เคยไหม…ที่เราอยากครอบครองบางสิ่งไว้เพียงคนเดียว แล้วในที่สุด…มันกลับทำให้หัวใจเรารู้สึกว่างเปล่ามากขึ้น?
นิทาน “ยักษ์ขี้หวง” คือหนึ่งในนิทานอมตะที่เรียบเรียงจากวรรณกรรมคลาสสิกของ Oscar Wilde ในนาม The Selfish Giant เรื่องราวเปี่ยมอารมณ์เรื่องนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนบทเรียนเกี่ยวกับความเมตตาและการแบ่งปันเท่านั้น แต่ยังพาผู้อ่านดำดิ่งสู่ความหมายของ “ความสุขที่แท้จริง” ได้อย่างนุ่มนวลและกินใจ ด้วยภาษาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง “ยักษ์ขี้หวง” เหมาะทั้งสำหรับเด็ก ๆ ที่จะได้เรียนรู้คุณค่าของการแบ่งปัน และสำหรับผู้ใหญ่ที่อาจกำลังค้นหาคำตอบบางอย่างในใจตนเอง นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่นิทานก่อนนอน…แต่มันอาจเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่คุณจะไม่มีวันลืม
มาอ่านนิทานเรื่อง “ยักษ์ขี้หวงกับสวนแห่งความสุข” กันเถอะ…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันห่างไกล ยังมีสวนแห่งหนึ่ง เป็นสวนขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก สวนแห่งนี้มีต้นไม้ร่มรื่น มีดอกไม้บานสะพรั่ง และมีหญ้าในสวนที่นุ่มละมุนละไม เด็ก ๆ จากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงจึงชอบมาหาเรื่องเล่นสนุกที่สวนแห่งนี้มาก ทุกเย็นหลังเลิกเรียน สวนแห่งนี้จึงมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ทำให้บรรยากาศในสวนเหมือนฤดูดอกไม้บานที่แสนสดใส
แต่สวนแห่งนี้ไม่ใช่สวนสาธารณะ มันเป็นสวนที่มีเจ้าของ แถมเจ้าของสวนยังเป็นยักษ์ที่ใจร้ายและหวงของมาก
ยักษ์เจ้าของสวนเดินทางไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเมื่อเจ็ดปีก่อน และไม่ได้กลับมาที่สวนแห่งนี้เลยตลอดเจ็ดปี ยักษ์จึงไม่รู้ว่ามีเด็ก ๆ บุกรุกเข้ามาเล่นในสวนของเขา และเด็ก ๆ ก็ลืมไปว่าสวนแห่งนี้เป็นสวนที่มีเจ้าของ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ยักษ์เดินทางกลับบ้าน และได้เห็นเด็ก ๆ พากันมาเล่นในสวนของเขาเป็นครั้งแรก เด็ก ๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างสนุกสนาน ยักษ์โมโหและรำคาญ เขาจึงวิ่งออกจากบ้านพร้อมกับตะโกนว่า “สวนนี้เป็นสวนของฉัน อย่าเข้ามาอีกเป็นอันขาด”
เมื่อเด็ก ๆ วิ่งออกไปจากสวนจนหมดแล้ว ยักษ์จึงตัดสินใจก่อกำแพงสูงล้อมสวนเอาไว้ พร้อมกับติดป้ายว่า “ห้ามเข้า! ฝ่าฝืน…โดนจับ”
หลังจากวันนั้น สวนของยักษ์ที่เคยสดใสเหมือนฤดูดอกไม้บานก็กลายเป็นสวนที่เงียบเหงา บรรยากาศของสวนที่เคยสดชื่น ก็แทนที่ด้วยเกล็ดน้ำแข็งและหิมะที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ สวนเปลี่ยนจากฤดูดอกไม้บานกลายเป็นฤดูกาลอันหนาวเหน็บ ซึ่งไม่มีทั้งดอกไม้, เด็ก ๆ และเสียงหัวเราะ หลงเหลืออยู่ในสวนแห่งนี้อีกเลย
เมื่อเวลาผ่านไป แม้สวนแห่งอื่น ๆ จะเข้าสู่ฤดูดอกไม้บานตามกาลเวลา แต่สวนของยักษ์ขี้หวง กลับยังคงอยู่ในฤดูหนาวที่หม่นเศร้า ไม่มีนกทำรัง ไม่มีกระรอกวิ่งเล่น ไม่มีดอกไม้ที่ยอมบาน และไม่มีต้นไม้ต้นใดที่ยอมผลิใบใหม่ ๆ ออกมา
เมื่อฤดูร้อนผ่านไป ตามด้วยฤดูใบไม้ร่วง แต่ในสวนก็ยังคงเป็นฤดูหนาว เป็นฤดูหนาวที่ยาวนาน โดยไม่มีที่ท่าว่าดอกไม้จะกลับมาผลิบานได้อีก
เมื่อฤดูร้อนผ่านไป ตามด้วยฤดูใบไม้ร่วง แต่ในสวนก็ยังคงเป็นฤดูหนาว เป็นฤดูหนาวที่ยาวนาน โดยไม่มีที่ท่าว่าดอกไม้จะกลับมาผลิบานได้อีก
