Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

สวนสัตว์แสนรัก

นิทานเรื่อง สวนสัตว์แสนรัก

ผมชื่อ‘ปุกปุย’   ผมเป็นหมีขาวตัวเล็ก ๆ ที่แสนน่ารัก  บ้านของผมเป็นสวนสัตว์ซึ่งแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น  ผมรักบ้านของผมมาก  มันเป็นบ้านที่น่าอยู่มากกว่าสวนสัตว์แห่งใดในโลก 

วันหนึ่ง  มีสวนสัตว์ขนาดใหญ่มาเปิดใกล้ ๆ กับเมืองที่ผมอยู่  มันเป็นสวนสัตว์ทันสมัยและมีสัตว์หายากมากมายเต็มไปหมด   ผมไม่ชอบสวนสัตว์แห่งนั้นเลย   เพราะมันทำให้ผู้คนพากันไปดูสัตว์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่นั่น จนแทบไม่มีใครอยากมาเที่ยวที่บ้านของผมอีก

คุณปู่ผู้ดูแลสวนสัตว์ถึงกับต้องปวดหัว  เพราะถ้าทุกคนไปเที่ยวที่ใหม่กันหมด  สวน-สัตว์เล็ก ๆ อย่างบ้านของผมก็คงจะอยู่ต่อไปไม่ได้ 

ผมไม่อยากสูญเสียบ้านของผมไปเลย  ดังนั้น  ผมจึงคิดว่าผมควรจะทำอะไรสักอย่าง

หลายคืนต่อมา  ผมชวนเพื่อน ๆ ให้มาประชุมกันที่ลานกว้างกลางสวนสัตว์   เมื่อผมเล่าสถานการณ์และแผนของผมให้ทุกคนได้รู้  เพื่อนของผมต่างก็ยินดีที่จะร่วมมือกันปกป้องสวนสัตว์ของพวกเราอย่างสุดความสามารถ

วันรุ่งขึ้น  เมื่อมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านหน้าสวนสัตว์  เจ้านกแก้วแสนรู้ก็รีบทำตามแผนโดยมันบินไปทักทายและอาสาว่าจะพาคู่รักคู่นั้นเดินเที่ยวในสวนสัตว์แสนสวย

ทันทีที่แขกทั้งสองก้าวผ่านประตูสวนสัตว์เข้ามา  ครอบครัวนกยูงผู้สง่างามก็ตั้งแถวรำแพนหางเพื่อต้อนรับแขกทั้งคู่  หนุ่มสาวต่างตื่นเต้นต่อสิ่งที่ได้เห็น  แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนเดียวที่พวกเราเตรียมการเอาไว้ 

เมื่อคู่รักหนุ่มสาวเดินตามนกแก้วเข้ามาเรื่อย ๆ   พวกเขาก็ได้พบกับการแสดงสุดพิเศษที่ผมกับเพื่อน ๆ ตั้งใจมอบให้ 

ลุงสิงโต อาเสือดาวกับเหล่าเสือใจดีทั้งหลายทำทีเป็นวาดลวดลายต่อสู้กันจนคนดูหัวใจ เต้นระทึก  ฝ่ายลิงจ๋อเองก็ไม่ยอมแพ้  ทุกตัวทุกพันธุ์พร้อมใจกันปีนป่าย จนกลายเป็นกายกรรมต่อตัวที่สูงเสียดฟ้า ทำให้คนดูทั้งตื่นเต้นและหวาดเสียว  ส่วนเจ้าตัวตุ่นก็แกล้งผลุบ ๆ โผล่ ๆ ขึ้นมาจ๊ะเอ๋กับผู้ชมตามจุดต่าง ๆ ซึ่งทำให้บรรยากาศของสวนสัตว์ดูน่ารักไปอีกแบบ   สำหรับตัวผมนั้น  ผมได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างมากจากคุณกิ้งก่าคามีเลี่ยน เพราะคุณกิ้งก่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนสีแปลงโฉม  ผมจึงขอร้องให้คุณกิ้งก่าช่วยแปลงโฉมหมีขาวอย่างผมให้กลายเป็นหมีสีขาวดำดูน่ารัก เพื่อแสดงท่าตลก ๆ เลียนแบบเจ้าหมีแพนด้าที่ทุก ๆ คนชื่นชอบ

หนุ่มสาวทั้งสองต่างมีความสุขที่ได้มาเยี่ยมชมบ้านของผมกับเพื่อน ๆ  และก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป  พวกเราก็พร้อมใจกันส่งเสียงประสานเป็นเพลงอำลา ซึ่งทำให้คู่รักทั้งสองประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากวันนั้น  สิ่งที่พวกเราทำก็ได้รับการเล่าขานต่อไปแบบปากต่อปาก จนผู้คนเริ่มหันมาสนใจบ้านของพวกเรากันอีกครั้ง

          “สวนสัตว์เล็ก ๆ ที่ดูธรรมดาแต่ไม่เหมือนใคร”

          “สวนสัตว์แห่งความประทับใจที่ทุกคนไม่ควรพลาด”

          “สวนสัตว์ที่พวกสัตว์เต็มใจต้อนรับผู้มาเยี่ยมชมในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ผู้คนพูดถึงบ้านของผมและสิ่งที่พวกเราทำกันไปต่าง ๆ นานา คุณปู่ยิ้มแก้มปริเมื่อเห็นฝูงชนมายืนต่อแถวเพื่อเข้าชมสวนสัตว์กันอย่างไม่ขาดสาย 

ในที่สุด การร่วมแรงร่วมใจกันก็ทำให้ผมกับเพื่อน ๆ ปกป้องสวนสัตว์เล็ก ๆ ที่พวกเรารักได้เป็นผลสำเร็จ  ผมมีความสุขมากที่จะได้อยู่ในบ้านเล็ก ๆ ของผมแบบนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน  และแล้ว…เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เด็กน้อยกับฝูงนกกระจอก

นิทานเรื่อง เด็กน้อยกับฝูงนกกระจอก

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งเป็นคนที่มีฐานะยากจน, เรียนหนังสือไม่เก่ง, เล่นกีฬาไม่ดี แถมยังไม่มีความสามารถใด ๆ โดดเด่นเลยสักอย่าง เพื่อน ๆ จึงมักมองเขาอย่างดูถูกดูแคลน ทั้งยังเรียกเขาว่า ‘ไอ้กระจอก’ อีกด้วย

