Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

อสุรกายมอมแมม : นิทานสอนใจเกี่ยวกับความสะอาดและมิตรภาพแสนที่อบอุ่น

นานมาแล้ว ในช่วงปีแรก ๆ ที่ผมเริ่มเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน ผมจำได้ว่า ตอนที่เขียนนิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” ได้สักพัก ผมก็รู้สึกเสียดายตัวละครเด็กผู้หญิงในนิทานเรื่องนั้น และแอบฝันว่าหากเป็นไปได้ จะพยายามเขียนนิทานตอนต่อของ “สกปรกที่สุดในโลก” เผื่อว่าสักวันจะนำนิทานเหล่านั้นมารวมเป็นเล่มได้แบบหนังสือเรื่อง “ปิ๊ปปี้ถุงเท้ายาว” ของประเทศสวีเดน (ผมฝันไปไกลเลย)

เมื่อเวลาผ่านมาอีกนานพอสมควร ผมจึงแต่งนิทานเรื่อง “อสุรกายมอมแมม” เป็นนิทานภาคต่อของนิทานเรื่อง “สกปรกที่สุดในโลก” แถมยังนำตัวละครจากนิทานอีกสองเรื่องมาร่วมแสดงในนิทานเรื่องนี้ด้วย

หากมีใครสงสัยว่า นิทานเรื่อง อสุรกายมอมแมม นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว มันมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง คำตอบก็คือ นิทานเรื่องนี้เป็นเสมือนบทเรียนเล็ก ๆ ที่ชวนให้เด็ก ๆ เห็นคุณค่าของการอาบน้ำและการดูแลความสะอาดของตนเอง ผ่านการผจญภัยที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความอบอุ่น และความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับกัน หวังว่าคุณผู้อ่านจะมีความสุขกับการอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

มอมแมมเป็นอสูรกายที่เกิดในกองขยะ  บ้านของมอมแมมเป็นภูเขาขยะขนาดมหึมา   มอมแมมชอบบ้านกองขยะของมันมาก  มันชอบคุ้ยหาข้าวของในกองขยะแล้วนำมันมาสร้างเป็นของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ  มอมแมมสร้างของเล่นเอาไว้มากมายเต็มไปหมด  ความฝันอันยิ่งใหญ่ของมอมแมมก็คือ มันอยากจะสร้างของเล่นเพื่อทำให้เด็ก ๆ ทุกคนมีความสุข

แม้มอมแมมจะสร้างของเล่นแสนสนุกเอาไว้สารพัดอย่าง  แต่ด้วยเนื้อตัวที่แสนสกปรกของมอมแมม  เด็ก ๆ จึงไม่ยอมเฉียดกายเข้าใกล้มอมแมมเลยแม้แต่นิดเดียว  มอมแมมทั้งเหงาทั้งเศร้า  มันอยากจะเป็นเพื่อนกับเด็ก ๆ มากจริง ๆ   แต่จนแล้วจนรอด  มอมแมมก็ไม่รู้ว่ามันควรจะทำอย่างไรดี

วันหนึ่ง  มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านกองขยะของมอมแมม   แต่เดิม…เด็กผู้หญิงคนนี้เคยได้ชื่อว่าเป็น “เด็กผู้หญิงที่สกปรกที่สุดในโลก”  (เธอสกปรกถึงขนาดที่มีกลิ่นเหม็นตุ ๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเลยทีเดียว)  แต่หลังจากที่เธอชวนแมวเหมียวเพื่อนรักที่สกปรกไม่แพ้กันไปเล่นเป่าฟองสบู่กลางสายฝน  เมื่อสายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่  เด็กผู้หญิงที่เคยมีกลิ่นเหม็นตุ ๆ ก็กลับกลายมาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีกลิ่นสบู่หอมสะอาดราวกับเป็นคนละคน

เมื่อเด็กผู้หญิงที่หอมกลิ่นสบู่เห็นเจ้าอสูรกายมอมแมมนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ภูเขากองขยะ เด็กหญิงใจดีจึงเอ่ยปากถามเจ้าอสูรกายว่าเกิดอะไรขึ้น? 

มอมแมมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เด็กน้อยที่มีกลิ่นสบู่หอมฟุ้งฟัง  และเมื่อเด็กหญิงได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด  เธอจึงรับอาสาช่วยทำให้มอมแมมกลายเป็นอสูรกายที่หอมสะอาดเหมือนกับตัวของเธอ 

จริง ๆ แล้ว การทำให้มอมแมมหอมสะอาดคงจะไม่วุ่นวายสักเท่าไหร่…ถ้าหากมอมแมมเป็นอสูรกายตัวเล็ก ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ   แต่ด้วยร่างกายของมอมแมมที่ใหญ่โตเกือบเท่าช้าง เด็กหญิงผู้ใจดีจึงจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเธอในการทำให้มอมแมมหอมสะอาด

เจ้าชายสายลมกับคุณฟันนักทำฟองเป็นคนที่เด็กหญิงขอร้องให้มาช่วยเหลือ  เด็กหญิงขอให้เจ้าชายสายลมใช้พลังบังคับให้ฝนมาตกตรงที่บ้านกองขยะของมอมแมม  จากนั้น เธอก็ขอให้คุณฟันนักทำฟองช่วยปีนขึ้นไปยืนบนยอดของภูเขาขยะ แล้วเป่าฟองสบู่ให้ล่องลอยออกมาเคล้ากับสายฝน

แน่นอน…เมื่อสายฝนรวมเข้ากับฟองสบู่ ความสะอาดเอี่ยมอ่องจึงเกิดขึ้น  แต่เพราะคุณฟันเพลินกับการทำฟองมากไปหน่อย  ดังนั้น  แทนที่มอมแมมจะกลายเป็นอสูรกายแสนสะอาดที่มีกลิ่นหอมของสบู่ลอยฟุ้งออกมาจากตัวแต่เพียงผู้เดียว  ฟองสบู่กับสายฝนยังช่วยทำให้ของเล่นและภูเขาขยะขนาดมหึมากลับกลายเป็นดินแดนที่หอมฟุ้งไปกลิ่นสบู่หอมสะอาด

หลังฝนตก  เจ้าชายสายลมใช้สายลมเป่าขนสีขาว ๆ ของมอมแมมให้ฟูนุ่มดูน่ารัก  ส่วนเด็กหญิงกับคุณฟันก็ช่วยกันจัดทรงผมและผูกโบว์ที่ขนของมอมแมมจนไม่เหลือเค้าของอสูรกายให้เด็ก ๆ กลัวอีกต่อไป  

เมื่อมอมแมมกลายเป็นอสูรกายแสนน่ารักที่มีกลิ่นหอมสะอาดลอยฟุ้งออกมาจากตัว  เด็ก ๆ ที่เคยรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้มอมแมมก็พากันเปลี่ยนใจแย่งกันเข้ามากอดมอมแมมจนมอมแมมแทบตั้งตัวไม่ติด  เด็ก ๆ มีความสุขมากที่ได้เล่นของเล่นแสนสนุกที่มอมมอมสร้างขึ้น   ส่วนมอมแมมเองก็มีความสุขที่เด็ก ๆ ชอบของเล่นของมัน

มอมแมมขอบคุณเด็กหญิงใจดี เจ้าชายสายลมและคุณฟันนักทำฟองที่ช่วยทำให้มันเป็นที่รักของเด็ก ๆ  และแล้ว เรื่องวุ่น ๆ ของมอมแมมก็จบลงอย่างมีความสุข

เด็กหญิงกับอสุรกายมอมแมมเล่นฟองสบู่กลางสายฝน พร้อมแมวดำในฉากนิทานอบอุ่นเรื่องความสะอาดและมิตรภาพ
Posted in ครอบครัว, นิทานก่อนนอน, นิทานฝรั่ง, นิทานเด็ก, เด็ก

