Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข: นิทานสอนใจเรื่องความเมตตาและการเสียสละ

นิทานเรื่อง “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” (The Happy Prince) เป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกว่าเปี่ยมด้วยคุณค่าทางจิตใจและแฝงแง่คิดลึกซึ้งเกี่ยวกับความเมตตาและการเสียสละ ผู้แต่งคือ Oscar Wilde นักเขียนชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในยุควิกตอเรีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมมีความเหลื่อมล้ำสูง นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนภาพชีวิตของผู้คนในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงกับผู้ยากไร้ในเมืองใหญ่

เรื่องราวของเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขและนกนางแอ่นตัวน้อย เป็นการเล่าเรื่องผ่านสัญลักษณ์ของความงามภายนอกที่ซ่อนความเจ็บปวดภายใน เจ้าชายที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง กลับต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายเมื่อกลายเป็นรูปปั้นที่มองเห็นความทุกข์ของผู้คนจากที่สูง การตัดสินใจเสียสละสิ่งมีค่าของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยมีนกนางแอ่นเป็นผู้ส่งต่อความเมตตา กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์และการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กวัย 7 ปีขึ้นไปที่เริ่มเรียนรู้เรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับผู้ใหญ่ นิทานนี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีจิตใจงดงาม และเป็นเครื่องเตือนใจให้เรามองเห็นคุณค่าของการเสียสละและความเมตตาในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน นิทาน “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าสำหรับเด็ก แต่เป็นตำนานแห่งความดีงามที่ควรส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยอาคารสูงและถนนคดเคี้ยว มีรูปปั้นเจ้าชายองค์หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเสาสูงกลางจัตุรัส รูปปั้นนั้นงดงามจนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่างพากันหยุดมองด้วยความชื่นชม เจ้าชายองค์นั้นถูกปิดทองทั่วทั้งร่าง ดวงตาทำจากไพลินสีฟ้า และที่ด้ามดาบมีทับทิมสีแดงสดประดับอยู่ ทุกคนเรียกพระองค์ว่า “เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข” เพราะเชื่อว่าพระองค์คงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและไม่เคยรู้จักความทุกข์เลยแม้แต่น้อย

ในยามกลางวัน แสงแดดส่องกระทบแผ่นทองบนร่างของเจ้าชายจนเปล่งประกายระยิบระยับ ส่วนในยามค่ำคืน แสงจันทร์ก็ช่วยขับให้รูปปั้นดูสง่างามราวกับเทวดา เด็ก ๆ จากโรงเรียนใกล้เคียงมักจะชี้ชวนกันดูรูปปั้นและพูดว่า “พระองค์ดูเหมือนเทวดาเลยเนอะ” แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมว่า “พระองค์คือความงามของเมืองนี้”

แต่อนิจจา….ไม่มีใครรู้เลยว่า ภายใต้ความงามนั้น เจ้าชายกำลังเฝ้ามองโลกด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเศร้า

คืนหนึ่ง มีนกนางแอ่นตัวหนึ่งบินผ่านเข้ามาในเมือง จริง ๆ แล้ว นกนางแอ่นควรจะบินไปอียิปต์กับเพื่อน ๆ แต่เมื่อมันบินมาถึงเมืองใหญ่แห่งนี้ มันเห็นรูปปั้นเจ้าชายตั้งเด่นอยู่ มันจึงเลือกเกาะใต้เท้าของรูปปั้นเพื่อนอนพักสักนิด

ในขณะที่นกนางแอ่นกำลังจะหลับ นกนางแอ่นรู้สึกถึงหยดน้ำเย็น ๆ ที่ตกใส่ตัวของมัน นกนางแอ่นจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า แต่มันก็ไม่เห็นเมฆหรือฝนเลย ครั้นเมื่อมันมองไปยังรูปปั้น มันกลับพบว่าเจ้าชายผู้งามสง่ากำลังร้องไห้

น้ำตาของเจ้าชายไหลลงมาตามแก้มทองคำอย่างช้า ๆ นกนางแอ่นตกใจจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงร้องไห้ล่ะ” เจ้าชายตอบด้วยเสียงเศร้าว่า “ตอนที่ฉันมีชีวิต ฉันอยู่ในวังจึงไม่เคยเห็นความทุกข์ของผู้คนเลย ฉันคิดว่าความสุขเป็นเรื่องปกติของทุก ๆ คน แต่ตอนนี้ เมื่อฉันได้เห็นเมืองจากที่สูง ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย และหัวใจของฉันก็ไม่อาจนิ่งเฉยต่อไปได้อีก”

