Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายนักปลูกดอกไม้

นิทานเรื่อง เจ้าชายนักปลูกดอกไม้

นานแสนนานมาแล้ว  ณ ดินแดนกลางผืนน้ำซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรแห่งหนึ่ง ยังมีเจ้าชายองค์น้อยพระองค์หนึ่งทรงเป็นเจ้าชายที่อ่อนโยนและรักการปลูกดอกไม้มาก

ทุกวัน  เจ้าชายจะตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อไปทักทายหมู่ผีเสื้อและดูแลสวนดอกไม้ที่พระองค์ทรงปลูกเอาไว้   เจ้าชายเชื่อว่าความงามของดอกไม้มีพลังที่สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงปลูกดอกไม้ชนิดต่าง ๆ จนเต็มสวนไปหมด  

อยู่มาวันหนึ่ง  เจ้าชายทรงคิดอยากมอบความสุขให้แก่ประชาชนของพระองค์  เจ้าชายจึงแอบออกจากวังเพื่อไปหาที่เหมาะ ๆ ในการปลูกดอกไม้  

แต่อนิจจา! เมื่อเจ้าชายเหยียบย่างเข้าไปในเมือง  เจ้าชายกลับพบภาพที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาเลยตลอดชั่วชีวิต  

เจ้าชายทรงเห็นเด็ก ๆ ร้องไห้ด้วยความหิวโหย   พระองค์ทรงพบผู้คนที่เอาเปรียบกัน เจ้าชายทรงเจอฝูงชนที่ทำร้ายกันจนเลือดตกยางออก  ซ้ำร้าย…พระองค์ยังเห็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุด นั่นก็คือภาพของผู้คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่สนใจใยดีเลยแม้สักนิด!

เจ้าชายทรงรู้สึกหดหู่ใจมากต่อสิ่งที่ได้พบ  พระองค์จึงรีบนำเรื่องไปหารือกับพระบิดาและเหล่าเสนาบดีผู้รอบรู้

เมื่อพระราชาและเหล่าเสนาบดีได้ฟังเรื่องที่เจ้าชายนำมาปรึกษา  ทุกคนจึงชี้แจงให้เจ้าชายทราบว่า ความยากจน, การเอารัดเอาเปรียบและการทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก  ผู้คนต่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้  และไม่มีใครสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมดาเหล่านี้ให้เป็นอื่นไปได้!

คำตอบที่เจ้าชายได้ฟังทำให้พระองค์ผิดหวังมาก เพราะแม้ว่าสิ่งที่เจ้าชายได้พบจะเป็นเรื่องจริง  แต่มันก็เป็นความจริงที่โหดร้ายเกินกว่าที่ผู้คนพึงจะยอมรับ  ด้วยเหตุนี้เอง  เจ้าชายจึงตัดสินใจทำเรื่องไม่ธรรมดาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนกล้าทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้!

เจ้าชายเริ่มแผนของพระองค์โดยการขอร้องให้เหล่าผีเสื้อในสวนดอกไม้ช่วยพาพระองค์ไปยังก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้า  

ทันทีที่ผีเสื้อได้ฟังคำขอร้องของเจ้าชาย  เหล่าผีเสื้อนับพัน ๆ ตัวก็พากันบินมาเกาะตามตัวของพระองค์ แล้วช่วยกันกระพือปีกจนเจ้าชายค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น 

เมื่อเหล่าผีเสื้อพาเจ้าชายไปถึงก้อนเมฆ  พวกมันก็ช่วยกันบินประคองให้เจ้าชายลอยนิ่งอยู่กับที่ เจ้าชายทรงมองเมฆซึ่งชุ่มชื้นไปด้วยละอองน้ำอย่างมีความหวัง  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงโปรยเมล็ดของดอกไม้จนทั่วไปทั้งผืนเมฆ

เมื่อเวลาผ่านไป  เจ้าชายทรงพบว่าการโปรยเมล็ดอย่างไม่เอาใจใส่ทำให้ต้นอ่อนของดอกไม้ไม่ยอมงอกออกมาทักทายพระองค์เลยแม้สักต้น  เจ้าชายจึงขอให้หมู่ผีเสื้อพาพระองค์ลงไปยืนบนปุยเมฆที่ทั้งนุ่มและทรงตัวได้ยาก แล้วพระองค์ก็ลงมือปลูกดอกไม้อีกครั้ง โดยคราวนี้เจ้าชายทรงพรวนเมฆจนร่วนซุย ก่อนที่จะบรรจงปลูกดอกไม้ด้วยความตั้งอกตั้งใจทีละเมล็ด