นิทาน แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ (ฉบับสั้น)

Continue reading “นิทาน แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ (ฉบับสั้น)”
Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ไข่ประหลาดเจ็ดสีกับเศรษฐีโลภมาก

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ไข่ประหลาดเจ็ดสีกับเศรษฐีโลภมาก” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในช่วงที่ “โปเกมอน” เริ่มได้รับความนิยม ในยุคนั้น คำว่าร่าง 1 ร่าง 2 เพิ่งเป็นที่รู้จัก ผมทึ่งในความน่ารักของโปเกมอนที่มีคาแรคเตอร์มากมายเต็มไปหมด (ถ้าผมเป็นเด็ก ผมก็คงนั่งออกแบบและวาดโปเกมอนเองแน่ ๆ) ความประทับใจในโปเกมอน เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากแต่งนิทานที่มีตัวละครออกมาจากไข่ แต่เรื่องราวของนิทานไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโปเกมอนเลย แถมยังเป็นนิทานก่อนนอนที่มีข้อคิดสอนใจด้วย หวังว่าเด็ก ๆ และผู้อ่านจะชอบนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง ไข่ประหลาดเจ็ดสีกับเศรษฐีโลภมาก

นานมาแล้ว  มีเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นจนเป็นนิสัย   แม้เศรษฐีจะมีเงินทองมากมาย  แต่เขาก็ไม่เคยรู้จักพอ   มิหนำซ้ำ เขายังชอบหากินกับคนจนด้วยการปล่อยเงินกู้แล้วคิดดอกเบี้ยอย่างขูดรีดขูดเนื้อ  ด้วยเหตุนี้  ชาวบ้านทั้งหลายจึงเกลียดชังเศรษฐีกันโดยถ้วนหน้า

อยู่มาวันหนึ่ง  ในขณะที่หนุ่มชาวบ้านต้อนฝูงสัตว์ของเขาไปหากินบริเวณแม่น้ำ  จู่ ๆ ชายหนุ่มก็พบไข่แปลกประหลาดเจ็ดฟองลอยน้ำมาติดที่ริมฝั่ง  ไข่ทั้งเจ็ดฟองมีขนาดใหญ่กว่าลูกบอลราวสองถึงสามเท่า  นอกจากนี้  ไข่แต่ละฟองยังมีสีสันที่แตกต่างกันอีกด้วย   ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับไข่ประหลาดที่เขาได้พบ  เขาจึงตัดสินใจขนไข่ทั้งหมดกลับไปเก็บเอาไว้ที่บ้าน

เมื่อชายหนุ่มนำไข่กลับไปถึงบ้าน หมอดูประจำหมู่บ้านได้ทำนายว่า ไข่แปลก ๆ เหล่านี้จะทำให้ความทุกข์ยากของผู้คนในหมู่บ้านหายไปจนหมดสิ้น  เมื่อชาวบ้านได้ฟังคำของหมอดู  พวกเขาก็พากันโจษจันว่า ไข่ทั้งเจ็ดฟองน่าจะเป็นไข่วิเศษจากสรวงสวรรค์  

ครั้นเมื่อเศรษฐีผู้โลภมากได้ทราบข่าวเรื่องไข่วิเศษ   เศรษฐีผู้ละโมบจึงตรงดิ่งไปยังบ้านของชายหนุ่ม แล้วบังคับให้ชายหนุ่มมอบไข่วิเศษทั้งเจ็ดฟองให้แก่ตน โดยเศรษฐีขู่ว่า หากชายหนุ่มขัดขืน เขาก็จะเรียกเงินกู้ยืมต่าง ๆ คืนจากชาวบ้านในทันที

แม้ชายหนุ่มจะไม่ต้องการมอบไข่ให้เศรษฐี  แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ชาวบ้านที่เป็นลูกหนี้ของเศรษฐีต้องลำบาก  ท้ายที่สุด ชายหนุ่มจึงจำใจยกไข่ทั้งหมดให้แก่เศรษฐีแต่โดยดี

