Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานเจ้าชายเจ้าหญิง

เจ้าชายหมีถัก – นิทานแฟนตาซีความรักอบอุ่น ซาบซึ้งใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

นิทานความรักคือหนึ่งในรูปแบบนิทานที่งดงามและเป็นอมตะที่สุดในโลกวรรณกรรม จาก “เจ้าชายกบ” ถึง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” นิทานความรักได้ถ่ายทอดคุณค่าของความเสียสละ ความกล้าหาญ และความรักแท้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก นิทานเหล่านี้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ แต่ยังปลอบโยนหัวใจของผู้ใหญ่ที่เคยผ่านความรักและการสูญเสียมาแล้ว นิทานความรักจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัย และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปลูกฝังความเมตตาและความเข้าใจในมนุษย์

แต่การแต่งนิทานความรักเรื่องใหม่ให้มีคุณค่าเทียบเท่านิทานอมตะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้แต่งต้องสร้างเรื่องราวที่ทั้งสนุก ชวนติดตาม และซาบซึ้งใจ โดยไม่ซ้ำกับนิทานคลาสสิกที่ผู้คนคุ้นเคย การออกแบบตัวละครต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเนื้อเรื่องต้องมีจังหวะที่พาให้ผู้อ่านอยากรู้ว่า “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อต้องแต่งนิทานที่เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายกับความลึกซึ้งคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักเล่าเรื่อง

นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” คือหนึ่งในนิทานความรักร่วมสมัยที่กล้าฉีกกรอบเดิมอย่างน่าทึ่ง ตัวเอกฝ่ายชายไม่ใช่เจ้าชายรูปงาม แต่เป็นตุ๊กตาหมีที่ถักจากไหมพรม ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวานตามแบบฉบับนิทานคลาสสิก แต่เป็นเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดที่กล้าทดสอบหัวใจของผู้ชายทุกคน เรื่องราวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเสียสละ และความรักที่งดงามเหนือรูปลักษณ์ภายนอก ตอนจบของนิทานนี้ชวนให้ประทับใจอย่างลึกซึ้ง และองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” กลายเป็นนิทานแฟนตาซีอบอุ่นที่เหมาะสำหรับทุกวัย และควรค่าแก่การจดจำ

นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดองค์หนึ่ง ทรงวางแผนเพื่อค้นหาเจ้าชายที่รักพระองค์ยิ่งชีวิตมาเป็นคู่ครอง เจ้าหญิงขอร้องให้พระบิดาเชื้อเชิญเจ้าชายผู้กล้าหาญเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ของพระองค์ และในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงก็ทรงขอร้องให้พ่อมดหลวงกับเทพธิดาตัวจิ๋ว ร่วมมือกับพระองค์ในการเฟ้นหาเจ้าชายผู้มีจิตใจมั่นในรัก

เจ้าชายหมีถักแห่งอาณาจักรไหมพรมเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่งที่ตัดสินใจเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ จริง ๆ แล้ว เจ้าชายหมีถักไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ใดใดมาก่อนเลย ( เพราะเจ้าชายหมีถักทรงคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คงไม่มีเจ้าหญิงองค์ใดอยากแต่งงานกับเจ้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหมีอย่างพระองค์เป็นแน่) แต่ด้วยความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ดลใจเจ้าชายจนมิอาจอยู่เฉยได้ เจ้าชายจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นขี่ม้าแกลบคู่ชีพ แล้วควบม้าตรงไปยังงานเลือกคู่ของเจ้าหญิง…ทันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น

ทันทีที่เจ้าหญิงปรากฏกายให้เจ้าชายทุก ๆ องค์ได้ยลโฉม เจ้าชายต่างก็ถึงกับตกตะลึงในความงามของเจ้าหญิงจนเกือบจะลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เจ้าชายหมีถักเองก็ไม่แตกต่างไปจากเจ้าชายองค์อื่น ๆ พระองค์ทรงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของเจ้าชายหมีถักเต้นตูมตามอยู่ภายในร่างไหมพรมที่แสนอ่อนนุ่ม เจ้าชายหมีถักทรงบอกกับตัวเองว่า พระองค์ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงองค์นี้เข้าให้เสียแล้ว

เจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดทรงกล่าวทักทายเจ้าชายทุก ๆ พระองค์ที่ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเลือกคู่ จากนั้น เจ้าหญิงก็ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า เจ้าชายที่พระองค์ต้องการจะเลือกเป็นคู่ครองนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเก่งกาจฉลาดเฉลียวหรือมีบุคลิกที่สง่างามแต่อย่างใด พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งงานกับเจ้าชายธรรมดา ๆ ที่รักพระองค์อย่างสุดหัวใจ…ก็เพียงเท่านั้น

ไม่ทันที่เจ้าชายแต่ละพระองค์จะมีโอกาสพรรณนาถึงความรักที่ตนเองมีต่อเจ้าหญิง จู่ ๆ พ่อมดหลวงซึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้น และจัดการคาบเจ้าหญิงบินตรงไปยังหุบเหวมังกร แล้วปล่อยเจ้าหญิงให้ร่วงลงไปในเหวลึกตามแผนที่เจ้าหญิงทรงวางเอาไว้

เจ้าชายหมีถักทรงตกใจมากจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วตามไปช่วยเจ้าหญิงเป็นคนแรก แต่ด้วยความที่พระองค์ตัวเล็กกว่าเจ้าชายองค์อื่น ๆ ดังนั้น กว่าที่เจ้าชายหมีถักจะเดินทางไปถึงหุบเหวมังกร เจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็สามารถไล่มังกรยักษ์ซึ่งเฝ้าปากเหวให้บินหนีไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีเจ้าชายองค์ใดรู้เลยว่า ที่ด้านล่างของหุบเหวมังกร มีเทพธิดาตัวจิ๋วแอบเตรียมฟูกหนา ๆ เอาไว้รองรับตัวของเจ้าหญิงตามแผนที่เจ้าหญิงได้เตรียมการเอาไว้ เมื่อเจ้าหญิงรู้ว่ามีเจ้าชายติดตามมาช่วยพระองค์เป็น    จำนวนมาก เจ้าหญิงจึงดำเนินการตามแผนขั้นสุดท้ายเพื่อวัดใจเจ้าชายผู้มีรักแท้

เจ้าหญิงทรงแกล้งร้องไห้โอดครวญให้เจ้าชายที่อยู่บนปากเหวลงมาช่วยพระองค์โดยเร็วที่สุด แน่นอน…เจ้าชายทั้งหลายทรงอยากช่วยเจ้าหญิงด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายก้มลงไปมองในเหวลึกที่มืดมิดราวกับว่ามันเป็นหุบเหวไร้ก้น เจ้าชายแต่ละองค์ต่างก็จนใจและไม่มีใครคิดที่จะเสี่ยงปีนลงไปเพื่อช่วยเจ้าหญิงเลยแม้แต่คนเดียว

ในขณะที่เจ้าชายทั้งหลายยอมพ่ายแพ้ เจ้าชายหมีถักกลับตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ยื่นกิ่งอยู่เหนือกึ่งกลางของปากเหว จากนั้น พระองค์ก็ใช้มือซ้ายกำกิ่งไม้ไว้แน่น พลางใช้มือขวาแก้ปมไหมที่ส่วนเท้าของตนเอง แล้วค่อย ๆ ปลดเส้นไหมพรมจากร่างของพระองค์ เพื่อหย่อนลงไปช่วยเจ้าหญิงที่พระองค์ทรงรักยิ่งชีวิต

เจ้าหญิงไม่รู้เลยว่า เส้นไหมพรมที่พระองค์ทรงใช้ไต่ขึ้นมาที่ปากเหวคือชีวิตของเจ้าชายผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยรัก

ทันทีที่เจ้าหญิงโผล่ขึ้นมายังพื้นดิน สิ่งที่เจ้าหญิงเห็นก็คือภาพของมือไหมพรมน้อย ๆ ที่เกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น…อย่างไม่มีวันปล่อย