ภาพที่ยักษ์เห็นคือสวนของเขาที่มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง และนอกจากเด็ก ๆ แล้ว ยักษ์ยังได้เห็นต้นไม้ในสวนที่กลับมามีใบสีเขียวและมีดอกไม้ผลิบานเต็มไปหมด
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันนี้ มีเด็ก ๆ แอบเข้ามาในสวน โดยคลานผ่านช่องเล็ก ๆ ที่กำแพง เมื่อเด็ก ๆ เข้ามาวิ่งเล่นในสวน ปีนป่ายตามกิ่งไม้ ส่งเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง และส่งความสดใสไปยังต้นไม้ดอกไม้ สวนที่ปกคลุมด้วยฤดูหนาวจึงกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
ยักษ์มองภาพตรงหน้าโดยมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ เขามองบรรยากาศในสวนที่เต็มไปด้วยความสุขอยู่สักพัก จากนั้น เขาก็หันไปมองที่อีกมุมหนึ่งของสวน ซึ่งที่มุมนั้น ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ชีวิตชีวา
เมื่อยักษ์มองไปที่ใต้ต้นไม้ เขาเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง กำลังกระโดดเพื่อจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นนั้น แต่เด็กน้อยตัวเล็กเกินไป จึงกระโดดเอื้อมมือไม่ถึงกิ่งไม้
ยักษ์รู้สึกละอายใจที่ตัวเองหวงสวนไว้คนเดียว โดยไม่คิดแบ่งปันให้ใครเลย แม้กระทั่งเด็ก ๆ
“เรานี่มันใจร้ายจัง หวงแม้กระทั่งกับเด็ก ๆ แถมการหวงสวนเอาไว้ ก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเลยแม้สักนิด”
ยักษ์จึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในสวนอย่างช้า ๆ โดยพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด เพื่อไม่ให้เด็ก ๆ สังเกตเห็น (จะได้ไม่ตกใจ) จากนั้น เขาก็ค่อย ๆ ตรงไปหาเด็กผู้ชายคนนั้น แล้วจับตัวเด็กน้อยไปวางไว้บนกิ่งไม้อย่างอ่อนโยน
ทันทีที่เด็กน้อยได้นั่งบนกิ่งไม้ ใบไม้ก็แตกออกมาจนกิ่งไม้เต็มไปด้วยใบไม้สีเขียว สักพัก ดอกไม้เริ่มผลิบาน แล้วฝูงนกก็บินมาเกาะกิ่งไม้พร้อมกับส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ
เมื่อเด็กคนอื่น ๆ หันมาดูและเห็นยักษ์ยืนอยู่ที่ต้นไม้ต้นนั้น เด็ก ๆ ต่างก็พากันตกใจและทำท่าว่าจะวิ่งหนี แต่ยักษ์รีบส่งยิ้มให้เด็ก ๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องไปไหนหรอกนะ นับจากวันนี้…ฉันขอมอบสวนแห่งนี้ ให้เป็นสวนแห่งความสุขที่พวกเธอมาเที่ยวเล่นได้ทุกวันเลย
เมื่อยักษ์อนุญาต เด็ก ๆ จึงยิ้ม แล้วพากันมาเล่นสนุกในสวนพร้อมกับชวนให้ยักษ์เล่นด้วยทุกวัน ซึ่งมันทำให้ยักษ์มีความสุขมาก และมันก็ทำให้สวนของยักษ์กลายเป็นสวนที่มีแต่ฤดูดอกไม้บานโดยไม่มีฤดูหนาวอีกเลย
หลายปีผ่านไป ยักษ์แก่ตัวลง เขาไม่ได้ออกมาเล่นกับเด็ก ๆ อีกแล้ว แต่เขายังคงนั่งอยู่ที่หน้าต่างทุกวัน เพื่อมองสวนของเขา ซึ่งมีเด็ก ๆ ส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ยักษ์มีความสุขมากที่ได้เห็นภาพแบบนั้น ซึ่งเขารู้ดีว่า สวนที่งดงามและเปี่ยมสุขเช่นนี้ เกิดขึ้นได้เพราะใคร
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ยักษ์นั่งมองสวนของเขา แล้วกวาดสายตาไปยังมุมหนึ่งของสวน ซึ่งเป็นมุมที่เคยมีต้นไม้ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ชีวิตชีวา
แล้วยักษ์ก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่ได้เห็น เพราะที่ตรงนั้นมีเด็กคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เด็กคนนั้นคือเด็กคนเดิม….คนที่เขาเคยอุ้มขึ้นต้นไม้เมื่อหลายปีก่อน
