Posted in Uncategorized

เธอยังเป็นที่รักของใครบางคน – เพลงให้กำลังใจในวันที่ท้อแท้

ในการแต่งเพลงจากนิทาน มีเพลงอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือเพลงที่เล่านิทานตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ และเพลงแบบที่สอง คือ เพลงที่นำแรงบันดาลใจจากนิทานที่ได้อ่าน มาแต่งเป็นเพลง

นิทานเรื่อง “เรายังเป็นที่รักของใครบางคน” เป็นนิทานที่เล่าเรื่องราวของตุ๊กตากระต่ายหูเดียวที่ถูกทิ้ง ทำให้มันท้อแท้และรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า แต่ในที่สุด มันก็พบว่า มันยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่

สิ่งที่นิทานอยากสื่อสาร ในส่วนหนึ่งคือเรื่องของตุ๊กตากระต่าย แต่อีกส่วนคือการส่งกำลังใจไปยังคนที่ต้องอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก เช่น การต้องเผชิญกับความทุกข์ที่แสนสาหัส หรือ อาจเป็นคนที่ต้องเจอกับโรตซึมเศร้า เมื่อผมคิดจะแต่งเพลง แทนที่ผมจะเล่านิทานเรื่องนี้ในรูปแบบของเพลงเล่านิทาน ผมได้เลือกแต่งเนื้อเพลงเป็นการให้กำลังใจและให้ข้อคิดแก่ผู้ฟัง ซึ่งมันอาจเป็นประโยชน์มาก ๆ สำหรับคนที่อยู่ในภาวะแบบเดียวกับตุ๊กตากระต่ายในเรื่อง

เพลง “เธอยังเป็นที่รักของใครบางคน” จึงเป็นเพลงที่ผมตั้งใจทำมาก ๆ เพราะมันคือความปรารถนาดีจากใจของผม ที่อยากส่งกำลังใจให้แก่ผู้ฟังจริง ๆ

เมื่อฟังเพลงนี้ไปแล้ว หากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

กาลครั้งหนึ่ง มีตุ๊กตาตัวหนึ่งชื่อ “เจ้าหูเดียว” เพราะมันมีหูแค่ข้างเดียว หลังจากถูกเจ้าของเดิมทอดทิ้ง มันถูกวางไว้ในแผงขายตุ๊กตามือสองกลางตลาด พร้อมกับตุ๊กตาเก่า ๆ ตัวอื่น ๆ

คืนนั้น เจ้าหูเดียวร้องไห้ไม่หยุด มันเสียใจที่เคยเป็นที่รัก แต่กลับถูกทิ้งเมื่อเก่าและชำรุด “ฉันยังอยากเป็นที่รักของใครสักคนอยู่นะ…” มันพึมพำเบา ๆ

ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น “เธอจ๊ะเธอจ๋า หันมาทางนี้หน่อย” เจ้าหูเดียวหันไปพบตุ๊กตาตาหวานที่ยิ้มให้ “ฉันก็เคยถูกทิ้งเหมือนกันนะ อย่าร้องไห้เลย เธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่”

แล้วตุ๊กตาปากจู๋ก็โผล่มา หอมแก้มเจ้าหูเดียวเบา ๆ “ยินดีต้อนรับนะ เธอยังมีค่าเสมอ” และสุดท้าย เจ้าฮักตุ๊กตาขนปุกปุยก็โอบกอดเจ้าหูเดียวแน่น “ยิ้มเข้าไว้ เพราะเธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่”

ตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ก็เข้ามาให้กำลังใจ บ้างลูบตัว บ้างร้องเพลง บ้างแค่เอาหัวอิงใกล้ ๆ โดยไม่พูดอะไรเลย แต่ทุกการกระทำนั้นเต็มไปด้วยความรัก

เจ้าหูเดียวซาบซึ้ง น้ำตาไหลด้วยความอบอุ่น มันได้เรียนรู้ว่า… การเป็นที่รักของใครบางคน คือสิ่งที่มีค่ามากเหลือเกิน และจากวันนั้น มันตั้งใจจะมอบความรักให้กับคนอื่นบ้าง เพราะแม้จะเก่า ชำรุด หรือโดดเดี่ยว… เราก็ยังเป็นที่รักของใครบางคนได้เสมอ

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เราก็ยังเป็นที่รักของใครบางคน ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพประกอบนิทาน เรายังเป็นที่รักของใครบางคน ตุ๊กตามือสองนั่งรวมกัน สีโทนหม่น เห็นตุ๊กตาหูเดียวอยู่ด้านหน้า
ภาพประกอบนิทานก่อนนอนเรื่อง เรายังเป็นที่รักของใครบางคน ถ่ายทอดความรู้สึกอบอุ่นใจผ่านตุ๊กตามือสองที่ยังคงมีคุณค่าและเป็นที่รัก
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

พิน็อคคิโอ : นิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ สุดคลาสสิก กับข้อคิดสอนใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่

พิน็อคคิโอ (Pinocchio) เป็นนิทานคลาสสิกที่เขียนโดย คาร์โล คอลโลดี (Carlo Collodi) นักเขียนชาวอิตาลีในปี ค.ศ. 1883 โดยตีพิมพ์ครั้งแรกในชื่อ Le avventure di Pinocchio หรือ The Adventures of Pinocchio จุดมุ่งหมายของผู้แต่งคือการสื่อสารถึงคุณค่าของความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และการเติบโตทางจิตใจผ่านตัวละครหุ่นไม้ที่อยากเป็นเด็กจริง นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็ก แต่ยังสะท้อนภาพสังคมอิตาลีในยุคนั้นที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากชนบทสู่เมือง และจากวินัยสู่เสรีภาพ

เวอร์ชั่นต้นฉบับของคอลโลดีมีโทนเข้มข้นและบางช่วงก็ดุดันกว่าที่หลายคนคุ้นเคย ตัวพิน็อคคิโอในฉบับแรกเป็นเด็กดื้อที่เผชิญผลลัพธ์รุนแรงจากการกระทำของตน เช่น ถูกแขวนคอ ถูกหลอกขาย และถูกทอดทิ้ง นักวิชาการหลายคนชื่นชมว่านิทานเรื่องนี้เป็นการสอนศีลธรรมผ่านการทดลองชีวิตจริง ไม่ใช่เพียงคำสั่งสอนแบบผิวเผิน ขณะที่นักวิจารณ์บางกลุ่มมองว่าเรื่องนี้สะท้อนความหวังของผู้ใหญ่ที่อยากให้เด็ก “เชื่อฟัง” มากกว่าการเข้าใจโลกด้วยตัวเอง

ในเวอร์ชั่นเรียบเรียงใหม่โดยเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เนื้อเรื่องยังคงโครงสร้างหลักของต้นฉบับไว้ครบถ้วน แต่ปรับโทนให้ละเมียดละไม อ่อนโยน และเหมาะกับผู้อ่านไทยทุกวัย โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพิน็อคคิโอกับเจปเปตโตเป็นแกนกลางของเรื่อง พร้อมเสริมบทสนทนาและฉากที่สะท้อนความรัก ความเสียใจ และการให้อภัยอย่างลึกซึ้ง เป้าหมายของการเรียบเรียงคือการสร้างนิทานที่ให้ทั้งอรรถรสทางวรรณกรรมและพลังบำบัดใจแก่ผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเผชิญความผิดพลาดหรือความสูญเสีย หากผู้อ่านต้องการสัมผัสอรรถรสแบบวรรณกรรมต้นฉบับ ควรอ่านฉบับแปลเต็มของคอลโลดีควบคู่กัน เพื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวละครในบริบทที่เข้มข้นและสมจริงยิ่งขึ้น

ในเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ มีโรงไม้เก่า ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายฝุ่น ที่นั่นมีช่างไม้ชราผู้ใจดีชื่อคุณปู่เชอรี่ เขาเป็นคนขี้บ่นเล็กน้อยตามประสาคนแก่ แต่ก็มีน้ำใจและมีความเมตตาอยู่เต็มหัวใจ ใบหน้าของเขามีจุดเด่นคือมีจมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นที่เพื่อนบ้านเรียกกันติดปากว่า “คุณปู่เชอรี่”

เช้าวันหนึ่งที่อากาศเย็นสบาย คุณปู่เชอรี่เดินเข้ามาในโรงไม้เพื่อเลือกไม้สำหรับแกะสลักขาโต๊ะ เขาหยิบท่อนไม้สนเก่า ๆ ขึ้นมา และทันใดนั้นเอง มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากไม้ว่า “โอ๊ย เจ็บนะ” คุณปู่เชอรี่สะดุ้งเฮือก เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความตกใจ แต่ในโรงไม้เงียบสนิท มีเพียงท่อนไม้ในมือที่ดูธรรมดาเสียจนไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ

เขาลองใช้สิ่วแตะลงไปอีกครั้ง และเสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกว่า “โอ๊ย อย่าทำฉันเจ็บ” คราวนี้คุณปู่เชอรี่โยนไม้ลงพื้นด้วยความตกใจ เขายืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ไม้พูดได้งั้นหรือ นี่มันเรื่องประหลาดจริง ๆ” หลังจากตั้งสติได้ เขาตัดสินใจจะไม่ใช้ไม้ท่อนนี้ทำขาโต๊ะอีกต่อไป

คุณปู่เชอรี่คิดถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งชื่อเจปเปตโต ชายชราผู้ยากจนที่อาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ และมีความฝันอยากสร้างหุ่นไม้ให้เป็นลูกชาย เขาเชื่อว่าเจปเปตโตคงจะดีใจที่ได้ไม้ดี ๆ ไปใช้ แม้จะมีบางอย่างแปลกประหลาดก็ตาม เขาจึงยกไม้ท่อนนั้นให้เพื่อน พร้อมอวยพรว่า “ขอให้เจ้าหุ่นเป็นเด็กดีนะ”

เจปเปตโต ชายชราผู้ยากจน อาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงเก้าอี้ไม้ เตียงฟาง และเตาผิงที่แทบไม่มีไฟ แม้ชีวิตจะเรียบง่ายและขาดแคลน แต่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความฝัน เขาอยากมีลูกชายสักคนไว้เป็นเพื่อนในยามแก่เฒ่า เมื่อเขาได้รับไม้ท่อนนั้นจากคุณปู่เชอรี่ เขากลับบ้านด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวังที่เขาเก็บไว้ในใจมานาน

ภายในห้องเล็ก ๆ เจปเปตโตจัดโต๊ะ เตรียมสิ่วและค้อน แล้วเริ่มแกะสลักไม้ทีละนิด เขาเริ่มจากหัว โดยทำให้มีผมสีดำ ตาโต และปากเล็ก ๆ ที่ยิ้มอยู่เสมอ เมื่อเขาแกะปากเสร็จ พิน็อคคิโอก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา เจปเปตโตสะดุ้งเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของหุ่นไม้ เขาก็หัวเราะตามด้วยความสุข “เจ้าหุ่นนี่มีชีวิตจริง ๆ หรือ” เขาพึมพำเบา ๆ พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

เมื่อเจปเปตโตแกะสลักแขน พิน็อคคิโอก็ยกแขนขึ้นมาเอง และตบหน้าเจปเปตโตเบา ๆ ด้วยท่าทางซุกซน เจปเปตโตหัวเราะพลางพูดว่า “เจ้าหุ่นนี่ซนแต่เกิดเลยนะ” เขารู้สึกเหมือนกำลังพูดกับลูกชายจริง ๆ ความเหงาในใจที่เคยเงียบงันเริ่มถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวเราะและความเคลื่อนไหวของพิน็อคคิโอ

เจปเปตโตตั้งชื่อหุ่นว่า พิน็อคคิโอ ชื่อที่เขาคิดว่าฟังดูน่ารักและมีเอกลักษณ์ “เจ้าจะเป็นลูกชายของฉัน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พิน็อคคิโอยิ้มกว้าง แต่ไม่ยอมอยู่นิ่ง เขากระโดดลงจากโต๊ะแล้ววิ่งออกจากบ้านทันที เจปเปตโตตกใจ รีบวิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง “หยุดก่อน พิน็อคคิโอ เจ้าต้องเรียนรู้ก่อนจะเป็นเด็กจริง” เขาร้องเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ

พิน็อคคิโอวิ่งออกจากบ้านของเจปเปตโตด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยรู้จักโลกภายนอกมาก่อน ทุกสิ่งดูน่าตื่นตาและน่าลอง ถนนสายเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเสียงของผู้คนดูเหมือนจะเปิดประตูสู่การผจญภัยครั้งใหม่ เขาวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหนื่อย และแอบเข้าไปในบ้านร้างหลังหนึ่งเพื่อพัก

บ้านหลังนั้นเงียบสงัด มีเพียงแสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างไม้เก่า ๆ พิน็อคคิโอนั่งลงบนพื้นและถอนหายใจเบา ๆ “อิสระนี่มันดีจริง ๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ในใจลึก ๆ ก็มีความว่างเปล่าที่เขายังไม่เข้าใจ

ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กก็ดังขึ้นจากมุมห้อง “เด็กน้อย เจ้าคิดว่าอิสระคือการหนีจากผู้ที่รักเจ้าอย่างนั้นหรือ” พิน็อคคิโอสะดุ้ง เขม้นมองไปยังต้นเสียง และพบจิ้งหรีดตัวหนึ่งเกาะอยู่บนผนัง มันมีดวงตาเล็ก ๆ ที่ดูฉลาดและสงบ “เจ้าเป็นใคร” พิน็อคคิโอถามด้วยน้ำเสียงระแวง

“ฉันคือจิ้งหรีดพูดได้ อยู่ที่นี่มานานกว่าร้อยปี ฉันรู้จักบ้านหลังนี้ดี และรู้จักเด็กดื้ออย่างเจ้าดีเช่นกัน” จิ้งหรีดตอบด้วยเสียงเรียบ พิน็อคคิโอขมวดคิ้ว “ฉันจะทำอะไรก็ได้ ฉันไม่ใช่เด็กจริง ๆ ด้วยซ้ำ” เขาพูดอย่างดื้อรั้น จิ้งหรีดถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “นั่นแหละคือปัญหา เจ้ามีหัวใจของเด็ก แต่ยังไม่รู้จักความรับผิดชอบ ความรัก และความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการเป็นมนุษย์”

พิน็อคคิโอเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อยากยอมรับคำพูดของจิ้งหรีด “ฉันไม่ต้องการคำสั่งจากแมลงตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้า” เขาพูดเสียงแข็ง จิ้งหรีดถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ฉันพูดเพราะฉันห่วงเจ้า เด็กที่ไม่ฟังคำเตือน มักจะพบกับความทุกข์ก่อนจะเข้าใจความจริง” พิน็อคคิโอโกรธจัด เขาหยิบรองเท้าไม้ขว้างใส่จิ้งหรีดด้วยความหุนหัน เสียงดังปัง แล้วทุกอย่างก็เงียบลงอีกครั้ง

พิน็อคคิโอนั่งอยู่คนเดียวในบ้านร้าง ความเงียบที่เคยสบายกลับกลายเป็นความว่างเปล่าที่กดดัน เขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นคือความเสียใจ แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ในใจของพิน็อคคิโอเริ่มมีเสียงเล็ก ๆ ที่เตือนเขาว่า เขาอาจทำผิดไปแล้วจริง ๆ

เมื่อออกจากบ้านร้าง พิน็อคคิโอเดินกลับออกมาสู่ถนนอีกครั้ง เขาเดินไปเรื่อย ๆ จนพบกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เด็กคนหนึ่งร้องขึ้นว่า “เฮ้ เจ้าหุ่นไม้ เจ้ามาจากไหน” พิน็อคคิโอตอบอย่างภูมิใจ “ฉันชื่อพิน็อคคิโอ ฉันเป็นเด็กจริง” เด็ก ๆ หัวเราะกันเสียงดัง “เด็กจริงงั้นหรือ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่มีโรงเรียน”