เจ้าชายเล่าว่า พระองค์เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในบ้านหลังเล็ก ๆ เธอกำลังเย็บชุดให้ลูกสาวของขุนนาง แต่เธอไม่มีเงินซื้อยาให้ลูกชายที่ป่วยนอนตัวร้อนอยู่บนเตียง เจ้าชายอยากช่วยหญิงสาวคนนั้น พระองค์จึงขอให้นกนางแอ่นช่วยเอาทับทิมจากดาบของพระองค์ไปให้หญิงสาว

ในตอนแรก นกนางแอ่นลังเล เพราะมันต้องบินไปอียิปต์ แต่นกนางแอ่นรู้สึกสงสารเจ้าชายและหญิงสาวคนนั้น มันจึงตัดสินใจจิกและดึงทับทิมจากดาบของเจ้าชาย แล้วบินไปยังบ้านหลังหญิงสาว จากนั้น มันก็วางทับทิมไว้บนโต๊ะ แล้วบินวนรอบตัวลูกชายที่ป่วย เพื่อให้อากาศไหลเวียน เด็กชายจะได้หลับสบายขึ้น

เมื่อนกนางแอ่นบินกลับมาหาเจ้าชาย เจ้าชายได้ก็ขอให้มันอยู่ต่ออีกคืนหนึ่ง เพราะยังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก

เจ้าชายเล่าว่า พระองค์เห็นชายหนุ่มนักเขียนที่ทั้งหนาวและอดอยาก เขาไม่มีเงินซื้อทั้งฟืนและอาหาร เจ้าชายจึงขอให้นกนางแอ่นช่วยเอาไพลินจากดวงตาของพระองค์ไปให้ชายหนุ่มคนนั้น

นกตกใจแต่ก็ทำตาม เมื่อนักเขียนหนุ่มได้รับไพลินจากนก เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจและมีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ต่อ

คืนถัดมา เจ้าชายขอให้นกนางแอ่นช่วยอีกครั้ง ในคราวนี้ เจ้าชายขอให้นกเอาไพลินจากตาอีกข้างไปให้เด็กชายที่ขายไม้ขีดไฟซึ่งกำลังร้องไห้เพราะทำไม้ขีดไฟตกลงไปในท่อระบายน้ำ

นกตกใจแต่ก็ทำตาม ซึ่งเมื่อมันบินกลับมา มันก็พบว่า เจ้าชายมองอะไรไม่เห็นแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องตาบอด แต่เจ้าชายก็ยังคงยืนอยู่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ความเสียสละของเจ้าชาย ทำให้นกนางแอ่นครุ่นคิด ในที่สุด นกนางแอ่นก็ตัดสินใจทำเรื่องที่สำคัญมาก ๆ นั่นก็คือ มันตัดสินใจอยู่กับเจ้าชาย โดยไม่คิดที่จะบินไปอียิปต์อย่างที่ควรจะเป็น

ในเวลาต่อมา เมื่ออากาศเริ่มหนาวจัด เจ้าชายทรงขอร้องให้นกนางแอ่นช่วยจิกเอาทองจากตัวของพระองค์ไปแจกจ่ายให้แก่คนยากจน นกนางแอ่นไม่พูดอะไร มันทำตามเจ้าชายอย่างสุดกำลัง และผู้คนที่ได้รับทองคำต่างก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในฤดูหนาวนั้น

แต่ความหนาวก็ทำให้นกนางแอ่นอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด นกนางแอ่นก็รู้ว่าตัวของมันกำลังจะตาย

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต นกนางแอ่นบินขึ้นไปหาเจ้าชายที่มันศรัทธา นกนางแอ่นจุมพิตเจ้าชายที่ริมฝีปาก แล้วมันก็ร่วงลงมาตายที่เท้าของรูปปั้นเจ้าชาย พร้อม ๆ กับหัวใจของเจ้าชายที่แตกสลายเพราะความเศร้าและความรักที่มีต่อเจ้านกน้อย