หลายคืนต่อมา  เมล็ดพืชที่ถูกปลูกด้วยความเอาใจใส่ก็ค่อย ๆ ขยับตัวกระดุ๊กกระดิ๊กและต้นอ่อนก็เริ่มงอกขึ้นมาจากเมล็ดเหล่านั้นอย่างช้า ๆ  

แต่น่าเสียดายเหลือเกิน  เมื่อต้นอ่อนของดอกไม้ที่แสนบอบบางสัมผัสเข้ากับแสงแดดที่จัดจ้า  พวกมันก็พาลอ่อนแรงลงและเหี่ยวเฉาตายไปจนหมดสิ้น

แม้ความพยายามของเจ้าชายจะล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สอง  แต่พระองค์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เจ้าชายทรงเลือกเมล็ดพืชชนิดใหม่ที่ทนแสงได้ดีกว่าเดิม  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงลงมือพรวนเมฆ   แล้วนำเมล็ดพืชที่คัดสรรลงปลูกในแปลงด้วยความรักความเอาใจใส่  

เพียงไม่กี่วัน  ต้นอ่อนของดอกไม้ก็งอกขึ้นมาจากปุยเมฆ  เจ้าชายทรงดีใจมาก  แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท  ตลอดทั้งวัน…พระองค์จึงทรงใช้ตัวเองยืนบังแสงแดดให้ต้นอ่อนของดอกไม้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันเฉาตายเพราะแสงอาทิตย์  ซึ่งเมื่อเจ้าชายทุ่มเทดูแลต้นอ่อนของดอกไม้อย่างเต็มที่   ในที่สุด  ดอกไม้แสนสวยก็เติบโตและปกคลุมผืนเมฆจนทั่วไปหมด

เมื่อก้อนเมฆเต็มไปด้วยดอกไม้  มันจึงลอยต่ำลงและส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งอาณาจักร  ชาวเมืองต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นสวนดอกไม้ลอยอยู่เหนืออาณาจักรของพวกเขา  แต่เมื่อเมฆลอยต่ำลงมาอีก  พวกเขาก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้น เพราะผู้ที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆก็คือเจ้าชายองค์น้อยของพวกเขานั่นเอง

ทันทีที่พระราชาและเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ได้เห็นเรื่องเกินฝันที่เจ้าชายทรงกระทำ  ทุกคนก็เกิดแรงบันดาลใจอยากทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมาบ้าง 

ฝ่ายผู้คนในอาณาจักรที่เคยชาชินกับเรื่องธรรมดาอันเลวร้าย  มาบัดนี้…พวกเขาก็เกิดความกล้าที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้นเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาดีงามและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

เมื่อทุก ๆ คนร่วมมือร่วมใจกัน  ท้ายที่สุด  พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมดาอันเลวร้ายให้กลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ดีงามได้เป็นผลสำเร็จ

เจ้าชายองค์น้อยทรงดีใจมากที่ความพยายามปลูกดอกไม้บนก้อนเมฆของพระองค์ช่วยทำให้อาณาจักรธรรมดาที่พระองค์รักแสนรักกลายเป็นอาณาจักรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข 

ส่วนพระราชา, เหล่าเสนาบดีและประชาชนทุกคนต่างก็รู้สึกชื่นชมเจ้าชายองค์น้อยที่นอกจากพระองค์จะปลูกดอกไม้บนก้อนเมฆได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว  พระองค์ยังได้ปลูกดอกไม้ที่แสนวิเศษในหัวใจของพวกเขาอีกด้วย

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เครื่องดื่มสุดวิเศษ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เครื่องดื่มสุดวิเศษ” เป็นนิทานก่อนนอนที่ผมตั้งใจแต่งเพื่อใช้เป็นนิทานสำหรับฤดูร้อนหรือวันที่อากาศร้อน นิทานเรื่องนี้อาจมีบางช่วงบางตอนที่ดูน่ากลัวนิดหน่อย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับยักษ์ แต่ตอนท้าย เรื่องราวก็พลิกกลับมาน่ารักตามแบบของนิทานนำบุญ ลองอ่านนิทานเรื่องนี้เพื่อคลายร้อนกันนะครับ

นิทานเรื่อง เครื่องดื่มสุดวิเศษ

กาลครั้งหนึ่ง ในวันที่อากาศร้อนจัด มียักษ์ตนหนึ่งวิ่งออกจากถ้ำอันร้อนระอุเพื่อหาเลือดเย็น ๆ ดื่มดับกระหาย