คำว่า ‘ไอ้กระจอก’ เป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเลย เด็กน้อยรู้ดีว่าเขาห้ามปากคนอื่นให้หยุดพูดไม่ได้ แต่เขาห้ามใจตัวเองให้หยุดคิดเสียใจกับคำพูดเหล่านั้นได้ เด็กน้อยจึงวางเฉย แล้วปลีกตัวไปนั่งดูนกกระจอกซึ่งเป็นนกที่เขาชอบมากที่สุดที่ลานกว้างหลังโรงเรียน พร้อมกับนำข้าวไปโปรยให้นกกิน

ยิ่งนานวัน เด็กน้อยก็ยิ่งผูกพันกับนกกระจอกมากขึ้นเรื่อย ๆ  ส่วนนกกระจอกก็รู้สึกสนิทใจเสมือนเด็กน้อยเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกมัน  ทุกครั้งที่เด็กน้อยแวะไปหา พวกมันจึงมีความสุขมาก

วันหนึ่ง เด็กน้อยนึกสนุกอยากลองวาดรูปนกกระจอกทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีฝีมือในการวาดรูปเลยแม้สักนิด  เมื่อนกกระจอกเห็นเด็กน้อยนำกระดาษและสีชนิดต่าง ๆ มาลองวาดรูปของพวกมัน นกกระจอกจึงพยายามยืนนิ่ง ๆ เพื่อให้เด็กน้อยวาดรูปได้ง่ายที่สุด แต่ถึงกระนั้น ภาพที่เด็กน้อยวาดออกมาก็เป็นภาพที่ดูกระจอกเสียเหลือเกิน

ในห้องเรียน เมื่อเด็กคนอื่น ๆ เห็นรูปที่เด็กน้อยวาด พวกเขาก็พากันหัวเราะเยาะและดูแคลนว่าเด็กน้อยมีฝีมือกระจอกสมชื่อ

แม้จะโดนเพื่อน ๆ ดูถูก แต่เด็กน้อยก็ไม่ใส่ใจ เขาพยายามวาดรูปนกกระจอกต่อไปทุกวัน จนเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปี เขาก็มีรูปนกกระจอกที่วาดเอาไว้มากถึง 1000 รูป 

รูปนกกระจอกรูปแรก ๆ ที่เด็กน้อยวาดอาจดูไม่เหมือนนกกระจอกสักเท่าไร แต่ยิ่งวาดไป ๆ รูปนกกระจอกที่เขาวาดก็ดูสวยขึ้น ๆ จนนกกระจอกทั้งหลายยังแอบหลงใหล

อย่างไรก็ตาม เพื่อน ๆ ที่ชอบดูถูกก็ยังคงหาเรื่องเด็กน้อยได้อีก โดยเด็กเหล่านั้นมักจะนินทาว่า “ไอ้กระจอกก็วาดได้แต่รูปนกกระจอกนั่นแหละ วาดอย่างอื่นก็ไม่เป็น เรียนอะไรก็ไม่เก่ง แถมบ้านยังยากจนด้วย ทำได้แค่นี้ไม่มีวันก้าวหน้าได้หรอก”

เมื่อเด็กน้อยได้ฟังคำพูดของเพื่อนเหล่านั้น เขาก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย  แต่เขาห้ามใจของตัวเองไม่ให้ทุกข์ร้อนกับคำพูดเหล่านั้นได้ เด็กน้อยจึงปล่อยให้คำพูดว่าร้ายลอยเข้าหูซ้ายแล้วผ่านออกไปทางหูขวา จากนั้น เขาก็ตั้งใจวาดรูปนกกระจอกอย่างมีความสุขต่อไป

ในขณะที่เด็กน้อยทำใจปล่อยวางจากคำพูดของเพื่อน ๆ ได้แล้ว แต่พวกนกกระจอกกลับคิดว่า การวาดรูปนกกระจอกได้งดงามขนาดนี้ (แม้จะวาดได้เพียงอย่างเดียว) ก็มีโอกาสก้าวหน้าในชีวิตได้ นกกระจอกจึงปรึกษาหารือกัน แล้วตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

วันต่อมา ในขณะที่เด็กน้อยกำลังวาดรูปนกกระจอกตัวหนึ่งอยู่ นกกระจอกตัวอื่น ๆ ก็พากันทำตามแผนด้วยการคาบภาพวาดของเด็กน้อยตัวละ 1 ภาพ แล้วบินไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง

เมื่อผู้คนเห็นนกกระจอกนับพันตัวบินเข้ามาเกาะตามที่ต่าง ๆ  ผู้คนก็พากันแปลกใจ  ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นรูปที่นกกระจอกคาบมาด้วย ชาวเมืองรวมทั้งสื่อมวลชนก็รู้สึกทึ่งในความงดงามของภาพเหล่านั้น

เมื่อนกกระจอกเห็นว่ามีผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกนกจึงส่งสัญญาณให้กัน แล้วบินเรียงแถวกลับไปยังลานกว้างหลังโรงเรียนอย่างเป็นระเบียบ 

เมื่อผู้คนเห็นฝูงนกบินกันเป็นทิวแถว ทุกคนจึงพากันเดินตามฝูงนกด้วยความสงสัยใคร่รู้ และเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในโรงเรียน  ทุกคนก็ได้เห็นว่าภาพนกกระจอกที่งดงามทั้งหลายเกิดขึ้นจากฝีมือของเด็กน้อยที่กำลังวาดภาพนกกระจอกอย่างมีความสุขอยู่นั่นเอง

เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น  นักข่าวจึงรีบขอทำข่าวของเด็กน้อยนักวาดภาพนกกระจอกเพื่อนำไปออกอากาศ, ชาวเมืองที่ชื่นชอบภาพวาดของเด็กน้อยต่างก็แย่งกันขอซื้อภาพเอากลับไปเป็นที่ระลึก, ส่วนผู้คนที่ได้ชมข่าวและเห็นภาพนกกระจอกที่สวยงามราวกับมีชีวิตต่างก็ติดต่อขอให้เด็กน้อยวาดภาพนกกระจอกให้เป็นจำนวนนับพัน ๆ คน

ในเวลาเพียงไม่กี่วัน  เด็กน้อยก็ขายภาพวาดของเขาได้จนหมดเกลี้ยง แถมเขายังต้องวาดภาพนกกระจอกส่งให้คนที่สั่งซื้ออีกนับพัน ๆ ภาพ (ซึ่งคงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะวาดได้ครบ) แผนการของนกกระจอกทำให้เด็กน้อยมีรายได้จากการขายภาพมากกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งทำให้คนที่เคยดูถูกดูแคลนเขาถึงกับพูดไม่ออก