เช้าวันรุ่งขึ้น นายกเทศมนตรีเดินผ่านรูปปั้นเจ้าชาย พร้อมกับสมาชิกสภาเมือง พวกเขามองขึ้นไปที่รูปปั้นแล้วพูดว่า “รูปปั้นเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขดูทรุดโทรมเหลือเกิน” พวกเขาจึงสั่งให้รื้อรูปปั้นลง และนำไปหลอมในเตาหลอม แต่เปลวไฟไม่อาจหลอมหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้าชายได้ มันจึงถูกโยนทิ้งไว้กับร่างของนกนางแอ่นที่ตายอยู่ตรงนั้น

ณ สรวงสวรรค์ พระเจ้าตรัสกับเทวดาองค์หนึ่งว่า “จงนำสิ่งล้ำค่าที่สุดจากเมืองนั้นมาให้เรา” เมื่อเทวดากลับมา เทวดาได้นำหัวใจของเจ้าชายและร่างของนกนางแอ่นกลับมาด้วย เมื่อพระเจ้าเห็นเช่นนั้น พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าทำได้ดีมาก นกตัวนี้จะอยู่ในสวนสวรรค์ของเรา และเจ้าชายจะได้อยู่ในนครทองคำของเรา”

และแล้ว เรื่องราวของเจ้าชายผู้เปี่ยมสุขกับนกนางแอ่นผู้เสียสละก็กลายเป็นตำนานแห่งความเมตตาที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของผู้คน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความเมตตาและการเสียสละคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
  • การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม
  • ความรักที่แท้จริงไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เกิดจากหัวใจที่บริสุทธิ์
Illustration of the Happy Prince, Oscar Wilde's fairy tale
Posted in นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่, นิทานฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ – เพลงที่ทำให้นิทานอ่อนโยนลง

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นักเขียนนิทานระดับโลก เจ้าของผลงานอมตะอย่าง ลูกเป็ดขี้เหร่, เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว, และ เงือกน้อยผจญภัย ได้ฝากนิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ไว้เป็นหนึ่งในเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดในโลกวรรณกรรมสำหรับเด็ก

นิทานเรื่องนี้สะท้อนความยากลำบากของเด็กยากไร้ในยุโรปยุคเก่า ผ่านภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องขายไม้ขีดไฟท่ามกลางความหนาวเหน็บในคืนวันสิ้นปี แม้เนื้อเรื่องจะหม่นเศร้า แต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และความเมตตา

เพื่อให้เรื่องราวนี้เข้าถึงใจเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ได้อย่างอ่อนโยน ผมจึงแต่งเพลงเล่านิทานขึ้นมา ด้วยเสียงดนตรีที่อบอุ่นและเนื้อเพลงที่ชวนฟัง ผมหวังว่าเพลงนี้จะเป็นสื่อกลางให้พ่อแม่และคุณครูใช้พูดคุยกับเด็ก ๆ เรื่องความเอื้ออาทร ความเห็นอกเห็นใจ และการแบ่งปันให้กับผู้ที่ขาดแคลน

ลองฟังเพลงนี้ แล้วหากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

ในคืนสิ้นปีที่หนาวเหน็บ เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินขายไม้ขีดไฟตามลำพังบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ เธอสวมเสื้อเก่า เดินเท้าเปล่า มือกำกล่องไม้ขีดไว้แน่น แม้จะพยายามเรียกผู้คนให้ซื้อ แต่ไม่มีใครสนใจเธอเลย

อากาศวันนั้นหนาวจนแทบทนไม่ไหว เด็กหญิงจึงจุดไม้ขีดไฟก้านหนึ่งเพื่อให้มืออุ่นขึ้น และในแสงไฟนั้น เธอเห็นภาพเตาผิงอันอบอุ่นปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่เมื่อไฟดับ ภาพนั้นก็หายไป

เธอจุดไม้ขีดอีกก้าน แล้วเห็นโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารน่ากิน แต่ภาพนั้นก็หายไปเมื่อไฟดับอีกครั้ง

ไม้ขีดก้านต่อมาพาเธอไปพบต้นคริสต์มาสที่สวยงาม มีของขวัญและเสียงเพลงลอยมาเบา ๆ แต่ภาพนั้นก็เลือนหายไปเช่นกัน