พิน็อคคิโออึกอัก เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาเพิ่งเกิดได้ไม่นาน และยังไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย ทันใดนั้น ตำรวจนายหนึ่งเดินผ่านมา เขาสังเกตเห็นพิน็อคคิโอที่กำลังโต้เถียงกับเด็ก ๆ และดูเหมือนจะสร้างความวุ่นวาย “เกิดอะไรขึ้นที่นี่” เขาถามเสียงเข้ม เด็ก ๆ ชี้ไปที่พิน็อคคิโอ “เขาเป็นหุ่นไม้ที่หนีออกจากบ้าน” ตำรวจหรี่ตามองพิน็อคคิโอ “เจ้ามีผู้ปกครองไหม”

พิน็อคคิโอพยายามโกหกตำรวจว่าเขาอยู่คนเดียว ไม่ต้องการใคร แต่ทันใดนั้น จมูกของพิน็อคคิโอก็ยาวขึ้นเล็กน้อย ตำรวจตกใจ “หุ่นไม้โกหกได้ด้วยหรือ” เขาพึมพำด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่พิน็อคคิโอจะหนีไปได้ ตำรวจก็จับเขาไว้ และพาไปยังสถานีเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ตลาด เขาไม่ได้ถูกขัง แต่ถูกสั่งให้นั่งรอจนกว่าจะมีผู้ปกครองมารับ

ไม่นานนัก เจปเปตโตก็มาถึง เขาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “พิน็อคคิโอ เจ้าไปไหนมา ฉันตามหาเจ้าทั้งวัน” พิน็อคคิโอเงียบไป เขารู้สึกผิด แต่ก็ยังไม่กล้ายอมรับ ตำรวจมองเจปเปตโตแล้วพูดว่า “ชายคนนี้ดูยากจน แต่มีความรักในสายตา ฉันจะปล่อยเจ้าหุ่นไม้ให้กลับบ้านกับเขา แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่หนีอีก”

พิน็อคคิโอพยักหน้าเบา ๆ และเดินกลับบ้านกับเจปเปตโตอย่างเงียบ ๆ ใจของเขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อน นั่นคือความรักและความรับผิดชอบ รุ่งเช้าในเมืองเล็ก ๆ เจปเปตโตตื่นขึ้นด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เขามองพิน็อคคิโอที่นอนอยู่บนฟางอย่างสงบ แม้จะเป็นหุ่นไม้ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความเป็นลูกชายที่เขารอคอยมานาน

“วันนี้เจ้าจะต้องไปโรงเรียน” เจปเปตโตพูดเบา ๆ “เจ้าต้องเรียนรู้เพื่อจะเป็นเด็กจริง” พิน็อคคิโอพยักหน้า แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขารู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินคำว่า “ลูกชาย” เจปเปตโตเปิดลิ้นชักเก่า ๆ หยิบเสื้อโค้ตตัวเดียวที่เขามี เป็นผ้าขนสัตว์สีเทาเก่า ๆ ที่ปะแล้วปะอีกจนแทบไม่เหลือเนื้อผ้าเดิม เขาสวมมันอย่างเรียบร้อย แล้วเดินออกจากบ้านไปยังตลาดด้วยความตั้งใจจะซื้อหนังสือเรียนให้พิน็อคคิโอ

เจปเปตโตเดินผ่านร้านหนังสือที่มีหนังสือเรียนวางเรียงรายอยู่หน้าร้าน เขาหยุดมองเล่มหนึ่งซึ่งมีปกแข็งสีฟ้า และภาพเด็กชายถือกระดานชนวน เจ้าของร้านบอกว่า “หนึ่งฟลอริน” เจปเปตโตล้วงกระเป๋า แต่มีเพียงเศษเหรียญ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเดินไปยังร้านขายเสื้อผ้ามือสอง “ฉันอยากขายเสื้อโค้ตตัวนี้” เขาบอกเจ้าของร้านด้วยน้ำเสียงเรียบ เจ้าของร้านมองเสื้อโค้ตเก่า ๆ แล้วตอบว่า “มันขาดมาก ฉันให้ครึ่งฟลอรินก็พอ” เจปเปตโตพยักหน้าโดยไม่ต่อรอง เขารับเงินแล้วเดินกลับไปยังร้านหนังสือ ซื้อหนังสือเล่มนั้นด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขายื่นหนังสือให้พิน็อคคิโอ “นี่คือกุญแจสู่การเป็นเด็กจริง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พิน็อคคิโอรับหนังสือด้วยความตื่นเต้น แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือของเจปเปตโตสู่หัวใจของเขา เช้าวันต่อมา พิน็อคคิโอสวมเสื้อผ้าธรรมดา ๆ ถือหนังสือเรียนเล่มใหม่ เดินไปตามถนนด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อน และรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะเป็น “เด็กจริง” อย่างที่ใฝ่ฝัน

ระหว่างทาง เขาได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากลานกว้าง เสียงกลอง เสียงขลุ่ย และเสียงร้องเพลงที่ชวนให้หัวใจเต้นแรง พิน็อคคิโอหยุดเดิน หันไปมอง และเห็นป้ายผ้าขนาดใหญ่เขียนว่า “โรงละครหุ่นเชิดมหัศจรรย์” ผู้คนมากมายกำลังเข้าไปในโรงละคร เด็ก ๆ หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เสียงตะโกนว่า “หุ่นเชิดพูดได้ เต้นได้ ร้องเพลงได้” พิน็อคคิโอรู้สึกตื่นเต้น “ฉันอยากดู” เขาพึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อเขาล้วงกระเป๋า ก็พบว่าไม่มีเงินเลย

เขามองหนังสือเรียนในมือ แล้วลังเล “ฉันจะขายหนังสือเล่มนี้ แล้วใช้เงินไปดูการแสดงก็ได้” เขาคิดในใจอย่างตื่นเต้น เขาเดินไปยังร้านขายของเก่า ยื่นหนังสือให้เจ้าของร้าน “ฉันขายหนังสือเล่มนี้” เขากล่าว เจ้าของร้านรับไปแล้วให้เหรียญทองหนึ่งเหรียญ พิน็อคคิโอยิ้มกว้าง แล้วรีบวิ่งไปยังโรงละครทันที โดยไม่รู้เลยว่า เขาเพิ่งแลกความรู้กับความสนุกชั่วคราว

ภายในโรงละครหุ่นเชิด พิน็อคคิโอพบว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยแสงสีและเสียงหัวเราะ หุ่นเชิดหลายตัวกำลังเต้นอยู่บนเวที พวกมันพูดได้ ร้องเพลงได้ และดูมีชีวิตอย่างน่าประหลาด เด็ก ๆ ส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน พิน็อคคิโอหัวเราะเสียงดัง รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน เขาลืมหนังสือเรียน ลืมเจปเปตโต และลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเอง

แต่ทันใดนั้น หุ่นเชิดบนเวทีหยุดเต้น และชี้มาที่พิน็อคคิโอ “ดูนั่นสิ หุ่นไม้ที่ไม่มีเชือก” ผู้ชมทั้งหมดหันมามอง พิน็อคคิโอรู้สึกอาย แต่ก็ภูมิใจที่ตนเองเป็นหุ่นที่เดินได้เองโดยไม่มีใครควบคุม พิน็อคคิโอเขย่งเท้าเล็กน้อยและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

เจ้าของโรงละครชื่อไฟร์อีทเตอร์ เป็นชายร่างใหญ่ หนวดหนา และเสียงดัง เขาเดินเข้ามาหาพิน็อคคิโอด้วยท่าทางสงสัย “เจ้ามาจากไหน ใครสร้างเจ้า” เขาถามด้วยน้ำเสียงเข้ม พิน็อคคิโอตอบอย่างมั่นใจ “ฉันชื่อพิน็อคคิโอ เจปเปตโตเป็นพ่อของฉัน” ไฟร์อีทเตอร์ขมวดคิ้ว “เจปเปตโตงั้นหรือ ฉันรู้จักเขา เขาเป็นคนดี แต่ยากจนมาก”

พิน็อคคิโอพยักหน้า “เขาขายเสื้อโค้ตเพื่อซื้อหนังสือให้ฉัน” ไฟร์อีทเตอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาแข็งกร้าวเริ่มอ่อนลง เขาหยิบเหรียญทองสองเหรียญออกจากกระเป๋า แล้วยื่นให้พิน็อคคิโอ “เอาไปให้พ่อของเจ้า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป พิน็อคคิโอรับเหรียญด้วยความดีใจ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตื้นตัน เขารู้สึกถึงความเมตตาในโลกที่เขาเพิ่งเริ่มเรียนรู้

หลังจากออกจากโรงละคร พิน็อคคิโอเดินไปตามถนนด้วยหัวใจที่เบิกบาน เขาถือเหรียญทองสองเหรียญไว้ในมือแน่น คิดถึงเจปเปตโตและจินตนาการถึงรอยยิ้มของพ่อเมื่อได้รับเงินนั้น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านต้นไม้ริมทาง เสียงนกและลมพัดเบา ๆ ทำให้เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่าอยู่เหลือเกิน

แต่ระหว่างทาง เขาพบกับจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เดินกะเผลก และแมวตาบอดข้างหนึ่ง ทั้งสองแต่งตัวอย่างสุภาพ พูดจาอ่อนโยน และดูเหมือนจะเป็นนักเดินทางผู้มีประสบการณ์ “สวัสดี เด็กน้อย” จิ้งจอกกล่าวเสียงนุ่ม “เจ้าดูเหมือนมีความสุขมาก” พิน็อคคิโอยิ้มกว้าง “ฉันเพิ่งได้รับเหรียญทองสองเหรียญจากเจ้าของโรงละคร ฉันจะเอาไปให้พ่อของฉัน”

แมวพยักหน้าอย่างช้า ๆ “เจ้ารู้ไหมว่าเหรียญทองนั้นสามารถเพิ่มเป็นร้อยได้ ถ้าเจ้ารู้วิธี” พิน็อคคิโอเบิกตากว้าง “จริงหรือ” เขาถามด้วยความตื่นเต้น จิ้งจอกยิ้ม “แน่นอน ถ้าเจ้าไปยังทุ่งมหัศจรรย์ แล้วฝังเหรียญทองลงในดิน วันรุ่งขึ้นจะมีต้นไม้ขึ้นมา และออกผลเป็นเหรียญทองมากมาย”

พิน็อคคิโอลังเลเล็กน้อย เขานึกถึงเจปเปตโต แต่ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มครอบงำ “ฉันควรทำอย่างไร” เขาถาม แมวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แค่เดินทางไปกับเรา เราจะพาเจ้าไป” พิน็อคคิโอพยักหน้าอย่างช้า ๆ แล้วเดินตามทั้งสองไป โดยไม่รู้เลยว่า เขากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดที่เขามี

ทั้งสามเดินทางไปยังทุ่งที่เงียบสงบ มีต้นไม้แห้ง ๆ และดินที่ดูธรรมดา จิ้งจอกชี้ไปยังจุดหนึ่งใต้ต้นไม้เก่า “ฝังเหรียญที่นี่ แล้วรดน้ำด้วยน้ำใสจากบ่อนั้น” พิน็อคคิโอทำตามอย่างไร้ข้อสงสัย เขาขุดหลุมเล็ก ๆ ด้วยมือไม้ของตนเอง ฝังเหรียญทองลงไป แล้วเดินไปตักน้ำจากบ่อใกล้ ๆ มารด ลงบนดินอย่างตั้งใจ

เขานั่งรอด้วยใจเต้นแรง ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง “เจ้าต้องรอจนถึงพรุ่งนี้” จิ้งจอกกล่าว “ตอนนี้กลับบ้านไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาดู” แมวพยักหน้าเสริม “ต้นไม้ต้องใช้เวลางอกขึ้นมา อย่าใจร้อน” พิน็อคคิโอพยักหน้า แล้วเดินกลับไปอย่างมีความหวังเต็มหัวใจ เขาจินตนาการถึงต้นไม้ที่เต็มไปด้วยเหรียญทอง และรอยยิ้มของเจปเปตโตเมื่อได้เห็นมัน

แต่เมื่อพิน็อคคิโอกลับมายังทุ่งในวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างเงียบงัน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีเหรียญทอง และไม่มีจิ้งจอกหรือแมว พิน็อคคิโอยืนอยู่กลางทุ่งว่างเปล่า หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น เขาเริ่มเข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่ความเมตตา และไม่ใช่ทุกคำพูดที่ควรเชื่อ

เขานั่งลงบนพื้นดินที่แห้งกรัง ดวงตาเริ่มพร่ามัวด้วยน้ำตา “ฉันถูกหลอก” เขาพึมพำเบา ๆ ความเสียใจค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของพิน็อคคิโอ เขานึกถึงเจปเปตโต นึกถึงหนังสือเรียนที่ถูกขายไป และนึกถึงคำเตือนของจิ้งหรีดที่เขาเคยละเลยไปอย่างไม่ใส่ใจ

หลังจากสูญเสียเหรียญทองไปกับคำหลอกลวงของจิ้งจอกและแมว พิน็อคคิโอเดินอย่างเหม่อลอยไปตามทางดินที่ทอดยาวผ่านป่า เขารู้สึกทั้งโกรธและเสียใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าความไว้ใจนั้นต้องมีขอบเขต ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ลมเย็นพัดผ่านใบไม้ที่สั่นไหวอย่างน่ากังวล เสียงนกเงียบลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าของพิน็อคคิโอที่ก้าวไปอย่างช้า ๆ ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

เขาเร่งฝีเท้าเพื่อออกจากป่าให้เร็วที่สุด แต่เสียงฝีเท้าสองคู่ก็ดังขึ้นตามหลังเขา “หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงแหลมต่ำดังขึ้นจากเงามืด พิน็อคคิโอหันกลับไป และเห็นชายสองคนในชุดดำ สวมผ้าคลุมปิดหน้า เหลือเพียงดวงตาที่แวววาวด้วยความโลภ “เรารู้ว่าเจ้ามีเหรียญทอง” คนหนึ่งพูดเสียงเย็น พิน็อคคิโอรีบตอบ “ฉันไม่มีแล้ว ฉันถูกหลอกไปแล้ว”

“โกหก” อีกคนคำราม “เราจะค้นตัวเจ้า” พิน็อคคิโอวิ่งหนีสุดแรงเกิด เขาวิ่งผ่านต้นไม้ ผ่านพุ่มไม้ และข้ามลำธารเล็ก ๆ แต่โจรก็ยังตามมาไม่ห่าง ลมหายใจของเขาเริ่มขาดช่วง ขาไม้เริ่มอ่อนแรง และในที่สุด เขาก็สะดุดรากไม้ล้มลงอย่างแรง

โจรทั้งสองเข้ามาจับตัวเขาไว้ พวกมันพยายามค้นตัวเขา แต่ไม่พบอะไรเลย “เจ้าซ่อนมันไว้ที่ไหน” พวกมันถามเสียงกร้าว พิน็อคคิโอร้องไห้ “ฉันไม่มีจริง ๆ” เขาสะอื้นด้วยความกลัว โจรโกรธจัด พวกมันตัดสินใจจะลงโทษเขา “ถ้าเจ้าไม่พูด เราจะทำให้เจ้าหายไปจากโลกนี้” พวกมันพาเขาไปยังต้นไม้ใหญ่กลางป่า ผูกเขาไว้กับกิ่งไม้ และปล่อยให้เขาห้อยอยู่กลางอากาศ

พิน็อคคิโอห้อยอยู่บนกิ่งไม้กลางป่า ร่างของเขาไร้เรี่ยวแรง ดวงตาเริ่มพร่ามัว และความหวังในใจค่อย ๆ จางหายไป เขาไม่รู้ว่าตนเองจะรอดหรือไม่ และไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วย ในความเงียบงันนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากพุ่มไม้ และปรากฏร่างของหญิงสาวผมสีฟ้า สวมชุดยาวสีขาวที่ปลิวไหวตามลม ดวงตาของเธออ่อนโยนและเศร้า เธอเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ แล้วมองพิน็อคคิโอด้วยสายตาเมตตา

“เจ้าหุ่นไม้ที่ดื้อรั้น” เธอกล่าวเสียงนุ่ม “เจ้ากำลังเรียนรู้ว่าความผิดพลาดมีผลอย่างไร” พิน็อคคิโอพยายามพูด แต่เสียงของเขาแผ่วเบา “ฉัน…ฉันเสียใจ” เขากระซิบ นางฟ้ายิ้มบาง ๆ แล้วยกมือขึ้น เพียงชั่วครู่ เชือกที่ผูกพิน็อคคิโอไว้ก็คลายออกอย่างนุ่มนวล เขาร่วงลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย ร่างของเขาแนบกับดินเย็น ๆ และหัวใจของเขาเริ่มเต้นด้วยความหวังที่กลับมาอีกครั้ง