เจ้าหญิงทรงร้องไห้และกอดเส้นไหมพรมเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความเสียใจอย่างที่สุด พระองค์ทรงเชื่อแล้วว่าเจ้าชายองค์นี้รักพระองค์ด้วยความจริงใจ แต่เจ้าหญิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แผนการของพระองค์จะทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหญิงเสียใจมากและคิดที่จะไม่ยอมให้อภัยตัวเองไปตลอดชั่วชีวิต

เรื่องราวทั้งหมดเกือบจะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่โชคยังดี…เพราะเมื่อน้ำตาของเจ้าหญิงสัมผัสกับเส้นไหมพรมสีน้ำตาลของเจ้าชายหมีถัก ปาฏิหาริย์แห่งความรักที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น! เส้นไหมพรมทั้งหมดค่อย ๆ รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมีแสงสว่างวูบวาบตลอดเวลาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ และหลังจากที่เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เจ้าชายหมีถักก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่คราวนี้ พระองค์ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมอีกแล้ว เจ้าชายหมีถักกลายสภาพเป็นเจ้าชายรูปงามด้วยอานุภาพแห่งความรักที่แท้จริง

เจ้าหญิงทรงกล่าวคำขอโทษเจ้าชายด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าชายกลับไม่คิดติดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เจ้าชายทรงให้อภัยเจ้าหญิงทุก ๆ อย่าง และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหญิงและเจ้าชายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดแบนเนอร์โฆษณาต่าง ๆ ที่ขึ้นมาให้เห็น เพื่อทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

Posted in ครอบครัว, นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานรักโรแมนติก, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับผู้ใหญ่, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย

นิทานก่อนนอนเรื่อง ความรักของตัวประหลาด – เมื่อความรักเอาชนะรูปลักษณ์

นิทานก่อนนอนเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวโรแมนติกสุดอบอุ่นของเจ้าชายผู้มีรูปลักษณ์ประหลาดกับเจ้าหญิงผู้สวยแต่ไร้ปัญญา ความรักของทั้งคู่ค่อย ๆ ก่อตัวจากความเข้าใจและความเมตตา จนกลายเป็นความรักแท้ที่งดงาม นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ความรัก ความเข้าใจ และความจริงใจต่างหากที่มีคุณค่าที่แท้จริง เหมาะสำหรับใช้เป็นนิทานก่อนนอน นิทานสอนใจ หรืออ่านเล่นเพื่อเติมแรงบันดาลใจ

นิทานเรื่อง “ความรักของตัวประหลาด” เรียบเรียงจากนิทานคลาสสิกเรื่อง Riquet with the Tuft ซึ่งเป็นนิทานที่มีเนื้อหาน่าสนใจมาก แต่ฉบับดั้งเดิมนั้นเขียนด้วยภาษาที่ยุ่งยากต่อการอ่านในปัจจุบัน

ผู้เรียบเรียงจึงพยายามถ่ายทอดเรื่องราวให้อ่านง่ายขึ้น โดยคงไว้ซึ่งสาระสำคัญ และจิตวิญญาณของนิทานต้นฉบับ มีการตัดตัวละครรองที่ไม่จำเป็น เปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ให้สื่อความหมายชัดเจนขึ้น และเรียบเรียงเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่ายและร่วมสมัย

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับทั้งความสนุก ความประทับใจ และแง่คิดดี ๆ จากนิทานเรื่องนี้ และหากมีโอกาส อยากขอชวนให้ลองหาอ่านนิทานฉบับดั้งเดิม เพื่อเปรียบเทียบและค้นพบเสน่ห์ของต้นฉบับด้วยตนเอง

กาลครั้งหนึ่ง มีราชินีองค์หนึ่งทรงให้กำเนิดพระโอรสชื่อ “เจ้าชายริเกต์” ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด

เจ้าชายเกิดมาพร้อมจมูกโตสีแดงระเรื่อ แถมมีกระจุกผมที่กลางศีรษะ ดูคล้ายลูกลิงมากกว่าลูกคน พระราชินีทรงเป็นห่วงเจ้าชายว่าจะถูกผู้คนรังเกียจ และต้องทนทุกข์กับรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของตนเอง นางฟ้าจึงปลอบพระราชินีว่า “เจ้าชายจะไม่เป็นไร เพราะเจ้าชายมีสติปัญญาที่ชาญฉลาด ทั้งยังมีพรวิเศษที่สามารถมอบสติปัญญาให้คนที่พระองค์รักได้ สติปัญญานี้เองที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาทุกอย่าง” พระราชินีไม่เข้าใจว่าสติปัญญาจะช่วยเจ้าชายได้อย่างไร พระองค์จึงได้แต่หวังว่า คำพูดของนางฟ้าจะเป็นความจริง

