“ธัมเบลิน่า” (Thumbelina) คือนิทานคลาสสิกจากประเทศเดนมาร์กที่ประพันธ์โดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานผู้ทรงอิทธิพลในศตวรรษที่ 19 โดยถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1835 ในนิทานชุดแรกของเขาที่ชื่อว่า Fairy Tales Told for Children เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขาที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
เรื่องราวของ “ธัมเบลิน่า” เล่าถึงการเดินทางของเด็กหญิงตัวจิ๋วผู้กล้าหาญที่ถูกพรากจากบ้าน และต้องเผชิญกับโลกกว้างที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งการถูกลักพาตัว การแต่งงานแบบคลุมถุงชน และการถูกตัดสินจากรูปลักษณ์ที่แตกต่าง ทว่าสุดท้าย เธอก็ได้ “เลือก” เส้นทางชีวิตของตัวเองด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง
นักวิเคราะห์วรรณกรรมมองว่า “ธัมเบลิน่า” เป็นนิทานที่สะท้อนแนวคิดเรื่อง การค้นหาตัวตนและสิทธิในการเลือกชีวิตของผู้หญิง ซึ่งถือว่าล้ำสมัยมากในยุคนั้น แม้จะอยู่ในรูปแบบนิทานแฟนตาซี แต่ก็มีมิติของสังคม วัฒนธรรม และจิตวิทยาแฝงอยู่ในแต่ละเหตุการณ์ เช่น การวิพากษ์การแต่งงานโดยปราศจากความรัก หรือการยอมจำนนต่อความคาดหวังของผู้อื่น
นิทานก่อนนอนเรื่อง “ธัมเบลิน่า” ที่ได้รับการเรียบเรียงขึ้นใหม่นี้ เป็นการเรียบเรียงโดยใช้ภาษาที่ละมุนละไม เข้าใจง่าย แต่ยังคงเคารพนิทานต้นฉบับ และเพิ่มน้ำหนักให้กับความรู้สึกภายในของตัวละคร เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ และผู้อ่านทั่วไปสามารถ เข้าถึงแก่นแท้ของเรื่อง ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
มาอ่าน นิทานเรื่อง “ธัมเบลิน่า” กันเถอะ…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ริมทุ่งตามลำพัง หญิงชรามักมองดอกไม้บานรับแสงแดดทุก ๆ วัน แม้มันน่าจะทำให้หัวใจของนางสดชื่น แต่ลึก ๆ แล้ว หัวใจของหญิงชรากลับเงียบเหงา ว้าเหว่ เพราะหญิงชรามีความปรารถนาหนึ่งที่ไม่เคยเป็นจริง นั่นคือ หญิงชราต้องการมีลูกสักคน
วันหนึ่ง หญิงชรารวบรวมความกล้า แล้วตัดสินใจเดินทางไปหาแม่มดใจดีที่อาศัยอยู่ในป่า เมื่อหญิงชราได้พบกับแม่มดใจดี นางก็พูดกับแม่มดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันอยากเป็นแม่ของเด็กสักคน ไม่ว่าจะตัวเล็กแค่ไหน ฉันก็จะรักและดูแลอย่างสุดหัวใจ”
