ในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลก ร่วมใจกัน “เก็บตัวอยู่บ้าน ต้านโควิด-19” ผมมีเวลาว่าง จึงนั่งอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องโควิด 19 จนพบบทความที่พูดถึงโควิดว่า เป็นการจัดการของธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลให้โลก เพราะโลกมีการทำลายธรรมชาติมากเกินไป จนเกิดมลพิษสารพัด ผู้คนวุ่นวายบูชาแต่วัตถุ มีแต่การทะเลาะเบาแว้ง สงคราม การแย่งชิง การแพร่ระบาดของไวรัสจึงเป็นการเตือนสติจากธรรมชาติ ที่ต้องการให้มนุษย์ได้ระลึกว่า “สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ไม่ใช่มนุุษย์ แต่เป็นธรรมชาติ ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกัน และไม่รู้จักการดูแลธรรมชาติให้ดี วันหนึ่ง ธรรมชาติก็จะเอาทุกอย่างคืน”
เมื่อได้อ่านบทความดังกล่าว ผมจึงนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยแต่งไว้นานมากแล้ว เป็นนิทานที่ถือว่ามีเนื้อเรื่อง “ใหญ่” กว่านิทานปกติที่เคยเขียน (ปกติ นิทานที่แต่งลงนิตยสารขวัญเรือน จะมีความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 เนื้อเรื่องจึงจำเป็นต้องเรียบง่าย เพื่อให้จบได้ใน 2 หน้ากระดาษ แต่นิทานเรื่องนี้ ผมตั้งใจที่จะเขียนมาก ๆ เพราะอยากให้ผู้คนเคารพธรรมชาติมากกว่าที่เป็นอยู่ และเลิกทะเลาะเบาะแว้งกันเสียที จึงพยายามเขียนออกมาจนได้) หวังว่านิทานเรื่องนี้จะไม่หนักเกินไปสำหรับเด็ก ๆ นะครับ ผมจัดหมวดให้อยู่ในประเภท นิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ หรือ นิทานคุณธรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ นิทานรักโลก อะไรทำนองนี้ หวังว่าเนื้อหาของนิทานเรื่องนี้จะมีคุณค่าต่อเด็กและผู้ใหญ่ให้รักธรรมชาติและเพื่อนร่วมโลกมากขึ้นครับ
นิทานเรื่อง พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์
นานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีชนเผ่าเก่าแก่สองชนเผ่าตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยมีภูเขาสูงกั้นขวางพวกเขาเอาไว้ ชนเผ่าทั้งสองไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งของภูเขามีคนอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน และผู้คนแต่ละเผ่าต่างก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้นไม่แพ้กัน
ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของภูเขาบูชาพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้า พวกเขาศรัทธาในพลังสร้างสรรค์ของพระอาทิตย์ พวกเขาจึงตั้งใจที่จะใช้พลังสร้างสิ่งดีงามให้โลกเหมือนกับที่พระอาทิตย์ให้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นแก่ทุกสรรพสิ่ง
ส่วนชนเผ่าที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของภูเขานับถือพระจันทร์เป็นเทพเคารพ ทั้งนี้เพราะพวกเขาศรัทธาในดวงจันทร์ที่มอบความสว่างและสงบเย็นให้โลกในยามค่ำคืน พวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะใช้พลังสร้างความสุขสงบให้เกิดขึ้นแก่ทุกชีวิตเช่นเดียวกับพลังของพระจันทร์ และหวังว่าสักวันพระจันทร์ที่พวกเขาเคารพจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
วันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพระอาทิตย์ ฝันเห็นพระอาทิตย์หายวับไป เมื่อเขาตื่น เขาจึงนำเรื่องไปปรึกษาหมอผีประจำเผ่า หมอผีโยนท่อนไม้ทำนายเข้าไปในกองไฟ จากนั้น หมอผีก็แนะนำให้หัวหน้าเผ่าพาชาวเผ่าไปสร้างวิหารบูชาพระอาทิตย์บนยอดเขาสูง
ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพระจันทร์ก็ฝันเห็นพระจันทร์หายวับไป เมื่อเธอนำเรื่องไปปรึกษาแม่หมอประจำเผ่า แม่หมอนักทำนายจึงใช้หินทำนายฝัน แล้วแนะนำให้หญิงสาวพาชาวเผ่าไปสร้างวิหารบูชาพระจันทร์บนยอดเขาเช่นกัน
แม้หัวหน้าเผ่าและชนเผ่าทั้งสองจะไม่เคยขึ้นไปบนยอดเขาเลย แต่เมื่อหมอผีทำนายเช่นนั้น ชาวเผ่าทุกคนซึ่งมีศรัทธาอันแรงกล้าจึงพร้อมใจกันขนเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ขึ้นไปสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาที่สูงเทียมเมฆ
ชาวเผ่าทั้งสองออกเดินทางในวันเดียวกันและเวลาเดียวกัน….ด้วยระยะทางที่เท่ากัน ท้ายที่สุด คนจากทั้งสองเผ่าจึงขึ้นไปถึงยอดเขาพร้อม ๆ กัน