แม้ในวันนี้ ต้นไม้จะเติบโตและผลิดอกสวยงามจนเต็มต้น ซึ่งต่างจากในอดีตมาก แต่เด็กที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยังคงมีใบหน้าและรูปร่างเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน และอีกสิ่งหนึ่งที่ยักษ์สังเกตเห็นและมันก็ทำให้เขาตกใจมากก็คือ เด็กน้อยมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ที่มือและเท้า ดูคล้ายรอยที่เกิดจากของมีคมบางอย่าง เช่น ตะปู
ยักษ์ตกใจมาก เขาจึงรีบลุกแล้ววิ่งไปหาเด็กน้อย พร้อมกับร้องถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ็บไหม? ใครทำเธอแบบนี้!”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองยักษ์ที่ร้องถามเขา เด็กน้อยยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าของเขาดูสงบและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา มันไม่ใช่สีหน้าของเด็ก แต่มันเหมือนดวงหน้าของใครบางคนที่ยักษ์คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
ยักษ์ยืนนิ่งด้วยความแปลกใจ เด็กน้อยจึงพูดกับยักษ์ว่า
“ในวันที่เธอปิดสวน…ห้ามไม่ให้ใครเข้ามา ช่วงเวลานั้น เธอคงยังไม่เข้าใจถึงความหมายของความสุข วันนั้น ฉันจึงมาหาเธอที่นี่ เพื่อชี้ทางให้เธอได้รู้ว่า ความสุขเกิดขึ้นได้ด้วยการช่วยเหลือ เมตตา และแบ่งปัน ซึ่งเธอก็ได้ทำมันและเข้าใจมัน….ตั้งแต่วันนั้น”
ยักษ์พยักหน้ารับ เด็กน้อยจึงพูดต่อไปว่า “เมื่อเธอเปิดสวน ยอมแบ่งปันความสุขให้ทุกคน…สวนก็กลับมามีชีวิตชีวา และความสุขก็ย้อนกลับมาหาเธอ”
เด็กน้อยหยุดพูดชั่วครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า “แต่บัดนี้ สวนของเธอจะไม่ใช่สวนของเธออีกแล้ว มันจะกลายเป็นสวนแห่งความสุขที่เธอมอบทิ้งไว้ให้ทุกคน เพราะวันนี้ ฉันจะพาเธอไปยังสวนของฉัน สวนที่งดงาม อบอุ่น และเป็นที่ ๆ เธอจะได้มีความสงบสุข…ตราบชั่วนิรันดร์”
ยักษ์นิ่งเงียบ หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นทีละน้อย ภาพความทรงจำต่าง ๆ ค่อยๆ ปรากฎขึ้นในใจ ตั้งแต่วันที่เขาเคยใจร้าย จนถึงวันที่เขาเปลี่ยนใจ และวันที่เขาทำให้ความสุขกลับคืนสู่สวนของเขา
ยักษ์ยิ้มอย่างอิ่มใจ เขาค่อย ๆ นอนลงที่ข้างต้นไม้ หลับตาลงอย่างสงบ มองดวงหน้าของเด็กน้อยที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า “เด็กคนนี้คือใคร”
เด็กน้อยยิ้มให้ยักษ์ด้วยสายตาที่อ่อนโยน นกส่งเสียงร้องกล่อม ต้นไม้ผลิดอกงามเหมือนเป็นการให้เกียรติ ยักษ์ยิ้มอย่างมีความสุข เขารู้ตัวดีว่า เขากำลังจะได้ไปอยู่ในสวนที่สวยที่สุดบนสรวงสวรรค์
เช้าวันต่อมา เด็ก ๆ เข้ามาเล่นสนุกกันในสวนตามปกติ แสงแดดอบอุ่นส่องผ่านยอดไม้ ผีเสื้อบินวนเริงร่า และเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ก็ดังไปทั่วทั้งสวน
และใต้ต้นไม้ที่งดงามที่สุด มียักษ์ใจดีนอนหลับอยู่ตรงนั้น…เงียบ ๆ ซึ่งที่ใบหน้าของเขา มีเพียงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน…และเปี่ยมสุข
ข้อคิดจากเรื่องนี้:
- ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการให้ ไม่ใช่การหวง
- จิตใจที่อบอุ่น สามารถเปลี่ยนฤดูหนาวให้กลายเป็นฤดูดอกไม้บาน
- การเปิดใจ คือก้าวแรกของการมีความสุขร่วมกับผู้อื่น
- เมื่อเรารู้จักแบ่งปัน เราก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกเลย

อ่านแล้วชอบมากเลยค่ะ ตอนจบน้ำตาจะไหล
อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน เด็กๆ ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
LikeLike
ขอบคุณนะครับ
LikeLike