Posted in Uncategorized

สรุปปี 2568 และทิศทางปี 2569

ทุกปี พี่นำบุญมักเขียนบทความเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น ๆ และทิศทางในปีต่อไปให้ได้อ่านกัน อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นบันทึกส่วนตัวที่ใช้เตือนความจำของตัวเอง

เดือนมกราคม 2568 – คดีละเมิดลิขสิทธิ์นิทาน คดีเดียวที่ฟ้องร้องไว้ – ยุติลงด้วยการไกล่เกลี่ยในชั้นศาล – ผู้ละเมิดต้องเสียเงินมากถึง 750,000 บาท (เจ็ดแสนห้าหมื่นบาท) เพราะมีการนำนิทานนำบุญ 3 เรื่อง ไปใช้ทำคลิปในยูทูบและกระจายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต

ราวเดือนกุมภา-มีนา พี่นำบุญตัดสินใจ “เตรียมยุติการเผยแพร่นิทานนำบุญประมาณ 200 เรื่อง” เพื่อลดโอกาสการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ – แต่ด้วยความที่พี่นำบุญอยากให้มี “สื่อนิทานดี ๆ ให้ทุกคนได้อ่านฟรีทางออนไลน์” – – พี่นำบุญจึงตัดสินใจเขียนโครงการขอทุนทำ “เว็บไซต์รวมนิทาน” ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ จากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อเป็นเสมือนห้องสมุดนิทาน ให้ทุกครอบครัวเข้ามาใช้งานได้เหมือนกับเว็บนิทานนำบุญ ก่อนที่ตัวเองจะถอยออกไปจากวงการนี้ (ผลการพิจารณาคือ ไม่ผ่าน)

เดือนกรกฎาคม (ช่วงรอผลการขอทุน) พี่นำบุญไม่อยากเสียเวลา จึงเริ่มเรียบเรียงนิทานระดับโลกที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เตรียมไว้เผื่อจะได้ใช้ – – – ในขณะเดียวกัน พี่นำบุญก็เริ่มจัดระเบียบเว็บไซต์นิทานนำบุญใหม่ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์จากเว็บสำหรับเด็ก – – เป็นเว็บสำหรับบุคคลทั่วไป (ทุกเพศ ทุกวัย) มีการสร้างหมวดหมู่เนื้อหาใหม่ – – – ทำภาพประกอบใหม่ – – และทำ SEO หลังบ้านให้นิทานทุกเรื่อง – – – ผลที่ตามมาคือ ยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

การปรับปรุงเว็บไซต์ ในหลายส่วนถือว่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะนิทานนำบุญที่มีการปรับปรุงภาพปก และนิทานเรื่องใหม่ที่เรียบเรียงมาจากนิทานระดับโลก – – นิทานเหล่านี้มียอดผู้อ่านสูงมาก – – ส่วนคอนเทนต์ในกลุ่มความรู้ (ซึ่งใช้เวลาทำนาน) – – หรือเพลงเล่านิทาน (ที่พี่นำบุญมีความสุขในการทำมาก) เป็นคอนเทนต์ที่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องยอดการรับชม

ในส่วนของการเปิดโฆษณาอัตโนมัติเพื่อหารายได้ (บางคนเห็น บางคนไม่เห็น) – – หากผู้ชมกดดูโฆษณา จะมีรายได้เข้ามายังเว็บไซต์ (เล็ก ๆ น้อย ๆ) – – – แม้ในปัจจุบัน พี่นำบุญจะยังสมัคร PayPal ไม่สำเร็จ จึงถอนเงินออกมาไม่ได้ – – – แต่ก็พอมองเห็นโอกาสที่เว็บไซต์นี้จะอยู่ได้ แม้ในวันที่ตัวเองไม่อยู่แล้ว – – – (การไม่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการที่ขอทุนไป จึงไม่ใช่ปัญหา แถมยังทำให้มีอิสระในการทำงานมากกว่า)

เดือนสิงหาคม พี่นำบุญเริ่มยุติการเผยแพร่นิทานนำบุญจำนวนมาก โดยใช้วิธีตั้งค่าเป็นส่วนตัว ไม่เป็นสาธารณะ เผื่อว่าสักวัน อาจได้นำกลับมาเผยแพร่ใหม่ หากจัดการเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ได้สำเร็จ

……

ช่วงปลายปี – – พี่นำบุญกลับมาติดตามกรณีละเมิดลิขสิทธิ์ที่พบใหม่ และคดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่แจ้งความไปแล้ว โดยพยายาม “จัดการ” ให้ผู้ละเมิดบอบช้ำน้อยทึ่สุด เพราะตอนนี้ พี่นำบุญได้เห็นความจริงว่า ถ้ามีการฟ้องร้อง ผู้ละเมิดจะลำบากมากขนาดไหน ตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างเคสที่น่าเป็นห่วง

  • เคสช่องนิทานยูทูบ (เจ้าของช่องทำกิจการอาหารทะเลที่เชียงใหม่) : ละเมิดนิทาน 4 เรื่อง 8 คลิป ยอดวิวหลักล้าน – – – พี่นำบุญส่งอีเมลให้มาเจรจาแต่นิ่งเฉย – – – พี่นำบุญแจ้งความไปปีกว่าแต่คดีไม่คืบหน้า – – ปัจจุบัน พี่นำบุญพยายามให้ตำรวจเชิญตัวมาไกล่เกลี่ย จะได้ไม่หนัก เพราะจำนวนนิทานที่ละเมิดและยอดวิว สูงกว่าเคสที่เคยฟ้องร้องมาก ถ้าขึ้นศาล ผู้ละเมิดอาจเสียเงินมากกว่า – – – อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างไม่คืบหน้า ปี 69 พี่นำบุญก็คงจำเป็นต้องฟ้อง