เศรษฐีดีใจที่เขาช่วงชิงไข่วิเศษทั้งเจ็ดฟองมาได้เป็นผลสำเร็จ  เศรษฐีคิดว่าไข่ทั้งเจ็ดฟองน่าจะเป็นไข่ของตัวอะไรสักอย่างที่สามารถออกไข่เป็นทองคำหรือไม่ก็อาจจะเป็นไข่ของสิ่งมีชีวิตแห่งแดนสวรรค์ ซึ่งน่าจะนำไปขายต่อให้พระราชาและทำให้เขาร่ำรวยขึ้นได้อีกมาก ด้วยเหตุนี้เอง  เศรษฐีจึงสั่งให้บ่าวไพร่ประคบประหงมดูแลไข่ทั้งเจ็ดฟองเป็นอย่างดี

หลายวันผ่านไป  ไข่ทั้งเจ็ดฟองที่เศรษฐีนำกลับบ้านก็เริ่มกระดุกกระดิกและเปลือกไข่ก็ค่อย ๆ กะเทาะออกทีละน้อย  จนในที่สุด  สิ่งที่ปรากฏกายออกมาจากไข่ก็คือสัตว์ประหลาดตัวกลม ๆ ซึ่งมีขนปุกปุยและมีสีแตกต่างกันไปตามสีของเปลือกไข่ที่มันกำเนิดออกมา 

เศรษฐีตื่นเต้นมากที่ได้เห็นสัตว์ประหลาดทั้งเจ็ด  แม้ว่าเหล่าสัตว์ประหลาดจะมีรูปร่างไม่คุ้นตา  แต่พวกมันก็ดูน่ารักน่าชังไม่ใช่เล่น   และที่เหนือสิ่งอื่นใด…พวกมันยังอาจทำเงินให้แก่เศรษฐีได้มากมายมหาศาล 

เศรษฐีฝันหวานพร้อม ๆ กับดูสัตว์ประหลาดทั้งเจ็ดกระโดดโลดเต้นไปมารอบ ๆ ห้อง จวบจนกระทั่งเจ้าสัตว์ประหลาดทั้งหมดเหนื่อยและหิว  สิ่งที่เศรษฐีผู้ละโมบไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

เมื่อสัตว์ประหลาดแต่ละตัวท้องร้องจ๊อก ๆ   พวกมันก็เหลียวซ้ายแลขวา  จากนั้น พวกมันก็เริ่มกินสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวอย่างเอร็ดอร่อย

สัตว์ประหลาดบางตัวชอบกินไม้  บางตัวชอบแทะโลหะ  บางตัวชอบหม่ำกระดาษ  บางตัวชอบเขมือบแก้ว  สัตว์ประหลาดแต่ละตัวต่างชอบกินสิ่งของที่ทำจากวัสดุที่แตกต่างกัน 

ไม่ช้าไม่นานนัก  สัตว์ประหลาดทั้งเจ็ดก็เขมือบทรัพย์สินของเศรษฐีไปจนเกือบหมด  นับตั้งแต่ถังขยะ, โต๊ะอาหาร, ตู้เสื้อผ้า, ฝาผนัง, นาฬิกา, หลังคาบ้าน รวมทั้งเพชรนิลจินดาและหนังสือสัญญาเงินกู้ต่าง ๆ

สัตว์ประหลาดทั้งเจ็ดหม่ำอาหารของพวกมันด้วยความว่องไวราวสายฟ้าแลบ  ซึ่งเมื่อพวกมันอิ่มเต็มที่แล้ว  ปีกเล็ก ๆ ของเหล่าสัตว์ประหลาดก็ค่อย ๆ งอกออกมา  จากนั้น  พวกมันก็พากันบินขึ้นฟ้าและหายไปในที่สุด

เศรษฐีผู้โลภมากตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก  ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่เขาสะสมมาตลอดชีวิตถูกสัตว์ประหลาดจอมเขมือบทั้งเจ็ดหม่ำจนเหลือเพียงพื้นบ้านกับเสาเรือนในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว 