เด็กน้อยนำเงินที่ได้มอบให้คุณพ่อคุณแม่  ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็นำเงินไปใช้จ่ายและเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาของลูกสุดที่รัก  นอกจากนี้ เด็กน้อยยังขอเงินส่วนหนึ่งไปทำสิ่งสำคัญ นั่นคือการนำเงินมาปรับปรุงลานกว้างหลังโรงเรียนให้เป็นลานเพลินใจของนกกระจอกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนของเขา

นกกระจอกมีความสุขมากที่เห็นเด็กน้อยผู้ถนัดวาดรูปนกกระจอกเพียงอย่างเดียวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  ส่วนเด็กน้อยก็มีความสุขที่เขาได้วาดรูปนกกระจอกและมีโอกาสทำสิ่งดี ๆ ให้แก่นกกระจอกเพื่อนของเขาบ้าง

#นิทานนำบุญ

Posted in Uncategorized

กระต่ายน้อยวาดรูป

นิทานก่อนนอนเรื่อง “กระต่ายน้อยวาดรูป” เป็นนิทานที่ผมแต่งในช่วงที่ผมเข้าวัดปฏิบัติธรรมได้ระยะหนึ่ง ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปีท้าย ๆ ของการเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน และเป็นช่วงที่ผมมีเวลาค่อนข้างจำกัดในการแต่งนิทานแต่ละเรื่อง (เนื่องจากมีภาระหลายอย่างที่ต้องจัดการในเวลานั้น) หลายปีต่อมา เมื่อผมนำนิทานเรื่องนี้มาลงในเพจนิทานนำบุญ ผมพบว่า มีผู้อ่านที่ชื่นชอบนิทานเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ผมจึงอยากเชิญชวนให้ผู้อ่านในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ลองอ่านนิทานที่น่ารัก อ่านง่ายและมีข้อคิดสอนใจเรื่องนี้ ผมหวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่คุณ ๆ ชื่นชอบ

นิทานเรื่อง กระต่ายน้อยวาดรูป

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งเป็นกระต่ายที่ชอบวาดรูปมาก  มันวาดรูปได้ทุกวันไม่เคยเบื่อ

วันหนึ่ง กระต่ายน้อยได้ข่าวจากวิทยุว่ามีการจัดประกวดวาดรูปครั้งยิ่งใหญ่  ซึ่งผู้ชนะจะได้บัตรเที่ยวสวนสนุก 4 ใบเป็นรางวัล  

กระต่ายน้อยอยากได้รางวัลมาก เพราะมันต้องการไปเที่ยวสวนสนุกกับเพื่อน ๆ  มันจึงตัดสินใจวาดรูปส่งเข้าประกวด

กระต่ายน้อยเริ่มต้นวาดรูปโดยคิดถึงรางวัลและชัยชนะเป็นที่ตั้ง มันนำกระดาษวางบนโต๊ะ แล้วลงมือวาด…วาด…แล้วก็วาด  กระต่ายน้อยวาดรูปอย่างสุดฝีมือ แต่เมื่อมันวาดรูปเสร็จ รูปที่ออกมากลับดูไม่สวยเอาเสียเลย 

แม้การวาดรูปครั้งแรกจะไม่ได้ผลสมดังใจ เจ้ากระต่ายน้อยก็ยังไม่สิ้นหวัง มันตั้งใจวาดรูปอีกครั้ง โดยนำกระดาษไปติดบนแท่นวาดรูปแบบมืออาชีพ

เจ้ากระต่ายน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางคิดถึงรางวัลที่รออยู่  จากนั้น มันก็ลงมือวาด…วาด…แล้วก็วาด  เจ้ากระต่ายน้อยตั้งใจวาดรูปสุดชีวิต  ครั้นเมื่อมันวาดรูปเสร็จ  รูปที่มันวาดก็ยังไม่สวยอย่างที่มันคิด

เจ้ากระต่ายน้อยโมโหตัวเองมาก มันจัดแจงนำกระดาษไปวางที่พื้น แล้วลงไปนอนวาดรูปโดยคิดว่าถึงอย่างไรมันก็ต้องคว้ารางวัลและชัยชนะมาให้ได้  

เจ้ากระต่ายน้อยตั้งใจวาดรูปจนมือไม้เกร็งไปหมด มันวาด…วาด…แล้วก็วาด แต่เมื่อมันวาดรูปเสร็จ รูปที่ออกมาก็กลับดูแย่ยิ่งขึ้นไปอีก

เจ้ากระต่ายน้อยร้องไห้แง ๆ ด้วยความสับสน มันไม่รู้ว่าฝีมือในการวาดรูปของมันหายไปไหน มันจึงได้แต่ร้องไห้…ร้องไห้….และร้องไห้

ในขณะที่เจ้ากระต่ายร้องไห้อยู่นั้น  แมวเหมียว, หมูอู๊ดและหมาโฮ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของเจ้ากระต่ายก็โผล่หน้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

จริง ๆ แล้ว แมวเหมียว, หมูอู๊ดและหมาโฮ่งแอบดูเจ้ากระต่ายน้อยวาดรูปมาโดยตลอด แต่เนื่องจากพวกมันเห็นกระต่ายน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะวาดรูป พวกมันจึงไม่กล้าทักทายหรือชวนคุยให้เสียสมาธิ

เมื่อแมวเหมียว, หมูอู๊ดและหมาโฮ่งเห็นกระต่ายน้อยร้องไห้ไม่ยอมหยุด แถมรูปวาดของเจ้ากระต่ายก็มีเส้นสายดูยุ่งเหยิงผิดปกติ พวกมันจึงพอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ แมวเหมียว, หมูอู๊ดและหมาโฮ่งจึงช่วยกันปลอบเจ้ากระต่ายน้อย “หินไม่แบกก็ไม่หนักนะ”  แมวเหมียวพูด “ถ้าเธอมัวแต่แบกความกังวลเรื่องรางวัลหรือชัยชนะ เธอจะวาดรูปสวย ๆ ออกมาได้ยังไงล่ะจ๊ะ” หมูอู๊ดบอก “วาดรูปอย่างมีความสุข…แล้วความสุขจะปรากฎให้เห็นในรูปนะ” หมาโฮ่งแนะนำ

คำพูดของเพื่อน ๆ ทำให้กระต่ายน้อยตาสว่าง 

กระต่ายน้อยปาดน้ำตาและขอบใจเพื่อน ๆ ที่ให้สติ จากนั้น มันก็เริ่มต้นวาดรูปใหม่อีกครั้ง ทั้งยังชวนเพื่อน ๆ ให้นั่งวาดรูปไปด้วยกัน

