Posted in นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, นิทานเด็ก

หมากับรางหญ้า: นิทานอีสปสอนใจเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัว

แม้นิทานเรื่อง “หมากับรางหญ้า” จะไม่เป็นที่รู้จักเท่า “กระต่ายกับเต่า” หรือ “ราชสีห์กับหนู” แต่ข้อคิดในเรื่องกลับเฉียบคมและใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันอย่างน่าทึ่ง นิทานกล่าวถึงความเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ แม้ตัวเองจะไม่ได้ใช้อะไรเลยก็ตาม

นิทานเรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนสำหรับทุกวัย ให้รู้จักละวาง และเปิดใจให้ผู้อื่นได้ใช้ทรัพยากรที่มีประโยชน์ร่วมกัน เพื่อสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันและเติบโตไปด้วยกัน

Original (Townsend):

A Dog lay in a Manger, filled with hay. An Ox, being hungry, came near and wished to eat of the hay, but the Dog barked and snapped at him. The Ox said, “Selfish creature! You cannot eat the hay yourself, and yet you will not let others eat who can.”

แปลไทยแบบตามเนื้อหา:

สุนัขนอนอยู่ในรางหญ้า ครั้นวัวมาหวังจะกินหญ้า เจ้าสุนัขก็กระโจนเข้าใส่และเห่าใส่อย่างดุร้าย วัวจึงว่า “เจ้าช่างเห็นแก่ตัวนัก ทั้งที่เจ้าก็หาใช่ผู้กินหญ้าไม่ แต่กลับไม่ยอมให้ข้าผู้กินได้กินเสีย”

แปลไทยแบบเข้าใจง่าย:

หมาตัวหนึ่งนอนอยู่ในรางหญ้า พอวัวจะมากินหญ้า มันก็เห่าไล่ วัวจึงพูดว่า “เจ้าหมาเอ๋ย เจ้าก็ไม่ได้กินหญ้าอยู่แล้ว แต่ยังจะหวงไม่ให้ใครกินอีก ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ”

ข้อคิด:

อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมให้คนอื่นได้ประโยชน์ แม้ตนเองก็ไม่ได้ใช้สิ่งนั้น


Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป

นิทานอีสปสอนใจเรื่อง หมาจิ้งจอกกับพวงองุ่น | นิทานก่อนนอนแสนสนุก

นิทานอีสปเรื่องหมาจิ้งจอกกับพวงองุ่น เป็นนิทานก่อนนอนยอดนิยมที่เล่าขานกันมายาวนานทั่วโลก นิทานสั้น ๆ เรื่องนี้ไม่เพียงสนุกและเข้าใจง่าย แต่ยังแฝงข้อคิดสอนใจลึกซึ้งให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการยอมรับความจริง และการไม่หลอกตัวเองเมื่อผิดหวัง เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่กำลังมองหา นิทานสอนใจสำหรับเด็ก เพื่ออ่านให้ลูกฟังก่อนนอน หรือใช้ประกอบการเรียนรู้ในห้องเรียน นิทานเรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งนิทานที่ไม่ควรพลาดในคลังนิทานของคุณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าแห่งหนึ่ง ในวันที่มีแสงแดดแผดเผา มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินหาของกินเหมือนเช่นทุกวัน หมาจิ้งจอกเดินวนไปเวียนมาอยู่หลายชั่วโมง แต่มันก็ยังไม่พบอะไรที่สามารถกินได้เลย หมาจิ้งจอกหิวยิ่งกว่าหิว แถมมันยังกระหายน้ำจนแทบจะหมดแรงไปกองอยู่กับพื้น

แต่แล้วจู่ ๆ หมาจิ้งจอกก็มองเห็นต้นองุ่น ที่มีพวงองุ่นห้อยลงมาจากเถาไม้ใหญ่ พวงองุ่นสีม่วงเข้มที่สุกงอม เปล่งประกายเหมือนอัญมณีที่แวววาวภายใต้แสงแดด

“โอ้… นั่นมันองุ่นม่วงแสนหวานนี่นา!” สุนัขจิ้งจอกคิดในใจ มันจ้องมองพวงองุ่น แล้วตัดสินใจทันทีว่า “วันนี้ฉันจะได้กินองุ่นอร่อย ๆ สักที!”