นางฟ้าพาเขาไปยังบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมป่า ภายในอบอุ่น มีเตาผิงที่ให้แสงสว่าง และกลิ่นซุปที่หอมกรุ่น พิน็อคคิโอนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ และรู้สึกถึงความปลอดภัยที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน “ฉันจะดูแลเจ้าให้หายดี” นางฟ้ากล่าว “แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะฟังคำเตือน และเรียนรู้จากความผิดพลาด”

พิน็อคคิโอพยักหน้าเบา ๆ “ฉันจะพยายาม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ความพยายามคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง” นางฟ้าตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ในคืนที่เงียบสงบ พิน็อคคิโอนอนหลับไปด้วยหัวใจที่เริ่มเปลี่ยนแปลง เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดื้อรั้นอีกต่อไป แต่เป็นเด็กที่เริ่มเข้าใจว่า ความรัก ความเมตตา และความรับผิดชอบ คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์

หลังจากพักฟื้นอยู่กับนางฟ้าผมสีฟ้า พิน็อคคิโอก็กลับมามีแรงอีกครั้ง เขารู้สึกเปลี่ยนไปเล็กน้อยในใจ ไม่ใช่เพราะร่างกายดีขึ้น แต่เพราะเขาเริ่มเข้าใจว่าโลกนี้มีทั้งความเมตตาและความโหดร้าย และเขาต้องเลือกว่าจะเป็นแบบใด นางฟ้าจัดเตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้เขา และมอบหนังสือเรียนเล่มใหม่ “เจ้าต้องไปโรงเรียนทุกวัน และตั้งใจเรียน” เธอกล่าว “ถ้าเจ้าทำได้ดี ฉันจะให้รางวัล”

พิน็อคคิโอยิ้มกว้าง “ฉันจะเป็นเด็กดี ฉันสัญญา” เขาตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เช้าวันต่อมา เขาออกเดินไปโรงเรียนด้วยความตั้งใจจริง เขาเดินผ่านทุ่ง ผ่านตลาด และผ่านเสียงล่อลวงที่เคยทำให้เขาหลงทาง แต่ครั้งนี้ เขาไม่หยุด เขาเดินตรงไปยังโรงเรียนด้วยหัวใจที่มั่นคง

แต่ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินกลับบ้าน เขาได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ลูคาวิโอ เด็กชายมีท่าทางซุกซน ใบหน้าขี้เล่น และดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าจะกลับบ้านแล้วหรือ” ลูคาวิโอถาม พิน็อคคิโอตอบ “ใช่ ฉันต้องทำการบ้าน” ลูคาวิโอหัวเราะเบา ๆ “น่าเบื่อจะตาย เจ้ารู้ไหมว่ามีรถม้าเวทมนตร์กำลังจะพาเด็ก ๆ ไปยังดินแดนแห่งความสนุก ที่นั่นไม่มีโรงเรียน ไม่มีครู มีแต่ของเล่นและขนม”

พิน็อคคิโอชะงัก เขารู้สึกหวั่นไหว “จริงหรือ” เขาถาม ลูคาวิโอยิ้มกว้าง “แน่นอน ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ เจ้าจะไปด้วยกันไหม” พิน็อคคิโอลังเล เขานึกถึงนางฟ้า นึกถึงคำสัญญา และนึกถึงเจปเปตโต แต่ความอยากสนุกก็เริ่มครอบงำ “แค่ไปไม่นาน แล้วฉันจะกลับมาเรียนต่อ” เขาคิดในใจ สุดท้าย เขาก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับลูคาวิโอ โดยไม่รู้เลยว่า ดินแดนแห่งความสนุกนั้นไม่ใช่สวรรค์อย่างที่คิด แต่เป็นกับดักที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม

รถม้าเวทมนตร์แล่นผ่านทุ่งกว้างด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่อยู่ข้างใน พิน็อคคิโอนั่งอยู่ข้างลูคาวิโอ ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน รถม้าตกแต่งด้วยริบบิ้นสีสด ลูกโป่งลอยอยู่รอบคัน และกลิ่นขนมหวานลอยมาเป็นระยะ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่โลกแห่งความฝัน

เมื่อถึงดินแดนแห่งความสนุก ทุกอย่างดูเหมือนสวรรค์สำหรับเด็ก มีสวนสนุกขนาดใหญ่ บ้านขนมหวาน ลานเล่นที่เต็มไปด้วยลูกบอลสีสด และไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีครู ไม่มีหนังสือ ไม่มีคำสั่ง พิน็อคคิโอหัวเราะ วิ่งเล่น กินขนม และลืมทุกสิ่งที่เคยสัญญาไว้กับนางฟ้า เขาเล่นทั้งวันทั้งคืน โดยไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

แต่ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังหัวเราะกับลูคาวิโอ เด็กคนหนึ่งร้องขึ้นว่า “เฮ้ ทำไมหูเจ้าถึงยาวขึ้น” พิน็อคคิโอสะดุ้ง เขาเอามือจับหูของตนเอง และพบว่ามันเริ่มยาวขึ้นจริง ๆ หูยาวและนุ่มเหมือนหูลา “ไม่ใช่แค่หูนะ” ลูคาวิโอร้อง “ดูฟันของฉัน มันเหมือนฟันลา” เด็ก ๆ เริ่มแตกตื่น พวกเขาวิ่งไปดูเงาของตนเองในแอ่งน้ำ และพบว่าร่างกายของพวกเขากำลังเปลี่ยนเป็นลา ทีละนิด ทีละน้อย

พิน็อคคิโอรู้สึกกลัว เขาเริ่มเข้าใจว่า ดินแดนแห่งความสนุก ไม่ใช่สถานที่แห่งอิสระ แต่เป็นกับดักที่เปลี่ยนเด็กดื้อให้กลายเป็นสัตว์ที่ไม่มีสิทธิ์เลือก เขาพยายามหนี แต่ร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนไปทุกขณะ ขาเริ่มแข็ง หูยาวขึ้น และเสียงของเขากลายเป็นเสียงร้องแหลม “อี๊อออ” เขาร้องไห้ “ฉันอยากกลับบ้าน ฉันอยากเป็นเด็กดี” แต่ไม่มีใครตอบ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน และเงาของลาอีกหลายตัวที่เคยเป็นเด็กมาก่อน

หลังจากร่างกายของพิน็อคคิโอเปลี่ยนเป็นลาโดยสมบูรณ์ เขาถูกจับใส่กรงพร้อมกับลูคาวิโอและเด็กคนอื่น ๆ ที่กลายเป็นลาเช่นกัน พวกเขาถูกขนไปยังตลาดในเมืองใหญ่ ที่ซึ่งเสียงผู้คนดังอื้ออึง และกลิ่นฝุ่นผสมกลิ่นเหงื่อของสัตว์ลอยคลุ้งในอากาศ พิน็อคคิโอรู้สึกเหมือนถูกแยกออกจากโลกเดิมที่เขาเคยรู้จัก เขาไม่ใช่เด็กที่มีความฝันอีกต่อไป แต่เป็นสัตว์ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า

เจ้าของคณะละครสัตว์ ชายร่างท้วม ใบหน้าหยาบกร้าน และดวงตาแข็งกร้าว เดินเข้ามาดูพิน็อคคิโอ เขาเคาะกรงเบา ๆ แล้วพูด “เจ้าลาตัวนี้ดูฉลาดดี ฉันจะซื้อไว้ใช้แสดงในคณะของฉัน” พิน็อคคิโอถูกขายไปในราคาไม่สูงนัก เขาถูกพาไปยังโรงฝึกที่เต็มไปด้วยเสียงแส้ เสียงตะโกน และเสียงร้องของสัตว์ที่ถูกบังคับให้เชื่อฟัง

เขาถูกฝึกให้เต้นบนขาหลัง กระโดดลอดห่วง และหมุนตัวตามคำสั่ง ทุกครั้งที่เขาทำผิด เขาจะถูกตีด้วยไม้เรียว และทุกครั้งที่เขาร้อง “อี๊อออ” เขาจะถูกหัวเราะเยาะ พิน็อคคิโอเริ่มรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมความสนุกที่เขาเคยเลือกจึงนำเขามาสู่ความทรมานเช่นนี้

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังแสดงต่อหน้าผู้ชม เขาสะดุดล้มกลางเวที ขาหลังของเขาเจ็บจนเดินไม่ได้ เจ้าของคณะโกรธจัด “เจ้าลาไร้ค่า” เขาตะโกนเสียงดัง “ฉันจะขายเจ้าให้โรงงานทำกลอง” พิน็อคคิโอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย เขาไม่ได้เป็นแค่หุ่นไม้ที่หลงทางอีกต่อไป แต่กลายเป็นสัตว์ที่ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก และไม่มีใครเห็นว่าเขาเคยมีหัวใจ

ในคืนที่เงียบงัน พิน็อคคิโอนอนอยู่ในคอกมืด ๆ น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ เขาไม่รู้ว่าตนเองจะรอดหรือไม่ แต่ในใจเขาเริ่มเปล่งเสียงที่เขาเคยละเลย เสียงของจิ้งหรีด เสียงของนางฟ้า เสียงของเจปเปตโต “ฉันอยากกลับไป ฉันอยากเป็นเด็กดี ฉันอยากเป็นลูกชายของพ่ออีกครั้ง” เขาพึมพำเบา ๆ ราวกับคำอธิษฐานที่หลุดออกมาจากหัวใจ

รุ่งเช้า เจ้าของคณะละครสัตว์ตัดสินใจขายพิน็อคคิโอให้กับชายคนหนึ่งที่ทำโรงงานผลิตหนังกลอง “ลาตัวนี้ไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว เอาไปเถอะ จะทำอะไรก็เชิญ” เขาพูดเสียงเย็นชา ชายคนนั้นพาพิน็อคคิโอขึ้นเกวียน แล้วเดินทางไปยังชายฝั่งทะเล ที่นั่นมีเรือเล็ก ๆ รออยู่ เขาวางพิน็อคคิโอลงในเรือ แล้วพายออกไปกลางทะเล

“ฉันจะโยนเจ้าลงน้ำ แล้วเก็บหนังเจ้าไว้ใช้” เขาพึมพำ พิน็อคคิโอรู้สึกถึงความตายอีกครั้ง เขาไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือได้ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีนางฟ้า ไม่มีเจปเปตโต มีเพียงคลื่นทะเลที่ซัดสาดอย่างไร้ความปรานี แต่เมื่อเขาถูกโยนลงน้ำ ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง ขนของลาเริ่มหลุดออก หูยาวหดกลับ และขาเริ่มกลับเป็นไม้ เขากลับกลายเป็นหุ่นไม้อีกครั้ง และสามารถว่ายน้ำได้อย่างประหลาด

กลางทะเลที่มืดและลึก พิน็อคคิโอว่ายหนีออกจากเรืออย่างสุดแรงเกิด แต่เงาดำขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ปลายักษ์อ้าปากกว้างราวกับภูเขา พิน็อคคิโอพยายามหนี แต่ไม่ทัน เขาถูกกลืนเข้าไปในท้องปลายักษ์ ภายในนั้นมืดและชื้น กลิ่นเค็มของทะเลปะปนกับกลิ่นสาหร่ายและเศษไม้ เขาเดินอย่างระวังไปข้างใน และที่นั่น เขาพบชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างตะเกียงน้ำมัน “เจปเปตโต” พิน็อคคิโอร้องเสียงสั่น เจปเปตโตหันมา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา “ลูกของฉัน…เจ้ากลับมาแล้ว”

ภายในท้องปลายักษ์ที่มืดและชื้น เจปเปตโตจุดตะเกียงน้ำมันเล็ก ๆ ที่ให้แสงสว่างเพียงน้อยนิด เขาอาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายวันแล้ว หลังจากเรือของเขาถูกคลื่นซัดแตกกลางทะเล และเขาถูกกลืนโดยปลายักษ์โดยไม่ทันตั้งตัว พิน็อคคิโอเดินเข้าไปใกล้ด้วยน้ำตาในดวงตา “พ่อ… ฉันขอโทษ” เขากล่าวเสียงสั่น เจปเปตโตลุกขึ้นช้า ๆ แล้วโอบกอดพิน็อคคิโอแน่น “ลูกของฉัน… เจ้ากลับมาแล้วจริง ๆ”

ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกันในความมืด เจปเปตโตเล่าเรื่องราวการรอดชีวิตในท้องปลา และความหวังที่ไม่เคยดับลงว่า สักวันหนึ่งเขาจะได้พบลูกชายอีกครั้ง พิน็อคคิโอฟังอย่างเงียบ ๆ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักและความเสียใจ “ฉันทำผิดมากมาย ฉันไม่ฟังคำเตือน ฉันหลงทาง ฉันทำให้พ่อเสียใจ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ เจปเปตโตลูบหัวเขาเบา ๆ “แต่เจ้ากลับมาแล้ว และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด”

พิน็อคคิโอมองไปรอบ ๆ ท้องปลาที่เต็มไปด้วยเศษไม้ เศษเรือ และของใช้ที่ถูกกลืนเข้ามา เขาเริ่มคิด “เราต้องออกไปจากที่นี่” เขากล่าว เจปเปตโตพยักหน้า “ฉันเคยคิดจะจุดไฟเพื่อให้ปลาจามออกมา แต่ฉันไม่มีไม้พอ” พิน็อคคิโอหันไปมองเศษไม้ที่อยู่รอบตัว แล้วพูดว่า “เราจะรวมมัน จุดไฟ และรอให้ปลาจาม เราจะรอดไปด้วยกัน”

ทั้งสองช่วยกันรวบรวมเศษไม้ จุดไฟเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นในท้องปลา ความร้อนเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างของปลายักษ์ มันเริ่มดิ้น และในที่สุด มันก็อ้าปากกว้าง พ่นพิน็อคคิโอและเจปเปตโตออกมาสู่ทะเลอีกครั้ง ทั้งสองลอยอยู่กลางน้ำ แต่ครั้งนี้ พิน็อคคิโอไม่กลัว เขาว่ายน้ำอย่างมั่นใจ พาเจปเปตโตไปยังฝั่งอย่างปลอดภัย

หลังจากรอดชีวิตจากปลายักษ์ พิน็อคคิโอและเจปเปตโตลอยขึ้นฝั่งด้วยความเหนื่อยล้า แต่หัวใจของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข พวกเขากอดกันแน่นริมชายหาดที่เงียบสงบ แสงแดดยามเช้าส่องผ่านเมฆบาง ๆ ราวกับอวยพรให้การเริ่มต้นใหม่ของทั้งคู่เต็มไปด้วยความหวัง “เรากลับบ้านกันเถอะ” พิน็อคคิโอกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง เจปเปตโตพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

เมื่อกลับถึงบ้าน พิน็อคคิโอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาตื่นเช้า ช่วยงานบ้าน ตั้งใจเรียน และพูดจาอ่อนโยนกับทุกคน เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดื้อรั้นอีกต่อไป แต่เป็นเด็กที่มีหัวใจอ่อนโยนและกล้าหาญ เขาเริ่มเข้าใจว่า ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องตอบแทนด้วยการกระทำที่จริงใจ

นางฟ้าผมสีฟ้าปรากฏตัวอีกครั้งในคืนหนึ่ง ขณะที่พิน็อคคิโอกำลังอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงตะเกียง “เจ้าทำได้ดีมาก” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพิสูจน์แล้วว่าเจ้ามีหัวใจของมนุษย์” พิน็อคคิโอเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความตื้นตัน “ฉันไม่ได้อยากเป็นเด็กจริงเพราะอยากเล่นสนุกอีกต่อไป ฉันอยากเป็นเด็กจริงเพื่อจะได้รักพ่ออย่างเต็มหัวใจ”

ทันใดนั้น แสงสีทองอ่อน ๆ ห่อหุ้มร่างของพิน็อคคิโอ ร่างไม้ของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นร่างของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่มีดวงตาเปล่งประกายและหัวใจที่เต้นด้วยความรัก เจปเปตโตตื่นขึ้นมาเห็นภาพนั้น และน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจห้าม “ลูกของฉัน… เจ้ากลายเป็นเด็กจริงแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงสั่น