  • เคสช่องนิทานยูทูบ (เจ้าของช่องอยู่อุดรธานี) : ละเมิดนิทาน 4 เรื่อง 4 คลิป – ทักให้มาเจรจา มีการติดต่อมา แต่โกหกว่าไม่ใช่คนไทย เมื่อถูกจับโกหกได้ พี่นำบุญให้โอกาสโดยคิดค่าเสียหายที่น้อยกว่าค่าลิขสิทธิ์ แต่เพิกเฉย – – – หลังแจ้งความ ตำรวจโทรตาม แต่เพิกเฉยอีก – – – พี่นำบุญหาหลักฐานยืนยันตัวตนอยู่ 2 ปี จนได้หลักฐานชัดเจนว่าเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน และเป็นเจ้าของช่องตัวจริง – – ตอนนี้ ให้ตำรวจเชิญตัวมา หากไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องฟ้อง (พฤติกรรมของเคสนี้ ถ้าขึ้นศาล คงหนักมาก)
  • เคสช่องการศึกษาทางไกล : ละเมิดนิทาน 1 เรื่อง ทั้งเนื้อเรื่อง ถ้อยคำ และ ภาพประกอบแบบ 100% – – – ซ้ำยังนำนิทานกับภาพประกอบ – ไปทำสื่อให้ผู้ชมดาวน์โหลด (การขายลิขสิทธิ์จะไม่มีการขายแล้วอนุญาตให้ใครเปิดดาวน์โหลด เพราะเป็นการทำลายโอกาสในการขายลิขสิทธิ์ในอนาคต) – – เคสนี้…พี่นำบุญแจ้งไปเพื่อขอคิดค่านำนิทานไปใช้ เท่ากับค่าลิขสิทธิ์ (ไม่คิดค่าละเมิด) และให้ยุติการเผยแพร่ – แต่ผู้ละเมิดซึ่งเป็นครู และหน่วยงาน ขอทำจดหมายขอโทษ แต่ไม่สะดวกชดใช้ค่านำผลงานอันมีลิขสิทธิ์ไปใช้ – – – การพูดคุยมีถึง 3 ครั้ง ซึ่งในความจริง พี่นำบุญแค่ต้องการยื่นข้อเสนอ ที่ทำให้เขาเสียหายน้อยที่สุดไปให้ ไม่ใช่การยื่นข้อเสนอเพื่อต่อรอง (แต่ดูเหมือนผู้กระทำผิดและหน่วยงานไม่เข้าใจ) หลังจากนั้น ผู้กระทำผิดยังติดต่อให้ศูนย์ไกล่เกลี่ยเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยเป็นครั้งที่ 4 – – – พี่นำบุญเห็นว่า….ความใจดีของพี่นำบุญ คงไม่ช่วยให้ผู้กระทำผิดและหน่วยงานนี้รู้สึกตัวแน่ ๆ เคสนี้จึงตั้งใจที่สุด ที่จะฟ้องร้องให้เป็นกรณีตัวอย่าง

  • เคสหน่วยงานด้านสื่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ : ละเมิดนิทาน 1 เรื่อง โดยนักศึกษาเป็นผู้ผลิตสื่อ – มีการเผยแพร่ในช่องยูทูบและเพจของหน่วยงานนี้ – – เคสนี้เป็นเคสเล็ก เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลยอมรับว่าผิดจริง – – หน่วยงานเคยขอให้อาจารย์และนักศึกษาทำคลิปมาลงในช่อง แต่ลืมตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์! – – – พี่นำบุญเห็นใจ จึงเสนอทางเลือกในการชดใช้ไป 3 ทาง ทางที่เบาที่สุด เสียค่าปรับราว 5000 บาท และให้ทำคลิปให้ความรู้เพื่อประโยชน์สาธารณะ – แต่แอดมินแจ้งว่า ไม่มีอำนาจตัดสินใจ จึงไม่สามารถจ่ายค่าเสียหายหรือลงขอโทษในสื่อของมหาวิทยาลัยได้ ต้องให้ทำจดหมายแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยเอง! พี่นำบุญแปลกใจ เพราะการละเมิดเกิดขึ้นที่หน่วยงานนี้ การหารือกันแล้วรีบยุติปัญหาน่าจะเป็นทางที่ง่ายที่สุด แต่การให้ผู้ถูกละเมิด “ต้องมีภาระเพิ่ม” คือการปิดโอกาส ที่จะจบคดีได้แบบเบาที่สุด (ถ้าคำนวณค่าปรับ 5000 บาท กับการที่ต้องเดินทางมาศาลไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พี่นำบุญมองเคสในลักษณะนี้แล้ว พูดไม่ออกเลย)

  • เคสอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชน : นำนิทานไปทำคลิปยูทูบ 2 เรื่องลงในช่องยูทูบส่วนตัว และไม่มีการระบุที่มาของนิทาน พี่นำบุญติดต่อให้มาเจรจา โดยคิดค่าเสียหายน้อยมาก แต่อาจารย์อ้างว่าทำเพื่อการศึกษา! เคสนี้จึงจำเป็นต้องแจ้งความและค่าเสียหายก็จะสูงขึ้นตามค่าเสียเวลาและภาระที่เพิ่มขึ้น

  • เคสนักศึกษาสาขาภาษาญี่ปุ่น : นำนิทานไปทำคลิปแนว ASMR ในช่องยูทูบ 1 เรื่อง ยอดวิวหลายหมื่น เมื่อติดต่อให้มาเจรจา นักศึกษาติดต่อกลับมา โดยอ้างว่า ไม่รู้ว่านิทานมีลิขสิทธิ์ คลิปที่ละเมิดนี้สร้างรายได้ได้เพียงไม่กี่ร้อยบาท และตัวเองมีฐานะยากจน ต้องกู้ยืมเงินเรียน พี่นำบุญสงสารจึงคิดค่าเสียหายในหลักพัน – – แต่ตกลงกันไม่ได้ – – – ผ่านไปราว 1 เดือน นักศึกษาไลฟ์แจ้งผู้ชมในช่องว่า ตัวเองเพิ่งไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น จะอยู่ที่นั่นราว 1 ปี – – – พี่นำบุญคิดในใจว่า ค่าปรับที่เรียกไป…น่าจะอยู่ญี่ปุ่นได้แค่สัปดาห์เดียว เมื่อดูคลิปอื่น ๆ ในช่อง นักศึกษามีสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ไม่น้อย ทั้งยังเป็นช่องที่เปิดสร้างรายได้! เคสนี้แจ้งความไปเรียบร้อย รอกลับมาไทยเมื่อไหร่ ก็คงต้องโดนเรียกตัว

เคสเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วน ที่รบกวนจิตใจ และทำให้พี่นำบุญหมดกำลังใจ ในการทำอาชีพเป็นนักเขียนนิทานต่อไป – – – (ปีนี้เป็นปีที่พี่นำบุญตัดสินใจเลิกการทำงานเด็กและเลิกแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ – – ทั้ง ๆ ที่ยังสามารถแต่งนิทานดี ๆ ได้ แต่ไม่อยากแต่งนิทานแล้วต้องโดนละเมิดซ้ำ ๆ แบบนี้อีก – – มันเป็นเรื่องที่เศร้ามาก ๆ ซึ่งพี่นำบุญตั้งใจจะไม่เขียนเล่าความรู้สึกลงในเว็บ)

นอกจากนี้ ความใจดีของพี่นำบุญที่พยายามติดต่อให้ผู้กระทำผิดมาเคลียร์กันเอง (โทษจะได้เบา) กลายเป็นภาระที่ทำให้ต้องเสียเวลาติดตาม – – ต้องเหนื่อยเก็บหลักฐานไปแจ้งความ – – – และต้องทำอะไรสารพัดแบบไม่รู้จบ – – รวมทั้ง บางครั้งยังเหมือนเป็นคนบาป ที่ทำให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ต้องลำบาก!

ปี 2569 พี่นำบุญจึงตั้งใจว่า จะเก็บหลักฐานให้แน่นหนา แล้วแจ้งทนายทันที โดยต้องหัดไม่ห่วงใยผู้กระทำผิดอีก – – ส่วนการปรับหรือการฟ้อง ก็ขึ้นกับแต่ละกรณีไป แต่คงหนักมากทุกราย เพราะจริง ๆ แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าแต่ละคน “ไม่มักง่าย….นำผลงานของคนอื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต” มันเท่านี้จริง ๆ

ในส่วนของเว็บไซต์ พี่นำบุญตั้งใจที่จะเรียบเรียงนิทานเรื่องใหม่ ๆ เพิ่มเติมให้ได้อย่างน้อย 50 เรื่อง คือ สัปดาห์ละ 1 เรื่อง เพื่อให้นิทานเหล่านี้ เข้ามาทดแทนนิทานนำบุญที่นำออกไปจากเว็บ (ช่วงเดือนกรกฏา-ตุลา ปี 2568 พี่นำบุญเรียบเรียงนิทานเรื่องใหม่ ๆ ลงในเว็บติดต่อกันเกือบทุกวัน ถ้าสังเกตจะพบว่ามีนิทานเรื่องใหม่มากกว่า 50 เรื่องเลยทีเดียว) เป้าหมายคือ พี่นำบุญอยากให้เว็บนิทานนำบุญมีนิทานหลายร้อยเรื่องไว้ให้เลือกอ่านกันเหมือนเดิม (แม้จะมีนิทานที่พี่นำบุญแต่งน้อยลงก็ตาม)

ในเรื่องการขายลิขสิทธิ์ – – ปี 2569 พี่นำบุญจะตั้งใจขายลิขสิทธิ์ผลงานมากขึ้น ทั้งในไทยและในต่างประเทศ โดยจะมีการแปลนิทานเป็นภาษาอังกฤษด้วย

ส่วนการฟ้องลิขสิทธิ์ การฟ้องร้องน่าจะมีราว 4-5 คดี ซึ่งคงทำให้หมดเวลาไปกับการขึ้นศาลจนแทบไม่เหลือเวลาทำอย่างอื่น

ถ้าพี่นำบุญเหลือเวลา โครงการเล็ก ๆ ที่อยากทำมากที่สุด คือ การแต่งเพลงสำหรับเด็ก แบบที่ตัวเองเคยฟังจากรายการเด็กอย่าง “ผึ้งน้อย” (พี่นำบุญดูโทรทัศน์และร้องตามได้เยอะมาก ตอนนี้ก็ยังร้องได้) นี่คือ…งานที่อยากทำที่สุดในปี 2569

ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามเว็บไซต์นิทานเล็ก ๆ เว็บไซต์นี้นะครับ พี่นำบุญ (ที่แก่มากแล้ว) พยายามทำเว็บไซต์นี้เต็มที่ ด้วยความรู้ด้านเทคโนโลยีที่จำกัด แต่สิ่งที่มั่นใจว่ามีไม่แพ้ใคร คือ ความปรารถนาดีต่อผู้อ่าน ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจมากมายที่ส่งมาให้ ขอให้ทุกคนมีความสุขทั้งกายและใจตลอดปีและตลอดไป สวัสดีปีใหม่ครับ

Posted in Uncategorized

ข้อคิดจากพระราชา : นิทานสอนใจเรื่องการทำงานร่วมกันและการฟังความคิดของผู้อื่น

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของความคิด การเรียนรู้ที่จะ “คิดอย่างลึกซึ้ง” และ “ฟังอย่างเข้าใจ” คือทักษะสำคัญที่เด็ก ๆ ทุกคนควรได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัย

นิทานเรื่อง ข้อคิดจากพระราชา เป็นนิทานสอนใจที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ถึงการคิดอย่างมีเหตุผล การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง และการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งล้วนเป็นหัวใจของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

แม้ทุกคนจะมีสิทธิ์ในการคิด แต่การยึดถือเฉพาะความคิดของตนโดยไม่เปิดใจรับฟังผู้อื่น มักนำไปสู่ความขัดแย้งและการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ นิทานเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกฝนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการร่วมมือกันเพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่า

กาลครั้งหนึ่ง ณ ห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีดาวดวงหนึ่งต้องเผชิญกับปัญหาความแห้งแล้งจนเข้าขั้นวิกฤต

