Posted in #นิทานให้ข้อคิด, นิทานก่อนนอน, นิทานญี่ปุ่น

เจ้าหนูนักวาดแมว – นิทานก่อนนอนจากญี่ปุ่นที่สนุกสำหรับเด็ก และให้แง่คิดผู้ใหญ่

นิทานเรื่อง “เจ้าหนูนักวาดแมว” (The Boy Who Drew Cats) เป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่ถูกเรียบเรียงโดย Lafcadio Hearn และตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1898 โดยสำนักพิมพ์ Hasegawa Takejirō ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการเผยแพร่นิทานญี่ปุ่นในรูปแบบภาพพิมพ์ไม้สำหรับชาวต่างชาติ

นิทานพื้นบ้านจากญี่ปุ่นเรื่องนี้ เล่าเรื่องของเด็กชายตัวเล็กผู้มีความสุขกับการวาดแมว แม้จะถูกมองว่าไร้สาระ แต่สิ่งที่เขาทำกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราวที่ทั้งสนุก ลึกลับ และชวนให้ขบคิด

สำหรับเด็ก เรื่องนี้คือการผจญภัยที่เต็มไปด้วยจินตนาการ แต่สำหรับผู้ใหญ่ มันคือบทเรียนเงียบ ๆ ที่เตือนให้เราหยุดและทบทวนว่า…บางครั้ง สิ่งที่ดูไม่มีค่าในสายตาเรา อาจเป็นสิ่งที่มีพลังในโลกของเด็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นเด็กขยันและมีน้ำใจ แต่เขาตัวเล็กจึงไม่ถนัดทำงานในไร่นาเหมือนกับพี่ ๆ วันทั้งวัน…เด็กชายจะเอาแต่นั่งวาดรูปแมว…แมว…แล้วก็แมว เขาวาดรูปแมวบนเศษกระดาษ เศษไม้ หรือแม้แต่บนกำแพงบ้าน เด็กชายวาดรูปแมวได้ทั้งวันแบบไม่รู้เบื่อ

วันหนึ่ง พ่อกับแม่ของเด็กชายเห็นว่าเขาไม่ถนัดทำงานในไร่ในนา พ่อกับแม่จึงพาเขาไปฝากไว้ที่วัดใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน โดยหวังให้เขาได้เป็นเณรน้อยช่วยงานที่วัด

ณ วัดแห่งนั้น…เด็กชายตั้งใจจะเป็นเณรที่ดี แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับเผลอวาดรูปแมวจนเต็มกำแพงวัด เมื่อพระอาจารย์เห็นเข้า พระอาจารย์ก็ส่ายหน้า พร้อมกับบอกเด็กชายว่า “เจ้าหนูเอ๋ย… ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะกับเจ้านักนะ”

เมื่อพระอาจารย์พูดเช่นนั้น เด็กชายจึงเก็บข้าวของ แล้วเดินออกจากวัดด้วยความรู้สึกผิด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงรักการวาดรูปแมวอยู่ดี

ระหว่างทาง เด็กชายเดินมาจนถึงวัดร้างที่อยู่ไม่ไกลจากวัดของพระอาจารย์นัก วัดแห่งนี้ดูเงียบสงัดและเหมือนไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ชาวบ้านบอกเด็กชายว่า วัดแห่งนี้ไม่มีคนกล้ามาอยู่เพราะกลัวปิศาจหนู เด็กชายคิดในใจว่า “ปิศาจหนูคงไม่น่ากลัวเท่ากับ..การเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการหรอกนะ” เด็กชายรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง แต่เขาไม่อยากกลุ้มใจนานนัก เขาจึงตัดสินใจพักค้างคืนในวัดร้างแห่งนั้น

ก่อนค่ำ เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นผนังโบสถ์ดูโล่ง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดแมวอีกครั้ง การวาดรูปคือความสุขของเขา คราวนี้เขาวาดรูปแมวอย่างสนุก เขาวาด….วาด….แล้วก็วาด เด็กชายวาดรูปแมวจนเต็มผนัง รูปแมวที่เขาวาดมีทั้งแมวตัวใหญ่ แมวตัวเล็ก บางตัวยิ้ม บางตัวยิงฟัน บางตัวกล้ามใหญ่ บางตัวเล็บยาว บางตัวทำท่าเหยียดขา และบางตัวนอนหลับปุ๋ยดูน่ารักมาก