เมื่อคิดเช่นนั้น มันจึงรีบสาวเท้าไปที่ต้นองุ่น แล้วกระโดดขึ้นไปงับองุ่นอย่างสุดแรงเกิด แต่เนื่องจากพวงองุ่นอยู่สูงและแกว่งไกวไปมา หมาจิ้งจอกจึงงับองุ่นไม่สำเร็จ

หมาจิ้งจอกพยายามกระโดดงับอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง มันพยายามกระโดดให้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น แต่จนแล้วจนรอด มันก็ยังงับองุ่นไม่ได้สักที

“อีกนิดเดียว… แค่กระโดดให้สูงขึ้นอีกนิดเดียว!” สุนัขจิ้งจอกพูดกับตัวเอง

แม้หมาจิ้งจอกจะเริ่มขาสั่นเพราะหมดแรง แถมยังหอบแฮ่ก ๆ ด้วยความเหนื่อย แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ มันกระโดดอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง แต่มันก็ยังงับองุ่นไม่ได้

หลังจากที่หมาจิ้งจอกพยายามกระโดดงับองุ่นรวมเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้ง หมาจิ้งจอกก็เริ่มหายใจเสียงดังแฮ่กแฮ่กแฮ่ก หมาจิ้งจอกเหนื่อยมาก ขาของมันสั่นเหมือนจะหลุดออกจากกัน ในที่สุด หมาจิ้งจอกก็ล้มตัวลงนอนหอบอยู่ใต้ต้นองุ่น พร้อมกับอ้าปากหายใจเพราะหายใจไม่ทันจริง ๆ

“สุดยอดไปเลย!” หมาจิ้งจอกหายใจหอบแฮ่กแฮ่ก “ทำไมองุ่นถึงได้อยู่สูงขนาดนี้กันนะ…แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก แต่… ฉันยังมีแรงกระโดดได้อยู่นะ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

หมาจิ้งจอกพยายามวางมาดเท่ แต่จริง ๆ แล้ว มันเหนื่อยและกระหายน้ำจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว

หมาจิ้งจอกนอนหอบ แล้วพูดต่อไปว่า “แต่องุ่นพวงนี้ ดู ๆ ไปแล้วก็คงไม่อร่อยหรอกนะ!” หมาจิ้งจอกพูดไป ขาสั่นไป “องุ่นสีม่วงแบบนี้….คงเปรี้ยวและฝาดเกินไปแหละ….ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน…..ฉันไม่อยากกินองุ่นแบบนี้หรอก!”

หมาจิ้งจอกเบือนหน้าจากองุ่น แล้วพยายามชันตัวลุกขึ้นจากพื้น หมาจิ้งจอกพยายามยืนให้ตัวเองดูเท่ แต่พอยืนได้ ขาของมันกลับสั่นพั่บ ๆ จนมันเกือบล้มลงไปอีก

หมาจิ้งจอกพยายามทรงตัวยืนให้อยู่เพื่อรักษาความเท่ แล้วมันก็ยืดคอและพูดว่า “ใช่แล้ว! องุ่นม่วงไม่หวานหรอก แหยะ! ไม่เห็นน่ากินตรงไหนเลย”

เมื่อพูดจบ หมาจิ้งจอกก็เดินจากไป พร้อมกับอาการขาสั่น ๆ และเสียงหายหายใจหอบที่ค่อย ๆ จางหายไปในป่า.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้:

เมื่อเราทำสิ่งใดไม่สำเร็จ บางครั้งเราก็อาจพยายามลดคุณค่าของสิ่งนั้น เพื่อปลอบใจตัวเอง ทั้งที่ลึก ๆ แล้ว เรายังอยากได้มันอยู่ จงกล้ายอมรับความจริงและกล้ายอมรับความล้มเหลว ไม่ควรกล่าวโทษสิ่งรอบข้างหรือแกล้งทำเป็นไม่อยากได้สิ่งนั้น

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน : คนเลี้ยงแกะกับทะเล | นิทานอีสปสอนใจเรื่องความโลภ

ในโลกของนิทานอีสปที่เปี่ยมด้วยข้อคิดและคติสอนใจ มีเรื่องราวมากมายที่เล่าให้เด็ก ๆ ฟังก่อนนอนเพื่อปลูกฝังคุณธรรม เรื่อง “คนเลี้ยงแกะกับทะเล” ก็เป็นอีกหนึ่งนิทานที่สอนเราเกี่ยวกับความโลภและความพอเพียงได้อย่างลึกซึ้ง นิทานเรื่องนี้เล่าถึงชายเลี้ยงแกะผู้มีความฝันอยากรวยจากทะเล แต่เมื่อความโลภเข้าครอบงำ เขากลับต้องพบกับบทเรียนครั้งใหญ่