พระราชาผู้ปกครองดวงดาวจึงให้ประชาชนช่วยกันเสนอความคิดเพื่อหาวิธีรับมือกับภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้น

“คุณดิน” นักปั้นภาชนะเสนอความคิดว่า “เราควรหาทางสำรองน้ำด้วยการทำตุ่มบรรจุน้ำให้ได้มากที่สุด เพราะนี่คือวิธีรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่จำเป็นที่สุดในขณะนี้”

“คุณเขียว” นักปลูกต้นไม้เสนอความเห็นว่า “เราควรปลูกต้นไม้ทดแทนป่าที่ถูกทำลายให้ได้มากที่สุด เพราะนี่คือวิธีจัดการกับปัญหาที่ดีที่สุดในระยะยาว”

“คุณคิด” นักปราชญ์ผู้เฉลียวฉลาดบอกทุกคนว่า “เราควรเปลี่ยนนิสัยให้ทุกคนรักสิ่งแวดล้อมและหันมาใช้น้ำอย่างประหยัดที่สุด เพราะนี่คือวิธีที่ยั่งยืนที่สุดในการแก้ปัญหา”

เมื่อประชาชนได้ฟัง ประชาชนแต่ละคนก็เลือกเชื่อแนวคิดที่ตรงกับความคิดของตนเอง และกล่าวหาว่าความคิดของคนอื่นไม่เข้าท่า

ไป ๆ มา ๆ การทะเลาะเบาะแว้งของประชาชนก็เริ่มลุกลามจนพระราชาต้องลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวกับทุกคนว่า “ถ้าอยากรู้ว่าแนวคิดของใครดีที่สุด คนที่คิดเหมือนกันก็ลองรวมตัวกันไปทำตามความคิดนั้น ๆ แล้วเราจะตัดสินให้ว่าวิธีของใครดีที่สุดกันแน่?”

ไฟแห่งความโมโหโทโส ทำให้ประชาชนทุกคนพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะกัน ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม แล้วแยกกันไปทำตามแนวคิดของผู้นำที่ตนสนับสนุน โดยทุกคนตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้กลุ่มของตัวเองชนะ

หลายเดือนผ่านไป คุณดินและผู้สนับสนุนจัดทำตุ่มบรรจุน้ำหลายพันใบไว้รองน้ำฝนหลงฤดู ซึ่งทำให้ทุกคนผ่านช่วงวิกฤตของการไม่มีน้ำใช้ได้อย่างฉิวเฉียด

ส่วนคุณเขียวและผู้สนับสนุนได้ลงมือปลูกต้นไม้ โดยศึกษาพันธุ์ของต้นไม้ที่เหมาะสมและทำให้ดาวทั้งดวงมีต้นไม้เพิ่มขึ้นหลายหมื่นต้น ซึ่งเมื่อประมวลผลดูแนวโน้มในอนาคตก็พบว่า ต้นไม้เหล่านี้จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและทำให้ปัญหาภัยแล้งหมดไปได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ฝ่ายคุณคิดและผู้สนับสนุนได้ทำการให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงวิธีลดการใช้น้ำ เช่น การเชิญชวนให้ทุกคนใช้แก้วน้ำตอนแปรงฟัน แทนการเปิดน้ำจากก๊อกแล้วแปรงฟันไปเรื่อย ๆ ซึ่งการให้ความรู้ต่าง ๆ ช่วยทำให้ปริมาณการใช้น้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อทั้งสามกลุ่มนำผลงานมาแจ้งให้พระราชาทราบเพื่อให้พระองค์ช่วยตัดสินว่าวิธีของใครเป็นวิธีที่ดีที่สุด พระราชาก็ทรงยิ้ม แล้วถามคุณดิน คุณเขียวและคุณคิดว่า ในมุมมองของพวกเขา ความคิดของใครเป็นความคิดที่ดีที่สุด

คุณดิน คุณเขียวและคุณคิดใช้เวลาใคร่ครวญอยู่สักพัก พวกเขาเปรียบเทียบตอนที่ประชาชนเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันกับตอนที่ประชาชนร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน จากนั้น ทั้งสามก็ยิ้มให้พระราชาก่อนที่จะตอบเหมือน ๆ กันว่า “ความคิดของแต่ละคนล้วนมีข้อดีไม่แพ้กัน กลุ่มหนึ่งเหมาะที่จะใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อีกกลุ่มเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว และกลุ่มสุดท้ายเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น พวกเราจึงเห็นว่า ทุกวิธีมีคุณค่าไม่แพ้กัน และจะมีคุณค่ามากขึ้น เมื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน”

พระราชาทรงยิ้มแล้วกล่าวว่า “การทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย แต่การร่วมมือร่วมใจกันต่างหาก ที่ทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าทุกคนรู้ความลับในข้อนี้ ไม่ว่าจะมีภัยใด ๆ เกิดขึ้น พวกเราก็จะสามารถแก้ไขและฝ่าฟันมันไปได้เสมอ”

ข้อคิดจากพระราชาทำให้ประชาชนตาสว่าง ประชาชนต่างพากันขอบคุณพระราชาและกล่าวขอโทษคนอื่น ๆ ที่พวกเขาเคยพาดพิงว่ากล่าว

ในที่สุด ปัญหาภัยแล้งก็ค่อย ๆ คลี่คลายลง และประชาชนในดาวดวงนั้นก็พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาในทุกรูปแบบ เพราะในตอนนี้ พวกเขามี “ข้อคิดจากพระราชา” ซึ่งเป็นเคล็ดลับอันแสนวิเศษในการต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน

Posted in Uncategorized

เธอยังเป็นที่รักของใครบางคน – เพลงให้กำลังใจในวันที่ท้อแท้

ในการแต่งเพลงจากนิทาน มีเพลงอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือเพลงที่เล่านิทานตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ และเพลงแบบที่สอง คือ เพลงที่นำแรงบันดาลใจจากนิทานที่ได้อ่าน มาแต่งเป็นเพลง