เมื่อเห็นดาวตก เด็กหญิงนึกถึงคำพูดของคุณยายว่า “ถ้าดาวตก แปลว่ามีใครบางคนกำลังจะขึ้นสวรรค์” เธอจุดไม้ขีดอีกก้าน และคราวนี้ คุณยายปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

เด็กหญิงดีใจมาก เธอจุดไม้ขีดทีละก้านเพื่อให้คุณยายอยู่กับเธอนานที่สุด จนถึงก้านสุดท้าย แสงไฟเจิดจ้าขึ้น และคุณยายก็โอบกอดเธอไว้ในอ้อมอกอันอบอุ่น

รุ่งเช้า ผู้คนพบเด็กหญิงนั่งสงบอยู่ข้างกำแพง ใบหน้ายิ้มละไม ในมือกำกล่องไม้ขีดไว้แน่น ไม่มีใครรู้เลยว่า ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เด็กหญิงได้พบคนที่เธอรักที่สุดอีกครั้ง และได้เดินทางไปยังที่ซึ่งไม่มีความหนาว ความกลัว หรือความเดียวดายอีกต่อไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

นิทาน เด็กหญิงขายไม้ขีดกำลังเดินในหิมะ
Posted in ครอบครัว, นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานรักโรแมนติก, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับผู้ใหญ่, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย

นิทานก่อนนอนเรื่อง ความรักของตัวประหลาด – เมื่อความรักเอาชนะรูปลักษณ์

นิทานก่อนนอนเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวโรแมนติกสุดอบอุ่นของเจ้าชายผู้มีรูปลักษณ์ประหลาดกับเจ้าหญิงผู้สวยแต่ไร้ปัญญา ความรักของทั้งคู่ค่อย ๆ ก่อตัวจากความเข้าใจและความเมตตา จนกลายเป็นความรักแท้ที่งดงาม นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ความรัก ความเข้าใจ และความจริงใจต่างหากที่มีคุณค่าที่แท้จริง เหมาะสำหรับใช้เป็นนิทานก่อนนอน นิทานสอนใจ หรืออ่านเล่นเพื่อเติมแรงบันดาลใจ

นิทานเรื่อง “ความรักของตัวประหลาด” เรียบเรียงจากนิทานคลาสสิกเรื่อง Riquet with the Tuft ซึ่งเป็นนิทานที่มีเนื้อหาน่าสนใจมาก แต่ฉบับดั้งเดิมนั้นเขียนด้วยภาษาที่ยุ่งยากต่อการอ่านในปัจจุบัน

ผู้เรียบเรียงจึงพยายามถ่ายทอดเรื่องราวให้อ่านง่ายขึ้น โดยคงไว้ซึ่งสาระสำคัญ และจิตวิญญาณของนิทานต้นฉบับ มีการตัดตัวละครรองที่ไม่จำเป็น เปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ให้สื่อความหมายชัดเจนขึ้น และเรียบเรียงเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่ายและร่วมสมัย

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับทั้งความสนุก ความประทับใจ และแง่คิดดี ๆ จากนิทานเรื่องนี้ และหากมีโอกาส อยากขอชวนให้ลองหาอ่านนิทานฉบับดั้งเดิม เพื่อเปรียบเทียบและค้นพบเสน่ห์ของต้นฉบับด้วยตนเอง

กาลครั้งหนึ่ง มีราชินีองค์หนึ่งทรงให้กำเนิดพระโอรสชื่อ “เจ้าชายริเกต์” ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด

เจ้าชายเกิดมาพร้อมจมูกโตสีแดงระเรื่อ แถมมีกระจุกผมที่กลางศีรษะ ดูคล้ายลูกลิงมากกว่าลูกคน พระราชินีทรงเป็นห่วงเจ้าชายว่าจะถูกผู้คนรังเกียจ และต้องทนทุกข์กับรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของตนเอง นางฟ้าจึงปลอบพระราชินีว่า “เจ้าชายจะไม่เป็นไร เพราะเจ้าชายมีสติปัญญาที่ชาญฉลาด ทั้งยังมีพรวิเศษที่สามารถมอบสติปัญญาให้คนที่พระองค์รักได้ สติปัญญานี้เองที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาทุกอย่าง” พระราชินีไม่เข้าใจว่าสติปัญญาจะช่วยเจ้าชายได้อย่างไร พระองค์จึงได้แต่หวังว่า คำพูดของนางฟ้าจะเป็นความจริง