ในคืนนั้น หลังจากที่เด็กชายวาดรูปแมวจนง่วง เขาก็หาที่นอนตรงมุมหนึ่งของโบสถ์ แล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

แต่ในขณะที่เด็กชายหลับอยู่ท่ามกลางความมืด จู่ ๆ เขาก็ได้เสียงฝีเท้าดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายที่มุ่งหน้าเข้ามาเพื่อล่าเหยื่อ

สัตว์ร้ายดังกล่าว คือ ปิศาจหนูตัวมหึมาที่ไล่ล่าผู้คน จนไม่มีใครกล้าอยู่ที่วัดแห่งนี้ ปิศาจหนูเดินเข้ามาในโบสถ์อย่างน่าสะพรึงกลัว มันใช้จมูกดมกลิ่นมนุษย์ พลางกวาดตามองหาเหยื่อด้วยสายตาที่หิวโหย

ทันใดนั้นเอง…เด็กชายที่นอนตัวสั่นด้วยความกลัว ก็ได้ยินเสียงขู่ที่น่ากลัว ซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเสียงของปิศาจหนู แต่เมื่อฟังให้ดี เขากลับพบว่าเสียงขู่นั้นดังมาจากรอบทิศ ตามด้วยเสียงข่วนผนังแกรก ๆ และเสียงร้องของแมวนับร้อย ๆ ตัวที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน

เสียงของแมวเหล่านั้น คือ เสียงจากแมวที่เด็กชายวาดไว้บนกำแพง ที่จู่ ๆ พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหว แล้วแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ปิศาจหนูจากทุกทิศทุกทาง

ปิศาจหนูร้องเจี๊ยก เหมือนลิงจ๋อ แล้วร้องเอ๋ง ๆ เหมือนหมาที่เจอเจ้าถิ่น มันรีบวิ่งหนีสุดชีวิต แต่พวกแมวก็ไม่ยอมให้มันหนีไปได้ง่าย ๆ การต่อสู้ที่ดุเดือดจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายก็จบลงที่ ปิศาจหนูสะบักสะบอมถึงขั้นต้องร้องขอชีวิต และสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนมนุษย์ที่วัดแห่งนี้อีก

ในที่สุด พวกแมวก็ยอมปล่อยปิศาจหนูไป เด็กชายที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงค่อย ๆ คลายความตระหนก แล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จากนั้น เด็กชายก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

เช้าวันต่อมา…พระอาจารย์ได้ทราบจากชาวบ้านว่า เด็กชายได้ไปพักอยู่ที่วัดร้างซึ่งมีปิศาจหนูคอยทำร้ายผู้คน และเมื่อคืน….เกิดเหตุเสียงดังเอะอะดูน่ากลัว พระอาจารย์รู้สึกผิดที่ให้เด็กชายออกจากวัด พระอาจารย์จึงรีบไปหาเด็กชายด้วยความเป็นห่วง

เมื่อพระอาจารย์มาถึง พระอาจารย์พบว่าเด็กชายกำลังหลับอยู่ในวัดร้างแห่งนั้นตามลำพัง และพบว่าเด็กชายวาดรูปแมวเอาไว้ที่ผนังโบสถ์เต็มไปหมด

เมื่อเด็กชายตื่นนอนและเห็นพระอาจารย์ เด็กชายจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอาจารย์ฟัง

เมื่อพระอาจารย์ได้ฟังจนจบ พระอาจารย์ก็ลูบหัวเด็กชายเบา ๆ พลางกล่าวว่า “บางที การวาดแมวของเจ้าก็มีค่ามากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกนะ”

หลังจากวันนั้น พระอาจารย์ก็ให้เด็กชายกลับไปอยู่ที่วัด โดยท่านอนุญาตให้เด็กชายผู้รักการวาดแมว วาดแมวได้ แต่ต้องวาดในเศษกระดาษ ไม่ใช่วาดไปทั่ว