เมื่อหัวหน้าเผ่าหนุ่มเห็นคนต่างเผ่าปรากฏตัวที่ยอดเขาอันเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา หัวหน้าเผ่าหนุ่มจึงรีบอ้างว่าตนเป็นเจ้าของพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น แต่หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าเผ่าที่นับถือพระจันทร์กลับไม่ยอมอ่อนข้อให้ เธอรีบโต้แย้งพร้อมกับปักคทาประจำเผ่าลงบนพื้นดินอย่างไม่รอช้า
ทันทีที่หัวหน้าเผ่าทั้งสองแสดงท่าทีว่าต้องการครอบครองพื้นที่แห่งเดียวกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอก บรรยากาศจึงตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ชาวเผ่าบางคนเริ่มนำเครื่องใช้ในการสร้างวิหารออกมาถือแทนอาวุธ ผู้หญิงและเด็กต่างหยิบก้อนหินใกล้ตัวมาถือไว้ในมือเผื่อต้องใช้ในการต่อสู้ ผู้คนทั้งสองเผ่าลืมพลังสร้างสรรค์แห่งพระอาทิตย์และลืมพลังแห่งความอ่อนโยนของพระจันทร์ไปจนหมดสิ้น ต่างฝ่ายต่างคิดแต่จะใช้กำลังเข้าแย่งชิงพื้นที่ที่ตนเองหวังจะครอบครองเท่านั้น
ในขณะที่ผู้คนทั้งสองเผ่าตั้งท่าจะใช้กำลังประหัตประหารกัน พระอาทิตย์กับพระจันทร์จึงแสดงปาฏิหาริย์ให้ทุกคนได้เห็น โดยพระอาทิตย์ค่อย ๆ ทอนแสงลงจนมืดสนิท ส่วนพระจันทร์ก็ไม่ยอมขึ้นมาปรากฏตัวบนท้องฟ้า เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ท้ายที่สุด ความมืดและความหนาวเย็นจึงปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง
เมื่อชนเผ่าทั้งสองได้เห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น พวกเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าพวกเขาลืมความศรัทธาที่มีต่อพลังแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ไปด้วยความหลงผิด ทั้งยังลืมเป้าหมายหลักในการเดินทางที่พวกเขาต้องการสร้างวิหารแสดงความเคารพต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์…ไม่ใช่การแย่งพื้นที่บนยอดเขามาเป็นของตนหรือใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น
ชายหนุ่มหัวหน้าเผ่าพระอาทิตย์และหญิงสาวหัวหน้าเผ่าพระจันทร์จึงคิดได้พร้อม ๆ กันว่า หากพวกเขาร่วมมือกันสร้างวิหาร วิหารที่ได้ก็คงแข็งแรงและงดงามมากกว่าที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพราะเป็นการรวมพลังกันทั้งสองเผ่า มิหนำซ้ำ ยังเป็นการใช้พลังเพื่อสร้างสรรค์ (ตามแบบพระอาทิตย์) และเป็นการใช้พลังสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้สงบเย็น (เช่นเดียวกับพระจันทร์) เมื่อหัวหน้าเผ่าทั้งสองคิดได้เช่นนั้น ทั้งคู่จึงขอโทษกันและกัน แล้วชวนทุก ๆ คนสร้างวิหารบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ร่วมกัน
ครั้นเมื่อความขัดแข้งยุติลง พระอาทิตย์จึงค่อย ๆ ฉายแสงขึ้นอีกครั้งพร้อม ๆ กับพระจันทร์ที่ทอแสงนวลตาให้ชนเผ่าทั้งสองได้ประจักษ์ แต่ความอัศจรรย์ไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะเมื่อชนเผ่าทั้งสองสร้างวิหารสำเร็จ ความงดงามจากศิลปะของสองชนเผ่าก็ผสมผสานกันจนวิหารดูสวยล้ำมีพลังแต่สงบเย็นอย่างวิเศษ ผู้คนจากทั่วทุกหนทุกแห่งจึงดั้นด้นมาเยี่ยมชมและสักการะพระอาทิตย์กับพระจันทร์กันอย่างล้นหลาม ทำให้เงินทองจากนักเดินทางหลั่งไหลมาเลี้ยงชีพชาวเผ่าทั้งสองจนผู้คนเริ่มมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวเผ่าทั้งสองก็ค่อย ๆ ผูกพันกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและกลายเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งและเปี่ยมสุข
ในที่สุด ความร่วมมือร่วมใจกันและการใช้พลังอย่างสร้างสรรค์ก็ก่อให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุขขึ้น…ดั่งพรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์…ที่มอบแด่ผู้ซึ่งนับถือและศรัทธา
#นิทานนำบุญ
………………

ขอบคุณมากค่ะ สำหรับนิทานดีๆ ลูกชอบมาก
LikeLike
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ อยากรู้จังว่านิทานเรื่องไหนคือเรื่องโปรดครับ
LikeLike
คืนละสองเรื่องค่ะคนโต8ขวบคนเล็ก5ขวบ ลูกๆชอบมาก ขอบคุณมากค่ะที่สร้างนิทานให้เด็กๆได้อ่านได้ฟัง
LikeLike
ขอบคุณมาก ๆ เลยครับที่แวะมาส่งข่าวคราว ผมดีใจที่เด็ก ๆ ชอบนิทานนะครับ ทำให้มีแรงฮึดในการลงนิทานเพิ่ม เพราะคิดว่า เด็ก ๆ คงรออยู่ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
LikeLike
เป็นนิทานที่สนุกมากครับ ผมเล่าให้แฟน ฟังเกือบทุกวันเพราะแฟนเป็นคนหลับยาก บางวันไม่จบเรื่องก็หลับ บางวันหลับยากหน่อยต้องเล่า3-4เรื่อง ขอบคุณมากครับสำหรับนิทานดีๆ
LikeLike
ดีใจที่ชอบนะครับ ขอบคุณที่ส่งกำลังใจมานะครับ
LikeLike