เมื่อกระต่ายน้อยวาดรูปด้วยความสบายใจ  รูปที่ออกมาก็ดูสบายตาสบายใจตามไปด้วย

วันรุ่งขึ้น กระต่ายน้อยนำรูปที่วาดเสร็จแล้วส่งเข้าประกวด  ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร เจ้ากระต่ายน้อยก็ไม่สนใจ  เพราะมันได้รางวัลจากการวาดรูปไปแล้ว ซึ่งก็คือการมีความสุขในการวาดรูปนั่นเอง 

#นิทานนำบุญ

……………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

วีรบุรุษแขนเดียว

ก่อนนอนเรื่อง “วีรบุรุษแขนเดียว” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ตั้งใจแต่งให้เป็นนิทานสำหรับเด็กและผู้พิการ เพราะผมเชื่อว่า “เด็กทุกคนล้วนอยากมีนิทานสักเรื่อง ที่ตัวเองสามารถเป็นตัวเอกของนิทานเรื่องนั้น ๆ ได้” นิทานเรื่องนี้จึงเป็นนิทานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีที่ผมมีต่อเด็กทุก ๆ คน ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ผมหวังว่านิทานเรื่องนี้จะสร้างความสุขให้แก่ผู้อ่านและทำให้เด็ก ๆ ทุกคนรักและยอมรับกันและกันในฐานะเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่งได้มากขึ้น ขอส่งความรักและความปรารถนาดีไปให้เด็ก ๆ ทุกคนที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง วีรบุรุษแขนเดียว

เอียนเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ   เขาเกิดมาโดยมีแขนเพียงข้างเดียว   เด็กคนอื่น ๆ ในเมืองจึงพากันล้อเลียนเขาและไม่ยอมให้เขาร่วมกลุ่มด้วย

ทุก ๆ วัน  เอียนมักจะเข้าไปเดินเล่นในป่าเพื่อหาที่สงบ ๆ นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย  เอียนเคยคิดอยากมีแขนอีกข้างเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เพราะมันอาจทำให้ทุกคนยอมรับเขาเป็นเพื่อนได้ง่ายกว่านี้   แต่เอียนรู้ดีว่ามันเป็นได้เพียงแค่ความฝัน  ดังนั้น  เขาจึงทำใจและหวังว่าสักวันเด็กคนอื่น ๆ จะมองเห็นข้อดีในตัวของเขาบ้าง

คืนวันหนึ่ง  ในขณะที่คนทั้งเมืองหลับสนิท  มีคนแคระหน้าตาน่ากลัวกลุ่มหนึ่งแอบลอบเข้ามาในเมือง  แล้วจัดการจับตัวเด็ก ๆ ใส่กระสอบเวทมนตร์  จากนั้น  พวกมันก็ช่วยกันแบกกระสอบเวทมนตร์ออกจากเมืองเพื่อนำเด็ก ๆ ไปส่งให้แก่นางแม่มดใจร้าย

เมื่อพวกคนแคระแบกกระสอบมาไกลเกินกว่าที่พ่อแม่ของเด็ก ๆ จะตื่นและตามมาทัน  พวกมันก็วางกระสอบลงพื้น  แล้วสั่งให้เด็ก ๆ ออกมาเข้าแถวเพื่อเดินตามพวกมันไปยังกระท่อมของแม่มดที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก

เด็ก ๆ พากันร้องไห้เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนรับใช้ของนางแม่มด  ส่วนคนแคระก็ได้แต่ร้องขู่และเร่งให้เด็ก ๆ รีบก้าวเท้าเดินไปให้ไวที่สุด

ในระหว่างการเดินทาง  หัวหน้าคนแคระนับจำนวนเด็กที่มันจับมาได้ทีละคน…ทีละคน  จนในที่สุด  มันก็เกิดสะดุดตาเข้ากับเอียนซึ่งเดินอยู่ตรงท้ายแถวพอดี

หัวหน้าคนแคระจำได้ว่า  แม่มดเคยสั่งให้มันเลือกลักพาตัวเฉพาะเด็กที่ดูแข็งแรงเท่านั้นเพราะเด็กแข็งแรงทำงานได้มากและไม่เปลืองค่าอาหารโดยเปล่าประโยชน์   ถ้าแม่มดรู้ว่าเด็กบางคนที่มันจับมาในคราวนี้เป็นเด็กที่มีแขนเพียงข้างเดียว  แม่มดอาจจะโกรธและสาปให้มันกลายเป็นจิ้งจกก็เป็นได้  ด้วยเหตุนี้เอง  หัวหน้าคนแคระจึงแอบปล่อยเอียนทิ้งไว้ที่กลางป่า

 เอียนแปลกใจมากที่จู่ ๆ สมุนของแม่มดก็ยอมปล่อยตัวเขาเสียเฉย ๆ

แม้เอียนจะดีใจที่ไม่ต้องไปเป็นคนรับใช้ของนางแม่มด  แต่เขาก็อดที่จะเป็นห่วงเด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้  ด้วยเหตุนี้  เอียนจึงรวบรวมความกล้า แล้วแอบสะกดรอยตามทุก ๆ คนไป พร้อม ๆ กับคิดหาวิธีในการช่วยเหลือ

เมื่อเอียนติดตามขบวนของเด็ก ๆ และเหล่าคนแคระไปจนถึงตำแหน่งที่ตั้งของกระท่อมแม่มดใจร้ายแล้ว  เด็กน้อยแขนเดียวก็เริ่มใช้ความคิดโดยค่อย ๆ ประเมินสถานการณ์ทั้งหมด  หลังจากนั้น  เขาก็ตัดสินใจกลับไปแจ้งข่าวและขอให้ผู้ใหญ่ยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหา

ครั้นเมื่อพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่ถูกลักพาตัวไปได้ทราบเบาะแสจากเด็กแขนเดียวผู้กล้าหาญ พ่อแม่ทุก ๆ คนก็ปรึกษาหารือกันแล้วตกลงใจที่จะไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจเวทมนตร์อย่างไม่รอช้า

ไม่นานนัก  เหล่าตำรวจเวทมนตร์ก็รวมพลบุกไปยังกระท่อมของนางแม่มด  แล้วใช้คาถากับอาวุธวิเศษต่าง ๆ จัดการกับแม่มดใจร้ายและเหล่าลูกสมุน จนคนร้ายทั้งหมดสิ้นฤทธิ์ไปตาม ๆ กัน