กาลครั้งหนึ่ง ณ เชิงเขาอันเขียวขจี มีชายเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ชื่อว่า “ไคลอส” ไคลอสใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พออยู่พอกิน โดยเขามีฝูงแกะเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและทรัพย์สินอันมีค่า ไคลอสรักงานของเขา แม้ว่าบางครั้ง…เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยมากก็ตาม

เย็นวันหนึ่ง หลังจากไคลอสต้อนแกะกลับคอก เขานั่งพักใต้ต้นโอ๊กใหญ่ แล้วมองไปยังทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้ายามอาทิตย์ตกสะท้อนแสงสีทองส่องประกายอยู่บนผิวน้ำ ทะเลช่างงดงามและลึกลับเสียเหลือเกิน

ทันใดนั้น ไคลอสก็สังเกตเห็นเรือสินค้าลำหนึ่งล่องผ่านไป เรือลำนั้นบรรทุกของมีค่าเอาไว้มากมาย พ่อค้าและลูกเรือดูร่ำรวยและมีความสุขสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเสียงร้องเพลงของพวกเขาดังแว่วมาถึงชายฝั่ง

“ชีวิตของพวกเขาช่างน่าตื่นเต้นและอู้ฟู่เหลือเกิน” ไคลอสคิด “ต่างจากข้าที่มีแต่ฝูงแกะกับชีวิตจำเจ หากข้ามีเรือ ข้าอาจได้ผจญภัยและพบโชคลาภเช่นนั้นบ้างก็ได้”

ด้วยความฝันที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ไคลอสจึงตัดสินใจขายฝูงแกะทั้งหมดของเขา แล้วซื้อเรือขนาดเล็ก ที่แม้มันจะเก่าคร่ำคร่า แต่มันก็เป็นเรือที่ยังใช้งานได้

วันแรกที่ไคลอสออกเดินทาง ท้องทะเลดูสงบ สายลมอุ่น ๆ พัดมาเบา ๆ เสียงคลื่นลูบไล้เรือราวกับเชื้อเชิญให้คนช่างฝันเกิดความฮึกเหิมในการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ท้องฟ้ากลับมืดครึ้ม เมฆฝนก่อตัว พายุใหญ่พัดกระหน่ำ น้ำซัดกระแทกเรือให้โคลงเคลง จนในที่สุด เรือก็ล่ม ไคลอสจมลงทะเล ส่วนเรือที่เขาคิดว่าจะนำความร่ำรวยมาให้ก็จมหายไปในพริบตา

แต่โชคยังดี ไคลอสพาตัวเองขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เนื้อตัวของเปียกปอนและไร้ทรัพย์สินใด ๆ คนเลี้ยงแกะที่เคยมีฝูงแกะเล็ก ๆ เป็นทรัพย์สินอันมีค่า กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว

ไคลอสมองทะเลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขมขื่นแล้วรำพึงว่า “เจ้าช่างงดงามและยั่วยวน แต่เจ้าแสนหลอกลวงและกลืนกินทุกสิ่ง”

ไคลอสกลับไปที่บ้านบนภูเขา แม้ไคลอสจะไม่มีฝูงแกะอีกแล้ว แต่บทเรียนครั้งนี้ทำให้เขารู้คุณค่าของสิ่งที่เขาเคยมี

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

“ความโลภมักทำให้เรามองข้ามสิ่งที่มีอยู่แล้ว จนสูญเสียทุกอย่างไปในที่สุด”

Posted in นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, นิทานเด็ก

มดกับตั๊กแตน นิทานอีสปก่อนนอน | สอนใจเรื่องความขยันและการเตรียมความพร้อม

นิทานอีสปสอนใจ เรื่อง “มดกับตั๊กแตน” (The Ant and the Grasshopper) เป็นนิทานสั้น ๆ แต่ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต การใช้เวลาอย่างฉลาด และคุณค่าของความขยันหมั่นเพียร นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มพ่อแม่และครูที่นำมาเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการทำงาน และรู้จักเตรียมตัวล่วงหน้า

ในเวอร์ชันนิทานนำบุญที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ เราได้ขยายเนื้อหาให้สนุกมากยิ่งขึ้น โดยคงสาระสำคัญของต้นฉบับไว้ พร้อมเพิ่มสีสันของบทสนทนาและบรรยากาศ เพื่อให้เด็ก ๆ เพลิดเพลินและเข้าใจบทเรียนชีวิตที่แฝงอยู่ในนิทานได้อย่างชัดเจน

ในฤดูร้อนที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี เสียงจิ้งหรีดขับกล่อมยามเช้า ผีเสื้อเต้นรำอยู่เหนือดอกไม้ และท้องฟ้าสดใสราวกับไม่เคยมีเมฆฝนมาก่อน

