Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

สาวเลี้ยงห่านปริศนา : นิทานผจญภัยสอนใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่จากกริมส์

นิทานเรื่อง สาวเลี้ยงห่าน (The Goose-Girl) เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกบันทึกโดยสองพี่น้องกริมส์จากแหล่งเล่าพื้นบ้านในเยอรมนีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกเขาเก็บรวบรวมเรื่องเล่าจากชาวบ้าน ปรับถ้อยคำให้เป็นภาษาวรรณกรรม และตีพิมพ์ในชุด Grimm’s Fairy Tales อันโด่งดัง ต่อมาเรื่องนี้ยังถูกนำไปเผยแพร่ใน The Blue Fairy Book (1889) ของ Andrew Lang หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในชุด “Fairy Books” ที่ Lang รวบรวมและแปลนิทานจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก โดยจัดพิมพ์เป็นเล่มที่มีสีต่าง ๆ เช่น Blue, Red, Green เพื่อให้เด็กและผู้อ่านทั่วไปเข้าถึงนิทานคลาสสิกได้ง่ายขึ้น ถือเป็นผลงานสำคัญที่ช่วยเผยแพร่นิทานกริมส์และนิทานพื้นบ้านไปสู่สังคมโลกตะวันตกในวงกว้าง

เนื้อหาของ สาวเลี้ยงห่าน เล่าถึงเจ้าหญิงที่ถูกนางสาวใช้ทรยศและสวมรอยเป็นตนเอง ขณะที่เจ้าหญิงแท้จริงต้องไปทำงานเลี้ยงห่านอย่างต่ำต้อย นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่านิทานนี้สะท้อนประเด็นเรื่อง “ความจริงและความเท็จ” รวมถึงการพิสูจน์คุณค่าภายในของตัวละคร สัญลักษณ์ที่ปรากฏ เช่น ผ้าเช็ดหน้าที่มีเลือดสามหยด แสดงถึงสายสัมพันธ์และการปกป้องจากแม่ ม้าฟาลาดาที่พูดได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์และความจริงที่ไม่อาจถูกปิดบัง ส่วนการหวีผมสีทองของเจ้าหญิงกลางแดดสะท้อนความบริสุทธิ์และคุณค่าที่แท้จริงซึ่งเปล่งประกายแม้ในสถานะที่ต่ำต้อย การตีความเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า นิทานไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่า แต่ยังเป็นบทเรียนเชิงจิตวิญญาณและสังคมที่สอดแทรกผ่านสัญลักษณ์

นิทานกริมส์หลายเรื่อง รวมถึง สาวเลี้ยงห่าน มีฉากที่อาจดูโหดร้ายสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน เช่น การฆ่าม้าฟาลาดา หรือการลงโทษนางสาวใช้ด้วยวิธีรุนแรง ซึ่งสะท้อนค่านิยมการสั่งสอนในสังคมสมัยก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกนำมาเรียบเรียงลงในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ ได้มีการลดทอนความรุนแรงของบางฉากเท่าที่ทำได้ โดยยังคงรักษาอารมณ์และแก่นของเรื่องต้นฉบับ เพื่อให้ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่สัมผัสได้ถึงความงดงามและบทเรียนชีวิต หากต้องการอ่านนิทานต้นฉบับฉบับเต็ม สามารถหาอ่านได้จาก Grimm’s Fairy Tales ที่ตีพิมพ์โดยสองพี่น้องกริมส์ หรือจาก The Blue Fairy Book ของ Andrew Lang ซึ่งมีฉบับดิจิทัลให้เข้าถึงได้ในเว็บไซต์โครงการ Project Gutenberg และแหล่งหนังสือสาธารณะออนไลน์ต่าง ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชินีผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและปัญญา พระองค์มีพระธิดาเพียงองค์เดียว เป็นเจ้าหญิงที่งดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก

เมื่อเจ้าหญิงเติบโตขึ้น พระราชินีได้จัดให้พระธิดาอภิเษกกับเจ้าชายจากเมืองไกล เมืองนั้นมีสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรของพระราชินีมาเนิ่นนาน การแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นทั้งสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพและความรัก

ก่อนออกเดินทาง พระราชินีเตรียมสิ่งสำคัญไว้ให้ลูกสาว ทั้งเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น และม้าพูดได้ชื่อ ฟาลาดา ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเจ้าหญิงมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดคือ ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ที่มีเลือดสามหยดของพระราชินี ซึ่งพระองค์ใช้มีดเล็ก ๆ สะกิดที่ปลายนิ้ว แล้วหยดเลือดลงบนผ้าเช็ดหน้า เพื่อเป็นเครื่องรางคอยปกป้องและเตือนว่าความรักของแม่ยังคงอยู่กับลูกเสมอ

พระราชินีส่งสาวใช้คนหนึ่งไปเป็นผู้ติดตามเจ้าหญิง เพื่อช่วยดูแลระหว่างทาง แต่ไม่นานหลังออกเดินทาง สาวใช้ก็เริ่มเผยนิสัยแท้จริง เธอพูดจาไม่สุภาพ ไม่เคารพเจ้าหญิง และค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจากผู้รับใช้เป็นผู้สั่งการ

วันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าหญิงและสาวใช้หยุดพักที่ริมแม่น้ำ สาวใช้บังอาจงสั่งให้เจ้าหญิงลงไปตักน้ำมาให้ดื่ม แม้เจ้าหญิงจะตกใจ แต่ก็ยอมทำตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ครั้นเมื่อเจ้าหญิงก้มลงตักน้ำ ผ้าเช็ดหน้าที่มีเลือดสามหยดก็บังเอิญหลุดจากมือและลอยไปตามสายน้ำ ซึ่งไม่ว่าเจ้าหญิงจะตามหาเพียงใดก็ไม่พบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอีกเลย

เมื่อสาวใช้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าหญิงได้สูญเสียเครื่องรางชิ้นสำคัญ ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชิ้นเดียวที่มีอยู่ สาวใช้จึงใช้โอกาสที่เจ้าหญิงรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ทำการข่มขู่เจ้าหญิง โดยทำทีจะใช้กำลังและบังคับให้เจ้าหญิงสาบานว่าจะไม่เล่าเรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางให้ใครฟัง มิฉะนั้น นางจะทำร้ายเจ้าหญิงให้ถึงแก่ชีวิต เจ้าหญิงจึงจำใจต้องสาบาน และด้วยความเป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้าหญิงจึงต้องรักษาคำสาบานที่ให้ไว้ยิ่งชีวิต

เมื่อเจ้าหญิงและสาวใช้เดินทางมาถึงเมืองของเจ้าชาย สาวใช้ก็สวมรอยเป็นเจ้าหญิง ส่วนเจ้าหญิงตัวจริงถูกบังคับไม่ให้พูด และต้องทำตัวเหมือนคนธรรมดา

นอกจากนี้ สาวใช้ยังแอบสั่งให้คนนำม้าพูดได้อย่างฟาลาดาไปจัดการ เพื่อไม่ให้มันเปิดเผยความจริง โดยหัวของฟาลาดาถูกนำไปแขวนไว้ใต้ซุ้มประตูหินใกล้วัง ซึ่งเมื่อเจ้าหญิงเดินผ่านไปเห็น เจ้าหญิงก็ตกใจและพูดกับเพื่อนของพระองค์ว่า “โอ้ ฟาลาดา เจ้าถูกแขวนอยู่ตรงนี้” และหัวม้าก็ตอบกลับอย่างเศร้าสะเทือนใจว่า “โอ้ เจ้าหญิง หากพระมารดาของท่านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์คงเสียใจยิ่งนัก”

ในเวลาต่อมา เจ้าหญิงถูกส่งไปทำงานเลี้ยงห่านร่วมกับเด็กหนุ่มชื่อคอนราด ทุกวัน พระองค์ต้องตื่นแต่เช้าไปดูแลฝูงห่าน แม้จะเศร้าและเหนื่อย แต่พระองค์ก็ทรงทำงานโดยไม่บ่นและไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง แต่ไม่นานนัก คอนราดเริ่มสังเกตว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะเมื่อเธอหวีผมกลางแดด ผมยาวสีทองของเธอได้เปล่งประกายราวกับเส้นไหมที่ปลิวไปตามสายลม คอนราดตกตะลึงและสงสัยว่าสาวเลี้ยงห่านปริศนาผู้นี้เป็นใครกันแน่

ไม่นานนัก เรื่องราวเกี่ยวกับสาวเลี้ยงห่านปริศนาก็ไปเข้าหูของพระราชา พระองค์จึงแอบมาสังเกตการณ์ด้วยตนเอง และเมื่อพระราชาเห็นสาวเลี้ยงห่านที่กำลังหวีผมสีทอง แต่ดวงตาของเธอกลับมีความเศร้าและหม่นหมองจนยากจะบรรยายได้ พระราชาจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่

พระราชาจึงเรียกสาวเลี้ยงห่านมาพบและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าหญิงในฐานะสาวเลี้ยงห่านไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะได้ให้คำสาบานเอาไว้แล้ว พระราชาจึงสั่งสร้างห้องเล็ก ๆ มีผนังสูง และบอกว่า “เจ้าไปเล่าให้ผนังฟังเสียสิ ไม่ถือว่าเจ้าบอกใคร” ครั้นเมื่อเจ้าหญิงอยู่เพียงลำพัง เจ้าหญิงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ตั้งแต่การเดินทาง การสูญเสียผ้าเช็ดหน้า การถูกบังคับ และการถูกสวมรอย เจ้าหญิงเล่าทุกเรื่องโดยไม่รู้ว่า พระราชาทรงซ่อนตัวอยู่ภายนอกและได้ยินทุกถ้อยคำ