ความโลภทำให้เขานำสัตว์ประหลาดเข้ามาในบ้านของตนเอง และมันก็ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างไปจนหมดสิ้น 

เศรษฐีผู้ละโมบร้องไห้แง ๆ เพราะบัดนี้เขาได้กลายเป็นคนยากจนไปเสียแล้ว   ส่วนชาวบ้านทั้งหลายนั้น  เมื่อสัตว์ประหลาดหม่ำสัญญาเงินกู้ไปจนหมด  เศรษฐีผู้ชอบเอารัดเอาเปรียบก็หมดสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเอาเงินคืนได้   ความทุกข์ยากของผู้คนในหมู่บ้านจึงผ่านพ้นไปดังคำที่หมอดูได้ทำนายเอาไว้  และแล้ว…เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

…………………………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

สองพี่น้องคาวหวาน

นิทานก่อนนอนเรื่อง “สองพี่น้องคาวหวาน” เป็นนิทานเกี่ยวกับอาหารอีกเรื่องที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เป็นคนแต่ง แต่นิทานเรื่องนี้ แต่งในช่วงปีท้าย ๆ ของการแต่งนิทานลงในนิตยสารขวัญเรือน การผูกเรื่องจึงมีความท้าทายมากกว่าตอนแต่งนิทานเกี่ยวกับอาหารเรื่องแรก ๆ (เพราะอยากแต่งนิทานเรื่องใหม่ให้สนุกขึ้นและไม่ซ้ำกับนิทานเกี่ยวกับอาหารเรื่องก่อน ๆ ) ซึ่งหลังจากพยายาม ผมก็ได้นิทานก่อนนอนเกี่ยวกับอาหารที่ผสมผสานนิทานแนวผจญภัย ซึ่งมีทั้งพ่อมดแม่มด และสัตว์อีกมากมาย เป็นตัวละครอยู่ในนิทานเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าเด็ก ๆ จะชอบนิทานเรื่องนี้ และนิทานก่อนนอนเรื่องนี้น่าจะทำให้เด็ก ๆ นอนหลับฝันดีครับ

นิทานเรื่อง สองพี่น้องคาวหวาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงคู่หนึ่งเป็นพี่น้องกัน  เด็กผู้ชายผู้เป็นพี่ชื่อว่า “ต้นข้าว”  ส่วนเด็กหญิงผู้เป็นน้องชื่อว่า “ขนม” พ่อกับแม่ของพวกเขามีฝีมือในการทำอาหารมาก  ยามว่าง…เด็ก ๆ จึงมักเข้าครัวแล้วขอให้คุณพ่อคุณแม่สอนทำอาหาร โดยต้นข้าวชอบเรียนทำอาหารคาว ส่วนขนมชอบฝึกทำอาหารหวาน 

ในช่วงสัปดาห์ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้าน  ต้นข้าวจะคอยทำอาหารให้น้องสาวกินเสมอ  ต้นข้าวเป็นเด็กที่มีฝีมือในการทำอาหาร   ทุกครั้งที่เขาทำครัว  กลิ่นหอมของอาหารจะดึงดูดให้สัตว์ต่าง ๆ มาแอบซุ่มสูดกลิ่นหอม ๆ อยู่นอกรั้วเต็มไปหมด

วันหนึ่ง  หลังจากต้นข้าวเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จ จู่ ๆ ก็มีพ่อมดกับแม่มดตัวน้อยขี่ไม้กวาดบุกเข้ามาในครัว   พ่อมดและแม่มดพูดคุยกับต้นข้าวสักพัก  แล้วจัดการจับต้นข้าวผูกกับไม้กวาดวิเศษ  จากนั้น  พวกเขาก็พาต้นข้าวเหินฟ้ามุ่งหน้าไปยังเกาะเวทมนตร์ที่อยู่กลางทะเลทันที