ท่ามกลางความสุขนั้น มีมดตัวหนึ่งกำลังแบกเมล็ดข้าวโพดเม็ดเท่าหัวของมันเอง เดินอย่างมุ่งมั่นบนเส้นทางแคบ ๆ สู่รังของมัน มันหยุดหอบหายใจเป็นพัก ๆ แต่ไม่เคยบ่น มันทำงานหนักทั้งวัน ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย แต่มดก็ยิ้มในใจ เพราะมันรู้ว่า… ฤดูหนาวกำลังจะมา

บนใบหญ้าไม่ไกลนัก ตั๊กแตนสีเขียวสดตัวหนึ่งนอนหงายดีดขาเล่น เป่าใบไม้เป็นทำนองเหมือนเป่าฟลุต และหัวเราะเสียงใสดังไปทั่วทุ่ง

“เฮ้! เจ้ามดน้อย ทำไมต้องเหนื่อยยากขนาดนั้น?” ตั๊กแตนร้องขึ้น พลางตีลังกาอย่างสนุกสนาน “อากาศก็ดี อาหารก็หาได้ทั่วไป เจ้าควรจะมาเต้นรำกับข้า หรืออย่างน้อยก็นั่งพักใต้เงาไม้สักหน่อย!”

มดหอบเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบว่า “ข้ากำลังเตรียมอาหารไว้สำหรับฤดูหนาว… เจ้าเองก็ควรเก็บสะสมไว้บ้างนะ เวลาฤดูหนาวมา เจ้าอาจไม่มีอะไรจะกิน”

ตั๊กแตนหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “ฮะฮะฮ่า! เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ฤดูหนาวยังมาไม่ถึง ข้ามีเวลาสนุกอีกตั้งหลายวัน!”

หลังจากวันนั้น ตั๊กแตนก็ยังคงเต้นรำ เล่นดนตรี และร้องเพลงตลอดฤดูร้อน ในขณะที่มดก็ยังคงทำงานแบบไม่หยุดพัก

และแล้ววันหนึ่ง สายลมเย็นก็เริ่มพัดมา ใบไม้เปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง และในที่สุด… หิมะก็โปรยปรายลงมาจากฟ้า

ทุ่งหญ้าที่เคยเขียวกลับกลายเป็นสีขาวโพลน ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงลมครวญครางในความว่างเปล่า

ในรังใต้ดินที่อบอุ่น มดนั่งกินเมล็ดธัญพืชที่สะสมไว้ รู้สึกอิ่ม อุ่น และปลอดภัย ในขณะที่ตั๊กแตน… ได้แต่ตัวสั่นอยู่ใต้กิ่งไม้ โดยไม่มีอาหาร ไม่มีที่ซ่อน และไม่มีเพื่อน

สุดท้าย เมื่ออากาศหนาวเหน็บจนเกินจะรับไหว ตั๊กแตนจึงตัดสินใจไปเคาะประตูรังของมด

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เจ้ามด… ข้า… ข้าหิว… ข้าหนาว… ข้าผิดไปแล้ว ข้าควรฟังเจ้าตั้งแต่ตอนนั้น…”

มดมองเขาผ่านช่องประตู แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูออกช้า ๆ จากนั้น มดก็พูดว่า “เข้ามาก่อนเถอะ ตั๊กแตน” มดพูดอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ เธอคงได้เรียนรู้แล้วว่า… เวลาแห่งการทำงานมีค่าไม่แพ้เวลาแห่งความสนุก”

และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ตั๊กแตนก็เปลี่ยนไป แม้มันจะยังคงเล่นดนตรี แต่มันแบ่งเวลาเอาไว้สะสมอาหารด้วย และเมื่อฤดูหนาวกลับมาอีกครั้ง มันก็สามารถรับมือกับความหนาวได้ด้วยกำลังของมันเอง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

“คนที่ขยันหมั่นเพียรและรู้จักเตรียมพร้อมในเวลาที่เหมาะสม จะไม่ลำบากในภายหลัง ต่างจากคนที่มัวแต่สนุกสนานโดยไม่คิดถึงอนาคต”


Posted in ข้อคิด, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง สามทหารเสือ

กลางเดือนธันวาคม อากาศเริ่มหนาว พี่นำบุญเลยนำนิทานเรื่องใหม่มาฝากเด็ก ๆ ครับ (เป็นนิทานที่เคยพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือนมาแล้ว)

