ในยุคปัจจุบัน กระแสต่อต้านการกลั่นแกล้งกัน เหยียดหยามกัน หรือบูลลี่กัน มีมากขึ้นเรื่อย ๆ นิทานเรื่องนี้ ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งลงในนิตยสารขวัญเรือนนานมาก ๆ แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นนิทานที่ไม่ล้าสมัย ผมหวังว่าข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ จะสร้างภูมิคุ้มใจให้เด็ก ๆ ได้บ้าง ขอให้มีความสุขในการอ่านนิทานนะครับ
นิทานเรื่อง ฟูฟูกับเด็กเกเร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า “ฟูฟู”
ฟูฟูเป็นเด็กตุ้ยนุ้ย ผิวคล้ำ แถมยังมีผมหยิกหยองฟูฟ่องสมชื่อ ตลอดเวลา ฟูฟูไม่เคยรู้สึกผิดแปลกกับรูปร่างของตัวเองเลย เพราะฟูฟูถอดแบบมาจากคุณพ่อคุณแม่จนคนที่เห็นมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่บอกก็รู้ว่าหนูลูกใคร”
อยู่มาวันหนึ่ง ฟูฟูต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ เพื่อน ๆ ในโรงเรียนแห่งนี้มีทั้งเด็กดีและเด็กเกเร หลังจากฟูฟูเข้าเรียนได้ไม่นาน ฟูฟูก็ถูกกลุ่มเด็กผู้ชายจอมเกเรล้อเลียนว่า “ฟูฟูหัวเหมือนรังนก สุดแสนสกปรกมีรังนกอยู่บนหัว ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฟูฟูเสียใจทุกครั้งที่ถูกเพื่อนล้อ แม้ฟูฟูจะพยายามเดินหนี แต่กลุ่มเด็กเกเรก็มักจะตามไปส่งเสียงล้อเลียนฟูฟูอยู่เสมอ ยิ่งได้ฟัง…ฟูฟูก็ยิ่งรู้สึกว่าผมของเธอคงเหมือนรังนกจริง ๆ แถมมันยังดูสกปรกรกรุงรังขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ฟูฟูจึงไปปรึกษาคุณแม่ว่า เธอควรทำอย่างไรดี
คุณแม่ของฟูฟูเคยเปิดร้านเสริมสวย เมื่อฟูฟูมาปรึกษา คุณแม่จึงค้นเครื่องมือที่เก็บไว้ แล้วยืดผมให้ฟูฟูจนเส้นผมตรงสลวยสวยเก๋
ฟูฟูดีใจที่เธอมีผมตรงสวยเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ซึ่งเด็กผู้ชายคงล้อเลียนเธอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่กลุ่มเด็กเกเรปล่อยให้ฟูฟูสบายใจได้ไม่กี่วัน มานานหลังจากนั้น เด็กผู้ชายกลุ่มเดิมก็ส่งเสียงแกล้งฟูฟูว่า “ฟูฟูตัวดำเหมือนถ่าน มองผ่าน ๆ นึกว่าถ่านเดินได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงล้อเลียนของเด็กเกเรทำให้ฟูฟูเสียใจมาก ยิ่งได้ฟัง…ฟูฟูก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวของเธอดำขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ฟูฟุจึงไปปรึกษาคุณแม่อีกครั้งว่า เธอควรทำอย่างไรดี
คุณแม่สงสารลูกสาวที่ถูกพวกเด็กผู้ชายรังแก คุณแม่จึงนำสมุนไพรที่เคยใช้บำรุงผิวให้ลูกค้าในร้านเสริมสวยมาทาตัวให้ฟูฟู ซึ่งหลังจากอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณแล้ว เนื้อตัวของฟูฟูก็ดูผุดผ่องเป็นยองใยจนเจ้าตัวอดยิ้มออกมาไม่ได้
เช้าวันต่อมา พวกเด็กผู้ชายพากันตกใจที่ผิวพรรณของฟูฟุดูผุดผ่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะล้อฟูฟูแบบเก่าก็คงไม่เข้าท่า แต่จะเลิกล้อเลิกแกล้งเด็กผู้หยิงอย่างฟูฟูก็คงหมดเรื่องสนุก กลุ่มเด็กผู้ชายจึงคิดใหม่ทำใหม่โดยส่งเสียงล้อเลียนฟูฟูไปว่า “ฟูฟูหุ่นเหมือนหมูหรือเจ้าหมูหุ่นเหมือนฟูฟูนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฟูฟูเสียใจที่กลุ่มเด็กผู้ชายยังคงหาเรื่องล้อเลียนเธออีก แถมยิ่งฟัง…ฟูฟูก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวของเธออ้วนขึ้นเรื่อย ๆ ฟูฟูอึดอัดมากจึงไปปรึกษาคุณแม่อีกครั้งว่า เธอควรทำอย่างไรดี
จริง ๆ แล้ว ถ้าฟูฟูอยากผอมกว่านี้ เธอควรออกกำลังกายและเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม แต่คุณแม่เห็นว่าฟูฟูเป็นแค่เด็กท้วม ๆ ไม่ใช่เด็กอ้วน เรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย ฟูฟูก็ทำได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้ว คุณแม่จึงทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วแนะนำลูกสาวว่า
“แก้อะไรไปคนอื่นก็หาเรื่องล้อลูกได้อยู่ดี เรามาแก้ที่ใจของตัวเองดีกว่าไหม แก้ที่ใจ…ไม่ให้หวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่น ทำหัวใจให้นิ่ง ๆ กลาง ๆ คนล้อก็ไม่สนุก ตัวเราก็ไม่เป็นทุกข์ สุดท้าย เขาก็จะเลิกล้อเลิกแกล้งเราไปเอง”
เมื่อฟูฟูได้ฟังคำของคุณแม่ ฟูฟูก็ได้คิด
ในความเป็นจริง ฟูฟูชอบที่ตัวเองมีผมหยิกฟูเหมือนคุณพ่อคุณแม่ ชอบที่ตัวเองมีผิวสีน้ำผึ้งไม่ต่างจากคุณพ่อคุณแม่ และชอบที่ตัวเองมีรูปร่างตุ้ยนุ้ยคล้าย ๆ กับคุณพ่อคุณแม่ ฟูฟูชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ให้เธอมาตั้งแต่เกิด แล้วเธอจะไปเดือดร้อนกับคำพูดคำล้อเลียนของคนอื่นเพื่ออะไร?
เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยเข้าใจตัวเองอย่างกระจ่างชัด เธอจึงยิ้มให้คุณแม่และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับกลุ่มเด็กผู้ชายจอมเกเรอย่างไม่หวาดหวั่น
ในวันต่อมา เมื่อเด็กเกเรล้อเลียนฟูฟูอีก ฟูฟูจึงทำใจนิ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ยินดียินร้าย ท้ายที่สุด พวกเด็กเกเรก็เบื่อ แล้วหันไปแกล้งกันเองแทนที่จะแกล้งคนอื่น
การแก้ที่ใจทำได้ง่าย ๆ และช่วยให้หัวใจไม่เป็นทุกข์
ในที่สุด เด็กผู้หญิงรูปร่างตุ้ยนุ้ย ผิวคล้ำ แถมยังมีผมหยิกหยองฟูฟ่องก็กลับมาร่าเริงสดใส โดยไม่มีความคิดหรือถ้อยคำของใครมาทำร้ายจิตใจของเธอได้อีก.
#นิทานนำบุญ
………………………………