ในเสี้ยววินาทีที่พ่อมด แม่มด และต้นข้าวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า  ขนมซึ่งเพิ่งกลับมาจากตลาดก็มองเห็นพี่ชายถูกจับไปต่อหน้าต่อตา  ขนมตกใจมาก  เธออยากช่วยพี่ชายสุดที่รัก  ขนมจึงหยิบข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งอาหารต่าง ๆ ใส่ถุง  แล้วออกเดินทางเข้าไปในป่า โดยตั้งใจจะช่วยพี่ชายกลับมาให้จงได้

ขนมเดินทางและหลงอยู่ในป่านานหลายชั่วโมง  ตั้งแต่เช้า…ขนมยังไม่ได้กินอะไรเลย  ขนมทั้งเหนื่อยทั้งหิว  เธอจึงหาที่นั่งพัก  แล้วลงมือทำอาหารกินเติมพลังก่อนอกเดินทางต่อไป

เมื่อขนมลงมือทำอาหารโดยนำตะแกรงมาตั้งไฟ แล้วย่าง “ขนมแก้มตุ่ย”  กลิ่นของขนมก็ลอยคลุ้งฟุ้งไปทั่ว  ทำให้สัตว์ต่างๆ  น้ำลายไหลและแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้เต็มไปหมด

ขนมเป็นเด็กใจดี  พอเธอเห็นว่ามีสัตว์มาแอบดูเธอทำขนม  แถมสัตว์ทั้งหลายยังมีทีท่าว่าอยากกินขนม  เด็กน้อยจึงจัดแจงแจกขนมแก้มตุ่ยให้สัตว์เหล่านั้นได้ลองชิม  ซึ่งหลังจากที่สัตว์ต่าง ๆ ได้ชิมขนมแก้มตุ่ยแล้ว   พวกมันก็ยิ้มแก้มตุ่ยกันโดยถ้วนหน้า

ครั้นเมื่อสัตว์ทั้งหลายรู้ว่าขนมตั้งใจจะเดินทางไปช่วยพี่ชาย  ราชสีห์เจ้าป่าจึงบอกให้ขนมขึ้นขี่หลังของมัน  แล้วมันก็พาเด็กหญิงตัวน้อยเดินฝ่าป่าดงไปส่งยังชายหาดซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะเวทมนตร์มากที่สุด

เมื่อขนมไปถึงชายหาด ขนมก็ขอบคุณราชสีห์ที่มาส่งและขอให้ราชสีห์นั่งรอสักพัก  เพราะเธออยากทำ “ขนมซู่ซ่า” ตอบแทนราชสีห์ผู้มีน้ำใจ

เด็กหญิงผู้เชี่ยวชาญการทำขนมหวานใช้เวลาทำขนมซู่ซ่าไม่นานนัก  ครั้นเมื่อเธอทำขนมใกล้จะเสร็จ  กลิ่นหอมของขนมก็ดึงดูดสัตว์ที่อยู่แถว ๆ นั้น  เช่น ปู ปลา เต่า และนก ให้มารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย

แน่นอนว่า…เมื่อเด็กหญิงผู้ใจดีเห็นสัตว์ต่าง ๆ ทำท่าอยากกินขนมที่เธอทำ  เธอก็อดใจแบ่งขนมซู่ซ่าให้สัตว์เหล่านั้นไม่ได้  และหลังจากที่สัตว์ต่าง ๆ ชิมขนมแสนอร่อยแล้ว  ฝูงนกก็อาสาพาขนมไปส่งยังเกาะเวทมนตร์เพื่อตอบแทนน้ำใจของเด็กน้อย

ขนมดีใจมากที่ฝูงนกอาสาพาเธอไปที่เกาะ  เมื่อเธอพร้อม ฝูงนกก็บินเข้ามาเกาะที่เสื้อผ้าของขนม  แล้วขยับปีกพาขนมบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อฝูงนกพาขนมไปถึงเกาะ  นกทั้งหลายต่างก็ดูอ่อนเพลียจนน่าเป็นห่วง  ขนมรู้สึกผิดที่ทำให้ฝูงนกหมดเรี่ยวแรง  ขนมจึงลงมือทำ “ขนมปึ๋งปั๋ง” ให้นกทั้งฝูงได้กินเสริมพลัง