นิทานเรื่องนี้แต่งในแนวนิทานอีสป เนื้อเรื่องจะเป็นแนวนิทานสอนใจสั้น ๆ ที่มีตัวละครเป็นสัตว์ นิทานแนวนิทานอีสปเป็นนิทานที่พี่นำบุญแต่งเอาไว้น้อยมาก เพราะคิดว่าโลกมีนิทานแนวนิทานอีสปมากพอแล้ว แต่ในวันนึง พี่นำบุญอยากท้าทายตัวเอง เลยลองแต่งนิทานแนวนี้ออกมาบ้าง หวังว่าคงพอใช้ได้นะครับ ขอให้มีความสุขกับนิทานเรื่องนี้ครับ

นิทานเรื่อง สามทหารเสือ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีสิงโตตัวหนึ่งเป็นเจ้าป่าซึ่งคอยดูแลปกป้องป่าให้สงบสุขมาเป็นเวลาช้านาน  ครั้นเมื่อสิงโตแก่ตัวลงจนเขี้ยวเล็บเริ่มสึกกร่อน  เหล่านายพรานที่เคยเกรงกลัวสิงโตก็พากันเข้ามาในป่าแล้วเที่ยวไล่ล่าสัตว์ต่าง ๆ เล่นอย่างสนุกสนาน   เมื่อสิงโตเห็นว่าตัวของมันแก่ชราเกินกว่าจะปกป้องป่าตามลำพังได้  มันจึงไปขอร้องเสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

เสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำต่างเคารพสิงโตในฐานะที่เป็นเจ้าป่าอาวุโส  พวกมันจึงยอมมาช่วยโดยไม่หวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน   แต่สิงโตเจ้าป่าไม่อยากเอาเปรียบเสือทั้งสาม  มันจึงเสนอที่จะสั่งการให้สัตว์ในป่าผลัดกันหาอาหารมาให้เสือทั้งสามกินทุก ๆ มื้อ

หลังจากที่สิงโตกับเหล่าเสือตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   เสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำก็เริ่มออกลาดตระเวนไปทั่วทั้งป่า โดยหมายจะสั่งสอนนายพรานทั้งหลายที่บังอาจรุกล้ำเข้ามาในเขตปกครองของสิงโตเฒ่า 

นอกจากนี้  เสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำยังต้องการให้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ได้ฝึกฝนการดูแลตัวเอง  ดังนั้น พวกมันจึงสั่งให้สัตว์ต่าง ๆ แบ่งหน้าที่กันเป็นเวรยามเฝ้าระวังการบุกรุกของเหล่านายพรานด้วย  

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา   ไม่ว่านายพรานจะแอบลอบเข้ามาในป่า ณ จุดใด  พวกเขาก็จะพบเสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำปรากฏกายต้อนรับด้วยเขี้ยวขาว ๆ และกรงเล็บอันแหลมคม ณ ที่นั้น ๆ เสมอ   ไม่นานนัก…ป่าที่เคยมีนายพรานเข้ามาก่อความไม่สงบก็กลับคืนสู่สภาพปกติได้อีกครั้ง

แม้พวกสัตว์จะได้ความสงบสุขกลับคืนมา  แต่การที่พวกมันยังคงต้องผลัดเปลี่ยนกันเป็นเวรยาม รวมทั้งต้องหาอาหารมาเลี้ยงเสือทั้งสาม ทำให้สัตว์ทั้งหลายรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง  

“เมื่อไม่มีนายพรานมารังควาญ งานระแวดระวังภัยต่าง ๆ ก็น่าจะสิ้นสุดลงได้แล้ว”  

พวกสัตว์จอมขี้เกียจคิดเช่นนั้นเพราะพวกมันอยากมีชีวิตสุขสบายที่ไม่ต้องรับผิดชอบงานใด ๆ  เลยแม้สักอย่าง  ด้วยเหตุนี้เอง  สัตว์ทั้งหลายจึงรวมตัวกันแล้วเดินทางไปหาสิงโต เพื่อขอให้สิงโตเจ้าป่าขับไล่เสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำไปเสียให้พ้น ๆ

สิงโตพยายามทัดทานและชี้ให้สัตว์ป่าเหล่านั้นเห็นถึงผลร้ายที่อาจจะตามมาในอนาคต  แต่จนแล้วจนรอด  สัตว์ทั้งหลายก็ยังคงดื้อดึงและพยายามกดดันให้สิงโตเจ้าป่าขับไล่เสือทั้งสามไปโดยเร็วที่สุด  