ในงานเลี้ยงใหญ่วันรุ่งขึ้น พระราชาทรงเรียกเจ้าหญิงตัวปลอมมาถามว่า “คนทรยศและหลอกเจ้านายของตน ควรได้รับโทษเช่นไร?” สาวใช้ไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับได้ จึงตอบอย่างลำพองว่า “คนเช่นนั้นควรถูกลงโทษอย่างหนักให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

พระราชาจึงประกาศทันทีว่า โทษดังกล่าวจะใช้กับเจ้าเอง จากนั้น พระราชาก็สั่งให้ลงโทษสาวใช้ด้วยโทษที่หนักหนาสาหัสจนกลายเป็นตัวอย่างไม่ให้คนกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อีก

เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เจ้าหญิงตัวจริงจึงได้รับเกียรติของพระองค์กลับคืนมา เจ้าชายทรงดีใจที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคู่หมั้น แล้วทั้งคู่ก็ได้อภิเษกสมรสและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข…นับจากนั้น

สาวผมทองในชุดน้ำเงินและผ้าคลุมแดงยืนท่ามกลางฝูงห่านในป่าแฟนตาซี มีปราสาทและตัวละครลับอยู่เบื้องหลัง
เจ้าหญิงเลี้ยงห่านในฉากป่าแฟนตาซี—ภาพประกอบจากนิทานกริมส์เรื่องสาวเลี้ยงห่าน
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานผจญภัย

สาวน้อย เปโตรซิเนลลา: นิทานคลาสสิกจากอิตาลีที่เป็นต้นแบบของราพันเซล

นิทานเปโตรซิเนลลา (Petrosinella) เป็นนิทานพื้นบ้านจากอิตาลีที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี โดยปรากฏครั้งแรกในหนังสือ Lo cunto de li cunti หรือ The Tale of Tales ซึ่งเขียนโดย Giambattista Basile นักเขียนและนักสะสมนิทานพื้นบ้านชาวอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17

นิทานเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของนิทาน ราพันเซล ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี แม้ว่าเวอร์ชันของ Brothers Grimm จะได้รับความนิยมมากกว่าในยุคหลัง แต่ Petrosinella กลับมีโครงเรื่องที่ลึกซึ้งและมีรายละเอียดที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การที่นางเอกเรียนรู้เวทมนตร์จากนางยักษ์ และใช้ไหวพริบในการหลบหนีด้วยของวิเศษสามชิ้น

นักวิชาการด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบมักชื่นชม Petrosinella ในฐานะนิทานที่ให้บทเรียนเรื่อง “การเติบโตผ่านการเรียนรู้” และ “ชัยชนะของสติปัญญาเหนืออำนาจ” โดยเฉพาะในเวอร์ชันของ Basile ที่เน้นความกล้าหาญและความรักที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา

ในแง่ของวัฒนธรรม นิทานเรื่องนี้สะท้อนความเชื่อของชาวอิตาลีในยุคนั้นเกี่ยวกับเวทมนตร์ ความอยากในช่วงตั้งครรภ์ และการต่อรองกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นธีมที่พบได้บ่อยในนิทานยุโรปตอนใต้

การนำเสนอเรื่อง สาวน้อยเปโตรซิเนลลา ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ จึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวรรณกรรมคลาสสิกกับบทเรียนชีวิตที่เข้าถึงใจเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างลึกซึ้ง

ในเมืองเล็กแห่งหนึ่งของอิตาลี มีหญิงสาวชื่อปัสกาโดซเซียอาศัยอยู่กับสามีอย่างยากจน วันหนึ่งเธอตั้งครรภ์ และเกิดความอยากกินผักชีฝรั่งที่ปลูกอยู่ในสวนของนางยักษ์ข้างบ้าน ความอยากนั้นรุนแรงจนเธอขอให้สามีแอบเข้าไปเก็บมาให้

สามีแม้จะลังเล แต่ก็ยอมทำตามคำขอของภรรยา เขาแอบเข้าไปในสวนของนางยักษ์และเด็ดผักชีฝรั่งมาให้ภรรยากิน เมื่อภรรยากินแล้วก็ยิ่งอยากกินอีก เขาจึงกลับไปเก็บอีกครั้ง แต่คราวนี้นางยักษ์จับได้

นางยักษ์โกรธมากและขู่ว่าจะลงโทษเขา แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำไปเพราะความรักต่อภรรยา นางจึงยื่นข้อเสนอว่า หากเขายอมมอบลูกในครรภ์ให้เมื่อคลอดออกมา นางจะไม่ลงโทษและจะให้อภัย เขาจำใจตกลง

เมื่อเด็กหญิงเกิดมา นางยักษ์มารับตัวไปเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก และตั้งชื่อว่า เปโตรซิเนลลา ซึ่งหมายถึง “ผักชีฝรั่งน้อย” เด็กหญิงเติบโตขึ้นในบ้านของนางยักษ์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่ถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอก

เมื่อเปโตรซิเนลลาโตขึ้น เธอมีผมยาวสลวยและเสียงร้องเพลงไพเราะ วันหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านบ้านของนางยักษ์และได้ยินเสียงร้องเพลงของเธอ เขาหลงใหลในเสียงนั้นและแอบดูเธอจากหน้าต่าง

ชายหนุ่มพยายามหาทางเข้าไปหาเปโตรซิเนลลา แต่บ้านของนางยักษ์ไม่มีประตู มีเพียงหน้าต่างสูงที่นางยักษ์ใช้ปีนขึ้นโดยจับผมของเปโตรซิเนลลา เขาจึงเลียนแบบวิธีของนางยักษ์และเรียกให้เธอปล่อยผมลงมา

เมื่อเปโตรซิเนลลาเห็นชายหนุ่ม เธอตกใจแต่ก็รู้สึกอบอุ่น ทั้งสองพูดคุยกันและเริ่มมีความรักต่อกัน พวกเขาแอบพบกันทุกวันโดยใช้ผมของเธอเป็นทางขึ้นลง

นางยักษ์เริ่มสงสัยและจับได้ว่าเปโตรซิเนลลาแอบพบชายหนุ่ม เธอโกรธมากและวางแผนจะจับตัวเปโตรซิเนลลากลับไปขังไว้ในหอคอยกลางป่า เพื่อไม่ให้ใครเข้าถึงได้อีก

แต่เปโตรซิเนลลาไม่ยอมแพ้ เธอใช้ไหวพริบและเวทมนตร์ที่เรียนรู้จากนางยักษ์ แอบเตรียมของวิเศษไว้สามอย่าง ได้แก่ หวี หิน และกระจก ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งกีดขวางได้

คืนหนึ่ง เปโตรซิเนลลาแอบหลบหนีออกจากหอคอยพร้อมชายหนุ่ม โดยนำของวิเศษติดตัวไปด้วย นางยักษ์รู้ทันและรีบตามทั้งคู่ไปด้วยความโกรธจัด

เปโตรซิเนลลาโยนหวีลงพื้น หวีกลายเป็นป่าหนามขวางทาง นางยักษ์ใช้เวทมนตร์ฝ่าผ่านไปได้

เปโตรซิเนลลาจึงโยนหินลงไป หินกลายเป็นภูเขาสูง นางยักษ์ปีนข้ามไปอย่างยากลำบาก

สุดท้าย เปโตรซิเนลลาโยนกระจกลงพื้น กระจกกลายเป็นทะเลกว้าง นางยักษ์ไม่สามารถข้ามไปได้ และจมน้ำหายไปในที่สุด

เมื่อพ้นภัย เปโตรซิเนลลาและชายหนุ่มกลับไปยังเมืองของเขา ทั้งสองแต่งงานกันอย่างมีความสุข และใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรักและความกล้าหาญที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรักและสติปัญญาสามารถเอาชนะอำนาจที่กักขังได้ แม้จะต้องเผชิญกับความกลัวและอุปสรรคมากมาย หากมีความกล้าและความจริงใจ ก็สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้อย่างงดงาม

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความรักแท้ต้องมาพร้อมความกล้าหาญในการเผชิญอุปสรรค
  • สติปัญญาและการเตรียมตัวสามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก
  • การกักขังไม่อาจหยุดยั้งจิตใจที่โหยหาอิสรภาพและความรัก
ภาพประกอบนิทานสาวน้อยเปโตรซิเนลลา เด็กหญิงผมแดงกำลังหลบหนีจากนางยักษ์ในฉากป่า สื่อถึงความกล้าหาญและการหลุดพ้น
เปโตรซิเนลลาใช้ไหวพริบและเวทมนตร์หลบหนีจากนางยักษ์ เพื่อค้นหาอิสรภาพและความรักแท้
Posted in #นิทานผจญภัย, นิทานก่อนนอน, นิทานเด็ก

อิซซุนโบชิ หนุ่มน้อยหนึ่งนิ้ว: นิทานญี่ปุ่นสุดน่ารัก สอนใจเรื่องความกล้าหาญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง นาคน้อยผจญภัย

นิทานก่อนนอนเรื่อง “นาคน้อยผจญภัย” ตอน : เด็กชายกับลูกพญานาค เป็นนิทานก่อนนอนแนวไทยพื้นบ้าน ที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ทดลองแต่งเล่น ๆ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2565 หลังจากได้ดูคลิปวิดีโอเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ชื่อว่า ChatGPT

ChatGPT เป็นแชทบ็อทที่สร้างโดยหน่วยงานพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (Open AI) มันมีความสามารถในการตอบคำถามของเราได้แบบอัตโนมัติ แต่การตอบคำถาม จะไม่ใช่การถามคำ-ตอบคำ แต่เป็นการตอบอย่างมีรายละเอียด หนำซ้ำ ตามข่าวยังระบุว่า ChatGPT สามารถช่วยเขียนบทความ เขียนโปรแกรม แต่งกลอน แต่งเพลง และแต่งนิทานได้

