ในช่วงที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เรียนปริญญาโทด้านการศึกษาปฐมวัย ที่ม.เกษตร (แต่ไม่จบ) ตอนที่ทำไอเอสเกี่ยวกับ การสร้างชุดหนังสือภาพสำหรับเด็กเล็กวัยแรกเกิดถึงสามปี ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับเด็กเล็กจริง ๆ ซึ่งเป็นลูกของน้องชาวไทใหญ่ที่มาช่วยงานที่บ้าน
คลิปวิดีโอด้านล่างของนิทานเรื่องนี้ เป็นคลิปบันทึกเหตุการณ์ตอนที่ผมเข้าไปทักทายกับเด็กน้อยวัย 9-10 เดือน ที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน ผมแต่งเพลงสด ๆ สื่อสารกับเด็กน้อย (จำได้ว่าตอนนั้นเรายังไม่คุ้นเคยกันมากนัก) ซึ่งจากเพลงที่แต่งสด ๆ และความน่ารักของเด็กน้อย ทำให้ผมได้แรงบันดาลใจมาแต่งนิทานเรื่องนี้ หวังว่านิทานเรื่องนี้จะให้แง่คิดและทำให้ทุก ๆ คนเห็นความสำคัญของเด็กมากขึ้นนะครับ
นิทานเรื่อง รอยยิ้มของเด็กน้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าเมืองคนหนึ่งเป็นชายสูงวัยที่ไม่ค่อยชอบเด็กสักเท่าไหร่ เจ้าเมืองผู้นี้เชื่อว่า เด็กคือต้นเหตุที่ทำให้เมืองของเขายากจน ดังคำที่กล่าวว่า “การมีลูกหนึ่งคนจะทำให้จนไปเจ็ดปี” ด้วยเหตุนี้ เจ้าเมืองจึงกำชับให้ชาวเมืองทุก ๆ หลีกเลี่ยงการมีลูกโดยเด็ดขาด
อยู่มาวันหนึ่ง คุณนกกระสาบุรุษไปรษณีย์ผู้มีหน้าที่ส่งเด็กกำพร้าไปยังครอบครัวใหม่ที่เหมาะสมได้พาเด็กชายวัยยังไม่ถึงหนึ่งขวบคนหนึ่ง บินมาส่งยังห้องนอนของภรรยาท่านเจ้าเมือง โชคดีที่ภรรยาท่านเจ้าเมืองเป็นคนรักเด็ก เมื่อคุณนายเห็นเด็กน้อยส่งยิ้มให้ เธอก็ตกหลุมรักและตั้งใจจะเลี้ยงดูเด็กน้อยเป็นลูกบุญธรรมแม้จะต้องขัดใจท่านเจ้าเมืองบ้างก็ตาม
เช้าวันต่อมา คุณนายจัดเตรียมรถเข็นเด็กเพื่อพาเด็กน้อยมุ่งหน้าไปยังบ้านของเจ้าเมือง ระหว่างทาง คุณนายบอกให้เด็กน้อยยิ้มสู้กับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกับร้องเพลงให้เด็กน้อยฟังด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนว่า “ยิ้มน้อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ เจ้าตัวน้อยส่งยิ้มมา ยิ้มน้อย ๆ จากดวงตา มาซิมาส่งยิ้มกัน”
คุณนายร้องเพลงไปพลาง ยิ้มให้เจ้าตัวน้อยไปพลาง จนชาวเมืองวางมือจากงานแล้วเข้ามาชะโงกดูเด็กน้อยในรถเข็นกันอย่างเนืองแน่น ในตอนแรก ชาวเมืองค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นเด็กน้อยในรถเข็น แต่เมื่อชาวเมืองได้เห็นรอยยิ้มที่แสนน่ารักของเจ้าหนูน้อย ทุกคนก็ลืมความประหลาดใจ เหลือเพียงความสดชื่นในหัวใจและรู้สึกว่าโลกรอบตัวนั้นงดงามกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก
ชาวเมืองต่างเดินตามคุณนายมายังบ้านของท่านเจ้าเมืองราวกับทุกคนต้องมนตร์สะกด ใจหนึ่งทุกคนรู้สึกดีที่เห็นคุณนายเข็นเด็กน้อยเข้ามาในเมือง แต่อีกใจหนึ่งทุกคนก็กังวลว่าเจ้าเมืองผู้ไม่รักเด็กจะยอมให้คุณนายเลี้ยงดูเด็กน้อยที่แสนน่ารักคนนี้ต่อไปหรือไม่