นิทานเรื่อง “เรายังเป็นที่รักของใครบางคน” เป็นนิทานที่เล่าเรื่องราวของตุ๊กตากระต่ายหูเดียวที่ถูกทิ้ง ทำให้มันท้อแท้และรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า แต่ในที่สุด มันก็พบว่า มันยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่

สิ่งที่นิทานอยากสื่อสาร ในส่วนหนึ่งคือเรื่องของตุ๊กตากระต่าย แต่อีกส่วนคือการส่งกำลังใจไปยังคนที่ต้องอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก เช่น การต้องเผชิญกับความทุกข์ที่แสนสาหัส หรือ อาจเป็นคนที่ต้องเจอกับโรตซึมเศร้า เมื่อผมคิดจะแต่งเพลง แทนที่ผมจะเล่านิทานเรื่องนี้ในรูปแบบของเพลงเล่านิทาน ผมได้เลือกแต่งเนื้อเพลงเป็นการให้กำลังใจและให้ข้อคิดแก่ผู้ฟัง ซึ่งมันอาจเป็นประโยชน์มาก ๆ สำหรับคนที่อยู่ในภาวะแบบเดียวกับตุ๊กตากระต่ายในเรื่อง

เพลง “เธอยังเป็นที่รักของใครบางคน” จึงเป็นเพลงที่ผมตั้งใจทำมาก ๆ เพราะมันคือความปรารถนาดีจากใจของผม ที่อยากส่งกำลังใจให้แก่ผู้ฟังจริง ๆ

เมื่อฟังเพลงนี้ไปแล้ว หากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

กาลครั้งหนึ่ง มีตุ๊กตาตัวหนึ่งชื่อ “เจ้าหูเดียว” เพราะมันมีหูแค่ข้างเดียว หลังจากถูกเจ้าของเดิมทอดทิ้ง มันถูกวางไว้ในแผงขายตุ๊กตามือสองกลางตลาด พร้อมกับตุ๊กตาเก่า ๆ ตัวอื่น ๆ

คืนนั้น เจ้าหูเดียวร้องไห้ไม่หยุด มันเสียใจที่เคยเป็นที่รัก แต่กลับถูกทิ้งเมื่อเก่าและชำรุด “ฉันยังอยากเป็นที่รักของใครสักคนอยู่นะ…” มันพึมพำเบา ๆ

ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น “เธอจ๊ะเธอจ๋า หันมาทางนี้หน่อย” เจ้าหูเดียวหันไปพบตุ๊กตาตาหวานที่ยิ้มให้ “ฉันก็เคยถูกทิ้งเหมือนกันนะ อย่าร้องไห้เลย เธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่”

แล้วตุ๊กตาปากจู๋ก็โผล่มา หอมแก้มเจ้าหูเดียวเบา ๆ “ยินดีต้อนรับนะ เธอยังมีค่าเสมอ” และสุดท้าย เจ้าฮักตุ๊กตาขนปุกปุยก็โอบกอดเจ้าหูเดียวแน่น “ยิ้มเข้าไว้ เพราะเธอยังเป็นที่รักของใครบางคนอยู่”

ตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ก็เข้ามาให้กำลังใจ บ้างลูบตัว บ้างร้องเพลง บ้างแค่เอาหัวอิงใกล้ ๆ โดยไม่พูดอะไรเลย แต่ทุกการกระทำนั้นเต็มไปด้วยความรัก

เจ้าหูเดียวซาบซึ้ง น้ำตาไหลด้วยความอบอุ่น มันได้เรียนรู้ว่า… การเป็นที่รักของใครบางคน คือสิ่งที่มีค่ามากเหลือเกิน และจากวันนั้น มันตั้งใจจะมอบความรักให้กับคนอื่นบ้าง เพราะแม้จะเก่า ชำรุด หรือโดดเดี่ยว… เราก็ยังเป็นที่รักของใครบางคนได้เสมอ

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เราก็ยังเป็นที่รักของใครบางคน ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพประกอบนิทาน เรายังเป็นที่รักของใครบางคน ตุ๊กตามือสองนั่งรวมกัน สีโทนหม่น เห็นตุ๊กตาหูเดียวอยู่ด้านหน้า
ภาพประกอบนิทานก่อนนอนเรื่อง เรายังเป็นที่รักของใครบางคน ถ่ายทอดความรู้สึกอบอุ่นใจผ่านตุ๊กตามือสองที่ยังคงมีคุณค่าและเป็นที่รัก
Posted in Uncategorized

เพลงเล่านิทาน : ซินเดอเรล่า – จากนิทานคลาสสิกสู่บทเพลงอันอบอุ่น

ซินเดอเรลล่า เป็นหนึ่งในนิทานคลาสสิกที่ครองใจผู้คนทั่วโลกมาหลายศตวรรษ ด้วยเรื่องราวของความหวัง ความเมตตา และการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากความยากลำบากสู่ความงดงาม นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากยุโรป โดยมีหลายเวอร์ชั่นที่เล่าต่อกันมา ทั้งฉบับของชาร์ลส์ แปโรต์ และพี่น้องกริมม์ ซึ่งต่างก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว

ครั้งนี้ ผมขอนำเสนอ เพลงเล่านิทานซินเดอเรลล่า ที่แต่งขึ้นเอง โดยตั้งใจให้เป็นบทเพลงที่ฟังเพลิน ๆ ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ มีให้เลือกฟัง 2 เวอร์ชั่น—เสียงร้องผู้หญิงและเสียงร้องผู้ชาย—เพื่อให้เข้ากับอารมณ์และความชอบของแต่ละคน

เพลงนี้เป็นการทดลองนำนิทานคลาสสิกมาเล่าในรูปแบบใหม่ ที่ผสมผสานความอบอุ่นของเนื้อเรื่องเข้ากับท่วงทำนองที่ฟังง่ายและชวนฝัน หากคุณเคยหลงรักเรื่องราวของซินเดอเรลล่า ลองฟังเพลงนี้ดูครับ อาจทำให้คุณยิ้มได้อีกครั้ง