เมื่อผมได้ทราบว่า เทคโนโลยี A.I. สามารถแต่งนิทานได้ ผมจึงอยากทดลองแต่งนิทานโดยใช้ ChatGPT ตัวนี้ จะได้รู้ประสิทธิภาพว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเก่งกว่าปัญญามนุษย์มากน้อยแค่ไหน

การทดลองแต่งนิทานด้วย ChatGPT ผมได้ทำการทดลองแบบสด ๆ และบันทึกหน้าจอในช่วงที่แต่งนิทานแบบตามเวลาที่ใช้จริง เพื่อให้ผู้ชมเห็นความไวในการโต้ตอบ และลักษณะการถาม-ตอบ รวมถึงการพัฒนานิทานด้วยวิธีนี้ (แต่ช่วงท้ายของคลิปจะมีการย่นเวลาเล็กน้อย ราว 1-2 นาที และมีบางช่วงที่ภาพขาดหายไป ส่วนเสียงในคลิปเป็นการบรรยายภายหลังแล้วนำเสียงมาใส่ในคลิปครับ) การทดลองที่เกิดขึ้น สามารถดูได้จากคลิปต่อไปนี้

ในส่วนของนิทานที่เป็นผลงานจากการทดลอง ผมขอนำมาลงให้อ่านกัน โดยจะลงให้อ่านเป็น 2 แบบ

แบบแรกคือแบบที่ยังไม่ได้ขัดเกลา และ แบบที่สองจะเป็นแบบที่ผมนำนิทานในแบบแรกมาขัดเกลา เรียบเรียงให้น่าอ่านมากขึ้น (ซึ่งแบบที่สองจะนำมาลงอีกครั้งเมื่อทำเสร็จ – ขอหาเวลาก่อนนะครับ)

ถ้าพร้อมจะอ่านนิทานที่ผมร่วมแต่งกับ ChatGPT ก็ลองอ่านกันได้เลยครับ

…………………….

นิทานเรื่อง นาคน้อยผจญภัย (ตอน : เด็กชายกับลูกพญานาค)

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้ชายที่ยากจนคนหนึ่ง อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ริมแม่น้ำโขง

วันหนึ่ง เขาออกไปจับปลาเหมือนปกติ แต่เขาพบลูกพญานาคบาดเจ็บตัวหนึ่ง เขาจึงนำมันมารักษา

เมื่อลูกพญานาคอาการดีขึ้น มันจึงชวนให้เด็กผู้ชายเดินทางไปที่ถ้ำ ซึ่งเป็นทางเข้าแดนบาดาลกับมัน เพื่อหาสาหร่ายสมุนไพรที่เรียกว่า “ไคสวรรค์” เพื่อนำมารักษาอาการบาดเจ็บ”

เมื่อเด็กผู้ชายเดินทางไปยังถ้ำและหาไคสวรรค์พบ จนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้ลูกพญานาคได้แล้ว ลูกพญานาคจึงเล่าเรื่องให้ฟังว่า มีพญาครุฑบุกมาที่เมืองบาดาลเพื่อหายารักษาอาการป่วยให้ลูก แต่แทนที่พญาครุฑจะซักถามเรื่องยาที่เหมาะสม มันกลับใช้กำลังทำร้ายพญานาคทั้งหลาย แล้วจับตัวพ่อพญานาคกับแม่พญานาคเอาไว้

ลูกพญานาคอยากแก้ไขเรื่องทั้งหมด และไม่อยากโกรธเคืองเรื่องที่เกิดขึ้น ลูกพญานาคจึงชวนเด็กผู้ชายเก็บไคสวรรค์ซึ่งเป็นยาวิเศษ เพื่อนำไปให้พญาครุฑ

เด็กผู้ชายเห็นดีด้วย เพราะการผูกใจเจ็บ แก้แค้นกันไปมา ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เด็กผู้ชายจึงช่วยลูกพญานาคเก็บไคสวรรค์ แล้วพากันเดินทางไปหาพญาครุฑในเมืองบาดาล พร้อมกับมอบไคสวรรค์ให้

พญาครุฑละอายใจที่ตนเองมุทะลุและทำร้ายเหล่านาค ทั้ง ๆ ที่เหล่านาคไม่ได้คิดร้าย แถมยังมีไมตรีจิต

พญาครุฑจึงขอโทษแล้วรีบปล่อยตัวพ่อพญานาคและแม่พญานาค จากนั้น มันก็สัญญาว่าจะปรับปรุงตัว แล้วขอผูกไมตรี

พ่อพญานาคไม่ได้ถือโกรธ จึงให้อภัยและขอให้รีบนำไคสวรรค์ไปรักษาลูกให้หาย

ในที่สุด เรื่องราวก็จบลง

แต่เรื่องของเด็กผู้ชายกับลูกพญานาคยังไม่จบ เพราะมิตรภาพของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น