แม่มดใจดียิ้ม จากนั้น นางก็มอบเมล็ดพืชสีทองให้แก่หญิงชรา พร้อมกับกล่าวว่า “จงปลูกเมล็ดพืชนี้ในกระถาง แล้วสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น”
หญิงชรารับเมล็ดพืชนั้นอย่างมีความหวัง เมื่อกลับถึงบ้าน นางปลูกเมล็ดพืชลงในกระถาง แล้ววางกระถางไว้บนโต๊ะริมหน้าต่าง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ต้นไม้ต้นน้อยก็งอกขึ้นมา โดยกลีบของมันดูนุ่มละมุนราวกับผ้าไหม และเมื่อแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาสัมผัสกับดอกไม้ ดอกไม้ก็แย้มกลีบเผยให้เห็น…เด็กผู้หญิงตัวจิ๋ว ที่นอนหลับสบายอยู่ในดอกไม้ดอกนััน
เมื่อหญิงชราเห็นภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า หญิงชราก็ถึงกับน้ำตาซึมด้วยความปลื้มปิติ หญิงชราค่อย ๆ อุ้มเด็กน้อยออกมาจากดอกไม้ด้วยความอ่อนโยน แล้วตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า “ธัมเบลิน่า” เพราะเธอมีขนาดตัวเท่ากับหัวแม่มือเท่านั้น
หลังจากนั้น หญิงชราจัดแจงทำเปลนอนจากเปลือกวอลนัต และปูผ้าห่มด้วยกลีบดอกไม้ เพื่อให้ธัมเบลิน่าได้อยู่อย่างสุขสบายที่สุด นอกจากนี้ หญิงชรายังเลี้ยงดูให้ธัมเบลิน่าเติบโตท่ามกลางเสียงเพลงที่แสนไพเราะ และมักพาธัมเบลิน่าออกไปเที่ยวเล่นท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น ซึ่งการดูแลธัมเบลิน่าเช่นนี้ ทำให้ธัมเบลิน่ามีจิตใจที่รักธรรมชาติ ชอบร้องเพลงให้แมลงฟัง และมีความสุขทุกครั้งที่ผีเสื้อบินมาเกาะที่ศีรษะของเธอ
แต่แล้ว คืนหนึ่ง…มีคางคกตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาในบ้านของหญิงชรา คางคกมองไปรอบตัว แล้วไปสะดุดตาเข้ากับธัมเบลิน่าที่นอนหลับอยู่ “ลูกชายของข้าเป็นหนุ่มแล้ว คงอยากได้เจ้าสาวน่ารักสักคน แต่ลูกชายข้าขี้อาย ข้าคงต้องช่วยลูกสักหน่อย”
เมื่อคิดเช่นนั้น นางคางคกก็กระโดดไปงับเปลที่ธัมเบลิน่านอนอยู่ แล้วลักพาตัวธัมเบลินา ลัดเลาะไปจนถึงสระน้ำบ้านของมัน ซึ่งเมื่อธัมเบลิน่าตื่น เธอก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนใบบัวที่ลอยอยู่กลางน้ำเสียแล้ว
“ที่นี่ที่ไหน…แล้วแม่ล่ะ?” ธัมเบลิน่าตกใจและร้องไห้ด้วยความกลัว
นางคางคกมองธัมเบลิน่าด้วยสายตาดุ ๆ จากนั้น นางก็พูดกับธัมเบลิน่าก่อนที่จะกระโดดลงน้ำว่า “เงียบได้แล้ว เดี๋ยวลูกชายของฉันจะมาขอเธอแต่งงาน อย่าเรื่องมากนะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