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นิทานเรื่อง : ซินเดอเรลล่า(ฉบับย่อ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยชื่อ “ซินเดอเรลล่า” ผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน เธอเป็นลูกสาวของเศรษฐี แต่เมื่อแม่แท้ ๆ เสียชีวิต พ่อของเธอก็แต่งงานใหม่กับหญิงม่ายที่มีลูกติดสองคน หลังจากพ่อเสียชีวิต แม่เลี้ยงกลับกลายเป็นคนใจร้าย ใช้ให้ซินเดอเรลล่าทำงานหนักทุกวัน และปฏิบัติเธอราวกับคนรับใช้

วันหนึ่ง พระราชาเชิญหญิงสาวทั่วเมืองไปร่วมงานเต้นรำ เพื่อให้เจ้าชายได้เลือกคู่ครอง แม่เลี้ยงและลูกสาวต่างตื่นเต้น เตรียมตัวอย่างเต็มที่ แต่กลับห้ามซินเดอเรลล่าไปงานด้วย

ขณะที่ซินเดอเรลล่าร้องไห้ด้วยความเสียใจ นางฟ้าประจำตัวก็ปรากฏตัวขึ้น และใช้เวทมนตร์เนรมิตชุดราตรี รองเท้ากลาส และรถม้าให้เธอ พร้อมเตือนว่าเวทมนตร์จะหมดลงเมื่อถึงเที่ยงคืน

ในงานเต้นรำ เจ้าชายตกหลุมรักซินเดอเรลล่าทันที เพราะเธอเรียบง่ายและงดงามอย่างแท้จริง ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างมีความสุข แต่เมื่อใกล้เที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าต้องรีบกลับบ้านโดยไม่ได้บอกลา และทำรองเท้าแก้วหล่นไว้

เจ้าชายตามหารองเท้าแก้วทั่วเมือง และเมื่อซินเดอเรลล่าได้ลองสวม รองเท้าก็พอดีเป๊ะ ทหารจึงพาเธอไปพบเจ้าชาย และทั้งสองก็ได้แต่งงานกันในที่สุด

ซินเดอเรลล่าได้กลายเป็นเจ้าหญิง และไม่ต้องทนอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายอีกต่อไป ส่วนแม่เลี้ยงและลูกสาวก็หนีออกจากเมืองไปอย่างไร้ร่องรอย

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง ซินเดอเรลล่า ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงแบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพซินเดอเรลล่าในชุดราตรีสีฟ้า กำลังวิ่งลงบันไดจากงานเลี้ยง พร้อมเจ้าชายที่ตามมา
ฉากสำคัญจากนิทานซินเดอเรลล่า เมื่อเจ้าหญิงหนีจากงานเลี้ยงก่อนเที่ยงคืน
Posted in Uncategorized

เพลงเล่านิทาน : พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์

ในบรรดานิทานนำบุญที่ผมแต่ง นิทานเรื่องพรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์ ถือว่าเป็นนิทานเรื่องยิ่งใหญ่ ที่หากเทียบกับภาพยนตร์ก็ต้องบอกว่าอยู่ในหมวดเดียวกับภาพยนตร์แนวมหากาพย์ เพราะฉากและเรื่องราวยิ่งใหญ่อลังการมาก ๆ

นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมชอบ แต่ผมไม่แน่ใจเลยว่าผู้อ่านจะชอบไหม เพราะเรื่องราวของนิทานไม่ได้อ่อนหวานหรือตลกขบขัน แต่หลังจากลงนิทานเรื่องนี้ให้อ่านในหมวดนิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ ผลปรากฎว่า มีผู้อ่านหลายท่านส่งข้อความมาบอกว่าชอบนิทานเรื่องนี้มาก

เมื่อผมปรับปรุงเว็บไซต์นิทานนำบุญและตั้งใจจะทำหมวดเพลงนิทาน-นิทานเพลง ซึ่งเป็นการแต่งเนื้อเพลงแล้วใช้ A.I.จากเว็บไซต์ suno.com ให้ช่วยสร้างเพลงให้ ผมจึงทดลองทำเพลงนิทานเอาไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเพลงจากนิทานเรื่อง “พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์” นี้ ผมเพิ่งทำเมื่อเช้า (7 สิงหาคม 2568) ซึ่งเป็นการทำเพลงครั้งแรกหลังจากชำระเงินเข้าสู่แพคเกจโปรของเว็บไซต์ suno.com (จ่าย 10 ดอลล่าร์ สร้างเพลงได้ 2500 ครั้งใน 1 เดือน)

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นานมาแล้ว มีชนเผ่าสองเผ่าอาศัยอยู่คนละด้านของภูเขาใหญ่ เผ่าหนึ่งบูชาพระอาทิตย์ เชื่อในพลังสร้างสรรค์ อีกเผ่าหนึ่งบูชาพระจันทร์ เชื่อในพลังแห่งความสงบเย็น ทั้งสองเผ่าไม่รู้ว่ามีอีกเผ่าอยู่ฝั่งตรงข้าม และต่างก็ยากจนไม่แพ้กัน

วันหนึ่ง ผู้นำของทั้งสองเผ่าฝันว่าดวงอาทิตย์และพระจันทร์หายไป หมอผีจึงทำนายให้สร้างวิหารบนยอดเขาเพื่อบูชาเทพ ทั้งสองเผ่าเริ่มออกเดินทางขึ้นเขาในวันเดียวกัน และไปถึงยอดเขาพร้อมกันโดยไม่รู้ล่วงหน้าล

เมื่อพบกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่ายอดเขานั้นเป็นของตน ความขัดแย้งเริ่มปะทุจนแทบจะเกิดสงคราม ผู้คนลืมความศรัทธาและคุณค่าของเทพที่ตนนับถือ

พระอาทิตย์จึงดับแสง และพระจันทร์ไม่ขึ้นมา ความมืดและความหนาวเย็นปกคลุมยอดเขา ผู้คนจึงเริ่มตระหนักว่าพวกเขาหลงทางจากเจตนารมณ์เดิม