โปรดติดตามเรื่องของพวกเขาได้ในนิทานตอนต่อไป

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นกน้อยปราบมังกร

นิทานเรื่อง นกน้อยปราบมังกร

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งทรงออกไปเดินเล่นในสวนและพบไข่นกฟองจิ๋วตกอยู่ที่ใต้ต้นไม้   เจ้าหญิงไม่อยากปล่อยไข่นกทิ้งเอาไว้เช่นนั้น   พระองค์พยายามมองหารังนก…แต่ก็ไม่พบ   ด้วยเหตุนี้   เจ้าหญิงจึงตัดสินใจนำไข่นกกลับไปฟักที่พระราชวังของพระองค์

หลายวันต่อมา   หลังจากที่เจ้าหญิงเฝ้าดูแลไข่นกจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน   ในที่สุด  ไข่นกฟองจิ๋วก็เริ่มกระดุกกระดิกกระดุ๊กกระดิ๊ก   และลูกนกตัวน้อยก็ค่อย ๆ จิกเปลือกไข่ออกมาทักทายเจ้าหญิงผู้มีพระคุณ

นับตั้งแต่วันนั้น   นกน้อยก็จะคอยเฝ้าติดตามเจ้าหญิงไปไม่เคยห่าง   มันรักเจ้าหญิงยิ่งชีวิต  ส่วนเจ้าหญิงเองก็รักและเอ็นดูเจ้านกน้อยไม่น้อยไปกว่ากัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง  มีมังกรจอมเกเรบินผ่านมาเห็นเจ้าหญิงกำลังเล่นซ่อนหาอยู่ในสวน   เจ้ามังกรแสยะยิ้ม   มันนึกสนุกอยากข่มขวัญให้ผู้คนตื่นตระหนก   ดังนั้น  มันจึงพุ่งตัวลงจากฟ้าแล้วโฉบเอาเจ้าหญิงไปขังเอาไว้ในถ้ำของมัน

เมื่อนกน้อยเห็นมังกรร้ายจับตัวเจ้าหญิงไป  มันจึงรีบบินตามโดยหวังจะช่วยเจ้าหญิงเอาไว้ให้จงได้   แต่เนื่องจากนกน้อยตัวเล็กกว่าเจ้ามังกรหลายร้อยเท่า   ด้วยเหตุนี้   มันจึงจำเป็นต้องใช้ปัญญาเพื่อหาวิธีจัดการกับเจ้ามังกรตัวแสบ!

นกน้อยคิด…คิด…แล้วก็คิด   ในที่สุด  นกน้อยก็ค้นพบวิธีที่นกตัวเล็ก ๆ อย่างมันน่าจะใช้จัดการกับเจ้ามังกรได้สำเร็จ

เมื่อนกน้อยติดตามเจ้าหญิงมาถึงปากถ้ำของเจ้ามังกร   มันทบทวนแผนการอยู่ครู่หนึ่ง   จากนั้น  มันก็รวบรวมความกล้าแล้วตะโกนท้าทายให้เจ้ามังกรออกมาไล่จับมัน

ในตอนแรก  เจ้ามังกรรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่มันจะต้องไปบินไล่จับนกตัวเล็ก ๆ  แต่เมื่อเจ้ามังกรได้ยินนกน้อยยั่วยุว่ามังกรยักษ์อย่างมันอืดอาดเชื่องช้าอย่างกับ ’มังกือ’   เจ้ามังกรก็ถึงกับโกรธจนควันออกหู  มันรีบทะยานตัวออกจากถ้ำ  แล้วพุ่งตรงเข้าไปจัดการกับนกน้อยที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงทันที

นกน้อยสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นมังกรร้ายพุ่งตัวเข้ามาหา   มันบินหลบคมเขี้ยวของเจ้ามังกรได้อย่างฉิวเฉียด   จากนั้น  มันก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่ได้วางเอาไว้

นกน้อยพยายามบินฉวัดเฉวียนล่อให้เจ้ามังกรบินตามมันไปเรื่อย ๆ   มังกรร้ายพยายามไล่ตะครุบตัวนกน้อยครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่มันก็พลาดไปเสียทุกหน   เจ้านกน้อยแกล้งบินโยกซ้ายย้ายขวาจนเจ้ามังกรเวียนหัว  และเมื่อมังกรร้ายเผลอบินตามจนลำตัวของมันบิดไขว้กันเป็นรูปเลขแปด   นกน้อยเจ้าปัญญาก็กลับตัวบินย้อนศรล่อให้เจ้ามังกรพุ่งหัวเข้าไปในวงเลขแปดจนทำให้ทั้งหัวทั้งหางของเจ้ามังกรพันกันเป็นปมดูวุ่นวายไปหมด  

ในที่สุด   เจ้ามังกรก็สิ้นฤทธิ์  มันหล่นลงไปในทะเลเสียงดัง “ตู้ม!” และมันก็ไม่เคยย้อนกลับมารังแกใคร ๆ ได้อีกเลย…นับจากนั้น

เจ้าหญิงดีใจมากที่นกน้อยมาช่วยพระองค์ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเจ้ามังกรตัวแสบ ในขณะเดียวกัน  นกน้อยเองก็ดีใจที่ตนสามารถปกป้องเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักได้สำเร็จ  

