั้งใช้ในการพรางตัว  นอกจากนี้  นกกระจอกยังนำฝาขวด, เชือก, ยางไม้และหนามจากกิ่งไม้มารวมเข้าด้วยกันทำเป็นหมวกนกซึ่งมีหนามแหลมยื่นออกมาเพื่อให้นกใช้สวมป้องกันตัวเองจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ  เจ้านกน้อยสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมากมายต่อหน้านกทั้งหลาย แต่นกทั้งหมดกลับนิ่งเงียบ…ไม่มีใครตบปีกให้กำลังใจนกกระจอกเลยแม้สักนิด

เจ้านกกระจอกเข้าใจว่าการใช้ความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์คงไม่น่าสนใจสำหรับเพื่อนนกตัวอื่น ๆ  แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น นกกระจอกก็รู้ว่ามันคิดผิด เพราะนกทุกตัวที่เพิ่งหายตื่นตะลึงต่างก็พากันตบปีกเสียงดังสนั่นพร้อมกันโห่ร้องชื่นชมนกกระจอกที่ใช้พลังความคิดได้อย่างสุดวิเศษ

เมื่อเสียงโห่ร้องสงบลง ท่านพญาอินทรีก็เดินออกมาที่กลางลานอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวกับนกทุกตัวว่า “รูปร่างหน้าตาที่สะสวยหรือเสียงร้องเพลงที่แสนไพเราะคงเทียบไม่ได้กับพลังแห่งสติ ปัญญาที่สามารถสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้อย่างมากมายมหาศาล เอาล่ะ…พวกเราคงรู้แล้วว่า ใครเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าเวหาตัวใหม่มากที่สุด”

ทันทีที่พญาอินทรีพูดจบ นกทุกตัวรวมทั้งนกยูงและนกไนติงเกลก็ตบปีกเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้งเพื่อต้อนรับนกกระจอกตัวน้อยให้เป็นราชาตัวใหม่ของเหล่านกทั้งหลาย

เจ้านกกระจอกดีใจมากที่มันได้รับเกียรติและการยอมรับจากนกทุกตัว

ในที่สุด  การศึกษาเล่าเรียนก็เปลี่ยนนกกระจอกที่หลายคนมองว่าต่ำต้อยด้อยค่าให้กลายเป็นนกน้อยเจ้าเวหาซึ่งเป็นราชาของนกทั้งหลายได้สำเร็จ

และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