เจ็ดปีต่อมา พระราชินีแห่งอาณาจักรข้างเคียงได้ให้กำเนิดพระธิดาที่มีหน้าตางดงามราวกับนางฟ้า พระราชินีทรงเป็นห่วงว่า ความงามอาจทำให้เจ้าหญิงต้องวุ่นวายในการเลือกเจ้าชายรูปงามที่แย่งกันมาเป็นคู่ครอง นางฟ้าจึงปลอบพระราชินีว่า “เจ้าหญิงจะไม่เป็นไร เพราะเจ้าหญิงเกิดมาสวยแต่เซ่อ แค่คุยกับเจ้าชายไม่กี่คำ เจ้าชายทั้งหลายก็คงเบื่อและหนีหายไปหมด”

พระราชินีมีสีหน้าไม่พอใจ นางฟ้าจึงพูดแก้เก้อไปว่า “แต่เพื่อให้ท่านไม่ต้องกังวลใจ ข้าขอมอบพรวิเศษให้เจ้าหญิงเนรมิตบุคคลที่เจ้าหญิงรัก ให้มีหน้าตาดีขนาดไหนก็ได้ ยังไงเจ้าหญิงก็จะมีคู่ครองที่คู่ควร” เมื่อพูดจบ นางฟ้าก็รีบลาจากไป

เมื่อเจ้าหญิงเติบโตขึ้น ความงามของเจ้าหญิงก็เลื่องลือไปทั่ว แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายได้มาพบและพูดคุยกับเจ้าหญิง ความซื่อบื้อของเจ้าหญิงที่สวนทางกับความสวย ก็ทำให้เจ้าชายทุกพระองค์พากันมองเจ้าหญิงเหมือนตัวประหลาด แล้วค่อย ๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคน

แม้เจ้าหญิงจะสมองช้าและเบาปัญญากว่าคนทั่วไป แต่พระองค์ทรงมีจิตใจและมีความรู้สึก เจ้าหญิงอยากมีความฉลาดเพิ่มขึ้นสักนิด อย่างน้อย…พระองค์ก็คงไม่ถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาดอยู่เช่นนี้

คืนหนึ่ง เจ้าหญิงผู้น่าสงสารได้แอบเข้าไปในป่าเพื่อหาที่นั่งร้องไห้ เจ้าหญิงโดดเดี่ยวและรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า

ในช่วงเวลานั้นเอง มีชายแปลกหน้าผูกผมจุกคนหนึ่งได้เดินออกมาจากพุ่มไม้ ซึ่งเขาก็คือ เจ้าชายริเกต์ นั่นเอง เจ้าชายริเกต์เคยเห็นเจ้าหญิงแสนสวยจากภาพวาด ซึ่งพระองค์ก็ทรงหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่แรกเห็น

“ท่านร้องไห้ทำไม?” เจ้าชายริเกต์เอ่ยถามเจ้าหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เจ้าหญิงเช็ดน้ำตา แล้วตอบอย่างขมขื่นว่า “ข้าเป็นคนสวยแต่เซ่อ ข้าจึงถูกคนอื่นมองเหมือนเป็นตัวประหลาด ข้าอยากมีสติปัญญาแบบคนอื่นบ้าง ท่านเข้าใจข้าไหม?”

เจ้าชายริเกต์ยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วตอบว่า “ข้าเข้าใจดี ข้าถูกมองว่าแปลกประหลาดมาตลอดชีวิต แต่ข้าไม่ยอมปล่อยให้ความคิดของผู้อื่น มากำหนดคุณค่าของตัวข้าหรอกนะ”

เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้น แล้วตั้งใจฟังคำพูดของเจ้าชายแปลกหน้า โดยที่พระองค์ก็ไม่เข้าใจความหมายสักเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าหญิงรู้สึกได้ก็คือ เจ้าหญิงรู้สึกถึงความเข้าอกเข้าใจที่เจ้าชายมีให้ ซึ่งเจ้าหญิงไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