ครั้นเมื่อเด็กน้อยทำขนมได้สักพัก  กลิ่นของขนมปึ๋งปั๋งก็โชยไปยังบ้านของพ่อมดและแม่มดตัวน้อย  พ่อมดกับแม่มดอยากชิมขนมปึ๋งปั๋งมาก  ทั้งคู่จึงขี่ไม้กวาดตามกลิ่นขนมมาที่ชายหาด

เมื่อขนมเผชิญหน้ากับพ่อมดและแม่มด  ขนมก็จำได้ว่าทั้งคู่เป็นคนจับต้นข้าวพี่ชายของเธอไป  ขนมจึงอ้อนวอนให้พ่อมดกับแม่มดปล่อยตัวพี่ชายที่เธอรัก  ซึ่งหากทั้งคู่อยากกินขนมอะไร เธอก็ยินดีทำให้กินจนพุงกาง

พ่อมดกับแม่มดมองตากันแล้วอธิบายให้ขนมฟังว่า  ในความเป็นจริง  ทั้งคู่ไม่ได้จับตัวต้นข้าวมาแต่อย่างใด  เพียงแต่คืนนี้เป็นวันที่คุณพ่อกับคุณแม่แต่งงานกันครบ 100 ปี  พ่อมดกับแม่มดจึงอยากทำให้คุณพ่อคุณแม่แปลกใจด้วยการจัดงานเลี้ยงแบบลับ ๆ  ทั้งคู่จึงไปขอร้องให้ต้นข้าวมาปรุงอาหารให้  และที่ต้องใช้เชือกมัดต้นข้าวไว้กับไม้กวาดก็เพราะกลัวต้นข้าวจะตกลงมานั่นเอง

ขนมเขินมากที่ตนเองเข้าใจผิด  อาหารมื้อพิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่เป็นความคิดที่น่ารักเหลือเกิน ขนมขอโทษพ่อมดกับแม่มดที่มองพวกเขาเป็นคนร้าย  จากนั้น  ขนมก็อาสาทำของหวานเพื่อทำให้งานเลี้ยงน่าประทับใจยิ่งขึ้น

แม้เวลาจะมีไม่มาก  แต่ขนมก็ทำขนมรูปหัวใจเพื่อฉลองวันพิเศษได้ทันเวลา   เมื่อคุณพ่อคุณแม่ของพ่อมดกับแม่มดน้อยกลับมาถึงบ้านและได้เห็นสิ่งที่ลูกจัดเตรียมไว้ให้  ทั้งคู่ก็ปลื้มใจจนน้ำตาแทบไหล  ครั้นเมื่อทุกคนได้ชิมอาหาร ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความอร่อยที่ยอดเยี่ยมเสียจนหาอาหารมื้อใดมาเทียบเทียมได้ยาก

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง  พ่อมดกับแม่มดก็ขอโทษขนมที่ทำให้ตกอกตกใจ  และเมื่อพ่อมดกับแม่มดพาสองพี่น้องมาส่งที่บ้าน  ทั้งคู่ก็มอบไม้กวาดวิเศษให้พี่น้องทั้งสองแทนคำขอบคุณ

ค่ำคืนนั้น  ต้นข้าวกับขนมมีความสุขมากที่ได้ใช้ความสามารถในการทำอาหารทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น  พรุ่งนี้…ทั้งคู่ตั้งใจจะตื่นแต่เช้า  แต่ไม่ใช่ตื่นมาเพื่อทำอาหารหรือไปจ่ายตลาดเท่านั้น  ทั้งคู่ยังมีแผนที่จะหัดขี่ไม้กวาดวิเศษให้คล่องแคล่วอีกด้วย

#นิทานนำบุญ

……………………..