ในที่สุด ผู้นำทั้งสองขอโทษกัน และตัดสินใจร่วมมือกันสร้างวิหารเดียว เพื่อบูชาทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์อย่างเท่าเทียม

เมื่อวิหารเสร็จสมบูรณ์ ทั้งแสงแดดและแสงจันทร์ก็กลับมา วิหารที่ผสานศิลปะสองเผ่ากลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนหลั่งไหลมาสักการะ นำความรุ่งเรืองมาสู่สองเผ่า

ไม่นาน ชนเผ่าทั้งสองก็รวมเป็นเผ่าเดียว กลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งและเปี่ยมสุข

ในส่วนของเพลง พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์ ถ้าอ่านเรื่องย่อของนิทานก่อนฟังเพลง จะพบว่า เนื้อหาถือว่าใกล้เคียงมาก ส่วนการร้องและดนตรี ทำให้รู้สึกเหมือนได้ดูละครเพลงเลยครับ

ท่านที่ชอบเพลงนิทาน-นิทานเพลงในคลิป และอยากอ่านนิทานฉบับเต็ม ผมขอนำลิงค์มาแปะไว้ให้ นิทานฉบับเต็มมีรายละเอียดที่สมบูรณ์กว่าฉบับย่อ หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

Posted in Uncategorized

นิทานอีสป สอนใจ | หมากับเงา

นิทานอีสป (Aesop’s Fables) คือวรรณกรรมคลาสสิกที่ได้รับความนิยมทั่วโลกมานานหลายศตวรรษ เป็นนิทานขนาดสั้นที่แฝงข้อคิดและคติสอนใจไว้อย่างเรียบง่าย เข้าใจง่าย และเหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่สามารถเรียนรู้คุณธรรมและการแยกแยะความดีความชั่วได้จากเรื่องเล่าแสนสนุกเหล่านี้

หนึ่งในผู้แปลนิทานอีสปให้เป็นภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย คือ จอร์จ ไฟเลอร์ ทาวน์เซนด์ (George Fyler Townsend) ซึ่งแปลผลงานไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1867 งานแปลของเขามีความเรียบง่าย ตรงประเด็น และคงความหมายของนิทานต้นฉบับไว้อย่างชัดเจน จนกลายเป็นฉบับมาตรฐานที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงและแปลต่อในหลายภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย

ในหน้านี้ คุณจะได้พบกับ นิทานอีสปเรื่อง “หมากับเงา” ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าคลาสสิกจากฉบับแปลของ Townsend ที่ยังคงเปี่ยมด้วยข้อคิดแม้เวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปี เป็นนิทานที่สอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่มี และไม่หลงเชื่อภาพลวงตาจนทำลายสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในมือ

Original (Townsend):

A dog, crossing a bridge over a stream with a piece of meat in his mouth, saw his own shadow in the water and took it for another dog with a piece of meat double his own. He immediately let go of his own and fiercely attacked the other dog to get his larger piece. He thus lost both: that which he grasped at in the water, because it was a shadow, and his own, because the stream swept it away.

แปลไทยแบบตามเนื้อหา:

สุนัขตัวหนึ่งคาบเนื้อข้ามสะพาน เมื่อมองลงไปในน้ำ เห็นเงาของตนเองก็คิดว่าเป็นสุนัขตัวอื่นถือเนื้อชิ้นใหญ่กว่า จึงอ้าปากจะคว้าชิ้นของผู้อื่น ทำให้เนื้อที่คาบอยู่ตกลงไปในน้ำ และเงาก็หายไปตามกระแสน้ำเช่นกัน

แปลไทยแบบเข้าใจง่าย:

หมาคาบเนื้อเดินข้ามสะพาน เห็นเงาในน้ำคิดว่าเป็นหมาอีกตัวที่ได้เนื้อใหญ่กว่า มันรีบกระโจนใส่เงา เนื้อของตัวเองเลยหล่นน้ำไป ส่วนเนื้อในเงาก็ไม่มีจริง มันเลยไม่ได้อะไรเลย

ข้อคิด:

โลภมากลาภหาย



Posted in Uncategorized

นิทานอีสป สอนใจ | ราชสีห์กับหนู

ในบางคืน ที่คุณพ่อคุณแม่ง่วงมาก ๆ หลังจากอ่านนิทานให้ลูกฟังไปแล้ว 1 เรื่อง ลูกอยากขอฟังนิทานเพิ่มอีกเรื่อง หรือคุณครูที่อยากให้รางวัลเด็ก ๆ ด้วยนิทาน แต่มีเวลาไม่มากนัก นิทานอีสปสอนใจ ที่แปลจากต้นฉบับของ George Fyler Townsend น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

นิทานชุดนี้ จะนำเสนอนิทานอีสปฉบับภาษาอังกฤษตามสำนวนของ George Fyler Townsend โดยแปลเป็นไทย 2 แบบ คือ แบบตามเนื้อหา และแบบเข้าใจง่าย

Original (Townsend):

A Lion was awakened by a Mouse running over his face. Rising in anger, he caught him and was about to kill him. The Mouse pleaded for his life, saying:
“Spare me, and I will repay you someday.”
The Lion laughed but let him go.
Later, the Lion was caught in a net. The Mouse came and gnawed the ropes, and set him free.