หลังจากนางคางคกว่ายน้ำออกไปได้ไม่นาน ลูกชายคางคกก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ แล้วปีนขึ้นมาบนใบบัว
ลูกชายคางคกหัวโต ตาโปน ผิวตะปุ่มตะป่ำ ดูน่ากลัวมาก มันจ้องมองธัมเบลิน่านิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ จ้องอยู่อย่างนั้น จ้อง…จ้อง…แล้วก็จ้อง ธัมเบลิน่าได้แต่กลัว กลัวจนตัวสั่น เธออยากหนีไปที่ไหนสักแห่ง…ที่ไม่ใช่ที่นี่ และที่สำคัญ เธอไม่อยากแต่งงานกับลูกชายคางคกหรือใครก็ตามที่เธอไม่ได้รัก
ฝูงปลาน้อยใต้ใบบัวได้ยินเสียงเธอร้องไห้ของธัมเบลิน่า พวกมันสงสารสาวน้อยธัมเบลิน่าจับใจ พวกมันจึงพูดคุยกันว่า “สาวน้อยตัวกระจิริด ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ เราต้องช่วยเธอนะ”
เมื่อคิดเช่นนั้น ปลาทั้งหลายจึงช่วยกันกัดก้านใบบัวจนขาด ทำให้ธัมเบลิน่าไถลลงน้ำ แล้วลอยตามกระแสน้ำไป
ครั้นเมื่อกระแสน้ำพาธัมเบลิน่าลอยผ่านป่าลึกไปได้สักพัก ในที่สุด ธัมเบลิน่าก็เกยขึ้นฝั่ง ซึ่งพอดีกับมีแมลงปีกแข็งตัวหนึ่งมาพบเธอเข้า เจ้าแมลงปีกแข็งจึงอุทานออกมาว่า “โอ้ว! นี่คือแมลงอะไรกันนะ หน้าตาดูแปลก แต่น่ารัก ฉันจะพาเธอไปพบกับเพื่อน ๆ ของฉัน บางที พวกเขาอาจจะรู้ว่าเธอคือแมลงอะไร”
เมื่อแมลงปีกแข็งพาธัมเบลิน่าบินขึ้นไปบนต้นไม้สูง เพื่อถามแมลงตัวอื่น ๆ ว่าธัมเบลิน่าคือแมลงอะไร แมลงตัวอื่น ๆ ต่างพากันหัวเราะ แล้วตอบว่า “แมลงอย่างพวกเรา ต้องมีหนวดและมีปีก แต่สาวน้อยคนนี้ไม่มีอะไรเหมือนพวกเราเลย แล้วจะเป็นแมลงได้ยังไง”
แมลงปีกแข็งอายเพื่อนมาก มันจึงพาธัมเบลิน่ามาทิ้งไว้ที่ใบไม้แห้ง แล้วมันก็รีบจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองเธออีก
ธัมเบลิน่านั่งกอดเข่าด้วยความสิ้นหวัง เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน และเส้นทางกลับบ้านต้องไปอย่างไร ลมหนาวพัดใบไม้ปลิวมาเป็นระยะ ธัมเบลิน่าคิดถึงบ้านมาก เธอคิดถึงหญิงชราผู้เป็นแม่ที่คอยดูแลเธอด้วยความรัก ความเมตตา เธอคิดถึงรอยยิ้มที่อ่อนโยน และเพลงกล่อมนอนที่เธอคงไม่มีโอกาสได้ฟังอีก
เวลาผ่านไปจนลมหนาวเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ธัมเบลิน่าหิวและหนาวมาก เธอจึงคลานเข้าไปในโพรงเล็ก ๆ ใต้ดิน ซึ่งน่าจะพอหลบกระแสลมและความหนาวได้บ้าง ซึ่งที่นั่น ธัมเบลิน่าได้พบกับหนูชราตัวหนึ่ง “เอ๊ะ! นั่นใครกัน เข้ามาในโพรงของฉันทำไม?”