เจ้าชายริเกต์กล่าวต่อไปว่า “สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ มันทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง และทำให้เรารู้วิธีปฏิบัติตัวให้ผู้อื่นเห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของตัวเรา” เจ้าชายริเกต์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า “จริง ๆ แล้ว ข้ามีพรวิเศษที่สามารถมอบสติปัญญาให้คนที่ข้ารักได้ ถ้าเจ้าหญิงต้องการพรข้อนี้ ข้ายินดีมอบให้นะ แต่ท่านต้องตกลงว่าจะแต่งงานกับข้า”

เจ้าหญิงนิ่งคิดอยู่นาน นานจนเจ้าชายอมยิ้ม จากนั้น เจ้าชายก็พูดกับเจ้าหญิงอย่างเอ็นดูว่า “หากท่านยังไม่แน่ใจ ข้าจะให้เวลาท่านคิด 1 ปี ระหว่างนี้ ข้าจะมอบพรวิเศษให้ท่านนำไปใช้ก่อน ท่านจะได้คลายทุกข์ลงบ้าง”

คำพูดของเจ้าชายริเกต์อบอุ่นมาก เจ้าหญิงจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล

หลังจากคืนนั้น เจ้าหญิงที่สวยแต่เซ่อ ได้กลายเป็นเจ้าหญิงผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม พระองค์สามารถพูดจาโต้ตอบได้อย่างน่าฟัง และมีความรอบรู้ในทุก ๆ เรื่อง จนพระราชาผู้เป็นพระบิดายังขอความคิดเห็นจากเจ้าหญิงเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองต่าง ๆ ซึ่งคำแนะนำของเจ้าหญิงล้วนมีประโยชน์และใช้แก้ปัญหาได้จริงชนิดที่ทุกคนพากันทึ่ง

ไม่นานนัก ข่าวเรื่องเจ้าหญิงแสนงามในเวอร์ชั่นใหม่ที่เจิดจรัสด้านสติปัญญาก็แพร่สะพัดจนเจ้าชายรูปงามทั้งหลายพากันมาขอพบเพื่อผูกสัมพันธ์ด้วย

แต่เจ้าหญิงผู้มีสติปัญญาไม่ได้สนใจเจ้าชายเหล่านั้นเลย เพราะพระองค์มัวแต่กังวลใจ เกี่ยวกับข้อตกลงที่พระองค์มีกับเจ้าชายริเกต์”

ในวันที่เจ้าหญิงยังสวยแต่เซ่อ เจ้าหญิงยังงง ๆ กับข้อตกลงดังกล่าว แต่ในเวลานี้ เจ้าหญิงเพิ่งตระหนักว่า ข้อตกลงเรื่องแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะการแต่งงานต้องเกิดขึ้นจากความรัก ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้…พระองค์ไม่แน่ใจตัวเองว่า พระองค์รักเจ้าชายริเกต์บ้างหรือไม่?

เมื่อเวลาผ่านไปครบ 1 ปี เจ้าหญิงได้เดินทางเข้าป่าเพื่อพบกับเจ้าชายริเกต์อีกครั้ง ในเวลานี้ ภายในใจของเจ้าหญิงยังคงวนเวียนอยู่กับคำถามที่พระองค์ยังหาคำตอบไม่ได้

เมื่อเจ้าหญิงไปถึงสถานที่นัดพบ เจ้าชายริเกต์ได้ปรากฎตัวในชุดเจ้าบ่าว พร้อมกับกล่าวทักทายเจ้าหญิงอย่างอบอุ่นว่า “เจ้าหญิงตกลงจะแต่งงานกับข้าแล้วใช่ไหม?”

เจ้าหญิงทรงมองตาเจ้าชายริเกต์ แล้วตอบอย่างลังเลว่า “ณ วันนี้ ข้ามีปัญหาที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ข้ารักท่านหรือไม่ ซึ่งหากข้าไม่ได้รักท่าน ข้าก็ไม่ควรตอบตกลงแต่งงานกับท่านนะ”

เจ้าชายริเกต์มองเจ้าหญิงอย่างใจดี แล้วพระองค์ก็พูดกับเจ้าหญิงว่า “ความฉลาดอาจทำให้เราต้องคิดอะไรมากหน่อย แต่มันไม่ควรทำให้เราทุกข์ใจมากขึ้นนะ”

เจ้าชายริเกต์ส่งยิ้มอันอบอุ่นให้เจ้าหญิง แล้วพูดต่อไปว่า “ให้ข้าช่วยท่านนะ เจ้าหญิงลองคิดแล้วตอบข้าหน่อยว่า มีสิ่งใดในตัวข้าที่ท่านรังเกียจหรือรู้สึกแปลกประหลาดบ้างไหม?”