เจ้ายักษ์วิ่งฝ่าเปลวแดดเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างบ้าคลั่ง มันขู่ให้ชาวบ้านหาเลือดเย็น ๆ มาให้มันดื่มเพื่อคลายร้อน ชาวบ้านต่างกลัวเจ้ายักษ์จนเลือดในตัวเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แต่ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องปกปิดไม่ให้เจ้ายักษ์รู้ว่าตอนนี้เลือดของพวกเขานั้นเย็นขนาดไหน และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หัวหน้าหมู่บ้านจึงรวบรวมความกล้าแล้วบอกกับเจ้ายักษ์ว่า “ท่านยักษ์โชคดีเหลือเกินที่มาที่นี่ เพราะหมู่บ้านของเรามีเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วสดชื่นมากกว่าเลือดเย็น ๆ ตั้งหลายชนิด ถ้าท่านได้ลองลิ้มชิมรส รับรองว่าท่านจะต้องรู้สึกเย็นสดชื่นจนลืมการดื่มเลือดได้แน่ ๆ ว่าแต่ท่านสนใจจะลองไหมขอรับ”

เจ้ายักษ์สนใจอยากชิมเครื่องดื่มชนิดพิเศษที่หัวหน้าหมู่บ้านอวดสรรพคุณเอาไว้ มันจึงตกลงใจที่จะลองดื่มเครื่องดื่มเหล่านั้น เผื่อว่ามันจะรู้สึกคลายร้อนลงได้บ้าง

เมื่อแผนเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้ายักษ์ได้ผล หัวหน้าหมู่บ้านจึงขอเวลาหารือกับชาวบ้านเพื่อเลือกเครื่องดื่มดับร้อนมาให้เจ้ายักษ์ได้ชิม

เครื่องดื่มชนิดแรกที่ชาวบ้านเลือกคือน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่ทั้งหวานเจี๊ยบและเย็นจัด ซึ่งชาวบ้านรวบรวมมาจากตู้แช่ของร้านสะดวกซื้อ โดยชาวบ้านช่วยกันเทน้ำผลไม้ใส่ถัง 100 ลิตร แล้วรีบนำไปให้เจ้ายักษ์ดื่มเพื่อดับร้อน

ทันทีที่เจ้ายักษ์ได้ดื่มน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบ มันก็ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะน้ำผลไม้หวานจัดและเย็นเจี๊ยบทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกสดชื่นขึ้นจริง ๆ

แต่หลังจากที่เจ้ายักษ์ดื่มน้ำผลไม้หมดเพียงครู่เดียว ระดับน้ำตาลในตัวของเจ้ายักษ์ก็เริ่มไม่สมดุล ทำให้มันหิวกระหายขึ้นมาอีก ชาวบ้านจึงต้องรีบปรึกษากันเพื่อหาเครื่องดื่มชนิดใหม่มาให้แก่เจ้ายักษ์

เครื่องดื่มชนิดที่สองที่ชาวบ้านเลือกมาปรนเปรอเจ้ายักษ์ คือ น้ำอัดลมแช่เย็นชนิดไร้น้ำตาล ที่ทั้ง  ซู่ซ่าและดับกระหายได้เป็นอย่างดี

เมื่อเจ้ายักษ์ได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบ มันก็รู้สึกสดชื่นและคึกคักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

แต่หลังจากที่เจ้ายักษ์ดื่มน้ำอัดลมหมด ความคึกคักจากสารกาเฟอีนในน้ำอัดลมและการติดความหวานจากรสชาติที่ได้ชิม ก็ทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกกระวนกระวายอยากหาเครื่องดื่มมาดับกระหายอีก

ชาวบ้านเริ่มกลุ้มใจว่าพวกเขาควรหาเครื่องดื่มชนิดใดมาให้เจ้ายักษ์  เครื่องดื่มที่ไม่หวานจัด ไม่ซู่ซ่า แต่ให้ความสดชื่นได้อย่างวิเศษ

 ในขณะที่ทุกคนกำลังกลุ้มใจกันอยู่นั้น จู่ ๆ คุณยายผู้มีอายุมากที่สุดในหมู่บ้านก็พูดขึ้นมาว่า    “ในสมัยก่อน เครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจที่สุด ก็คือน้ำฝนในตุ่ม ลูก ๆ ลองเอาน้ำฝนทั้งตุ่มไปให้เจ้ายักษ์ชิมดูสิจ๊ะ”