“ฉันขอโทษ…ฉันแค่อยากหาที่หลบลมหนาวเฉย ๆ ” ธัมเบลิน่าก้มหน้า
หนูชราเจ้าของโพรงใต้ดินมองธัมเบลิน่าตัังแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้ม แล้วพูดอย่างใจดีว่า “ถ้าเธอร้องเพลงให้ฉันฟัง ฉันจะยอมให้เธออยู่ที่นี่ และจะให้ข้าวเธอกินด้วย”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของหนูชรา ทำให้ธัมเบลิน่าสบายใจขึ้น ธัมเบลิน่าคิดเพลงที่อยากร้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เธอก็ร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่แสนไพเราะให้หนูชราฟัง หนูชราฟังเสียงเพลงนั้นแล้วก็รู้สึกเคลิ้ม จนเผลอรำพึงออกมาว่า “เธอช่างเป็นเด็กที่น่ารักและว่านอนสอนง่ายจริง ๆ”
เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากธัมเบลิน่าอาศัยอยู่ในโพรงดินของหนูชราได้สักพัก หนูชราได้พาธัมเบลิน่าไปพบ “เพื่อนบ้าน” ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนัก
เพื่อนบ้านของหนูชรา คือ “ตุ่นเฒ่า” ผู้มีโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ และมีอาหารสะสมอยู่มากมาย เมื่อตุ่นเฒ่าได้เห็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยอย่างธัมเบลิน่า ตุ่นเฒ่าก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ดูจริงจังจนน่ากลัวว่า “ข้ารวย แต่ข้าไม่มีใครสืบสกุล ถ้าเจ้าแต่งงานกับข้า เจ้าจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง”
เมื่อได้ฟัง ธัมเบลิน่าได้แต่ฝืนยิ้ม เพราะหนูชรากับตุ่นเฒ่าเป็นเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันมานาน ธัมเบลิน่าเห็นหนูชราพยักหน้ารับด้วยความยินดีเมื่อได้ฟังข้อเสนอของตุ่นเฒ่า ธัมเบลิน่าซึ่งไม่อยากทำให้หนูชราเสียใจ จึงพยักหน้าตาม…แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกขมขื่นใจเป็นที่สุด
ในขณะที่ธัมเบลิน่าคลานผ่านอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อกลับไปยังโพรงของหนูชราตามลำพัง (โดยปล่อยให้หนูชราอยู่คุยกับตุ่นเฒ่าต่อไป) ธัมเบลิน่าพบนกนางแอ่นตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในโพรงเล็ก ๆ ตรงทางแยกของอุโมงค์ ธัมเบลิน่าเป็นห่วงจึงรีบคลานเข้าไปในโพรงนั่น แล้วถามนกนางแอ่นว่า “เธอเป็นอะไรน่ะ ได้รับบาดเจ็บอยู่หรือเปล่า”
นกนางแอ่นนอนนิ่ง ไม่ลืมตา แต่ยังคงหายใจอยู่ ธัมเบลิน่าจึงหาใบไม้มาคลุมตัวนก แล้วคอยแวะกลับมาเล่าเรื่องสนุก ๆ เป็นเพื่อนนก รวมทั้งคอยดูอาการของนกอยู่ตลอด
จนกระทั่งคืนหนึ่ง นกก็เริ่มรู้สึกตัว มันจึงพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “ขอบคุณนะ ฉันหนาว แต่เธอทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนมีใครคอยอยู่ใกล้ ๆ”
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง นกนางแอ่นหายเป็นปกติ มันจึงบอกกับธัมเบลิน่าว่า “ฉันจะบินไปยังแดนแห่งแสงแดดอบอุ่นและดอกไม้แสนสวย เธออยากจะไปกับฉันไหม”
ธัมเบลิน่าหลบตา แล้วตอบนกนางแอ่นด้วยความลำบากใจว่า “ฉัน…ฉันสัญญาจะแต่งงานกับตุ่นเฒ่าไปแล้ว และวันแต่งงานก็กำลังจะมาถึง”
นกนางแอ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่แผ่วเบาว่า “ฉันคงพูดอะไรมากไม่ได้ แค่อยากบอกว่า เธอควรมีสิทธิ์เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองนะ”