เมื่อพิน็อคคิโอกลับบ้านในร่างของเด็กจริง เขาไม่ได้เป็นเพียงหุ่นไม้ที่มีชีวิตอีกต่อไป แต่เป็นเด็กชายที่ผ่านบทเรียนแห่งความผิดพลาด ความเจ็บปวด และการให้อภัย เขาเรียนรู้ว่าความรักของเจปเปตโตไม่เคยลดลงแม้ในวันที่เขาหลงทาง และเขาเข้าใจว่า “การเป็นมนุษย์” ไม่ได้เกิดจากเวทมนตร์ แต่จากหัวใจที่กล้ายอมรับความจริง กล้ากลับใจ และกล้ารักอย่างแท้จริง นับจากวันนั้น พิน็อคคิโอไม่ใช่เพียงลูกชายของเจปเปตโต แต่เป็นเด็กที่มีหัวใจงดงามที่สุดคนหนึ่งในโลก

Posted in นิทานตลกก่อนนอน, นิทานพื้นบ้าน, นิทานสอนใจ

นิทานญี่ปุ่น สามคนร้องไห้ : เรื่องเล่าพื้นบ้านสอนใจพร้อมข้อคิด

นิทานเรื่อง “สามคนร้องไห้” เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ที่เล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนานในหมู่ชาวบ้าน แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้แต่งคนใด แต่เนื้อหาของเรื่องสะท้อนอารมณ์ขันและมุมมองชีวิตแบบเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์ของนิทานญี่ปุ่น ซึ่งมักเล่าถึงคนธรรมดาในชีวิตประจำวัน ผ่านเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่กลับสร้างเสียงหัวเราะและข้อคิดที่น่าจดจำ

เสน่ห์ของนิทานประเภทนี้อยู่ที่การใช้ ความเข้าใจผิดและการกระทำเกินเหตุ มาสร้างความสนุกสนานและแฝงข้อคิดให้ผู้อ่านได้เห็นว่า บางครั้งความเศร้าเสียใจหรือความกังวลอาจไม่ได้มีเหตุผลที่แท้จริงเสมอไป แต่เป็นเพียงการ “เผลอไหลตามอารมณ์” เท่านั้น นิทานแนวนี้จึงไม่ได้มุ่งสอนตรง ๆ แต่ใช้เหตุการณ์ชวนขำขันให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ว่า ก่อนจะเชื่อหรือตัดสินสิ่งใด ควรหยุดคิดและมองให้ชัดเจนก่อน

สำหรับเวอร์ชันที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ ได้นำมาเรียบเรียงใหม่นี้ เราตั้งใจถ่ายทอดด้วยภาษาที่อ่านง่าย เห็นภาพ และเข้าใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เนื้อเรื่องยังคงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม แต่เพิ่มเติมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวละครมีมิติและบรรยากาศชัดเจนขึ้น ทำให้นิทานเรื่อง “สามคนร้องไห้” เวอร์ชันนี้ ไม่เพียงแต่สร้างรอยยิ้ม แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณและมองโลกด้วยความเข้าใจมากขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณยายคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ตามลำพัง เพราะลูกชายคนเดียวไปทำงานอยู่ในเมืองที่ห่างไกล

วันหนึ่ง มีจดหมายจากลูกชายของคุณยายส่งมา คุณยายดีใจมาก แต่เพราะคุณยายไม่รู้หนังสือ จึงอ่านจดหมายไม่ได้ พอดีก็ซามูไรคนหนึ่งเดินผ่านมา คุณยายจึงขอร้องให้ซามูไรอ่านจดหมายให้ฟ้ง

“นี่ ๆ ท่านซามูไร ข้าได้รับจดหมายจากลูกชาย แต่ข้าไม่รู้หนังสือ ช่วยอ่านจดหมายให้ข้าทีเถอะ”

คุณยายยื่นจดหมายให้ซามูไร ซามูไรก้มมองจดหมาย สักครู่หนึ่ง เขาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

คุณยายตกใจจึงรีบถามซามูไรว่า “มีข่าวร้ายเขียนไว้เหรอ ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็รับได้ กรุณาอ่านให้ข้าฟังด้วย”

แต่ซามูไรเอาแต่ร้องไห้โดยไม่ยอมปริปากพูด

“มันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากแน่ ๆ” คุณยายคิด จากนั้น คุณยายก็เริ่มร้องไห้บ้าง

ในขณะนั้นเอง มีคนขายหม้อดินคนหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อคนขายหม้อดินเห็นซามูไรและคุณยายกำลังร้องไห้ เขาจึงถามคุณยายว่า “ท่านทั้งสองเป็นอะไรไปเหรอ”

ซามูไรกับคุณยายไม่ตอบ คนขายหม้อดินเห็นจดหมาย จึงหยิบมาดู จากนั้น เขาก็เริ่มร้องไห้

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างแปลกใจที่่เห็นคนทั้งสามร้องไห้ ผู้คนจึงพากันมามุง แล้วถามไถ่ว่า “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ถ้าลำบากหรือติดขัดตรงไหน พวกเราจะช่วยเอง”

คนขายหม้อดินจึงพูดว่า “เมื่อปีก่อน ข้าไปขายหม้อดิน ระหว่างทาง ข้าหกล้มทำให้หม้อดินแตกหมด ข้าเสียใจมาก แต่ก็ยุ่งมากจนลืมร้องไห้ พอมาเห็นสองคนนี้ร้องไห้ ข้าจึงนึกขึ้นได้ถึงความเสียใจที่ข้าลืมไปแล้ว ดังนั้น ข้าก็เลยร้องไห้ยังไงล่ะ”

“อะไรนะ ร้องไห้ด้วยเหตุแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ” ผู้คนมองคนขายหม้อดินด้วยความระอาใจ จากนั้น พวกเขาก็ถามคุณยายว่า “แล้วคุณยายร้องไห้ทำไม”

คุณยายกลั้นน้ำตา แล้วตอบไปว่า “ในตอนแรก ข้าได้จดหมายจากลูกชายที่ไปทำงานในที่ที่ไกลมาก แต่ข้าอ่านหนังสือไม่ออก เลยให้ซามูไรท่านนี้อ่านให้ แต่พอซามูไรท่านนี้ก้มมองจดหมายได้ครู่เดียว ท่านซามูไรก็ร้องไห้ ข่าวคราวในจดหมายต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ ๆ พอคิดแบบนั้น ข้าก็เลยกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่”

“อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ผู้คนทั้งหลายเพิ่งเข้าใจ จากนั้น พวกเขาก็พูดกับซามูไรว่า “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ท่านซามูไรช่วยหยุดร้องไห้เถิด แล้วบอกคุณยายกับพวกเราให้รู้หน่อยว่า ในจดหมายเขาเขียนว่าอะไรบ้าง”

ซามูไรปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองมายังทุก ๆ คน จากนั้น เขาก็บอกว่า “ที่ข้าร้องไห้ ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวคราวในจดหมาย แต่พอดีข้านึกถึงสมัยที่ข้ายังเด็ก ตอนเด็ก…ข้ายังอ่านหนังสือไม่ได้เพราะเป็นคนที่ไม่ขยันเรียน ตอนนั้นข้าจำได้ว่า..ข้าเจ็บใจที่ตัวเองอ่านหนังสือไม่ได้ พอนึกถึงความหลังก่อนที่จะมาขยันเรียนหนังสือ ข้าก็เลยร้องไห้ออกมา”

“อะไรนะ ร้องไห้ด้วยเหตุแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ” ทุกคนทำหน้าระอาใจ

ซามูไรหัวเราะแหะ ๆ จากนั้น เขาก็อ่านจดหมายของลูกชายคุณยายให้คุณยายฟังว่า “ลูกสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ใกล้จะได้กลับบ้านในเร็ววันนี้แล้ว แล้วจะหาของไปฝากแม่ด้วยนะ”

ในที่สุด เรื่องราวก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

  • ก่อนจะเศร้าหรือกังวลในเรื่องใด ๆ ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน
  • บางครั้งอารมณ์ก็ทำให้เราคิดปรุงแต่งหรือตัดสินใจผิดโดยไม่มีเหตุผลรองรับ
  • การมีสติไตร่ตรอง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่หลงเชื่อหรือเข้าใจผิดอะไรง่าย ๆ
Posted in #นิทานตลก, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

บทสวดหนู – นิทานญี่ปุ่นก่อนนอนแสนสนุก

“บทสวดหนู” (ねずみきょう – Nezumi-kyō) เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่นที่เล่าต่อกันมาในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบทที่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างพุทธศาสนาและชินโต เรื่องราวของคุณยายผู้ศรัทธาในศาสนา แม้ไม่รู้บทสวดมนต์ ก็ยังตั้งใจภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จนวันหนึ่งได้พบพระหลงทางที่จำบทสวดไม่ได้ จึงสวดมนต์ด้นสดโดยใช้เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นแรงบันดาลใจ กลายเป็นบทสวดแปลก ๆ ที่ฟังดูขบขันแต่กลับมีพลังปกป้องคุณยายจากภัยร้ายอย่างเหลือเชื่อ

จุดเด่นของนิทานเรื่องนี้อยู่ที่การผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันและความศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ ตัวละครมีความน่ารักและมีมิติ โดยเฉพาะคุณยายที่แม้จะไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง แต่กลับมีจิตใจที่เปี่ยมด้วยความตั้งมั่นและเมตตา บทสวดที่ดูไร้สาระในสายตาของบางคน กลับกลายเป็นเครื่องป้องกันภัยจากโจรผู้ไม่รู้จักธรรมะ เป็นการสะท้อนว่า “ศรัทธา” ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ความจริงใจและความตั้งใจในการปฏิบัติ

ในฉบับภาษาไทยที่เรียบเรียงใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มเติมสีสันของภาษาและอารมณ์ขันให้เหมาะกับผู้อ่านไทย โดยยังคงเคารพโครงเรื่องและเจตนารมณ์ของนิทานต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การใช้ภาษาสวดมนต์แบบด้นสดที่มีจังหวะและเสียงที่ฟังแล้วขบขัน ช่วยให้เด็ก ๆ และผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านได้หัวเราะและไตร่ตรองไปพร้อมกัน นิทานเรื่องนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการอ่านในครอบครัว หรือใช้เป็นสื่อเสริมสร้างคุณธรรมในห้องเรียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณยายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ บนภูเขาตามลำพัง คุณยายเป็นคนที่เลื่อมใสในศาสนามาก ทุกเย็น คุณยายจะนั่งพนมมืออยู่ที่หน้าหิ้งพระ ทั้ง ๆ ที่คุณยายไม่รู้จักบทสวดมนต์เลยแม้สักนิด

วันหนึ่ง มีพระ (ในศาสนาชินโต) รูปหนึ่งหลงทางผ่านมาและกำลังลำบาก พระจึงเอ่ยปากขออาศัยที่บ้านของคุณยายหนึ่งคืน เพราะการเดินทางบนภูเขาในยามดึกคงเป็นเรื่องที่อันตรายมากเกินไป

คุณยายนิมนต์พระเข้ามาในบ้านด้วยความยินดี จากนั้น คุณยายก็ขอให้พระ ช่วยสอนถ้อยคำในบทสวดมนต์ให้คุณยายได้รู้

พระหลงทางรูปนั้นเป็นผู้บวชที่มีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ใส่ใจการภาวนาหรือกิจของพระสงฆ์อย่างที่ควรปฏิบัติ พระหลงทางจึงจำบทสวดไม่ได้ ดังนั้น พระหลงทางจึงต้องทำทีไปนั่งที่หน้าหิ้งพระ แล้วหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ในขณะนั้น พระหลงทางมองเห็นหนูตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากรูที่ผนังบ้าน พระหลงทางจึงแสร้งสวดมนต์ออกมาด้วยสำเนียงการสวดแบบโบราณที่ยานคางแต่เข้มขลังว่า “นะ…..โม…..ตัส….สะ….หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ”

ทันใดนั้น หนูตัวที่สองก็โผล่ออกมาอีก พระจึงสวดมนต์ต่อไปว่า “ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ”

ฉับพลัน หนูตัวที่สามก็โผล่ออกมาอีก พระหลงทางจึงสวดมนต์ต่อไปว่า “ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่….ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ ”

เมื่อท่องบทสวดมนต์จบ 3 รอบ พระหลงทางต้องการไล่หนูเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน พระจึงตะคอกเสียงดังว่า “ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ สา……ธุ สา….ธุ สา…..ธุ”

พระหลงทางกำชับให้คุณยายสวดมนต์ตามนี้ คุณยายดีใจที่ได้รู้บทสวดมนต๋เสียที หลังจากพระลาจากไปแล้ว คุณยายจึงท่องบทสวดมนต์ทุกวันทั้งเช้าและเย็นเมื่อมาอยู่ที่หน้าหิ้งพระ

เย็นวันหนึ่ง มีโจร 3 คนแอบย่องเข้ามาที่บ้านของคุณยาย ซึ่งในขณะนั้น คุณยายกำลังท่องบทสวดมนต์อยู่ที่หน้าหิ้งพระอยู่พอดี

เมื่อโจรคนแรกชะโงกเข้าไปดูและเห็นยายนั่งหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ จู่ ๆ คุณยายที่กำลังสวดมนต์ก็เปล่งเสียงออกมาเป็นทำนองสวดซึ่งฟังดูแปลกหูและน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยว่า ” “นะ….โม….. ตัส….สะ…. หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ”

โจรทั้งแปลกใจทั้งตกใจ เขาไม่แน่ใจว่ายายที่หันหลังอยู่พูดว่าอะไร แต่ในขณะที่โจรคนที่สองชะโงกหน้าเข้ามา คุณยายก็เปล่งเสียงออกมาพอดีว่า “ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ”

โจรทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ และเมื่อโจรคนที่สามชะโงกหน้าเข้ามา คุณยายก็เปล่งเสียงออกมาพอดีว่า “ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่…..ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ ”

โจรทั้งสามคนตกใจและคิดปรุงแต่งไปว่า ยายแก่ที่อาศัยในบ้านบนภูเขาตามลำพังคนนี้ คงไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะดูเหมือนว่ายายจะมี “ตาที่สาม” อยู่ที่ด้านหลัง ทำให้เห็นว่าใครเข้ามาในบ้านบ้าง

ในขณะที่โจรทั้งสามกำลังตื่นกลัวกันอยู่นั้น คุณยายก็สวดมนต์ตามที่พระสอน โดยตะคอกเสียงดังว่า “ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ”

เมื่อโจรทั้งสามได้ฟัง พวกโจรก็ตกใจจนขาสั่น จากนั้น โจรทั้งสามก็พากันวิ่งหนีออกจากบ้านของคุณยายไปแบบไม่คิดชีวิต

ฝ่ายคุณยายซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เมื่อท่องบทสวดตามที่พระสอนแล้ว คุณยายก็ปิดท้ายการสวดมนต์อย่างอิ่มใจว่า “สา……ธุ สา….ธุ สา…..ธุ” และแล้ว เรื่องราวของคุณยายและบทสวดมนต์แปลก ๆ นี้ ก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

  • ศรัทธาที่บริสุทธิ์ แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็สามารถปกป้องและนำพาสิ่งที่ดีงามมาสู่ชีวิตได้
  • ความกลัว มักเกิดจากการคิดและปรุงแต่งไปเกินความจริง

Posted in #นิทานอมตะ, นิทานกริมม์, นิทานสอนใจ

เจ้าชายติ๋มติ๋ม – นิทานกริมส์ The Queen Bee ฉบับเรียบเรียงใหม่

นิทานเรื่อง The Queen Bee หรือที่รู้จักกันว่า “ราชินีผึ้ง” เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ (Grimm’s Fairy Tales) ที่ถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมส์ในศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดเรื่อง “ความอ่อนโยน เมตตา และความนอบน้อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของความกล้าหาญที่มักถูกยกย่องในนิทานยุโรปโบราณ จุดเด่นของเรื่องคือการที่ตัวละครเอก ไม่ได้ใช้กำลังหรือความห้าวหาญเอาชนะอุปสรรค แต่กลับใช้หัวใจที่อ่อนโยนต่อสัตว์และสิ่งเล็กน้อยรอบตัว จนได้รับความช่วยเหลือและสามารถแก้คำสาปได้สำเร็จ