แม่มดกับพวกคนแคระได้รับโทษโดยถูกจับขังและดัดนิสัยที่เรือนจำศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี  ส่วนเด็ก ๆ ก็ได้รับการปล่อยตัวให้กลับคืนสู่อ้อมอกของพ่อกับแม่ที่พวกเขารัก

เมื่อเด็กทุกคนทราบถึงความกล้าหาญที่เอียนติดตามไปเพื่อหาทางช่วยพวกเขา  เด็ก ๆ ที่เคยล้อเลียนและไม่ยอมรับเอียนก็พากันสำนึกผิด

เด็กทุกคนขอโทษเอียนที่พวกตนมัวสนใจรูปกายภายนอกโดยลืมมองถึงสิ่งที่สำคัญกว่านั้น  ซึ่งนั่นก็คือความรักเพื่อนที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจของเอียนนั่นเอง          

และแล้ว…วีรบุรุษแขนเดียวอย่างเอียนก็เอาชนะใจเพื่อน ๆ ได้สำเร็จ

#นิทานนำบุญ

…………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

กิ่งไม้กายสิทธิ์

นิทานเรื่อง “กิ่งไม้กายสิทธิ์” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุย) แต่งและพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือนเมื่อราว 10 ปีก่อน หลังจากนิตยสารขวัญเรือนวางจำหน่ายได้ไม่นาน นิทานเรื่องนี้ก็ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ คือมีเว็บไซต์หนึ่งนำนิทานเรื่องนี้ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อผมแจ้งทางเว็บไซต์ให้ช่วยนำนิทานออกจากระบบ ไม่นานนัก ผมก็พบว่านิทานเรื่องนี้ถูกนำไปเผยแพร่ที่เว็บไซต์อื่น ๆ อีก (โดยให้เครดิตเว็บไซต์แรก) ปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานเกิดขึ้นมาตลอด นิทานบางเรื่องถูกละเมิดและตัดชื่อผู้แต่งออกจนดูคล้ายเป็นนิทานสาธารณะ การทำงานด้านเด็กและการเป็นนักแต่งนิทาน บางทีก็มีเรื่องบั่นทอนกำลังใจเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่ทุกครั้งที่่ได้รู้ว่าเด็ก ๆ มีความสุขจากการอ่านนิทานที่ผมแต่ง กำลังใจก็มักจะคืนกลับมาได้ง่าย ๆ ขอบคุณที่ติดตามนิทานนำบุญนะครับ และขอให้มีความสุขกับนิทานสอนใจสั้น ๆ เรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง กิ่งไม้กายสิทธิ์

น้องเอ๋ยเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีนิสัยซุกซนจนทำให้คุณแม่ต้องปวดหัวอยู่บ่อย ๆ   

วันหนึ่ง  ตอนที่คุณแม่ไม่อยู่บ้าน  น้องเอ๋ยแอบฝืนคำสั่งของคุณแม่ด้วยการมุดรั้วออกไปเที่ยวในทุ่งหญ้าที่คุณแม่เตือนนักเตือนหนาว่าอย่าเข้าไปเล่น  น้องเอ๋ยชอบทำอะไรแบบนี้เสมอ  ขอให้ได้ดื้อสักหน่อย  ถ้าคุณแม่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน  มันก็เป็นเรื่องที่สนุกและน่าตื่นเต้นดีมิใช่หรือ ?

ในขณะที่น้องเอ๋ยกำลังเดินเล่นอยู่นั้น   จู่ ๆ เธอก็เหลือบไปเห็นกิ่งไม้รูปร่างแปลก ๆ วางอยู่บนหินก้อนใหญ่โดยมีเศษหนังผืนเล็ก ๆ วางอยู่ติด ๆ กัน   เมื่อน้องเอ๋ยเดินเข้าไปดูและอ่านข้อความบนแผ่นหนัง  เธอก็พบความลับที่วิเศษสุด  เพราะกิ่งไม้ที่เธอเห็น  มันเป็นคทากายสิทธิ์ที่สามารถเนรมิตให้เกิดอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา

น้องเอ๋ยดีใจและรีบนำคทากลับบ้าน   เธอคิดเรื่องสนุก ๆ เอาไว้มากมาย  และทันทีที่เธอเข้าไปในห้องครัวของคุณแม่     น้องเอ๋ยก็เริ่มต้นใช้คทาเสกให้ฝูงปลาทองลอยขึ้นมาจากอ่างน้ำแล้วเนรมิตให้พวกมันสามารถว่ายเวียนไปในอากาศได้ด้วยอำนาจที่แสนอัศจรรย์   จากนั้น  เธอก็ร่ายมนตร์ให้หม้อ กระทะ ตะหลิว พร้อมกับเหล่าเครื่องครัวทั้งหลายลุกขึ้นมาเต้นระบำกันจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด   เด็กน้อยเจ้าของกิ่งไม้กายสิทธิ์มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีความสุข   เธอว่าคาถาต่อไปโดยบังคับให้กระป๋องแป้งลอยขึ้นไปบนฟ้า แล้วให้มันหมุนคว้างพร้อม ๆ กับโรยผงแป้งลงมาราวกับเป็นช่วงเวลาที่หิมะตก    น้องหมากับเจ้าเหมียวลื่นไถลบนพื้นห้องจนมอมแมมไปตาม ๆ กัน   น้องเอ๋ยสนุกกับการใช้คทาวิเศษในการทำเรื่องซุกซนจนบ้านยุ่งเหยิงชนิดที่คุณแม่ต้องโกรธจนควันออกหูแน่ ๆ   แต่น้องเอ๋ยไม่กลัวหรอก  เพราะเธอรู้ว่า เธอสามารถใช้คทาวิเศษเสกให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนที่คุณแม่จะกลับมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

น้องเอ๋ยสนุกกับการใช้เวทมนตร์จนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน   เมื่อน้องเอ๋ยนอนหลับไปได้สักพัก ใครบางคนที่แอบมองน้องเอ๋ยจากนอกหน้าต่างก็เปิดประตูบ้านและย่องตรงเข้ามาหาเจ้าเด็กน้อยจอมซนที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่   บุคคลลึกลับที่ลอบเข้ามาในบ้านเป็นหญิงชราที่มีจมูกงุ้มและคางยื่นแลดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก  เธอมองเด็กน้อยพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างสมใจ  จากนั้น เธอก็เอื้อมมือที่เหี่ยวย่นออกมาเพื่อหยิบกิ่งไม้กายสิทธิ์ แล้วค่อย ๆ เดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