สิงโตเสียใจที่ความพยายามของมันไร้ผล   มันจึงจำใจต้องขอให้เสือทั้งสามยุติภารกิจปกป้องป่าดังที่มันเคยขอร้องเอาไว้

หลังจากที่เสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำลาสิงโตไปได้ไม่นาน  สิงโตเจ้าป่าก็ล้มป่วยลงด้วยความชรา   จนในที่สุด  สิงโตผู้เฝ้าดูแลป่ามาตลอดชั่วชีวิตก็หมดลมหายใจและจากสัตว์ทั้งหลายไปอย่างสงบ 

เมื่อนายพรานได้ข่าวว่าในป่าไม่มีทั้งสิงโตและเหล่าเสือคอยปกป้อง  พวกนายพรานจึงบุกเข้ามาในป่าอีกครั้ง แล้วทำการไล่ล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่กันอย่างสบายใจไร้ผู้ขัดขวาง

มาถึงตอนนี้…แทนที่เหล่าสัตว์จอมขี้เกียจจะแค่ทำงานโดยผลัดเปลี่ยนกันดูแลป่าคนละเล็กละน้อย   พวกมันกลับต้องคอยซ่อนตัวและวิ่งหนีกระสุนปืนของเหล่านายพรานจนแทบไม่มีเวลาได้พัก 

สัตว์ป่าทั้งหมดต่างรู้สึกเสียใจต่อความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองที่ดื้อดึงไม่ยอมฟังคำเตือนของสิงโตเจ้าป่า   พวกมันอยากให้เสือโคร่ง, เสือดาวและเสือดำกลับมาช่วยปกป้องป่าดังเดิมอีก  แต่น่าเสียดาย….เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้สายเกินแก้ไปเสียแล้ว   

#นิทานนำบุญ

…………………………….

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป

กระต่ายกับเต่า: นิทานอมตะก่อนนอนที่ให้ข้อคิดเรื่องความพยายามและมิตรภาพ

นิทานอมตะเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” เป็นนิทานก่อนนอนยอดนิยมที่เด็ก ๆ ทั่วโลกรู้จัก นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดสอนใจที่เหมาะกับเด็ก แถมไม่มีฉากรุนแรงใด ๆ นิทานเรื่องนี้จึงเป็นขวัญใจของคุณพ่อคุณแม่และคุณครูอีกด้วย การนำนิทานเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” มาเล่าใหม่ในแบบนิทานนำบุญ ถือว่าเป็นเกียรติของเว็บไซต์นิทานนำบุญ ที่ได้มีโอกาสแสดงความเคารพต่อผู้แต่งดั้งเดิม คือ อีสป (Aesop) นักเล่านิทานชาวกรีกในสมัยโบราณ หวังว่านิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่าที่เล่าในแบบนิทานนำบุญ จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขกันนะครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายตัวหนึ่งเป็นกระต่ายที่มีนิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คือว่า มันเป็นกระต่ายที่ขี้โอ่ ชอบโอ้อวด แล้วก็ชอบท้าคนนู้นคนนี้แข่งขันอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย และที่แย่ที่สุดก็คือว่า มันค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ คือว่า มันจะคอยไปท้าคนนู้นคนนี้แข่ง ในสิ่งที่แข่งอย่างไรมันก็ชนะอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น มันเคยไปยั่วช้าง ท้าทายนู่น ท้าทายนี่ ให้ช้างแข่งขันด้วย พอช้างรับคำท้า มันก็ท้าช้างแข่งขันกันว่า ใครจะขนนุ่มกว่ากัน! หือ…แข่งขนนุ่มเนี่ยนะ! พอให้คนอื่นตัดสิน ยังไง้ ยังไง กระต่ายก็ชนะ เพราะกระต่ายมันขนนุ่มกว่าช้างอยู่แล้ว พอกระต่ายมันชนะ มันก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกช้าง “บรู้ว ๆ ” พร้อมกับพูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” และนี่ก็คือนิสัยของเจ้ากระต่าย

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้ากระต่ายมันแสบมาก มันไปท้าเด็ก ๆ ท้าแข่งขันกับเด็ก ๆ มันก็จะเริ่มจากการไปพูดจาดูถูกเด็ก ๆ เพื่อท้าทายให้เด็ก ๆ ยอมแข่งขันด้วย พอเด็ก ๆ หลงกลทนไม่ไหว เผลอไปรับคำท้าของมัน มันก็บอกเด็ก ๆ ว่า “งั้นเรามาแข่งกินแครอทกันดีกว่า”