นิทานกริมส์หลายเรื่องถูกเล่าในโครงสร้างคล้ายกัน เช่น The Golden Goose (ห่านทองคำ), The Three Feathers (ขนนกสามเส้น) หรือ The Simpleton (เจ้าชายซื่อ) ซึ่งล้วนสะท้อนมุมมองว่า “คนที่ดูอ่อนแอหรือถูกมองข้าม” มักจะเป็นผู้ไขปริศนาหรือทำภารกิจสำเร็จ เรื่องเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบของ “นิทานอมตะ” ที่คนทั่วโลกจดจำ เพราะนอกจากจะมีความแฟนตาซีและปริศนาแล้ว ยังให้ข้อคิดเรื่องความดีงามที่ซ่อนอยู่ในตัวคนธรรมดา

ในเวอร์ชันเรียบเรียงใหม่ เว็บไซต์ นิทานนำบุญ พยายามคงโครงเรื่องและอารมณ์ตามต้นฉบับเดิมไว้ แต่เพิ่มการตีความใหม่ให้สอดคล้องกับภาษาและวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่น แต่เดิมในฉบับแปลไทยมักใช้คำว่า “เจ้าชายซื่อ” แต่ในการตีความครั้งนี้เลือกใช้คำว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ” เพราะคำว่า “ติ๋ม ๆ” ในภาษาไทยสื่อถึงคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน ไม่โลดโผน และอาจถูกมองว่าเชื่องช้า ไม่ทันคน แต่แท้จริงแล้วสะท้อนบุคลิกที่สงบและเมตตา ซึ่งสอดคล้องกับแก่นแท้ของนิทานกริมส์เรื่องนี้มากกว่า การเรียบเรียงใหม่จึงไม่ใช่เพียงการแปลแบบตรงตัว แต่เป็นการ “ทำความเข้าใจ” ความหมายดั้งเดิม และถ่ายทอดออกมาในแบบที่ผู้อ่านชาวไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระโอรสอยู่สามพระองค์ เจ้าชายองค์โตเป็นคนห้าวหาญและชอบความท้าทาย เจ้าชายองค์รองมีนิสัยคล้ายพี่ชาย คือ ชอบผจญภัยและไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนเจ้าชายองค์เล็กกลับมีนิสัยที่แตกต่าง คือพระองค์เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน และมีจิตใจเมตตาต่อสัตว์ จนผู้คนแอบตั้งสมญาให้เจ้าชายว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ”

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายองค์โตกับเจ้าชายองค์รองทรงออกเดินทางเพื่อผจญภัย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติแต่การเดินทางนี้ ทั้งคู่หายไปนานโดยไม่ส่งข่าวกลับมา ทำให้พระราชาทรงเป็นกังวล พระราชาจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายองค์เล็กออกติดตาม

เมื่อเหล่าเสนาบดีได้ทราบพระบัญชา เสนาบดีต่างก็ซุบซิบกันว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ คงไม่มีทางตามตัวพี่ชายทั้งสองได้แน่ หนำซ้ำยังอาจเอาตัวไม่รอดจากป่า”

แม้เจ้าชายองค์เล็กจะได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่พระองค์ก็ไม่เสียกำลังใจ เพราะพระองค์เชื่อว่า เจ้าชายที่มีนิสัยอย่างพระองค์ก็สามารถทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ไม่ต่างจากคนอื่น

เจ้าชายองค์เล็กออกเดินทางโดยใช้ความกล้าหาญ ความอ่อนน้อม และหัวใจที่ดีงามเป็นเกราะคุ้มครองตัว พระองค์เลือกเดินตามเส้นทางที่พี่ชายเคยเปรยไว้ และค่อย ๆ สอบถามชาวบ้านด้วยความสุภาพ คำพูดที่อ่อนโยนและสายตาที่จริงใจ ทำให้ผู้คนยินดีให้เบาะแส จนพระองค์ตามตัวพี่ชายทั้งสองได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์รองเห็นน้องเล็กตามมา ต่างก็ประหลาดใจ แต่ลึก ๆ แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็แอบภูมิใจในตัวน้อง ครั้นเมื่อเจ้าชายองค์เล็กขอให้พี่ทั้งสองรีบกลับวังตามพระบัญชา พี่ชายทั้งสองได้บอกว่า ยังมีภารกิจที่ปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งอยากทำมาก ๆ หากทำสำเร็จแล้วก็จะกลับแต่โดยดี

เจ้าชายองค์เล็กเห็นว่าคงพาพี่ชายกลับวังในทันทีไม่ได้ จึงขอติดตามไปด้วย โดยตั้งใจที่จะเตือนให้พี่ชายกลับวังเมื่อภารกิจสิ้นสุด

เจ้าชายองค์โตและองค์รองไม่ขัดข้องที่น้องเล็กจะร่วมเดินทาง แต่ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเจ้าชายองค์เล็กอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็แกล้งถามว่า “เจ้าจะกลัวเสียงนกกลางคืนไหม” บางครั้งก็แกล้งให้เดินนำในทางรก เจ้าชายองค์เล็กไม่โต้ตอบ ได้แต่ยิ้มและเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ เพราะพระองค์รู้ดีว่า พี่ชายทั้งสองหยอกพระองค์ด้วยความรัก

วันหนึ่ง เจ้าชายทั้งสามเดินผ่านเนินดินที่มีฝูงมดตัวเล็ก ๆ กำลังขนไข่ของพวกมันอย่างขะมักเขม้นเจ้าชายองค์โตหัวเราะแล้วพูดว่า “ลองเหยียบรังมันดูสิ จะได้เห็นพวกมันวิ่งกันวุ่น” เจ้าชายองค์เล็กรีบยกมือห้าม “อย่ารบกวนพวกมันเลย ปล่อยให้พวกมันอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์โตชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้น ก็ยอมเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังมด

อีกวันหนึ่ง พวกเขาเดินผ่านทะเลสาบที่เงียบสงบ มีฝูงเป็ดว่ายน้ำอย่างสบายใจ เจ้าชายองค์รองพูดขึ้นว่า “จับมาสักสองตัวไปย่างกินกันเถอะ” เจ้าชายองค์เล็กส่ายหน้า “อย่าฆ่าพวกมันเลย ให้พวกมันว่ายน้ำอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์รองถอนใจ “เจ้าช่างอ่อนโยนเกินไป” แต่ก็ยอมถอยห่างจากฝูงเป็ด

เมื่อเดินทางต่อไปอีก เจ้าชายทั้งสามก็พบต้นไม้ใหญ่ที่มีรังผึ้งอยู่เต็มโพรง น้ำผึ้งไหลลงมาตามลำต้นจนชวนให้ลิ้มลอง เจ้าชายองค์โตพูดขึ้นว่า “จุดไฟรมควันเถอะ จะได้เอาน้ำผึ้งมากิน” แต่เจ้าชายองค์เล็กยืนขวาง “อย่าทำลายบ้านของพวกมันเลย ปล่อยให้ผึ้งอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายทั้งสองมองหน้ากันอย่างเสียดาย แต่ก็วางไฟลง และเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังผึ้ง

เมื่อเจ้าชายทั้งสามเดินทางมาถึงปราสาทกลางหุบเขา ซึ่งเป็นจุดหมายของเจ้าชายองค์โตและองค์รอง พวกเขายืนอยู่หน้าประตูหินสูงใหญ่ที่ปิดสนิท เจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์ทรงร้องตะโกนเรียกให้ผู้ที่อยู่ด้านในเปิดประตูด้วยน้ำเสียงห้าวหาญราวกับเป็นการออกคำสั่ง แต่ไม่ว่าเจ้าชายจะตะโกนดังสักเพียงใด ประตูก็ยังคงปิดอยู่เช่นนั้น เจ้าชายองค์เล็กจึงก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ขออภัยเถิด หากเป็นไปได้ พวกเราอยากขอเข้าไปพักในปราสาทได้ไหม” เสียงพูดที่นอบน้อมของเจ้าชายองค์เล็กไม่ได้ดังมากนัก แต่มันกลับก้องกังวาลอยู่ในความเงียบ และเพียงครู่เดียว ประตูปราสาทก็ค่อย ๆ เปิดออก

ทันทีที่ประตูเปิด เจ้าชายทั้งสามก็เห็นชายชราร่างเล็กนั่งอยู่ในห้องโถงตามลำพัง ชายชราไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำเจ้าชายทั้งสามไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้อย่างเรียบง่าย และหลังอาหาร ชายชราก็พาเจ้าชายแต่ละพระองค์ไปยังห้องพักโดยไม่เอ่ยคำใด

เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชราพาเจ้าชายทั้งสามไปยังลานหินหน้าปราสาท ที่นั่นมีแผ่นหินสลักข้อความไว้ว่า “ผู้ใดต้องการถอนคำสาปของปราสาทนี้ ต้องทำภารกิจสามอย่างให้สำเร็จ หากล้มเหลว จะถูกสาปให้กลายเป็นหิน” ชายชราอธิบายเงื่อนไขอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้อหนึ่ง จงเก็บไข่มุกพันเม็ดในป่าให้ครบก่อนพระอาทิตย์ตก ข้อสอง จงนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ ข้อสาม จงเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงจากเจ้าหญิงสามองค์ที่หน้าตาเหมือนกัน ผู้ที่เข้าร่วมในภารกิจเหล่านี้ หากทำสำเร็จก็จะได้รับรางวัล แต่หากทำไม่สำเร็จ ก็จะถูกสาปให้กลายเป็นหินตลอดกาล”

เจ้าชายองค์โตเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยาก จึงตัดสินใจทำภารกิจแรก โดยพระองค์ออกเดินเข้าไปในป่าอย่างมั่นใจ แต่เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์กลับเก็บไข่มุกได้เพียงหนึ่งร้อยเม็ดเท่านั้น ร่างของพระองค์จึงแข็งทื่อ และกลายเป็นหินอยู่กลางป่า

เจ้าชายองค์รองอยากช่วยพี่ชาย วันต่อมา เจ้าชายองค์รองจึงขอลองทำภารกิจเดียวกัน ซึ่งเมื่อพระองค์ออกไปค้นหาไข่มุก และพยายามเร่งมืออย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุด เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พระองค์ก็ยังทำไม่สำเร็จ ร่างของพระองค์จึงกลายเป็นหินอยู่ข้างพี่ชาย

เจ้าชายองค์เล็กมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร วันต่อมา พระองค์ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ คิดว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำภารกิจได้สำเร็จเพื่อที่จะช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากการกลายเป็นหินได้ แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ ๆ ฝูงมดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็กรูกันออกมา พวกมันช่วยกันค้นหาไข่มุกอย่างขะมักเขม้น มดตัวเล็ก ๆ วิ่งไปทั่วพื้นป่า คาบไข่มุกทีละเม็ดมาวางรวมกัน และก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เจ้าชายก็ได้ไข่มุกจำนวนหนึ่งพันเม็ดโดยที่พระองค์ไม่ต้องออกแรงเลย

หลังจากภารกิจแรกสำเร็จ วันต่อมา เจ้าชายองค์เล็กได้ไปยังทะเลสาบใสกลางหุบเขาเพื่อทำภารกิจที่สองคือ การนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ เมื่อไปถึงทะเลสาป เจ้าชายยืนครุ่นคิดหาวิธีเก็บกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบอยู่เงียบ ๆ แต่ทันใดนั้นเอง ฝูงเป็ดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็ว่ายน้ำเข้ามา จากนั้น พวกมันก็ผลัดกันดำน้ำอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุด เป็ดตัวหนึ่งก็พบกุญแจทองคำ และนำขึ้นมาให้เจ้าชาย

หลังจากเจ้าชายนำกุญแจทองคำไปไขหีบสมบัติที่ปราสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายชราก็พาเจ้าชายองค์เล็กไปยังห้องลับของปราสาท ซึ่งที่นั่นมีเจ้าหญิงสามองค์นอนหลับอยู่บนเตียงเรียงกัน และใบหน้าของเจ้าหญิงทั้งสามก็เหมือนกันทุกประการ ภารกิจสุดท้ายที่เจ้าชายต้องทำก็คือ การเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงให้ถูกต้อง ถ้าหากเลือกผิด ทุกสิ่งที่เจ้าชายทำมาก็จะสูญเปล่า

เจ้าชายองค์เล็กยืนลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก่อนที่เจ้าชายจะต้องตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีผึ้งตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องลับแห่งนั้น แล้วค่อย ๆ โบยบินไปเกาะลงที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง เหมือนจงใจที่จะบอกให้เจ้าชายได้รู้ว่าใครคือเจ้าหญิงตัวจริง

เจ้าชายองค์เล็กมองผึ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น จากนั้น พระองค์ก็ชี้ไปยังเจ้าหญิงตามที่ผึ้งบอกใบ้

ทันใดนั้น ประกายแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นในห้อง แล้วเจ้าหญิงทั้งสามก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ส่วนเจ้าชายทั้งสององค์ที่กลายเป็นหินก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จ ปราสาทที่เคยเงียบงันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แสงสว่างสาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง เสียงหัวเราะของผู้คนเริ่มกลับมา และดอกไม้ในสวนก็ผลิบานรับแสงอรุณ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จและสามารถช่วยพี่ชายทั้งสองได้ เจ้าชายทั้งสามก็พากันเดินทางกลับสู่พระราชวังทันที

เมื่อเจ้าชายทั้งสามกลับถึงพระราชวัง พระราชาทรงดีใจมาก และยิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ทราบว่า เจ้าชายองค์เล็กที่หลายคนมองว่าเป็นเจ้าชายติ๋มติ๋ม แต่พระองค์คือผู้ที่ทำภารกิจสำคัญได้สำเร็จ ทั้งยังเป็นผู้ที่ช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากอันตราย พระราชามีรับสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองทั่วทั้งแผ่นดิน

ตั้งจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าชายองค์เล็กก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในแผ่นดิน และบุคลิกของพระองค์ก็ทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของคนที่อ่อนโยนไม่แพ้คนที่มีความห้าวหาญ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความอ่อนโยนและเมตตา อาจนำมาซึ่งพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าความแข็งแกร่ง
  • อย่าดูถูกคนที่ดูเรียบง่ายหรือไม่โดดเด่น เพราะพวกเขาอาจทำสิ่งสำคัญได้
  • การช่วยเหลือสิ่งเล็กน้อยในวันนี้ อาจกลายเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่ในวันหน้า
  • ความดี ความสุภาพ และความจริงใจ คือกุญแจไขปริศนาและอุปสรรคทั้งปวง


Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

นิทานกริมส์: ชายซื่อตรงกับหงส์ทองคำ | นิทานก่อนนอนสำหรับเด็ก

นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี โดยปรากฏในชุดนิทานของพี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ซึ่งเป็นนักสะสมและเรียบเรียงนิทานพื้นบ้านที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้มีชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมันว่า “Die goldene Gans” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “หงส์ทองคำ” แต่ในฉบับภาษาอังกฤษกลับมีชื่อหลากหลาย เช่น The Golden Goose หรือ The Simpleton ซึ่งเน้นไปที่ตัวละครเอกที่เป็นคนซื่อและถูกดูแคลน ความหลากหลายของชื่อเรื่องในแต่ละภาษา ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในบางครั้ง เช่น บางฉบับเน้นหงส์ทองคำเป็นสิ่งวิเศษ บางฉบับกลับเน้นตัวละคร “ชายซื่อบื้อ” ที่กลายเป็นผู้ชนะอย่างไม่คาดคิด

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในกลุ่มนิทานแนว “ซื่อตรงแล้วได้ดี” หรือ “คนดีมีโชค” ซึ่งเป็นโครงเรื่องที่พบได้บ่อยในนิทานยุโรป โดยเฉพาะใน Grimm’s Fairy Tales เช่นเดียวกับเรื่อง Hans in Luck, The Three Brothers, หรือ The Queen Bee นิทานแนวนี้มักมีตัวเอกที่ถูกดูแคลนในตอนต้น แต่ด้วยความเมตตา ความกล้าหาญ หรือความซื่อแท้ ๆ ทำให้เขาได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในท้ายเรื่อง นิทานประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ เพราะให้ความหวังและปลอบโยนว่า “ความดีไม่สูญเปล่า” และ “โชคชะตาอาจพลิกผันได้เสมอ”