เมื่อพระราชาผู้เป็นพ่อของเจ้าหญิงได้ทราบถึงความชาญฉลาดของเจ้านกน้อย   พระองค์จึงแต่งตั้งให้เจ้านกตัวจิ๋วเป็นอัศวินคอยติดตามเจ้าหญิงไปทุกหนทุกแห่ง

เจ้าหญิงทรงหอมแก้มนกน้อยเป็นรางวัลแห่งความกล้าหาญ  ส่วนเจ้านกน้อยก็ได้แต่เขินอายจนแก้มกลายเป็นสีชมพูไปหมด

และแล้ว…เรื่องราวของเจ้าหญิงกับอัศวินตัวน้อยก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

—————————-

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายยอดนักปั้น

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายยอดนักปั้น” เป็นนิทานแนวผจญภัย ประเภทเดียวกับนิทานก่อนนอนเรื่อง “อัศวินกระดาษวิเศษ” หรือ “เจ้าหญิงในฝัน” ซึ่งปกติ ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) มักเรียกนิทานแนวนี้เล่น ๆ ว่า นิทานแนวบุกภูเขาเผากระท่อม คือ เป็นนิทานที่ตัวเอกต้องลุยฝ่าด่านที่อันตรายเพื่อไปช่วยใครสักคนซึ่งมักเป็นคนที่เขารัก นิทานเรื่อง “เจ้าชายยอดนักปั้น” เป็นนิทานที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน และอาจใช้เป็นนิทานที่เล่าก่อนการทำกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันหรือการปั้นในรูปแบบอื่น ๆ ผมหวังว่าทั้งเด็ก ๆ และคุณพ่อคุณแม่น่าจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

นิทานเรื่อง เจ้าชายยอดนักปั้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์เกเรตนหนึ่งบุกเข้าไปในเมืองของพระราชา แล้วจับเจ้าหญิงผู้แสนน่ารักไปขังเอาไว้ในถ้ำของมันที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลลึก

พระราชาทรงตกใจและเป็นห่วงเจ้าหญิงมาก เพราะเจ้ายักษ์เกเรมีเรี่ยวแรงมหาศาล  แถมยังมีผิวหนังที่หนาจนฟันแทงไม่เข้า รวมทั้งมันยังรู้จักวิชาเวทมนตร์ต่าง ๆ เสียอีก  ด้วยเหตุนี้เอง  พระราชาจึงรีบส่งจดหมายไปหาเจ้าชายแห่งเมืองต่าง ๆ ให้มาช่วยเหลือเป็นการด่วน

แม้เจ้าชายทั้งหลายจะอยากช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากอันตราย แต่เนื่องจากยักษ์เกเรร้าย-กาจเกินกว่าจะปราบให้อยู่หมัดได้ง่าย ๆ  เจ้าชายเกือบทุกพระองค์จึงไม่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เว้นก็แต่เจ้าชายมโนแห่งอาณาจักรดินเหนียวเพียงองค์เดียว ที่พระองค์ทรงเป็นห่วงเจ้าหญิงมาก  เจ้าชายมโนจึงตัดสินใจไปช่วยเจ้าหญิงโดยไม่เกรงกลัวต่อภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น

เจ้าชายมโนทรงมีความสามารถพิเศษในการปั้นดินแล้วร่ายคาถาทำให้มันมีชีวิต!  เมื่อเจ้าชายต้องการไปช่วยเจ้าหญิง  เจ้าชายจึงปั้นดินเหนียวเป็นม้ามีปีกตัวเล็ก ๆ  จากนั้น พระองค์ก็ร่ายเวทมนตร์จนม้าขยายขนาดและมีชีวิตขึ้น  ครั้นเมื่อพาหนะพร้อม  เจ้าชายก็กระโดดขึ้นขี่หลังม้า แล้วให้ม้าพาพระองค์บินข้ามทะเลไปยังเกาะของเจ้ายักษ์ทันที

เมื่อเจ้าชายไปถึงเกาะของยักษ์  เจ้าชายพบว่ายักษ์เกเรได้ใช้เวทมนตร์เสกทรายเป็นกองทหารเพื่อตรวจตราและจัดการกับผู้ที่บุกรุก  เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้น พระองค์จึงบังคับให้ม้าบินร่อนลงยังหลังโขดหินที่ลับตาคน  จากนั้น  พระองค์ก็ปั้นดินเป็นกองทหารดินเหนียวที่มีฝีมือในการต่อสู้  แล้วปล่อยให้ทหารดินออกไปจัดการกับเหล่าทหารทรายทั้งหลาย

เวลาผ่านไปไม่นานนัก กองทหารดินที่มีเนื้อตัวแข็งแรงกว่าและมีฝีมือในการต่อสู้ที่เหนือ กว่าก็จัดการเหล่าทหารทรายทั้งหลายได้จนสิ้นซาก ครั้นเมื่อยักษ์เกเรเห็นสมุนของมันพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า มันจึงออกมาจากถ้ำ แล้วตรงเข้าต่อสู้กับกองทหารดินทันที