และแล้ว…สิ่งที่ทุกคนกังวลใจก็เป็นจริง เพราะทันทีที่คุณนายเผชิญหน้ากับท่านเจ้าเมืองและเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟัง เจ้าเมืองผู้ไม่รักเด็กก็ถึงกับหนวดกระตุกด้วยความโกรธ แล้วตั้งท่าจะขับไล่เด็กรวมทั้งภรรยาออกจากเมืองทันที
แต่ก่อนที่เจ้าเมืองจะออกคำสั่งขับไล่ บังเอิญเจ้าเมืองเหลือบไปเห็นรอยยิ้มของเด็กน้อยในรถเข็น ที่ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น เด็กน้อยก็ยังคงยิ้มได้เสมอ
ความน่ารักของเด็กน้อยทำให้เจ้าเมืองเริ่มใจอ่อน แต่ด้วยบทบาทของเจ้าเมืองที่เคยออกคำสั่งให้ชาวเมืองหลีกเลี่ยงการมีลูก เจ้าเมืองจึงแกล้วเฉไฉว่า เรื่องนี้ตนเองอนุญาตไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับประชาชนโดยส่วนรวมด้วย
เมื่อชาวเมืองเห็นว่าเจ้าเมืองมีทีท่าที่อ่อนลง และทุกคนเห็นว่ารอยยิ้มของเด็กนั้นมีค่าต่อการสร้างกำลังใจมากเพียงไร ทุกคนจึงพร้อมใจกันร้องเพลงว่า “ยิ้มน้อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ เจ้าตัวน้อยส่งยิ้มมา ยิ้มน้อย ๆ จากดวงตา มาซิมาส่งยิ้มกัน ๆ ๆ ๆ ๆ”
เสียงร้องเพลงของชาวเมืองเป็นเสมือนคำตอบที่ทำให้เจ้าเมืองเข้าใจได้ในทันทีว่าชาวเมืองต้องการเด็กน้อยคนนี้มากเพียงไร แต่เจ้าเมืองยังคงห่วงเรื่องความยากจน เพราะหากเขาอนุญาตให้ภรรยาเลี้ยงเด็กคนนี้เป็นลูก ในอนาคต…ชาวเมืองก็คงขอมีลูกบ้าง ไป ๆ มา ๆ ทุกคนในเมืองก็คงยากจนต่อไปแบบไม่รู้จบ เจ้าเมืองจึงมองหน้าของเด็กน้อยที่ยังคงยิ้มอยู่ในรถเข็น แล้วพูดด้วยความลำบากใจว่า “ถ้าการเลี้ยงเด็กจะไม่ทำให้บ้านเมืองต้องยากจน ฉันคงตัดสินใจได้ไม่ยากหรอก”
ในขณะนั้นเอง เทวดาผู้คุ้มครองเมืองเห็นว่าเจ้าเมืองและชาวเมืองลืมนึกถึงบางสิ่งมานานแล้ว นั่นคือรอยยิ้มอันแสนสดใสของเด็กสามารถสร้างพลังใจให้ผู้ใหญ่ได้อย่างมากมายไม่รู้จบ ด้วยเหตุนี้ เทวดาผู้คุ้มครองเมืองจึงปรากฏตัวขึ้น แล้วเอ่ยปากว่า ถ้าเจ้าเมืองรวมทั้งชาวเมืองยอมกลับมามีลูกและเลี้ยงดูเด็ก ๆ ให้มีรอยยิ้มที่สดใส เทวดาทั้งหลายก็จะมอบของขวัญให้แก่ชาวเมือง ด้วยการเสกฝนและความอุดมสมบูรณ์ให้กลับมายังเมืองอีกครั้ง
เมื่อเจ้าเมืองได้ฟัง เจ้าเมืองรวมทั้งทุก ๆ คนในเมืองก็น้อมรับเงื่อนไขของเทวดา
ในที่สุด เด็กน้อยก็ได้เติบโตเป็นลูกของเจ้าเมืองและภรรยา ส่วนชาวเมืองก็เริ่มมีลูกกันอีกครั้ง ซึ่งเมื่อทุกคนดูแลให้เด็ก ๆ ยิ้มได้อย่างมีความสุข เทวดาก็มอบของขวัญให้ทุก ๆ คนตามสัญญา
แม้ท้ายที่สุด ชาวเมืองอาจไม่ได้ร่ำรวยมากแบบผู้คนในเมืองอื่น ๆ แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือ พวกเขามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาได้เห็นรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ของเด็กตัวน้อย ๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทองเป็นไหน ๆ
#นิทานนำบุญ
…………………….