ในการเรียบเรียงนิทานครั้งนี้ เราเลือกใช้ชื่อว่า “ชายซื่อตรงกับหงส์ทองคำ” เพื่อรักษาแก่นแท้ของเรื่องและให้ความเคารพต่อชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมัน ขณะเดียวกันก็ใช้ภาษาที่อ่อนโยนและเข้าใจง่ายสำหรับผู้อ่านไทย โดยเฉพาะเด็ก ๆ และผู้ปกครองที่อยากอ่านนิทานก่อนนอน เราปรารถนาให้นิทานเบา ๆ เรื่องนี้เป็นพื้นที่แห่งความสุข ความขำขัน และความอบอุ่นใจ ที่จะช่วยปลุกจินตนาการและปลอบโยนหัวใจในยามค่ำคืน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงชราผู้ยากจนคนหนึ่ง มีลูกชายสามคน พี่สองคนแรกฉลาดหลักแหลมและขยันขันแข็ง ส่วนคนเล็กกลับซื่อ ๆ ที่ไม่ค่อยทันใคร ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ ผู้คนต่างเรียกเขาว่า “เจ้าคนซื่อบื้อ”

วันหนึ่ง หญิงชราอยากกินแพนเค้ก แต่ในบ้านไม่มีน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมไว้ราด หญิงชราจึงสั่งลูกชายคนโตให้ไปป่าเพื่อตามหาน้ำผึ้ง

ลูกชายคนโตจึงออกเดินทางจนถึงป่าลึก เขาพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากในลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้บอกว่า หากเขาต้องการน้ำผึ้ง ต้องเปิดโพรงและดูข้างในเสียก่อน แต่ชายหนุ่มเกิดกลัวขึ้นมา คิดว่าคำพูดของต้นไม้นั้นเป็นสิ่งประหลาดอันตราย เขาจึงหนีเตลิดกลับบ้านมือเปล่า

หญิงชราจึงสั่งลูกชายคนกลางให้ไปแทน เขาจึงออกเดินทางเข้าป่าจนไปถึงต้นไม้ต้นเดียวกัน ต้นไม้พูดประโยคเดียวกันกับที่บอกพี่ชายคนโต แต่ชายหนุ่มหวาดหวั่น เขาคิดว่ามีภูตผีหรือปีศาจอยู่ในนั้น เขาจึงรีบวิ่งหนีกลับบ้าน

ในที่สุด เจ้าคนซื่อบื้อก็อาสาจะไปบ้าง แม่กับพี่ชายหัวเราะเยาะ “คนซื่อบื้ออย่างเจ้า ไปแล้วจะได้อะไรกลับมา”

แต่เจ้าคนซื่อบื้อก็ยืนยันที่จะไป เมื่อเขาเดินทางไปถึงต้นไม้และได้ยินเสียงพูด เขาไม่ได้กลัวเลย ตรงกันข้าม ด้วยความซื่อของเขา เขาจึงทำตามคำพูดที่ได้ยิน โดยเปิดโพรงไม้ออก และพบว่ามี หม้อทองคำ ซึ่งมีเหรียญทองคำซ่อนอยู่เต็มไปหมด เขาดีใจมาก จึงในใจว่า “ถ้าแม่และพี่ชายทั้งสองได้เห็น ทุกคนคงตะลึงแน่ ๆ”

ระหว่างทางกลับบ้าน เจ้าคนซื่อบื้อได้พบกับทหารสามคนที่กำลังเดินทางอย่างยากลำบาก เจ้าคนซื่อบื้อจึงแบ่งทองให้พวกเขา และพูดด้วยความซื่อว่า “ทองคำเหล่านี้ข้าเพิ่งได้มาจากป่า เอาไปเถิด ท่านทั้งหลาย” ทหารทั้งสามปลื้มใจ และสาบานว่าจะติดตามรับใช้เจ้าซื่อบื้อไปทุกที่

ในเวลาไม่นาน ข่าวเรื่องชายหนุ่มผู้ค้นพบหม้อทองคำก็แพร่สะพัดไปถึงหูพระราชา พระราชาเห็นว่าน่าสนใจดี จึงให้ทหารไปเรียกเจ้าคนซื่อบื้อเข้ามาหาในวัง แต่ขุนนางทั้งหลายต่างพากันคัดค้าน เพราะเจ้าคนซื่อบื้อไม่น่ามีอะไรที่คู่ควรจะมาพูดคุยกับพระราชาเลยแม้สักนิด พระราชาจึงจำใจต้องหาเรื่องทดสอบเจ้าคนซื่อบื้อ ซึ่งหากทำได้ เขาก็คงเหมาะสมที่จะได้พบกับพระองค์โดยที่ไม่มีใครคัดค้านอีก ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงสั่งให้เจ้าคนซื่อไปนำหงส์ทองคำที่อาศัยอยู่ในป่าลึกมาถวาย และหากทำได้ พระองค์ก็จะมอบรางวัลให้ตามที่ใจปรารถนา

เมื่อเจ้าคนซื่อบื้อได้ฟังคำสั่งของพระราชา เจ้าคนซื่อบื้อกับทหารทั้งสามจึงออกเดินทางเข้าไปในป่าแบบ “ไม่คิดมาก” และด้วยโชคชะตากับความช่วยเหลือของทหารทั้งสาม เจ้าคนซื่อบื้อจึงสามารถนำหงส์ทองคำกลับมาได้

เมื่อเจ้าคนซื่อบื้อพาหงส์ทองคำตัวใหญ่เข้ามาในเมือง ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจ จนอดใจขอแตะขนที่ตัวของหงส์ไม่ได้

เมื่อชาวบ้านแตะหงส์ มือที่แตะ ก็ติดแน่น จนไม่สามารถดึงมือออกมาได้ พอเด็ก ๆ เห็น เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะ แล้วพยายามดึงหงส์ให้หลุดออกจากมือ แต่นั่นก็ทำให้เขาติดกับหงส์ไปด้วย พอหญิงสาวเดินผ่านและเห็นเช่นนั้น เธอก็หัวเราะ แต่เมื่อเธอพยายามจะช่วย มือของเธอก็ติดเข้าไปด้วย จนในที่สุด ขบวนของเจ้าคนซื่อบื้อที่เข้ามาในวังจึงมีทั้งหงส์ทองคำและผู้คนที่พ่วงตามมาด้วยอีกยาวเหยียด

เมื่อเจ้าหญิงผู้ไม่เคยยิ้มเห็นภาพเหตุการณ์ตลก ๆ ที่เกิดขึ้น เจ้าหญิงก็เผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งนั่นทำให้พระราชาถึงกับตะลึง เพราะนี่คือครั้งแรกที่พระธิดาหัวเราะอย่างมีความสุข

ตามสัญญา พระราชาจะต้องมอบรางวัลให้เจ้าคนซื่อบื้อตามที่ใจปรารถนา เพราะเขานำหงส์ทองมาถวายได้สำเร็จ เจ้าคนซื่อบื้อซึ่งเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึก มองเห็นเจ้าหญิงที่ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข เขาเห็นว่าเจ้าหญิงทั้งสวยและน่ารัก เขาจึงขอ “ขอเจ้าหญิงเป็นรางวัล” แบบซื่อ ๆ

พระราชาพูดแล้วคืนคำไม่ได้ ดังนั้น พระองค์จึงตั้งให้เจ้าคนซื่อบื้อเป็นราชบุตรเขย ทำให้พี่ชายทั้งสองคนได้แต่ยืนอิจฉา

แม้เจ้าคนซื่อบื้อจะถูกหัวเราะเยาะมาตลอดชีวิต แต่ด้วยซื่อตรงกับความรู้สึกนึกคิดและจิตใจที่ดีงาม เขาจึงได้รับรางวัลที่ไม่มีใครคาดคิด

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความซื่อและเมตตาอาจดูธรรมดา แต่เป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตได้
  • อย่าดูถูกคนที่ดูไม่เก่ง เพราะคุณค่าที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย
Posted in นิทานสยองขวัญ, วรรณกรรมคลาสสิก, เรื่องเล่าก่อนนอนผู้ใหญ่

แดรกคูลา : นิทานผีสยองขวัญจากวรรณกรรมคลาสสิก

นิทานเรื่องนี้เรียบเรียงจากวรรณกรรมคลาสสิกระดับโลก Dracula เขียนโดย Bram Stoker นักเขียนชาวไอริช ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1897 ถือเป็นหนึ่งในนิยายแนวโกธิกและสยองขวัญที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมตะวันตก

Dracula ไม่เพียงสร้างภาพจำของ “แวมไพร์” ที่ดูดเลือดและกลัวแสงแดด แต่ยังสะท้อนความกลัวในจิตใจมนุษย์ ความลุ่มหลงในอำนาจ และการต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับเงามืด นิยายเรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ละคร และงานศิลปะนับไม่ถ้วนทั่วโลก

นิทานฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ได้รับการเรียบเรียงใหม่ให้เหมาะกับผู้อ่านร่วมสมัย โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเล่าเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้อ่านทุกวัยสามารถเข้าถึงเรื่องราว อารมณ์ ความลุ้นระทึก และความงามของเรื่องได้อย่างเต็มที่

หากผู้อ่านชื่นชอบนิทานฉบับนี้ ขอแนะนำให้ลองอ่าน Dracula ฉบับเต็ม เพื่อสัมผัสความลุ่มลึกของตัวละครและบรรยากาศที่เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้จดหมายและบันทึกที่สร้างความตึงเครียดอย่างมีชั้นเชิง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีทนายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ โจนาธาน ฮาร์เกอร์ เขาได้รับมอบหมายจากบริษัทในกรุงลอนดอน ให้เดินทางไปยังดินแดนทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย เพื่อจัดการเรื่องซื้อขายปราสาทให้กับลูกค้าผู้ลึกลับนามว่า เคานต์ แดรกคูลา

โจนาธานออกเดินทางด้วยความตื่นเต้น เขาจดบันทึกทุกสิ่งที่พบระหว่างทาง ทั้งเรื่องผู้คนที่พูดภาษาต่างถิ่น อาหารที่ไม่คุ้นเคย และภูเขาที่สูงชันราวกับจะทะลุฟ้า แต่เมื่อเขาเข้าใกล้หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ปราสาท ความรู้สึกไม่สบายใจก็เริ่มก่อตัวขึ้น ผู้คนหลบสายตา และเมื่อเขาเอ่ยชื่อ “แดรกคูลา” ทุกคนก็เงียบงันราวกับเสียงพูดได้ถูกขโมยไป

ในคืนสุดท้ายก่อนถึงปราสาท เจ้าของโรงแรมยื่นไม้กางเขนให้เขา พร้อมพูดด้วยเสียงสั่นว่า “จงพกสิ่งนี้ไว้ใกล้ตัวเสมอ” โจนาธานรับไม้กางเขนไว้ด้วยความงุนงง และออกเดินทางต่อด้วยรถม้าที่แล่นฝ่าหมอกหนา เสียงหมาป่าหอน และลมเย็นเฉียบพัดผ่านราวกับเตือนเขาว่า เขากำลังเข้าใกล้สิ่งที่ไม่ควรพบ

ปราสาทของเคานต์ แดรกคูลา ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ล้อมรอบด้วยป่าไม้หนาทึบและหน้าผาสูงชัน เมื่อรถม้าจอดสนิท โจนาธานมองขึ้นไปยังประตูรั้วเก่าแก่ที่เปิดออกอย่างช้า ๆ และเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืด

เคานต์ แดรกคูลา ออกมาต้อนรับด้วยท่าทีสุภาพ ดวงตาของเขาแดงวาว และมีสีผิวขาวซีดเหมือนไร้ชีวิต เมื่อโจนาธานจับมือทักทาย เขารู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นราวน้ำแข็งที่ไม่เหมือนมือของมนุษย์ทั่วไป เคานต์เชิญเขาเข้าไปในปราสาท และบอกว่า “ขอให้ท่านพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ…แต่ห้ามออกจากปราสาทโดยไม่ได้รับอนุญาต”

โจนาธานแปลกใจ แต่ก็ยอมรับด้วยความเกรงใจ เขาได้รับห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีอาหารจัดเตรียมไว้ทุกมื้อ แต่ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีเสียงพูดคุย และไม่มีใครนอกจากเคานต์ที่เขาเคยเห็น

วันเวลาผ่านไป โจนาธานเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศในปราสาทนั้นเงียบเกินไป เงียบจนเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองสะท้อนกลับจากกำแพงหิน ต่อมา เขาพบว่าประตูทุกบานถูกล็อก หน้าต่างถูกปิดแน่น และทางเดินบางแห่งนำไปสู่ทางตัน

ในยามค่ำคืน เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา เสียงฝีเท้าที่ไม่ใช่ของเขา และเงาที่เคลื่อนไหวผ่านผนังโดยไม่มีตัวตน เขาเริ่มจดบันทึกทุกสิ่งที่พบ และตั้งคำถามว่า “นี่คือการต้อนรับแขก หรือการกักขังกันแน่”

เขาพยายามถามเคานต์ แดรกคูลา ถึงเรื่องการออกจากปราสาท แต่เคานต์ทำหน้านิ่ง และพูดว่า “ที่นี่ปลอดภัยที่สุดสำหรับท่าน…โลกภายนอกอาจไม่เมตตาเท่าที่นี่” คำพูดนั้นทำให้โจนาธานรู้ว่า เขาไม่ได้เป็นแขกอีกต่อไป แต่เป็นนักโทษในปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด

ในคืนหนึ่ง ขณะที่โจนาธานนอนหลับอยู่ในห้องนอน เขารู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ในความฝันที่ชวนให้อึดอัด มีหญิงสาวสามคนที่แต่งตัวยั่วยวนปรากฏตัวขึ้น พวกเธอมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย

พวกเธอเดินเข้ามาใกล้เตียงนอนของเขา และโน้มตัวลงมาอย่างช้า ๆ ริมฝีปากของหญิงสาวคนหนึ่งเข้าใกล้ลำคอของเขา และเขารู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นเฉียบราวกับความตาย

แต่ทันใดนั้น เคานต์แดรกคูลาก็ปรากฏตัวขึ้นในเงามืด “หยุดเดี๋ยวนี้ เขาคือเหยื่อของข้า” แดรกคูลาตวาดเสียงต่ำ ผีสาวทั้งสามจึงถอยออกไปอย่างไม่พอใจ และเคานต์ก็ล็อกประตูจากด้านนอก ทิ้งโจนาธานไว้ในห้องนอนที่เต็มไปด้วยความกลัว

เวลาผ่านไปนาน โจนาธานค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าของเคานต์ห่างออกไปจนเงียบสนิท เขารู้ว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีก เขาจึงเริ่มสำรวจปราสาทอย่างละเอียด และพบทางเดินลับที่นำไปสู่ห้องใต้ดิน

ในห้องใต้ดินนั้น โจนาธานพบโลงศพหลายใบเรียงรายอยู่ในความมืด บางใบเปิดอยู่ และภายในมีดินดำจากทรานซิลเวเนียที่มีกลิ่นอับเฉพาะตัวอยู่ในนั้น ในขณะที่สำรวจโลงศพ เขาเห็นโลงศพใบหนึ่งที่มีร่างของเคานต์แดรกคูลานอนนิ่งอยู่ ดวงตาของเคานต์ปิดสนิท ผิวซีดขาวราวหิมะ แต่ริมฝีปากยังมีคราบเลือดติดอยู่ โจนาธานรู้ทันทีว่าแดรกคูลาไม่ใช่เพียงเจ้าของปราสาท แต่คือสิ่งมีชีวิตอมตะที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเลือดของมนุษย์

โจนาธานรีบกลับขึ้นห้อง นำผ้าปูที่นอนผูกเป็นเชือก แล้วปีนลงจากหน้าต่างสูงชันท่ามกลางลมหนาวและเสียงหมาป่าหอน เมื่อเท้าแตะพื้น เขาหลบเข้าไปในเงามืดของสวนปราสาท และวิ่งไปยังประตูรั้วที่เขาเคยเห็นจากหน้าต่าง เขาพบว่ามันถูกล็อก แต่ด้วยแรงฮึดสุดท้าย เขาใช้หินทุบกลอนจนหลุดออก และหนีออกมาได้