เจ้าหญิงมองเจ้าชายริเกต์ แล้วตอบเจ้าชายอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่มีเลย ข้าชื่นชมทุกสิ่งที่เป็นตัวท่าน ท่านมีความสุภาพ รับฟังความทุกข์ของข้า ให้คำแนะนำข้า ช่วยเหลือข้า ไม่เคยมองข้าเป็นตัวประหลาด!”

“แล้วเรื่องรูปกายภายนอกล่ะ” เจ้าชายริเกต์ถาม

“รูปกายของท่านเป็นอย่างไรหรือ? ท่านอ่อนโยน ไว้ผมจุกสุดเท่ ท่าเดินก็ดูมีเสน่ห์ จมูกสีแดงก็ดูขี้อายน่ารัก หนังตาที่กระตุกในบางครั้งก็ดูขี้เล่นอย่างบอกไม่ถูก”

เจ้าชายริเกต์ยิ้มเขิน ๆ จากนั้น พระองค์ก็บอกเจ้าหญิงว่า “เจ้าหญิงรู้ไหม ในวันที่เจ้าหญิงเกิด นางฟ้าได้มอบพรวิเศษให้เจ้าหญิงสามารถเนรมิตบุคคลที่เจ้าหญิงรักให้มีหน้าตาดีขนาดไหนก็ได้” เจ้าชายริเกต์มองตาเจ้าหญิงอย่างมีลึกซึ้ง แล้วพูดต่อไปว่า “ถ้าเจ้าหญิงเห็นว่า ตัวประหลาด อย่างข้ามีหน้าตาดีตามที่กล่าวไว้จริง ๆ นั่นก็หมายความว่า…..”

เจ้าหญิงผู้งดงามและชาญฉลาดเติมคำในช่องว่างทันทีว่า “หมายความว่า….ท่านคือบุคคลที่ข้ารัก”

เจ้าหญิงตกหลุมรักเจ้าชายริเกต์ไปตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ เจ้าชายริเกต์รักเจ้าหญิงมานานแล้ว ส่วนเจ้าหญิงก็รักเจ้าชายเช่นกัน

ในที่สุด เจ้าหญิงก็ได้รู้ว่า พระองค์ควรตอบตกลงแต่งงานกับเจ้าชายริเกต์หรือไม่

และแล้ว …เรื่องราวความรักของบุคคลที่ถูกมองว่าเป็น “ตัวประหลาด” ก็จบลงอย่างมีความสุข.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าวัดคุณค่าคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ความสวยงามหรือความแปลกประหลาดของร่างกาย ไม่ได้สะท้อนคุณภาพจิตใจ หรือความสามารถที่แท้จริงของใครเลย
  • ความเข้าใจคือรากฐานของความรัก ความรักของเจ้าชายริเกต์และเจ้าหญิงเติบโตจากการเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่ความดึงดูดทางกายภาพ
  • สติปัญญาทำให้เรารู้คุณค่าของตัวเอง เมื่อเจ้าหญิงได้รับพรแห่งปัญญา พระองค์ไม่เพียงพูดเก่งขึ้น แต่ยังตระหนักถึงความเป็นตัวเอง จนสามารถแนะนำเรื่องสำคัญของบ้านเมืองได้
  • รักแท้ไม่เกิดจากการแลกเปลี่ยน แต่เกิดจากใจจริง เจ้าหญิงไม่ตอบตกลงแต่งงานทันที เพราะพระองค์ต้องมั่นใจว่า สิ่งนั้นคือ “ความรัก” ไม่ใช่การตอบแทนสิ่งดี ๆ ที่ได้รับมา
  • คนที่เคยถูกมองเป็นตัวประหลาด อาจเป็นคนที่มีค่ามากที่สุด เจ้าชายริเกต์แสดงให้เห็นว่าความแปลกไม่ใช่ข้อด้อย หากแต่เป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่า เมื่อประกอบกับหัวใจที่ดีงาม
“ภาพประกอบนิทาน เจ้าชายรูปลักษณ์แปลก กับเจ้าหญิงแสนงาม ยืนอยู่กลางป่าใต้แสงจันทร์”