แปลไทยแบบตามเนื้อหา:

สิงโตตื่นขึ้นเพราะหนูวิ่งผ่านหน้า ด้วยโทสะ มันจับหนูไว้และคิดจะฆ่าเสีย หนูจึงร้องขอชีวิตว่า “โปรดไว้ชีวิตข้า แล้ววันหนึ่งข้าจะตอบแทนท่าน”
สิงโตหัวเราะ แต่ก็ปล่อยหนูไป
ไม่นาน สิงโตติดกับดัก หนูกลับมา กัดเชือกขาดและปล่อยสิงโตเป็นอิสระ

แปลไทยแบบเข้าใจง่าย:

หนูตัวเล็กก็ช่วยสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้น คนเล็ก ๆ ก็ทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้

ข้อคิด:

อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่า เพราะเขาอาจช่วยเราได้ในยามยาก

Posted in Uncategorized

นิทานเรื่อง พลับ…ยอดนักพับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า “พลับ” พลับเป็นนักพับกระดาษที่มีฝีมือเหนือชั้น ใครต่อใครต่างพากันชมว่า เขาพับอะไรก็ออกมา ก็สวยงาม น่าทึ่ง และดูมีชีวิตชีวาราวกับเนรมิต

เขาพับปลาที่ดูเหมือนกระโดดได้ เขาพับนกที่ปีกดูเหมือนขยับได้ เขาพับช้างที่วางให้เดินบนเส้นด้ายได้อย่างสมดุล เด็ก ๆ มองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย ผู้ใหญ่ต่างพากันยกย่องเขา ไม่นานนัก…พลับก็เริ่มหลงใหลในฝีมือของตนเอง

“ไม่มีใครในโลกนี้ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกรเกินเราอีกแล้ว!” พลับคิด “ฉันคือสุดยอดแห่งการพับที่ไม่มีใครเทียบได้”

เมื่อพลับหลงในฝีมือตัวเอง เขาจึงชอบเดินอวดตัวไปทั่วเมือง พร้อมกับโชว์ฝีมือการพับกระดาษให้ทุกคนได้เห็น ใครเดินผ่านมา ก็จะได้ยินเสียงของเขาโม้ถึงเรื่องความสามารถของตัวเอง ซึ่งเขาก็เก่งจริงตามที่โม้ทุกประการ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระราชาประกาศจัดการแข่งขันพับกระดาษระดับอาณาจักร ของรางวัลคือ “ตั๋วแลกทองคำ” 1 ใบ ที่นำมาแลกทองคำจริง ๆ ได้ 1 หีบ

แน่นอนว่า…พลับรีบสมัครเข้าร่วม และแน่นอนอีกว่า…เขาชนะขาดลอย

เมื่อพลับชนะ พระราชาจึงมอบตั๋วแลกทองคำให้แก่พลับ พลับรับตั๋วกระดาษอันมีค่านั้นไว้ พลางยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจสุดขีด

ครั้นเมื่อพลับกลับถึงบ้าน ความกังวลก็เริ่มคืบคลานเข้ามา “ถ้ามีคนมาขโมยตั๋วแลกทองคำของเราไปล่ะ?” พลับกังวล “ถ้ามันเปียก… ถ้ามันหล่นหาย… แล้วเราจะทำอย่างไร?”

พลับเดินวนไปเวียนมา คิดแล้วคิดอีก คิด ๆ เท่าไร คิดไม่ออกซักที จนในที่สุด…พลับก็ได้ความคิดที่เขาคิดว่า “อัจฉริยะเท่านั้นที่จะคิดได้”

“ฉันจะพับตั๋วใบนี้ให้เล็กที่สุดในโลก พับให้เล็กกระจิริด กระจ้อยร่อย กระจิ๋วหลิว กระจุกกระจิก กระดุกกระดิก กระดุ๊กกระดิ๊ก … (พอเถอะ) เล็กจนไม่มีใครมองเห็น!”

เมื่อคิดเช่นนั้น พลับจึงนั่งลง แล้วพับตั๋วแลกทองด้วยความตั้งใจ พลับพับแล้วก็พับ พับแล้ว…
พับอีก…พับให้เล็กลง เล็กลง…เล็กลงเล็กลงเรื่อย ๆ พลับพับเก่ง เขาพับกระดาษตั๋วแลกทองให้เล็กได้มากกว่าที่ทุก ๆ คนจะจินตนาการได้ จนในที่สุด…

“เอ๊ะ! หายไปไหนแล้ว?”

พลับมองซ้าย มองขวา ควานหาใต้โต๊ะ พลิกหมอน สลัดผ้าห่ม แต่ตั๋วก็ไม่อยู่ตรงไหนเลย “โอ๊ย! ฉันพับเก่งเกินไปจริง ๆ… ตั๋วของฉัน…หายไปแล้ว”

เมื่อหาตั๋วแลกทองคำไม่พบ พลับจึงรีบวิ่งไปหาพระราชา แล้วขอร้องพระองค์ด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หม่อมฉันเผลอพับตั๋ว จนตั๋วหายไปแล้ว ขอตั๋วอีกใบเถิดพระเจ้าข้า”

พระราชายิ้มให้พลับ แต่ส่ายหน้าช้า ๆ พลางกล่าวว่า “ข้ามีตั๋วแค่ใบเดียว ทำซ้ำไม่ได้ และเจ้าก็เป็นคนทำหายไปเองนะ พลับ”

พลับยืนนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เขารู้สึกเหมือนตนเองตกลงมาจากที่สูง ไม่ใช่เพราะทองคำหายไป แต่เพราะเขาเพิ่งรู้ว่า…ความเก่งไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง

เขาพบว่า ความเก่งกาจอาจผิดพลาด..เมื่อขาดสติ

วันนั้น พลับเดินกลับบ้านเงียบ ๆ มือว่างเปล่า ใจหนักอึ้ง แต่เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า

วันต่อมา พลับยังคงพับกระดาษ แต่คราวนี้ เขาพับกระดาษอย่างมีสติ ไม่ใช่การพับกระดาษเพื่ออวดใคร ๆ อย่างที่ผ่านมา

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพลับทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว พลับบอกกับตัวเองว่า “บางครั้ง…บทเรียนที่ได้จากความผิดพลาด ก็มีคุณค่าไม่แพ้รางวัลที่สูญเสียไปเลย เพราะในเวลานี้ ฉันได้รู้แล้วว่า สติมีความสำคัญต่อชีวิตมากเพียงใด”

Posted in ห้องเรียนคลังความรู้, ห้องเรียนภาษาอังกฤษ, Uncategorized

ห้องเรียนภาษาอังกฤษ

Posted in Uncategorized

ค่าลิขสิทธิ์และค่าจ้าง

……………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………