 ในตอนแรก ชาวบ้านไม่ค่อยอยากทำตามคำแนะนำของคุณยายนัก แต่เพราะพวกเขาแทบไม่เหลือเงินในการนำไปซื้อเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ และยังคิดหาเครื่องดื่มที่เหมาะสมไม่ได้ พวกเขาจึงลองทำตามคำแนะนำของคุณยายเพื่อถ่วงเวลาไปก่อน

แต่เมื่อเจ้ายักษ์ได้ชิมน้ำฝน  รสชาติของน้ำฝนที่มีความหวานจาง ๆ เจืออยู่ ประกอบกับความเย็นแบบพอดี ๆ ของน้ำฝนที่แช่อยู่ในตุ่ม ก็ทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีที่ได้ดื่ม ทั้งยังไม่เกิดอาการกระวนกระวายใจเพราะความหวานหรือสารกระตุ้นอย่างเครื่องดื่มสองชนิดก่อนหน้านี้

เจ้ายักษ์ยอมรับว่า น้ำฝนในตุ่มเป็นเครื่องดื่มที่วิเศษจริง ๆ มันจึงตัดสินใจเลิกดื่มเลือด แต่สัญญากับตัวเองว่าจะหันมาดื่มน้ำฝนในตุ่มแทน นอกจากนี้ เจ้ายักษ์ยังอาสาใช้สวิงยักษ์เก็บก้อนเมฆมาสะสมบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้าน เพื่อให้ฝนตกดับความร้อนและเพื่อให้ชาวบ้านรองน้ำฝนใส่ตุ่มให้มันได้ดื่มดับกระหาย

ชาวบ้านดีใจที่เจ้ายักษ์เปลี่ยนใจมาหลงใหลการดื่มน้ำฝนแทนการดื่มเลือด และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข ไชโย ไชโย ไชโย

#นิทานก่อนนอน

………………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นกน้อยเจ้าเวหา

นิทานเรื่อง นกน้อยเจ้าเวหา

นานมาแล้ว มีนกกระจอกตัวหนึ่งเป็นนกน้อยที่ดูต่ำต้อยด้อยค่า เจ้านกกระจอกหวังว่าสักวัน มันจะได้รับการยอมรับจากนกตัวอื่น ๆ บ้าง ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะมันเชื่อว่าความรู้จากการเล่าเรียนเขียนอ่านจะทำให้มันกลายเป็นนกที่ไม่กระจอกได้ในอนาคต 

อยู่มาวันหนึ่ง พญาอินทรีผู้เป็นราชาแห่งนกทั้งหลายได้ประกาศรับสมัครเจ้าเวหาตัวใหม่ เพื่อให้มาดูแลเหล่านกแทนมันที่แก่ชราลงทุกขณะ  

เมื่อพวกนกทราบข่าว นกทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านของพญาอินทรี โดยนกส่วนใหญ่มาเพื่อออกเสียงเลือกผู้นำตัวใหม่ ในขณะที่นกบางตัวมาเพื่อสมัครเป็นเจ้าเวหาราชาแห่งนกทั้งหลาย

เมื่อถึงเวลาอันควร  พญาอินทรีก็กล่าวเปิดงานแล้วให้นกที่สนใจสมัครเป็นราชาแห่งนกออกมานำเสนอจุดเด่นของตนเอง

นกตัวแรกที่สมัครเป็นราชาแห่งนกคือนกยูง  เมื่อพญาอินทรีให้มันออกมาพูดถึงจุดเด่นของตัวเอง  เจ้านกยูงก็ค่อย ๆ ก้าวออกมาที่กลางลานอย่างช้า ๆ  แล้วรำแพนหางแสนสวยพร้อมกับบอกนกทั้งหลายว่า “จุดเด่นของฉันอยู่ที่ความงามสง่าที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้กับพวกเราเหล่านกทั้งหลายได้ ถ้าอยากให้โลกยกย่องและชื่นชมพวกเรา พวกเธอก็ต้องเลือกฉันให้เป็นราชาแห่งนก” เมื่อได้ฟังคำพูดของนกยูง นกทั้งหมดก็ตบปีกเสียงดัง “พั่บ ๆ ๆ” พร้อมกับผงกหัวเห็นด้วยเป็นการใหญ่ 