โถ! ใคร ๆ ก็รู้ดีอยู่แล้วว่า เจ้ากระต่ายมันเชี่ยวชาญเรื่องการกินแครอทมากกว่าใคร ๆ ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญการกินแครอทสักเท่าไร สุดท้าย เด็ก ๆ ก็แพ้กระต่าย พอแพ้แล้ว เจ้ากระต่ายก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก “บรู้ว ๆ” จากนั้น มันก็พูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” ดูสิ กระต่ายมันช่างร้ายจริง ๆ

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ากระต่ายจอมซ่า มันก็ไปเจอเต่าตัวหนึ่ง คลานต้วมเตี้ยม ต้วมเตี้ยม มันก็คิดแผนในใจว่า “เราจะต้องท้าแข่งกับเจ้าเต่า”

เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว มันก็เลยไปล้อเลียนเต่าว่า “เต่าต้วมเตี้ยมติงต๊องตุ๊ต๊ะตุ้งติ้งตุ๊ดตู่ตึ่งตึงตึ๊ง มาแข่งอะไรกันหน่อยมั๊ยล่ะ”

เจ้าเต่ามองกระต่ายด้วยความงุนงง แล้วก็ถามกลับไปอย่างยานคางว่า “จะมาท้าแข่งอะไรเหรอ” เต่าคลานก็ช้า พูดก็ช้า

กระต่ายฟังจบก็หลอกเต่าให้หลงกลต่อไปว่า “กล้ามาแข่งมั๊ยล่ะ”

“ก็ได้ ก็ได้ แข่งก็ได้” เต่าตอบ

เมื่อเต่าหลงกลยอมแข่ง กระต่ายจึงบอกว่า “งั้นเรามาวิ่งแข่งกัน โอ่ย โอ๊ย โอย”

เต่าหลงกลตกปากรับคำไปแล้ว พอมันรู้ว่าต้องวิ่งแข่ง แล้วมันจะชนะได้อย่างไร แต่ในเมื่อรับปากแล้ว มันจึงต้องยอมแข่งด้วย

เมื่อเต่ายอมแข่ง กระต่ายจึงเรียกให้สัตว์ต่าง ๆ มาเป็นพยานในการแข่งขัน โดยเจ้าหมาจิ้งจอกมาทำหน้าที่ให้สัญญาณเริ่มแข่งขันที่จุดเริ่มต้น ส่วนสิงโตเจ้าป่าทำหน้าที่ดูว่าใครถึงเส้นชัยก่อน

เมื่อหมาจิ้งจอกให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน กระต่ายก็วิ่งปรู้ดนำหน้าออกไปจนเกือบจะถึงเส้นชัย ส่วนเต่าก็ยังคงคลานต้วมเตี้ยม ๆ อยู่บริเวณจุดเริ่มต้น

แต่กระต่ายมันประมาท ยังไม่ยอมเข้าเส้นชัย เพราะมันมีนิสัยชอบล้อเลียนเย้ยหยันคนอื่น มันจึงวิ่งปรู้ดกลับมาหาเต่า แล้วก็กระโดดดึ๋ง ๆ ๆ รอบตัวเต่า จากนั้น มันก็กระโดดข้ามกระดอง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ข้ามกระดองไป ข้ามกระดองมา โชว์ลีลาท่ายากสารพัด แหม! ก็มันรู้อยู่แล้วว่า ยังไง้ ยังไง มันก็ต้องชนะ เพราะว่าเต่ามันคลานช้ามาก ๆ

กระต่ายกระโดดไปกระโดดมา กระโดดมากระโดดไป กระโดดไปกระโดดมา กระโดดมากระโดดไป กระโดดจนเบื่อ เพราะขนาดกระต่ายวิ่งไปวิ่งกลับ แล้วมากระโดดเล่นแบบนี้ เต่าก็ยังคลานไปไม่ถึงไหน กระต่ายกระโดดไปนาน ๆ เข้า ก็ชักเหนื่อย มันจึงบอกเต่าว่า “เธออยากคลานก็คลานไปก่อนนะเจ้าเต่าต้วมเตี้ยม เดี๋ยวฉันนอนพักเอาแรงสักชั่วโมงสองชั่วโมงนะ ยังไงเธอก็ยังไปไม่ถึงไหนหรอก”