เมื่อเจ้าชายทรงเห็นว่ายักษ์เกเรออกโรงมาสู้ด้วยตัวเอง  เจ้าชายจึงปั้นดินเป็นอาวุธวิเศษทั้งหอกและดาบ เพื่อให้ทหารใช้ต่อสู้กับเจ้ายักษ์ที่มีฝีมือร้ายกาจ 

แม้หอกและดาบที่เจ้าชายเสกขึ้นจะมีความแหลมคมเป็นพิเศษ  แต่มันก็ไม่อาจทำให้ ยักษ์เกเรเกิดริ้วรอยได้เลยแม้แต่น้อย  และเพียงครู่เดียว  ยักษ์เกเรก็ปราบทหารดินของเจ้าชายได้จนหมด

ในขณะนั้น  เจ้ายักษ์รู้แล้วว่า คงมีใครบางคนบุกรุกเข้ามาบนเกาะ แล้วใช้เวทมนตร์เสกทหารดินมาต่อสู้กับมัน  เจ้ายักษ์โกรธมาก  มันจึงดมกลิ่นตามหาผู้บุกรุกพลางร้องขู่ว่ามันจะหักกระดูกของผู้บุกรุกให้ป่นเป็นผงธุลี

เมื่อเจ้าชายซึ่งหลบอยู่หลังโขดหินเห็นว่าทั้งทหารผู้มีฝีมือและอาวุธวิเศษต่าง ๆ ไม่อาจปราบเจ้ายักษ์เกเรได้  พระองค์จึงพยายามคิดปั้นดินเป็นสิ่งอื่นที่มีอานุภาพมากกว่านั้น

เจ้าชายทรงรวบรวมสมาธิใช้ความคิดอย่างเต็มที่  แต่เนื่องจากเวลามีจำกัดและเจ้ายักษ์ก็เดินใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ  ในที่สุด เจ้าชายจึงจำต้องตัดใจแล้วหันมาปั้นดินเป็นนกพิราบเพื่อให้มันส่งข่าวไปบอกลาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่พระองค์รักยิ่งชีวิต

ในขณะนั้นเอง  ความคิดบางอย่างก็สว่างวาบขึ้นในใจของเจ้าชาย  เจ้าชายทรงยิ้มแล้วหยุดปั้นนกพิราบดังที่ตั้งใจเอาไว้ในตอนแรก  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงปั้นดินเป็นสิ่งอื่นที่อาจทำให้พระองค์รอดชีวิตและน่าจะทำให้พระองค์ช่วยเจ้าหญิงได้สำเร็จ

สิ่งที่เจ้าชายปั้นและร่ายมนตร์ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ก็คือร่างของพ่อยักษ์และแม่ยักษ์ผู้เป็นพ่อกับแม่ของเจ้ายักษ์เกเรนั่นเอง

ทันทีที่พ่อยักษ์กับแม่ยักษ์ฟื้นคืนชีวิต  ทั้งคู่ก็ตรงเข้าไปหายักษ์เกเรผู้เป็นลูกชาย  จากนั้น พ่อยักษ์ก็จับเจ้ายักษ์เกเรตีก้น  ส่วนแม่ยักษ์ก็ร้องไห้ที่เห็นลูกชายทำตัวเกเรไม่สมกับที่นางเคยสั่งสอนเอาไว้

ยักษ์เกเรตกใจมากที่เห็นพ่อกับแม่มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า  มันเจ็บก้นที่ถูกพ่อยักษ์ตี  แต่มันเจ็บใจตัวเองมากกว่าที่ทำให้แม่ยักษ์ผู้เป็นที่รักต้องร้องไห้ 

เจ้ายักษ์เกเรนึกถึงภาพวันเก่าๆ  ที่พ่อกับแม่คอยพร่ำสอนให้มันเติบโตขึ้นเป็นยักษ์ที่ดี…ไม่ไปเกะกะระรานรังแกใคร ๆ   ยิ่งคิดเจ้ายักษ์เกเรก็ยิ่งรู้สึกผิด  มันจึงสัญญากับพ่อแม่ว่ามันจะไม่เกเรกับใคร ๆ อีกแล้ว 

ในที่สุด  เจ้ายักษ์ก็ยอมปล่อยตัวเจ้าหญิงให้กลับเมืองแต่โดยดี  มันขอบคุณเจ้าชายที่ปั้น ดินเป็นพ่อกับแม่ของมันเพื่อเตือนสติให้มันทำตัวดีสมกับที่พ่อกับแม่วาดหวังเอาไว้ 

เจ้าชายดีใจมากที่เห็นยักษ์เกเรกลับตัวกลับใจได้  หลังจากนั้น เจ้าชายก็พาเจ้าหญิงไปส่งที่เมืองของพระราชา  ซึ่งในเวลาต่อมา  เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้แต่งงานกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

#นิทานนำบุญ