ครั้นเมื่อนกยูงกลับไปนั่งที่แล้ว  นกไนติงเกลก็บินออกมาที่กลางลานบ้าง นกไนติงเกลส่งเสียงร้องเพลงแสนไพเราะจนนกทั้งหลายรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ  และเมื่อนกไนติงเกลร้องเพลงจบ มันก็พูดว่า “จุดเด่นของฉันคือการมีเสียงสวรรค์ที่รังสรรค์ความสุขให้ทุกคนได้ ถ้าพวกเธออยาก

มีเพลงไพเราะฟังทุกวัน พวกเธอก็ต้องเลือกฉันให้เป็นเจ้าเวหานะเมื่อได้ฟังคำพูดของนกไนติงเกล นกทุกตัวก็พากันยิ้ม แล้วตบปีกเสียงดัง“พั่บ ๆ ๆ” ไม่แพ้ตอนที่ได้ฟังคำพูดของเจ้านกยูง

เมื่อนกไนติงเกลเดินกลับไปนั่งที่  เจ้านกกระจอกตัวน้อยที่สมัครเป็นเจ้าเวหากับเขาด้วยก็คาบข้าวของ เช่น กะลามะพร้าว, เศษไม้, ขวดพลาสติก, ดินเหนียว, ใบไม้แห้ง, เชือก ฯลฯ ซึ่งพูดรวม ๆ ก็คือเศษขยะ นำใส่ถุงตาข่ายแล้วลากเข้ามาที่กลางลาน เมื่อนกทั้งหลายเห็นนกกระจอก พวกมันก็พากันหัวเราะเยาะ  แต่นกกระจอกไม่ได้ใส่ใจ  มันนำของในถุงตาข่ายออกมา แล้วก้มหน้าก้มตานำข้าวของเหล่านั้นมาประกอบเป็นสิ่งของต่าง ๆ ที่นกทั้งหลายคาดไม่ถึง

นกกระจอกนำกะลามะพร้าว, ดินและเศษไม้มาทำเป็นบ้านนกหลังเล็ก ๆ  จากนั้น มันก็นำเชือกมาถักเป็นตาข่ายแล้วแซมด้วยใบไม้จนเต็มพื้นที่เพื่อใช้เป็นแผงกันลมกันฝนรวมทั้งใช้ในการพรางตัว  นอกจากนี้  นกกระจอกยังนำฝาขวด, เชือก, ยางไม้และหนามจากกิ่งไม้มารวมเข้าด้วยกันทำเป็นหมวกนกซึ่งมีหนามแหลมยื่นออกมาเพื่อให้นกใช้สวมป้องกันตัวเองจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ  เจ้านกน้อยสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมากมายต่อหน้านกทั้งหลาย แต่นกทั้งหมดกลับนิ่งเงียบ…ไม่มีใครตบปีกให้กำลังใจนกกระจอกเลยแม้สักนิด

เจ้านกกระจอกเข้าใจว่าการใช้ความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์คงไม่น่าสนใจสำหรับเพื่อนนกตัวอื่น ๆ  แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น นกกระจอกก็รู้ว่ามันคิดผิด เพราะนกทุกตัวที่เพิ่งหายตื่นตะลึงต่างก็พากันตบปีกเสียงดังสนั่นพร้อมกันโห่ร้องชื่นชมนกกระจอกที่ใช้พลังความคิดได้อย่างสุดวิเศษ

เมื่อเสียงโห่ร้องสงบลง ท่านพญาอินทรีก็เดินออกมาที่กลางลานอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวกับนกทุกตัวว่า “รูปร่างหน้าตาที่สะสวยหรือเสียงร้องเพลงที่แสนไพเราะคงเทียบไม่ได้กับพลังแห่งสติ ปัญญาที่สามารถสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้อย่างมากมายมหาศาล เอาล่ะ…พวกเราคงรู้แล้วว่า ใครเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าเวหาตัวใหม่มากที่สุด”

ทันทีที่พญาอินทรีพูดจบ นกทุกตัวรวมทั้งนกยูงและนกไนติงเกลก็ตบปีกเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้งเพื่อต้อนรับนกกระจอกตัวน้อยให้เป็นราชาตัวใหม่ของเหล่านกทั้งหลาย

เจ้านกกระจอกดีใจมากที่มันได้รับเกียรติและการยอมรับจากนกทุกตัว

ในที่สุด  การศึกษาเล่าเรียนก็เปลี่ยนนกกระจอกที่หลายคนมองว่าต่ำต้อยด้อยค่าให้กลายเป็นนกน้อยเจ้าเวหาซึ่งเป็นราชาของนกทั้งหลายได้สำเร็จ

และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