เมื่อถึงวันแต่งงาน ธัมเบลิน่าใส่ชุดเจ้าสาวที่หนูชราเตรียมไว้ให้ ในขณะที่ ธัมเบลิน่าต้องคลานผ่านอุโมงค์ เพื่อเดินทางไปยังโพรงใต้ดินของตุ่นเฒ่า เธอมองอุโมงค์เบื้องหน้าที่มืดมิด แล้วมองท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบน จากนั้น ธัมเบลิน่าก็รำพึงออกมาว่า “ไม่….ฉันจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของฉัน จมอยู่ใต้ดินที่มืดมิดแบบนี้ต่อไปอีก”
ธัมเบลิน่าจึงตัดสินใจปีนออกจากโพรงขึ้นสู่พื้นดิน เธอมองท้องฟ้ากว้างที่มีแสงแดดเจิดจ้า โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และดูมีความหวัง ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น และมันก็กำลังมุ่งตรงมายังที่ ๆ ธัมเบลิน่ายืนอยู่
เมื่อธัมเบลิน่าหันไปมอง เธอก็พบว่าเสียงนั้นคือ เสียงกระพือปีกของนกนางแอ่น ที่เฝ้ารอเธอ และพร้อมที่จะพาเธอไปสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ที่มีอิสระเสรี เมื่อธัมเบลิน่าเห็นเช่นนั้น เธอก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นหลังนกนางแอ่นทันที
นกนางแอ่นพาธัมเบลิน่าบินไปจนถึงดินแดนที่เต็มไปด้วยดอกไม้แสนสวย เมื่อถึงที่หมาย นกนางแอ่นได้ปล่อยธัมเบลิน่าลงบนดอกไม้ดอกหนึ่ง จากนั้น นกนางแอ่นก็กล่าวคำอำลา
เมื่อนกนางแอ่นจากไปแล้ว ธัมเบลิน่าได้พบว่า มีเจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าชายตัวจิ๋วที่มีดวงตาอบอุ่นและมีปีกบางใส บินมุ่งหน้าเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร
นี่เป็นครั้งแรกที่ธัมเบลิน่าได้พบกับคนที่มีรูปร่างเหมือนกับเธอจริง ๆ และการได้พบกัน ทำให้ธัมเบลิน่ารู้สึกพิเศษอย่างยากที่จะอธิบายได้
เมื่อเจ้าชายบินมาถึงดอกไม้ที่ธัมเบลิน่ายืนอยู่ เจ้าชายเอ่ยถามธัมเบลิน่าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เธอคือใครกัน?”
“ฉันชื่อธัมเบลิน่า ฉันเป็นใครน่ะเหรอ? ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะฉันเพิ่งได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองจริง ๆ เมื่อไม่นานมานี้ และนกนางแอ่นก็ช่วยพาฉันมาส่งที่นี่” ธัมเบลิน่าตอบ
เจ้าชายยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ จากนั้น พระองค์ก็กล่าวว่า “ฉันคิดว่า เธอเหมาะกับดินแดนแห่งนี้มาก ๆ เลยนะ ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ เธอจะมีอิสระ มีเพื่อน และมีฉัน… แต่ฉันอยากให้เธอเลือกเอง ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องฝืนใจ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเธอควรได้ใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการจริง ๆ”
ธัมเบลิน่าสัมผัสได้ถึงความเข้าใจและความจริงใจที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเจ้าชาย เธอจึงยิ้มแล้วตอบเจ้าชายไปว่า “ถ้าฉันมีสิทธิ์เลือกได้ ฉันก็อยากจะอยู่ที่นี่นะ…อยากอยู่ตลอดไปเลย”
หลังจากวันนั้น เจ้าชายและธัมเบลิน่าก็ได้อยู่ในดินแดนดอกไม้ด้วยกัน และเมื่อทั้งคู่ได้รู้จักกันมากพอ ธัมเบลิน่าก็ตัดสินใจ “เลือก” เจ้าชายให้เป็นคู่ครองของเธอ แล้วทั้งคู่ก็อยู่ร่วมกันในดินแดนแห่งนั้นอย่างมีความสุขสืบมา
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- ความไม่แน่นอนเป็นเรื่องธรรมดา ดังเช่น ชีวิตของธัมเบลิน่าที่จู่ ๆ ก็พลิกผันจนต้องผจญภัยมากมาย
- ไม่มีใครพบแต่เรื่องเลวร้ายไปตลอด
- ความกล้าหาญในการ “เลือกชีวิตของตนเอง” คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
- โลกกว้างอาจน่ากลัว…แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสที่งดงาม
#นิทานแอนเดอร์แซน