พอคิดเช่นนั้น กระต่ายจึงไปหาที่เหมาะ ๆ ตรงโคนต้นไม้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเกาพุงแกรก ๆ ด้วยความสบายใจ ลมพัดมาเย็น ๆ เอื่อย ๆ กระต่ายก็เริ่มเคลิ้ม ประกอบเจ้ากระต่ายวิ่งไปจนเกือบถึงเส้นชัยแล้วก็วิ่งกลับมา แถมยังมีการกระโดดรอบตัวเต่า มันจึงเริ่มเหนื่อยเริ่มล้า พอมันเหนื่อยมันล้า มันจึงหลับ แต่ไม่ใช่การหลับแบบนอนกลางวัน มันหลับลึก หลับสนิทเหมือนนอนอยู่ที่บ้านเลย แถมมันยังฝันอีกว่า มันวิ่งชนะเต่า แล้วมันก็ล้อเลียนเต่าด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตา “บรู้ว ๆ ” จากนั้น มันก็พูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” ดูสิ ขนาดตอนหลับ กระต่ายก็ยังไม่ทื้งนิสัยชอบเยาะเย้ยผู้อื่น

ครั้นเวลาผ่านไป กระต่ายก็ตื่นขึ้นมา มันมองไปรอบ ๆ ตัว แสงก็ยังสว่างเหมือนช่วงก่อนที่มันจะนอนหลับ มันจึงคิดว่า มันคงหลับไปไม่เกินชั่วโมงแน่ ๆ แต่เมื่อมันหันไปมองที่เส้นชัย มันก็ตกใจจนหูตั้งโด่ เพราะว่า เต่าคู่แข่งของมัน คลานจนเกือบไปถึงเส้นชัยอยู่แล้ว

กระต่ายจึงรีบสอบถามหมาจิ้งจอกที่อยู่ใกล้ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นเมื่อหมาจิ้งจอกบอกกระต่ายว่า กระต่ายเผลอนอนหลับไปข้ามวันข้ามคืน ในขณะที่เจ้าเต่าคลานไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ข้ามวันข้ามคืนเช่นกัน กระต่ายจึงตระหนักว่ามันประมาทพลาดท่า มันจึงรีบวิ่งปรู๊ดตรงไปที่เส้นชัยทันที

แต่อนิจจา ในขณะที่เจ้ากระต่ายไล่หลังไปจนเกือบถึงเส้นชัย เจ้าเต่าก็ยืดหัวจากกระดองเข้าแตะเส้นชัย และชนะเจ้ากระต่ายไปอย่างหวุดหวิดแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เมื่อกระต่ายแพ้ สัตว์ต่าง ๆ ก็เดินมาหากระต่าย แล้วก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก “บรู้ว ๆ” จากนั้น สัตว์ต่าง ๆ ก็พูดพร้อมกันว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้”

กระต่ายเจ็บใจที่ถูกเย้ยหยัน มันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่แพ้และถูกคนอื่นเยาะเย้ยเป็นครั้งแรก มันรู้สึกผิดที่ตลอดมา มันมักเยาะเย้ยผู้อื่นโดยไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจตัวเองเลย

ส่วนเจ้าเต่า ถึงมันจะชนะ แต่มันก็ไม่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่กระต่ายเลย มันกลับหันมาหากระต่าย แล้วบอกกระต่ายว่า “เราแข่งกันเสร็จแล้ว ฉันว่านะ อย่าคิดมากเลย ว่าใครแพ้ใครชนะ ฉันว่านะ แทนที่เราจะเป็นคู่แข่งกัน เรามาเป็นเพื่อนกันน่าจะดีกว่านะ”

กระต่ายยิ้มและขอบใจเต่าที่เต่าไม่ล้อเลียนมัน แม้ความประมาทของกระต่าย จะทำให้กระต่ายพ่ายแพ้ก็จริง แต่การพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทำให้กระต่ายได้บทเรียนครั้งสำคัญ ดังนั้น กระต่ายจึงตกปากรับคำเป็นเพื่อนกับเต่า และหลังจากนั้นเป็นต้นมา กระต่ายก็พยายามปรับปรุงนิสัยของตัวเอง และไม่เคยท้าใคร ๆ แข่งขันอะไรอีกเลย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าดูถูกผู้อื่น เพราะทุกคนมีคุณค่าในแบบของตนเอง
  • ความพยายามอย่างสม่ำเสมอ ย่อมชนะความเก่งที่ขาดวินัย
  • ความพ่ายแพ้สามารถเป็นครูที่ดีที่สุด
  • มิตรภาพสำคัญกว่าการเอาชนะ

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอีสป, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน เด็กเลี้ยงแกะ (The Boy Who Cried Wolf) | นิทานสอนใจเด็กเรื่องการโกหก

Continue reading “นิทานก่อนนอน เด็กเลี้ยงแกะ (The Boy Who Cried Wolf) | นิทานสอนใจเด็กเรื่องการโกหก”