ที่ลอนดอน มีนา เมอร์เรย์ คู่หมั้นของโจนาธาน กำลังดูแลเพื่อนสนิทชื่อ ลูซี เวสเทนร่า หญิงสาวอ่อนหวานที่เริ่มมีอาการแปลกประหลาด คือเธอฝันร้ายทุกคืน อ่อนแรง และมีรอยกัดที่คอซึ่งไม่มีใครอธิบายได้ นอกจากนี้ ลูซียังมีพฤติกรรมที่แปลกไป คือมักเดินละเมอออกไปในสวนยามค่ำคืน และกลับมาด้วยท่าทีเหม่อลอย

ดร.แวน เฮลซิง ศาสตราจารย์ชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงด้านพยาธิวิทยาและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ได้รับเชิญมาดูอาการของลูซี เขาเคยศึกษาตำนานแวมไพร์จากยุโรปตะวันออก และรู้ทันทีว่าอาการของลูซีไม่ใช่โรคธรรมดา เขาสังเกตว่ารอยกัดที่คอมีลักษณะเฉพาะ คือเป็นรอยเขี้ยวที่ลึกและไม่ได้เกิดจากสัตว์ทั่วไป เขาจึงเริ่มวางกระเทียมไว้รอบเตียง ใช้ไม้กางเขนวางไว้ใต้หมอน และสั่งห้ามเปิดหน้าต่างในเวลากลางคืน

แม้จะมีการป้องกันอย่างเข้มงวด แต่ลูซีก็มีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ เพราะแม่ของเธอไม่เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์และเปิดหน้าต่างห้องนอนเพื่อให้ลูซี “ได้สูดอากาศดี ๆ” แต่นั่นคือช่องโหว่ที่ทำให้แดรกคูลาที่ออกล่าเหยื่อไปทั่ว สามารถเข้ามาในห้องนอนของลูซี่ได้ และเขาก็กลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อดูดเลือดของเธอ จนในที่สุด ลูซีก็เสียชีวิต

แต่การตายของลูซีไม่ใช่จุดจบ หลังจากนั้นไม่นาน มีข่าวว่าเด็ก ๆ ในเมืองถูกหญิงสาวในชุดขาวล่อลวงไปในยามค่ำคืน ดร.แวน เฮลซิงมั่นใจว่า ลูซีกลายเป็นแวมไพร์ เขาและโจนาธานจึงร่วมกันขุดหลุมศพของลูซี และพบว่าโลงศพว่างเปล่า พวกเขารอจนกลางคืน และเมื่อลูซีกลับมา เขาจึงใช้ลิ่มไม้ตอกผ่านหัวใจของเธอ พร้อมวางไม้กางเขนไว้บนหน้าอก เพื่อปลดปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระ

หลังจากเหตุการณ์ของลูซี มีนาก็เริ่มมีอาการคล้ายกัน คือเธอฝันถึงปราสาทบนยอดเขา เห็นภาพเลือด และได้ยินเสียงเรียกจากเงามืดที่ไม่มีใครเห็น โจนาธานเริ่มสังเกตว่าเธอมีรอยกัดที่คอ และบางครั้งดวงตาเธอจะเปลี่ยนเป็นสีแดงวาวในยามค่ำคืน เธอเริ่มพูดภาษาที่ไม่เคยเรียนรู้ และละเมอเรียกชื่อแดรกคูลาในยามหลับ

ดร.แวน เฮลซิง อธิบายว่า การถูกดูดเลือดจากแวมไพร์ไม่ได้ทำให้กลายเป็นผีดิบทันที แต่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพจิตใจและร่างกายของเหยื่อ ซึ่งหากปล่อยไว้นานเกินไป เหยื่อจะกลายเป็นบริวารของแวมไพร์โดยสมบูรณ์ และไม่มีวันกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีก

ดร.แวน เฮลซิง อธิบายด้วยความมั่นใจว่า “เลือดคือสื่อกลางของคำสาป เมื่อแวมไพร์ดูดเลือดจากเหยื่อ มันไม่ได้เอาแค่ชีวิต แต่ฝากเงามืดไว้ในจิตใจด้วย” ด้วยความรู้จากตำราโบราณและประสบการณ์ในยุโรปตะวันออก ดร.แวน เฮลซิงจึงเสนอแผนการที่กล้าหาญ คือการเดินทางกลับไปยังทรานซิลเวเนีย เพื่อทำลายโลงศพทั้งหมดที่แดรกคูลาใช้หลบภัย และตอกลิ่มไม้ผ่านหัวใจของแดรกคูลาก่อนที่มีนาจะกลายเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์

เมื่อถึงวันเดินทาง คณะเดินทางประกอบด้วย โจนาธาน, มีนา, ดร.แวน เฮลซิง, อาเธอร์ โฮล์มวูด (คู่หมั้นเก่าของลูซี), และควินซี มอร์ริส (นักล่าชาวอเมริกันผู้กล้าหาญ) พวกเขาพามีนาไปด้วย เพราะเธอมีสายสัมพันธ์ทางจิตกับแดรกคูลา ซึ่งสามารถใช้ติดตามร่องรอยของแดรกคูลาได้

ในบางคืน ดร.แวน เฮลซิงจะทำพิธีเชื่อมจิต โดยให้มีนานั่งหลับตาและพูดสิ่งที่เห็นในความฝัน เธอสามารถบอกได้ว่าแดรกคูลาอยู่ที่ไหน เคลื่อนไหวอย่างไร และกำลังเตรียมอะไรอยู่ ราวกับเธอเป็นกระจกสะท้อนเงามืดของเขา

การเดินทางผ่านภูเขาและหุบเขาอันหนาวเหน็บเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งสภาพอากาศที่โหดร้าย และความรู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังติดตามพวกเขาอยู่ตลอดเวลา มีนาเริ่มอ่อนแรงลงทุกวัน และเวลาของเธอกำลังจะหมดลง

เมื่อคณะเดินทางมาถึงปราสาทของเคานต์แดรกคูลาในทรานซิลเวเนีย พวกเขาไม่พบใครออกมาต้อนรับ มีเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ และหมอกหนาที่ลอยต่ำจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน

พวกเขาเข้าไปในปราสาทอย่างระมัดระวัง มีนาเริ่มตัวสั่นและพูดพึมพำถึงห้องใต้ดินที่เธอเห็นในความฝัน ดร.แวน เฮลซิงจึงเชื่อว่าจิตของเธอยังเชื่อมโยงกับแดรกคูลาอยู่ และใช้สิ่งนั้นนำทางไปยังห้องลับใต้ปราสาท

เมื่อพวกเขาเปิดประตูหินเก่า ๆ ลงไปยังห้องใต้ดิน พวกเขาพบโลงศพหลายใบเรียงรายอยู่ในความมืด และในโลงหนึ่ง เคานต์แดรกคูลานอนนิ่งอยู่ ดวงตาปิดสนิท ผิวซีดขาวราวหิมะ แต่ริมฝีปากยังมีคราบเลือด

ดร.แวน เฮลซิงอธิบายเบา ๆ ว่า “เมื่อแวมไพร์หลับในโลงศพที่บรรจุดินจากบ้านเกิด มันจะอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องลงมือ”

พวกเขาเตรียมตัวอย่างเงียบ ๆ โจนาธานถือไม้กางเขนและลิ่มไม้ไว้ในมือ ขณะที่อาเธอร์และควินซีคอยเฝ้าทางเข้าออก ดร.แวน เฮลซิงวางแผนอย่างแม่นยำ เขารู้ว่าต้องลงมือก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เพราะเมื่อรัตติกาลมาเยือน แดรกคูลาอาจฟื้นขึ้นพร้อมพลังเต็มเปี่ยม

ขณะที่แสงสุดท้ายของวันสาดเข้ามาในห้องใต้ดิน โจนาธานเดินเข้าไปใกล้โลงศพ เขามองใบหน้าที่เคยหลอกหลอนเขาในฝัน และยกลิ่มไม้ขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา

“เพื่อมีนา เพื่อทุกคนที่เขาทำร้าย” โจนาธานพึมพำ แล้วตอกลิ่มไม้ลงกลางอกของแดรกคูลาอย่างแรง

เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังก้องไปทั่วห้อง ร่างของแดรกคูลากระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะนิ่งลงและสลายไปในเถ้าธุลี เสียงหมาป่าหอนเงียบลงทันที และหมอกที่ปกคลุมปราสาทก็เริ่มจางหาย

หลังจากแดรกคูลาสลายไปเป็นเถ้าธุลี ความเงียบงันก็ปกคลุมทั่วห้องใต้ดิน มีนาเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น เธอทรุดตัวลงกับพื้น หายใจลึกอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาที่เคยแดงวาวกลับมาเป็นประกายแห่งชีวิตอีกครั้ง รอยกัดที่คอเริ่มจางลงราวกับไม่เคยมีอยู่

ดร.แวน เฮลซิงเดินเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบ ๆ เขาเอื้อมมือแตะหน้าผากของมีนาเบา ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เธอผ่านความมืดมาแล้ว และยังคงเป็นมนุษย์อยู่”

คณะเดินทางออกจากปราสาทในเช้าวันใหม่ หมอกจางลงจนเห็นทิวเขาไกลโพ้น เสียงนกร้องกลับมาอีกครั้ง และแสงแดดอ่อน ๆ สาดลงบนเส้นทางที่เคยเต็มไปด้วยเงามืด พวกเขาเดินทางกลับอังกฤษด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง แม้จะเหนื่อยล้า แต่ทุกคนรู้ว่าพวกเขาได้ทำในสิ่งที่จำเป็น

หลายเดือนต่อมา โจนาธานและมีนาแต่งงานกันในฤดูใบไม้ผลิ ท่ามกลางสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้น มีนาเขียนบันทึกไว้ว่า “ความกลัวไม่อาจชนะความรักได้ หากเรากล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้า”

ปราสาทแดรกคูลาในทรานซิลเวเนียยังคงตั้งอยู่บนยอดเขาเงียบงัน ไม่มีเสียงหอน ไม่มีเงาเคลื่อนไหว และไม่มีเลือดหลั่งอีกต่อไป และในทุกค่ำคืนที่ดาวส่องแสง มีนาและโจนาธานจะมองขึ้นไปบนฟ้า และรู้ว่าแม้เงามืดจะเคยครอบงำโลก แต่แสงแห่งความรักจะไม่มีวันดับสูญ

ข้อคิดจากวรรณกรรมเรื่องนี้ :

  • ความกลัวจะครอบงำเราได้ ก็ต่อเมื่อเราไม่กล้าเผชิญหน้า
  • ความรักแท้สามารถปลดปล่อยจิตใจจากเงามืดได้
  • ความรู้และสติปัญญาคืออาวุธสำคัญในการแก้ปัญหา
Posted in นิทานธรรมะ, นิทานสอนใจ, นิทานไทย

ศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง: ตำนานพระธาตุพนม พญานาค และเรื่องเล่าธรรมะจากอุรังคธาตุ

นิทานเรื่อง “ศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง” ที่คุณกำลังจะได้อ่านนี้ เป็นการเรียบเรียงใหม่จาก “อุรังคนิทาน” ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานกันในดินแดนลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะบริเวณพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

นิทานเรื่อง “ศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง” ฉบับเรียบเรียงใหม่นี้ มีการแต่งเติมองค์ประกอบบางส่วนจากต้นฉบับ “อุรังคนิทาน” เพื่อให้เนื้อเรื่องเข้าถึงผู้อ่านร่วมสมัยมากขึ้น เช่น การสร้างตัวละคร “แลนคำ” ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานสีทองที่ไม่แลบลิ้น ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสงบและการเฝ้ารอธรรมะ, การตั้งชื่อพญานาคว่า “สุขหัตถีนาค” เพื่อสื่อถึงพญานาคผู้มีจิตใจมั่นคงดุจช้าง แม้ในต้นฉบับจะไม่ได้ระบุชื่อชัดเจน, และการแต่งเติมตัวละคร “ชมพู” เด็กชายผู้เติบโตเป็นพระยาศรีไชยชมพู เพื่อเป็นตัวแทนของผู้สืบทอดธรรมะจากรุ่นสู่รุ่น หากผู้อ่านต้องการศึกษาเนื้อเรื่องดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจาก “ตำนานอุรังคธาตุ” ซึ่งเป็นเอกสารโบราณที่บันทึกเรื่องราวการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า การประทับรอยพระบาท และการสร้างพระธาตุพนมโดยกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีโคตรบอง

นานมาแล้ว ณ หนองน้ำใหญ่ชื่อ “หนองคันแทเสื้อน้ำ” ที่โอบล้อมด้วยป่าเขียวชอุ่ม มีสัตว์ต่าง ๆ อาศัยอยู่อย่างสงบ ทั้งปลาเล็กปลาน้อยที่ว่ายวนอยู่ในหนองน้ำ นกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเพลงรับแสงอรุณ และสัตว์สารพัดชนิดที่อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก

ในหมู่สัตว์ทั้งหลาย มี”แลนคำ” ตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ใต้ร่มไม้ แลนคำตัวนี้แปลกกว่าสัตว์อื่นตรงที่ มันไม่เคยแลบลิ้นเลยสักครั้ง ผู้เฒ่าผู้แก่จึงเล่าให้ลูกหลานฟังว่า ตัวแลนทั้งหลายนั้นมักแลบลิ้นเป็นวิสัยธรรมชาติ แต่แลนคำหรือแลนสีทองตัวนี้มันดูสงบสำรวมดุจผู้ภาวนา ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวว่า “บางที ในกาลข้างหน้า มันจักเป็นนิมิตหมายแห่งบุญญาธิการ หากเมื่อใดแลนคำนี้แลบลิ้น เมื่อนั้นจักมีเหตุใหญ่หลวงอุบัติขึ้นในโลก”

วันหนึ่งท้องฟ้าสว่างใสเกินปกติ แสงทองทาบผิวน้ำจนระยิบระยับ แลนคำผู้เงียบงันมายาวนาน พลันแลบลิ้นออกมาเป็นครั้งแรก! เหล่าสัตว์ต่างตกตะลึงและบอกกันไปทั่วป่า ผู้เฒ่าผู้แก่จึงพากันพนมมือแล้วกล่าวว่า “นิมิตมาถึงแล้ว พระศาสดาจักเสด็จมาที่หนองนี้แน่แท้”

ไม่นานนัก พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาจริงดังคำทำนาย พระพักตร์ของพระองค์เปี่ยมเมตตาดุจจันทราส่องแสงในยามกลางคืน สัตว์ทั้งหลายต่างหมอบกราบดุจดอกบัวหุบรับแสงอรุณ แลนคำก็น้อมกายลง กราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ใต้บาดาล ณ ดินแดนใกล้เคียง มีพญานาคนาม “สุขหัตถีนาค” ผู้เคยบวชเป็นพระภิกษุแต่ยังไม่บรรลุธรรม ได้เฝ้ารอพระพุทธองค์มาอย่างช้านาน เมื่อพญานาคเห็นแสงแห่งศาสดาส่องมาถึงบาดาล หัวใจของพญานาคก็พลันพองโต เพราะเต็มไปด้วยศรัทธา

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง สุขหัตถีนาคจึงโผล่ขึ้นจากน้ำ เผยกายอันโอฬาร กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ยังติดอยู่ในบ่วงกิเลส แต่ปรารถนาให้แผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งแห่งธรรม ขอพระองค์โปรดประทับรอยพระบาทไว้ เพื่อเป็นนิมิตแก่อนุชนภายหน้า”

พระพุทธองค์ทรงเมตตาจึงประทับรอยพระบาท ณ เวินปลา พร้อมตรัสพยากรณ์ว่า “สถานที่นี้จักกลายเป็นเมืองแห่งธรรม เป็นที่ชุมนุมแห่งศรัทธาในกาลภายหน้า” สุขหัตถีนาคและสัตว์ทั้งหลายพากันโสมนัส น้ำตาแห่งศรัทธาไหลรินดุจสายฝน