ตกเย็น  น้องเอ๋ยสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของคุณแม่ร้องเรียกจากหน้าบ้าน  เด็กน้อยรีบมองหาคทาวิเศษเพื่อเสกทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาพเดิม  แต่อนิจจา! กิ่งไม้กายสิทธิ์กลับหายไปจากห้อง ๆ นั้นเสียแล้ว

เมื่อคุณแม่เปิดประตูเข้ามาเห็นสภาพภายในห้องครัว   คุณแม่ตกใจจนร้องเจี๊ยก แถมยังอ้าปากค้างและทำตาโตเกือบ ๆ จะเท่ากับขนาดของไข่นกกระจอกเทศเลยทีเดียว  น้องเอ๋ยมองเห็นควันพวยพุ่งออกมาหูของคุณแม่ราวกับเป็นควันจากกาต้มน้ำที่เดือดปุด ๆ    คุณแม่คงโกรธเธอมาก   น้องเอ๋ยทำหน้าเหยเก  และแล้ว…เด็กน้อยจอมซนก็เริ่มร้องไห้แง ๆ ก่อนที่คุณแม่จะลงมือตีก้นเธอเสียด้วยซ้ำ  

ที่นอกบ้าน  แม่มดเจ้าเล่ห์แอบมองลอดหน้าต่างเข้าไปพร้อมกับฉีกยิ้มด้วยความสะใจ ในที่สุด  แผนการณ์ต่าง ๆ ที่เธอวางไว้ก็สำเร็จตามความคาดหมาย 

“เด็กซน ๆ ต้องถูกตีก้นเสียให้เข็ด”  

แม่มดหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ   จากนั้น  เธอก็ขี่ไม้กวาดของเธอ แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อหาโอกาสแกล้งเด็กซน ๆ ทั้งหลายให้ได้รับบทเรียนที่สาสมต่อไป

#นิทานนำบุญ

………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เทพธิดาก้อนเมฆ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เทพธิดาก้อนเมฆ” เป็นนิทานสนุก ๆ เกี่ยวกับนางฟ้าองค์น้อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงคุณครู อาจใช้นิทานเรื่องนี้ในการนำเด็ก ๆ เข้าสู่การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสีหรือเรื่องแม่สี โดยเฉพาะการปั้นดินน้ำมันเพื่อทำก้อนเมฆแบบในนิทาน หวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่ทุกคนถูกใจนะครับ

นิทานเรื่อง เทพธิดาก้อนเมฆ

กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนบนก้อนเมฆ ยังมีโรงเรียนนางฟ้าแห่งหนึ่งเป็นศูนย์รวมของนางฟ้าองค์น้อยที่ใฝ่ฝันอยากฝึกใช้ก้อนเมฆให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

ในบรรดานางฟ้าองค์น้อยทั้งหมด มีนางฟ้า 3 องค์ คือ แสงดาว, เพลินเดือนและตุ้ยนุ้ย เป็นเพื่อนที่รักกันมาก แสงดาวเป็นนางฟ้าที่อ่อนหวานน่ารัก, ส่วนเพลินเดือนเป็นนางฟ้าที่ร่าเริงกระฉับกระเฉง, ฝ่ายตุ้ยนุ้ยเป็นนางฟ้าที่มีรูปร่างอ้วนกลม, ช่างคิดและเป็นมิตรกับทุก ๆ คน

นางฟ้าทั้ง 3 องค์มีผลการเรียนดีเป็นพิเศษพอ ๆ กัน แต่ด้วยหน้าตาที่น่ารักสะสวย นางฟ้าทั้งหลายจึงคาดเดาว่าแสงดาวหรือเพลินเดือน (คนใดคนหนึ่ง) คงเรียนจบได้คะแนนเป็นที่ 1 และคงได้รับตำแหน่งเป็น “เทพธิดาก้อนเมฆ” ผู้โดดเด่นที่สุดในระดับชั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ครั้นเมื่อใกล้หมดปีการศึกษา  คุณครูได้จัดการทดสอบโดยนำก้อนเมฆสีต่าง ๆ มาวางไว้ในห้องเรียน  แล้วให้นางฟ้าแต่ละองค์เลือกก้อนเมฆคนละ 3 สี เพื่อนำไปแต่งแต้มดินแดนอันขาวโพลนบนทางช้างเผือกให้งดงามน่าอยู่และดูเป็นธรรมชาติ

แสงดาวผู้อ่อนหวานเลือกก้อนเมฆสีชมพู, สีฟ้าและสีเขียวอ่อน เพื่อใช้ในการแต่งแต้มดินแดนที่ต้องรับผิดชอบ

ฝ่ายเพลินเดือนผู้กระฉับกระเฉงเลือกก้อนเมฆสีแดง, สีดำและสีทอง เพื่อสร้างดินแดนที่ดูเจิดจรัสล้ำค่า

ส่วนนางฟ้าองค์อื่น ๆ ก็เลือกก้อนเมฆ 3 สีด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป จนเหลือนางฟ้าตุ้ยนุ้ยเพียงองค์เดียวที่ยังคงครุ่นคิดและตัดสินใจเลือกก้อนเมฆไม่ได้เสียที

ในขณะที่ตุ้ยนุ้ยยังคงครุ่นคิดอยู่นั้น นางฟ้าองค์อื่น ๆ ก็พากันแยกย้ายไปยังดินแดนที่ตนเองต้องรับผิดชอบ แล้วเริ่มเสกก้อนเมฆให้กลั่นตัวเป็นหยาดฝนเพื่อย้อมดินแดนของตนให้สวยงามตามที่ตั้งใจไว้        

หลังจากเพื่อน ๆ แยกย้ายกันไปได้สักพัก ตุ้ยนุ้ยก็ตัดสินใจเลือกก้อนเมฆ 3 สีที่เธอคิดว่ามีประโยชน์ที่สุดในการแต่งแต้มสีสันให้ดินแดนขาวโพลนดูน่าอยู่ จากนั้น ตุ้ยนุ้ยก็รีบออกเดินทางไปทำภารกิจทันที

เมื่อเวลาผ่านไปครบ 1 สัปดาห์ คุณครูก็นั่งเมฆไปตรวจผลงานของนางฟ้าแต่ละองค์บนทางช้างเผือก  ดินแดนบางแห่งดูสวยหวานอย่างน่าทึ่ง, ดินแดนบางแห่งงามเลิศเจิดจรัสอย่างคาดไม่ถึง และดินแดนหลายแห่งก็ดูเข้าที แถมยังตรงตามหลักฮวงจุ้ยและราศีปีเกิดทุกประการ! 