เด็กชายดีใจและเข้าใจ เขารับปากพระอาจารย์และตามกลับไปอยู่ที่วัดดังเดิม

ในที่สุด เรื่องราวของเด็กชายผู้รักการวาดรูปแมว ก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • สิ่งที่ดูไร้สาระในสายตาผู้ใหญ่ อาจมีคุณค่าในโลกของเด็ก
  • เด็กบางคนมีแรงขับภายในที่ผู้ใหญ่ควรเข้าใจ มากกว่าควบคุม
  • การเปิดใจของผู้ใหญ่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานาสอนใจเด็ก, นิทานเด็ก

ฉันชอบเธออย่างที่เธอเป็นมากที่สุด

“แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล มะละกอ มะละกอ มะละกอ

กล้วย กล้วย กล้วย ส้ม ส้ม ส้ม

แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม”

แอปเปิ้ลเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยิ่งถ้าวันไหนได้ปลูกผักในสวน แอปเปิ้ลจะอยู่ในสวนได้ทั้งวัน

กล้วยเป็นเด็กที่ชอบศึกษาหาความรู้ ถ้าวันไหนกล้วยได้อยู่บ้านอ่านหนังสือหรือได้ไปห้องสมุด กล้วยจะมีความรู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง

เมื่อถึงวันเกิดของลูก ๆ คุณแม่เห็นว่าลูก ๆ เป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เสมอ คุณแม่จึงซื้อของขวัญเป็นตุ๊กตามาฝากลูกสาวคนละหนึ่งตัว

มะละกอได้ตุ๊กตาหมีที่มีชุดเป็นลายดอกไม้แสนอ่อนหวาน

ส่วนส้มไม่ได้ตุ๊กตาหมีเหมือนพี่ ๆ แต่เธอได้ตุ๊กตาเด็กไม่ใส่เสื้อแถมมีหัวจุก ซึ่งพี่ ๆ พากันร้องเพลงว่า “จ่อกกวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก จ่อก จ่อก กวิก กูลิติแกว็ด” กันอย่างสนุกสนาน

ในเวลาต่อมา เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิด

ในขณะเดียวกัน ตุ๊กตาหมีของมะละกอก็ส่งยิ้มให้มะละกอ พอมะละกอเห็น เธอก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่เธอก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ที่จะได้มีเพื่อนเล่น

ส่วนตุ๊กตาเด็กหัวจุกที่ดูคล้ายกุมารทองของส้มนั้น มันรู้สึกว่าตัวของมันไม่น่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวอื่น ๆ แถมมันยังไม่มีเสื้อใส่เสียด้วย เมื่อสบโอกาส เจ้าตุ๊กตาก็พยายามส่งยิ้มให้ส้มอย่างเจียมตัว แต่เมื่อส้มมองมาที่มัน ส้มกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!

ในวินาทีนั้น ส้มเพิ่งได้สติเพราะมัวแต่คิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ส้มเพิ่งสังเกตเห็นว่าตุ๊กตาของเธอมีชีวิต และมีสีหน้าแปลก ๆ ด้วยเหตุนี้ ส้มจึงพูดกับตุ๊กตาว่า “เธอเป็นอะไรไปเหรอ ปวดห้องน้ำรึเปล่าจ๊ะ?”

ส้มมองเจ้าตุ๊กตาหัวจุกของเธอด้วยความเอ็นดู จากนั้น ส้มก็บอกกับเจ้าตุ๊กตาหัวจุกว่า

เจ้าตุ๊กตาหัวจุกเขินจนหน้าแดงไปหมด เพราะตลอดเวลา มันไม่เคยรู้สึกว่ามันมีค่าสำหรับใครเลย แต่ในวันนี้ มันรู้สึกว่า ตัวมันมีค่าจริง ๆ เมื่อได้อยู่กับเพื่อนใหม่ที่เห็นคุณค่าของมัน

ครั้นเมื่อคุณแม่กลับมา เด็กทุกคนก็ไม่ลืมที่จะไปหอมแก้มคุณแม่ เพราะนอกจากคุณแม่จะมอบของขวัญแสนพิเศษให้กับลูก ๆ ทุกคนแล้ว คุณแม่ยังรู้ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง

ถ้าใครจะหอม ขอฝากหอมด้วยสักสองสามฟอด จากนั้น ก็ขอให้ทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุขนะจ๊ะ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง แม้จะไม่เหมือนใคร
  • การยอมรับความแตกต่างคือพื้นฐานของความรักแท้จริง
  • ความคิดสร้างสรรค์สามารถเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งพิเศษ