…………………

เมื่อกาลเวลาล่วงผ่าน ดินแดนแห่งนั้นและดินแดนใกล้เคียงค่อย ๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะผู้คนเคารพในธรรมด้วยศรัทธาที่บริสุทธิ์ รอยพระบาทกลายเป็นที่สักการะซึ่งมีคุณค่าสูงสุด

แต่ไม่นานนัก เสียงสวดมนต์กลับค่อย ๆ แผ่วเบาลง ผู้คนหลงลืมคุณธรรม แล้วเพลินเข้าไปมัวเมาในลาภยศ สุขหัตถีนาคที่ยังคงเฝ้าดูแลรอยพระบาทมองภาพที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

หลายร้อยปีหลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รอยพระบาทยังคงอยู่ ณ ที่แห่งเดิม ซึ่งเป็นดินแดนศรีโคตรบอง แต่ผู้คนบางส่วนลืมเลือนความศักดิ์สิทธิ์และหมดสิ้นซึ่งศรัทธา

แต่ในกาลนั้น ณ ริมฝั่งโขง ยังมีหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ที่ผู้เฒ่ายังคงเล่าเรื่องราวเก่าแก่ให้ลูกหลานฟัง

เด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า “ชมพู” มักนั่งอยู่ข้างตักยาย เพื่อขอให้ยายเล่าเรื่องซ้ำ ๆ เกี่ยวกับแลนคำที่แลบลิ้น พระพุทธเจ้าที่ประทับรอยพระบาท และเรื่องพญาสุขหัตถีนาคผู้เฝ้ารอ โดยที่เขาฟังเรื่องเหล่านี้ได้ไม่เคยเบื่อ เด็กน้อยซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ในใจ ดวงตาของเขากลมโตและเปล่งประกายด้วยแสงแห่งศรัทธา

เมื่อเด็กน้อยเติบใหญ่ เขากลายเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมเมตตา ยึดถือในความยุติธรรม และไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ชาวเมืองจึงรักและนับถือเขากว่าใคร

ครั้นเมื่อขุนนางผู้ครองเมืองริมโขงสิ้นชีพโดยไร้ทายาท ประชาชนจึงพร้อมใจกันอัญเชิญชายหนุ่มผู้มีจิตใจดีงามขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยมีพระนามว่า “พระยาศรีไชยชมพู”

หลังจากครองราชย์แล้ว พระราชาศรีไชยชมพูนึกถึงถ้อยคำจากนิทานที่ยายเคยเล่า พระองค์จึงนำเรื่องที่ได้ฟังมาเป็นประทีปนำทาง

พระราชาศรีไชยชมพูได้ตัดสินใจสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อรวบรวมศรัทธาของผู้คน โดยอาราธนาพระอรหันต์ห้ารูปจากศรีโคตรบอง มาร่วมสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือกระดูกของพระพุทธเจ้า

การสร้างพระธาตุนั้นมิใช่เรื่องที่ง่าย ชาวเมืองต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำงานท่ามกลางสายฝน ลมพายุและความเหน็ดเหนื่อย แม้บ่อยครั้งที่ความพยายามมีทีท่าจะล้มเหลว แต่ดูเหมือนมีสิ่งอัศจรรย์ที่คอยปัดเป่าให้พายุหรืออุปสรรคต่าง ๆ สงบลง ซึ่งช่วยเสริมกำลังใจและทำให้ผู้คนทำงานตามศรัทธาได้โดยไม่ท้อถอย

พระยาศรีไชยชมพูรู้อยู่ในใจว่า เบื้องหลังของปาฏิหาริย์ต่าง ๆ คือ พญาสุขหัตถีนาคที่ยังคอยเกื้อหนุน แม้จะมิได้เผยกายให้ใคร ๆ ได้เห็นก็ตาม

หลังจากที่ชาวเมืองร่วมแรงร่วมศรัทธากันอย่างยาวนาน ในที่สุด พระธาตุพนมที่งดงามก็สร้างเสร็จ ผู้คนจากทั่วทุกทิศต่างพากันมากราบไหว้ ศรัทธาค่อย ๆ ไหลรวมกลับคืนมา โดยเรื่องราวการสร้างพระธาตุพนมได้ถูกจารึกลงในใบลาน และเล่าสืบต่อกันมาเป็น “ตำนานอุรังคธาตุ” ในสมัยพระไชยเชษฐาธิราช และยังคงเล่าขานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ทุกวันนี้ แม้ผู้คนอาจเริ่มลืมเลือนเรื่องราวต่าง ๆ ไป แต่รอยธรรมในใจของผู้คน โดยเฉพาะผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขง ยังคงมีร่องรอยที่ฝังลึกมาจากอดีตชาติ เมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสม เสียงธรรมในใจจะพาทุกคนผู้มีศรัทธากลับเข้าสู่ร่มเงาแห่งธรรม แล้วความร่มเย็นเป็นสุขก็จะกลับคืนสู่ชีวิตอย่างยั่งยืน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ศรัทธาเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
  • ความดีงามไม่มีวันสูญหาย
  • ผู้นำที่ดีคือผู้มีเมตตาและยึดมั่นในคุณธรรม
ภาพประกอบนิทานศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง แสดงพญานาคสุขหัตถี แลนคำ และพระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาท ณ เวินปลา
ตำนานพระธาตุพนมจากนิทานอุรังคธาตุ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานพื้นบ้าน, เพลง, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : อึน้อยปราบยักษ์ – นิทานพื้นบ้านไทยผ่านบทเพลง 3 สไตล์

นิทานพื้นบ้านไทยเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่สะท้อนภูมิปัญญาและจินตนาการของคนไทยได้อย่างน่ารักและแปลกตา เรื่องราวของอึก้อนน้อย ๆ ที่ใช้ไหวพริบและความกล้าหาญในการเอาชนะยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่ด้วยพละกำลัง แต่ด้วยความสามัคคี เป็นนิทานที่มีทั้งความสนุก ความตื่นเต้น และแฝงข้อคิดอย่างแยบคาย

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในแนว “นิทานสอนใจ” ที่ผสมผสานความแฟนตาซีเข้ากับบทเรียนชีวิตอย่างลงตัว เด็ก ๆ ฟังแล้วสนุก ผู้ใหญ่ฟังแล้วยิ้ม และเมื่อถูกนำมาเล่าใหม่ผ่านบทเพลง ก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เรื่องราวมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

ความทรงจำวัยเด็กที่กลับมาอีกครั้ง

ตอนเด็ก ๆ ผมชอบดูรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กมาก โดยเฉพาะรายการที่มีเพลงประกอบน่ารัก ๆ เพลงเหล่านั้นมักจะติดหูจนผมร้องตามได้ทุกคำ เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่อบอวลอยู่ในความทรงจำเสมอมา

เมื่อมีโอกาสได้ทำเพลงเล่านิทานสำหรับเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” ความรู้สึกแบบนั้นก็กลับมาอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปนั่งหน้าทีวี ร้องเพลงไปพร้อมกับตัวละครในจอ ความสุขนั้นไม่เคยจางหาย และครั้งนี้ ผมได้เป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง

เบื้องหลังการสร้างเพลงเล่านิทาน

ผมทำเพลงสำหรับนิทานเรื่องนี้ไว้มากกว่า 10 เวอร์ชั่น ทดลองทั้งแนวเสียงร้อง จังหวะ และอารมณ์ของเพลง เพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องและผู้ฟังหลากหลายกลุ่ม ส่วนตัวคิดว่า ถ้าทำต่อไปเรื่อย ๆ เพลงก็คงจะสมบูรณ์ขึ้นอีก แต่เมื่อได้ฟังเวอร์ชั่นที่ทำไว้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า หลายเวอร์ชั่นดีพอที่จะเผยแพร่ได้ทันที

บางเวอร์ชั่นมีเสน่ห์เฉพาะตัวจนเลือกไม่ลงว่าจะตัดออกเวอร์ชั่นไหน สุดท้ายผมตัดสินใจไม่ทำเพิ่มอีก แต่เลือกเวอร์ชั่นที่ชอบที่สุดมาให้ฟังกัน 3 แบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เพลง 3 สไตล์ที่คุณต้องลองฟัง

เวอร์ชั่นกล่อมนอนเสียงร้องน่ารัก เพลงนี้เหมาะกับเด็ก ๆ ที่ไม่อยากฟังอะไรโลดโผนจนเกินไป เสียงร้องน่ารักและดนตรีกุ๊งกิ๊ง เหมือนนิทานก่อนนอนที่เล่าเบา ๆ ให้หลับฝันดี

เวอร์ชั่นนักร้องชาย 2 แบบต่อกัน ผมนำสองเวอร์ชั่นที่ใช้เสียงนักร้องชายสองเพลงมาต่อกัน ผู้ฟังจะเห็นได้ถึงความแตกต่างในอารมณ์และการนำเสนอ แม้จะเป็นเพลงเดียวกัน แต่เสน่ห์ของแต่ละเพลงก็ทำให้รู้สึกไม่เหมือนกันเลย

เวอร์ชั่นแนวละครเวที เวอร์ชั่นนี้มีความเป็น “ละครเวที” นิด ๆ แต่ยังคงความเป็นเพลงสำหรับเด็กอยู่ครบถ้วน มีการเล่าเรื่องผ่านเสียงร้องและดนตรีที่ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ เพลงนี้ควรฟังให้จบ เพราะเด็ดจริง ๆ จนถึงหยดสุดท้าย

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นิทานก่อนนอนเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” (เวอร์ชั่นย่อ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์เกเรตัวใหญ่ที่ชอบรังแกผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ จนทุกชีวิตในหมู่บ้านต่างหวาดกลัว วันหนึ่งเจ้ายักษ์ประกาศว่าจะจับเด็ก ๆ ไปเป็นคนรับใช้ ทำให้คุณยายใจดีในหมู่บ้านเป็นห่วงหลานมาก จึงสวดมนต์ขอพรให้พระคุ้มครอง แม้จะไม่รู้บทสวดจริง ๆ แต่คุณยายก็ท่องตามนิทานที่เคยฟังด้วยใจหวังดี

ขณะนั้นเอง อึน้อยกองหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นความกังวลของคุณยาย จึงตัดสินใจออกเดินทางไปปราบยักษ์ แม้อึจะไม่มีชีวิต แต่ก็มีความกล้าและสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้หลากหลาย ระหว่างทาง อึน้อยได้พบกับปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสก ซึ่งต่างก็เคยถูกยักษ์รังแกมาก่อน จึงขอร่วมภารกิจปราบยักษ์ด้วย

เมื่อถึงบ้านของเจ้ายักษ์ ทั้งห้าตัวช่วยวางแผนกันอย่างรอบคอบ พอตกกลางคืน แผนการก็เริ่มขึ้น:

  • ตะขาบกัดหน้ายักษ์
  • แมงป่องต่อยมือ
  • อึน้อยทำให้ยักษ์ลื่นล้ม
  • ปลาดุกกัดมือในโอ่งน้ำ
  • นกแสกจิกยักษ์ในความมืด

เจ้ายักษ์ตกใจและเจ็บปวดจนร้องขอชีวิต พร้อมสำนึกผิดและสัญญาว่าจะไม่รังแกใครอีก ทุกตัวช่วยจึงยอมให้อภัย และจากวันนั้นเป็นต้นมา เจ้ายักษ์ก็กลายเป็นยักษ์ที่สงบเสงี่ยม ไม่เบียดเบียนใครอีกเลย

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง อึน้อยปราบยักษ์ ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงแบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

Posted in กฎหมายและสิทธิ, การวางแผนชีวิต, บทความสำหรับผู้ใหญ่

วิธีเขียนพินัยกรรมด้วยตัวเองให้ถูกต้อง พร้อมตัวอย่างพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ

หลายคนอาจคิดว่า การทำพินัยกรรมต้องไปหาทนาย ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง แต่จริง ๆ แล้ว กฎหมายเปิดโอกาสให้เราทำพินัยกรรมเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งใครเลย ขอเพียงทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน ก็มีกฎหมายรับรอง

บทความนี้จะอธิบายแบบง่าย ๆ พร้อมตัวอย่าง เพื่อให้ทุกคนสามารถเขียนพินัยกรรมเองได้อย่างมั่นใจ

พินัยกรรม คือ เอกสารที่เจ้าของเขียนไว้ก่อนเสียชีวิต เพื่อบอกว่า ทรัพย์สินของเราอยากให้ตกไปถึงใคร และยังสามารถกำหนดความประสงค์อื่น ๆ ได้ เช่น

  • ให้ใครเป็นผู้จัดการงานศพ
  • การบริจาคร่างกาย
  • การมอบสิ่งของที่อยากให้

ตามกฎหมายไทย พินัยกรรมมีอยู่ 5 แบบ แต่ที่ง่ายและนิยมที่สุดคือ

  • ไม่ต้องมีทนาย
  • ไม่ต้องมีพยาน
  • แค่เจ้าของเขียนเองด้วยลายมือตั้งแต่ต้นจนจบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1657 กำหนดว่า

  1. ต้องเขียนด้วยลายมือตัวเองทั้งหมด (ห้ามพิมพ์ ห้ามให้คนอื่นเขียนแทน)
  2. ต้องลงชื่อ (เซ็นชื่อ) ด้วยตัวเองตอนท้ายพินัยกรรม (ห้ามใช้นิ้วมือแตะเป็นลายเซ็น)
  3. ห้ามขูดลบ ตก เติม หรือแก้ไขข้อความ (ถ้าจำเป็นควรเขียนฉบับใหม่)
  4. ผู้ทำต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

1. เตรียมอุปกรณ์

  • กระดาษเปล่า
  • ปากกาที่หมึกชัด

2. เริ่มเขียนเนื้อหา

  • ระบุสถานที่เขียน เช่น “ทำที่อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง”
  • ระบุวัน เดือน ปี พ.ศ. ที่เขียนจริง
  • เขียนว่า “ข้าพเจ้า นาย/นาง … อาศัยอยู่บ้านเลขที่ … ขอทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย ขอให้ทรัพย์สินของข้าพเจ้าตกแก่ …”

3. ระบุทรัพย์สินอย่างละเอียด

  • ถ้าเป็นที่ดิน ต้องเขียนเลขโฉนด หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด
  • ถ้าเป็นบ้าน ต้องระบุบ้านเลขที่ ถนน แขวง/ตำบล อำเภอ จังหวัด
  • ถ้าเป็นรถ ต้องระบุหมายเลขทะเบียนและจังหวัด
  • ถ้าเป็นบัญชีธนาคาร ต้องเขียนชื่อธนาคาร และเลขที่บัญชี

👉 ตัวอย่าง
“ข้าพเจ้าขอมอบที่ดินตามโฉนดเลขที่ 12345 ตำบลหนองนา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ให้แก่บุตรชาย นายเอ เพียงผู้เดียว”

4. ลงชื่อ

  • ลงชื่อด้วยลายมือของตัวเอง ตอนท้ายพินัยกรรม

ตัวอย่างพินัยกรรม (แต่อย่าลืมว่าต้องเขียนด้วยลายมือเท่านั้น ห้ามใช้การพิมพ์)

  • เขียนพินัยกรรมฉบับใหม่ ถ้าต้องการแก้ไข
  • เก็บต้นฉบับในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟ หรือฝากไว้กับคนที่ไว้ใจ
  • อัดวิดีโอตอนเขียนพินัยกรรม → เปิดกล้องตั้งแต่เริ่มเขียนจนจบ และโชว์เอกสารต่อกล้อง จะช่วยยืนยันได้ว่าทำด้วยตนเองจริง ป้องกันข้อครหาว่ามีการปลอมแปลง

การเขียนพินัยกรรมเอง ไม่ใช่เรื่องยากและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงทำตามขั้นตอน

  1. เขียนเองด้วยลายมือทั้งหมด
  2. ลงชื่อกำกับตอนท้าย
  3. ระบุทรัพย์สินให้ชัดเจน

เพียงเท่านี้พินัยกรรมก็มีผลทางกฎหมายแล้วครับ

ภาพผู้ชายกำลังเขียนพินัยกรรมด้วยลายมือบนโต๊ะไม้
ภาพประกอบ : การเขียนพินัยกรรมด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