แม้ดินแดนทั้งหลายจะดูสวยงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่สุดท้าย คุณครูก็ตัดสินใจมอบรางวัลชนะเลิศให้แก่ดินแดนของนางฟ้าที่หลายคนมองข้าม นั่นก็คือ “ดินแดนสารพัดสี”ของนางฟ้าตุ้ยนุ้ยนั่นเอง

ในตอนแรก นางฟ้าองค์อื่น ๆ แปลกใจมากเมื่อได้ยินคำว่า “ดินแดนสารพัดสี”  ครั้นเมื่อทุกคนเดินทางไปดูดินแดนของนางฟ้าตุ้ยนุ้ยและพบว่ามันมีสีสันมากกว่า 3 สีนางฟ้าทุกองค์รวมทั้งแสงดาวและเพลินเดือนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ตุ้ยนุ้ยต้องโกงแน่ ๆ”

ตุ้ยนุ้ยเสียใจที่เพื่อน ๆ กล่าวหาเธอเช่นนั้น  เธอผิดหวังจนพูดไม่ออก  เมื่อคุณครูเห็นสีหน้าของตุ้ยนุ้ย  คุณครูจึงบอกกับนางฟ้าทุกองค์ว่า “ตุ้ยนุ้ยไม่ได้โกงสักนิด แต่เธอใช้ความคิดในการเลือกสีของเมฆได้อย่างวิเศษสุดต่างหาก” 

นางฟ้าองค์อื่น ๆ ทำหน้าสงสัย  คุณครูจึงอธิบายต่อไปว่า “ตุ้ยนุ้ยเลือกเมฆ 3 สี ได้แก่ เมฆสีเหลือง, สีแดงและสีน้ำเงิน ซึ่งสีเหล่านี้เป็นแม่สีที่นำไปผสมให้เกิดเป็นสีอื่น ๆ ได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตุ้ยนุ้ยนำเมฆสีแดงมาผสมกับเมฆสีเหลือง มันก็จะได้เป็นเมฆสีส้ม หรือเมื่อนำเมฆสีน้ำเงินมาผสมกับเมฆสีเหลือง มันก็จะได้เป็นเมฆสีเขียว และเมื่อนำเมฆสีแดงมาผสมกับเมฆสีน้ำเงิน มันก็จะได้เป็นเมฆสีม่วง ด้วยเหตุนี้ ดินแดนของตุ้ยนุ้ยจึงมีสีมากกว่า 3 สี แถมยังมีสีใกล้เคียงกับธรรมชาติอันสวยงามซึ่งน่าอยู่และดูได้ไม่รู้เบื่อจริง ๆ”

เมื่อนางฟ้าทั้งหลายได้ฟังคำอธิบายจากคุณครู  นางฟ้าทุกองค์ โดยเฉพาะแสงดาวและเพลินเดือนต่างก็รู้สึกผิดที่กล่าวหาตุ้ยนุ้ยทั้ง ๆ ที่เธอใช้ความคิดและสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม

นางฟ้าทุกองค์รีบขอโทษตุ้ยนุ้ยทันที  ส่วนตุ้ยนุ้ยก็ไม่ถือโทษโกรธเพื่อน ๆ แถมยังให้กำลังใจเพื่อน ๆ ว่าดินแดนของเพื่อน ๆ ก็สวยไม่แพ้ดินแดนของเธอเช่นกัน 

นางฟ้าทุกองค์โดยเฉพาะแสงดาวและเพลินเดือนต่างดีใจที่ตุ้ยนุ้ยไม่โกรธและยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักเหมือนดังเดิม

ในที่สุด ตุ้ยนุ้ยก็ได้รับตำแหน่งเป็น “เทพธิดาก้อนเมฆ” ท่ามกลางความยินดีของทุกคน

#นิทานนำบุญ

………………

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง” เป็นนิทานที่ผมแต่งในช่วงปีท้าย ๆ ของการเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน (แต่เดิม นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า หนึ่งบวกหนึ่ง เมื่อนำมาลงในเว็บไซต์ ผมคิดว่าควรปรับชื่อให้บ่งบอกเนื้อหาของนิทานเพิ่มขึ้นอีกสักนิด จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง) เนื้อเรื่องของนิทานเรื่องนี้ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เรื่องที่เราคิดว่าใช่ เช่น การบวกลบที่เราคุ้นเคย หากเราคิดนอกกรอบ บางครั้งอาจมีคำตอบที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ปกของนิทานเรื่องนี้ที่ลงไว้ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ผมขอเลือกภาพครอบครัวของนักร้องที่ผมชื่นชมเป็นพิเศษ มาลงเป็นปกของนิทานเรื่องนี้ เพราะเมื่อวาน มีข่าวว่าทั้งคู่ได้โพสต์ คำว่า 1+1=3 เอาไว้ในสื่อออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับครอบครัวคุณตูนคุณก้อยด้วยนิทานเรื่องนี้นะครับ 🙂

นิทานเรื่อง ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง                

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนที่รักปลาหางนกยูงมาตั้งแต่ยังเด็ก การเลี้ยงปลาหางนกยูงทำให้เขามีจิตใจอ่อนโยนและมีความสุขมาก ครั้นเมื่อเขาโตเป็นหนุ่ม เขาจึงตัดสินใจเปิดร้านขายปลาหางนกยูงและคอยดูแลปลาหางนกยูงด้วยความเอาใจใส่

วันหนึ่ง มีทหารป่าวประกาศว่าพระราชาปรารถนาจะหาของขวัญวันเกิดที่แสนพิเศษให้แก่เจ้าหญิงผู้เป็นลูกสาวสุดที่รัก พระองค์จึงอยากให้ชาวเมืองนำของขวัญไปให้เจ้าหญิงเลือก ซึ่งถ้าเจ้าหญิงชอบของขวัญของใคร  พระราชาก็จะมอบรางวัลให้ตามแต่ผู้นั้นจะร้องขอ

เมื่อชายหนุ่มทราบข่าว  ชายหนุ่มผู้แอบหลงรักเจ้าหญิงมานาน จึงเลือกปลาหางนกยูงคู่หนึ่งซึ่งเขารักมากที่สุดเป็นของขวัญแทนใจ โดยเขาอธิษฐานว่าหากเขาและเจ้าหญิงมีดวงชะตาเป็นเนื้อคู่กัน ขอให้เจ้าหญิงเลือกปลาของเขาเป็นของขวัญ และเมื่อพระราชาให้ขอรางวัล ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะขอแต่งงานกับเจ้าหญิงที่เขาแอบหลงรัก    

ในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหญิง เหล่าทหารนำของขวัญต่าง ๆ จัดเรียงไว้บนโต๊ะที่ตั้งเป็นแถวยาวเพื่อให้เจ้าหญิงเลือก โดยเจ้าของของขวัญจะยืนอยู่ที่ด้านหลังของโต๊ะเพื่อรับเสด็จและคอยตอบคำถามหากเจ้าหญิงมีข้อสงสัย 

เมื่อถึงเวลา เจ้าหญิงกับพระราชาทรงเดินดูของขวัญทีละชิ้น ๆ  เจ้าหญิงทรงเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะตัวสุดท้ายซึ่งมีโหลปลาหางนกยูงตั้งอยู่ 

ครั้นเมื่อเจ้าหญิงก้มดูปลาหางนกยูงในโหล พระองค์ก็สังเกตเห็นว่าโหลใบนั้นมีการจัดแต่งอย่างเอาใจใส่เป็นที่สุด ส่วนปลาหางนกยูงสองตัวในโหล (ซึ่งรู้ว่าชายหนุ่มแอบชอบเจ้าหญิงอยู่) ก็พยายามว่ายน้ำคล้ายการเริงระบำเพื่อให้เจ้าหญิงประทับใจในท่วงท่าลีลาและหางแสนสวยของพวกมันให้ได้มากที่สุด 

เจ้าหญิงมองปลาหางนกยูงตาไม่กะพริบ  พระองค์ทรงเอ่ยปากถามชายหนุ่มทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ละสายตาจากโหลแก้วว่า “ปลาตัวเมียคือตัวที่มีหางสวย ๆ คล้ายกระโปรงใช่ไหมจ๊ะ” 

 ชายหนุ่มยิ้มแล้วตอบเจ้าหญิงอย่างสุภาพว่า “ปลาหางนกยูงตัวผู้จะมีหางสวยกว่าปลาหางนกยูงตัวเมียขอรับ”

น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้เจ้าหญิงเงยหน้ามองเจ้าของของขวัญชิ้นพิเศษ และเมื่อเจ้าหญิงได้สบตากับชายหนุ่ม พระองค์ก็ทรงรู้สึกหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ครั้นเมื่อถึงเวลาที่เจ้าหญิงต้องตัดสินใจเลือกของขวัญ เจ้าหญิงก็ทรงเลือกปลาหางนกยูงที่ชายหนุ่มนำมาถวาย ชายหนุ่มดีใจมาก และเมื่อพระราชาถามว่าชายหนุ่มต้องการสิ่งใดตอบแทน ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะขอรางวัลเป็นเจ้าหญิงที่เขาแอบหลงรัก

พระราชาทรงโมโหที่ชายหนุ่มบังอาจขอเจ้าหญิงแทนที่จะขอแก้วแหวนเงินทองต่าง ๆ แต่เมื่อพระราชาทรงลั่นวาจาไว้แล้ว พระองค์จึงผิดคำพูดไม่ได้  พระราชาใช้เวลาคิดนิดหนึ่ง จากนั้น พระองค์จึงเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยเสียงอันดังว่า “ข้ายินดีจะมอบลูกสาวให้แก่เจ้า แต่มีเงื่อนไขอยู่เพียงข้อเดียวคือ ข้าจะยกลูกสาวให้เจ้าในวันที่ 1+1 ไม่เท่ากับ 2 เท่านั้น  ฮ่า ๆ ๆ”

แม้คำพูดของพระราชาจะทำให้พระองค์ยกเจ้าหญิงให้แต่งงานกับใคร ๆ ไม่ได้อีก (เพราะถือว่าได้มอบให้แก่ชายหนุ่มไปแล้วตามคำสัญญา) แต่พระองค์ก็ไม่มีวันต้องเสียเจ้าหญิงให้แก่ชายหนุ่มหรือใครที่ไหน เพราะถึงอย่างไร 1+1 ก็ต้องเท่ากับ 2 ไม่มีทางได้ผลลัพธ์เป็นอื่นไปได้

ชายหนุ่มเสียใจมากที่พระราชายื่นเงื่อนไขเช่นนั้น  ส่วนเจ้าหญิงซึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าพระองค์หลงรักชายหนุ่มก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน 

แต่ราวกับโชคชะตาได้กำหนดเอาไว้ เพราะเมื่อทหารนำโหลปลาหางนกยูงมามอบให้แก่เจ้าหญิง  เจ้าหญิงก็ทรงยิ้ม แล้วเอ่ยถามทหารที่นำโหลปลามาให้ว่า “ทหาร…ท่านช่วยดูในบัญชีของขวัญสักหน่อยว่าชายหนุ่มผู้นี้นำปลามามอบให้เรากี่ตัวกันนะ” 

“สองตัวน่ะสิลูก” พระราชาชิงตอบ “เมื่อครู่นี้เราก็เห็นปลาในโหลมีอยู่แค่สองตัวยังไงล่ะ”

เจ้าหญิงทรงยิ้มหวานให้พระราชา  แล้วค่อย ๆ ยกโหลไปให้พระบิดาพร้อมกับพูดว่า “เห็นทีลูกจะต้องไปอยู่กับชายหนุ่มผู้นี้เสียแล้ว  เพราะในโหลปลาที่เคยมีปลาเพียง 2 ตัว  บัดนี้ ปลา 1 ตัวบวกกับปลาอีก 1 ตัว มันได้ลูกปลาออกมาอีกถึง 8 ตัวเชียวเพคะ”

พระราชา, เหล่าทหาร, ชาวเมือง รวมทั้งชายหนุ่มต่างประหลาดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  แม้ตามปกติ 1+ 1 จะต้องเท่ากับ 2  แต่ในบางกรณี มันก็อาจเกิดเหตุการณ์อันแสนวิเศษที่เกินกว่าใคร ๆ จะคาดคิด

พระราชาทรงยอมรับต่อโชคชะตา บางทีมันอาจเป็นพรหมลิขิตที่ต้องการให้ชายหนุ่มได้แต่งงานกับเจ้าหญิงก็เป็นได้ 

ในที่สุด พระราชาจึงตัดสินใจยกเจ้าหญิงให้แต่งงานกับชายหนุ่ม แล้วทั้งคู่ก็ได้ครองรักกัน โดยชายหนุ่มกับเจ้าหญิงเริ่มต้นเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงร่วมกันนับจากนั้น  ซึ่งในเวลาต่อมา…ปลาหางนกยูงของทั้งสองก็กลายเป็นปลาหางนกยูงที่สวยที่สุดในโลกและสร้างรายได้ให้แก่เมืองของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

#นิทานนำบุญ

………………………..