เจ็ดปีต่อมา พระราชินีแห่งอาณาจักรข้างเคียงได้ให้กำเนิดพระธิดาที่มีหน้าตางดงามราวกับนางฟ้า พระราชินีทรงเป็นห่วงว่า ความงามอาจทำให้เจ้าหญิงต้องวุ่นวายในการเลือกเจ้าชายรูปงามที่แย่งกันมาเป็นคู่ครอง นางฟ้าจึงปลอบพระราชินีว่า “เจ้าหญิงจะไม่เป็นไร เพราะเจ้าหญิงเกิดมาสวยแต่เซ่อ แค่คุยกับเจ้าชายไม่กี่คำ เจ้าชายทั้งหลายก็คงเบื่อและหนีหายไปหมด”

พระราชินีมีสีหน้าไม่พอใจ นางฟ้าจึงพูดแก้เก้อไปว่า “แต่เพื่อให้ท่านไม่ต้องกังวลใจ ข้าขอมอบพรวิเศษให้เจ้าหญิงเนรมิตบุคคลที่เจ้าหญิงรัก ให้มีหน้าตาดีขนาดไหนก็ได้ ยังไงเจ้าหญิงก็จะมีคู่ครองที่คู่ควร” เมื่อพูดจบ นางฟ้าก็รีบลาจากไป

เมื่อเจ้าหญิงเติบโตขึ้น ความงามของเจ้าหญิงก็เลื่องลือไปทั่ว แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายได้มาพบและพูดคุยกับเจ้าหญิง ความซื่อบื้อของเจ้าหญิงที่สวนทางกับความสวย ก็ทำให้เจ้าชายทุกพระองค์พากันมองเจ้าหญิงเหมือนตัวประหลาด แล้วค่อย ๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคน

แม้เจ้าหญิงจะสมองช้าและเบาปัญญากว่าคนทั่วไป แต่พระองค์ทรงมีจิตใจและมีความรู้สึก เจ้าหญิงอยากมีความฉลาดเพิ่มขึ้นสักนิด อย่างน้อย…พระองค์ก็คงไม่ถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาดอยู่เช่นนี้

คืนหนึ่ง เจ้าหญิงผู้น่าสงสารได้แอบเข้าไปในป่าเพื่อหาที่นั่งร้องไห้ เจ้าหญิงโดดเดี่ยวและรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า

ในช่วงเวลานั้นเอง มีชายแปลกหน้าผูกผมจุกคนหนึ่งได้เดินออกมาจากพุ่มไม้ ซึ่งเขาก็คือ เจ้าชายริเกต์ นั่นเอง เจ้าชายริเกต์เคยเห็นเจ้าหญิงแสนสวยจากภาพวาด ซึ่งพระองค์ก็ทรงหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่แรกเห็น

“ท่านร้องไห้ทำไม?” เจ้าชายริเกต์เอ่ยถามเจ้าหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เจ้าหญิงเช็ดน้ำตา แล้วตอบอย่างขมขื่นว่า “ข้าเป็นคนสวยแต่เซ่อ ข้าจึงถูกคนอื่นมองเหมือนเป็นตัวประหลาด ข้าอยากมีสติปัญญาแบบคนอื่นบ้าง ท่านเข้าใจข้าไหม?”

เจ้าชายริเกต์ยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วตอบว่า “ข้าเข้าใจดี ข้าถูกมองว่าแปลกประหลาดมาตลอดชีวิต แต่ข้าไม่ยอมปล่อยให้ความคิดของผู้อื่น มากำหนดคุณค่าของตัวข้าหรอกนะ”

เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้น แล้วตั้งใจฟังคำพูดของเจ้าชายแปลกหน้า โดยที่พระองค์ก็ไม่เข้าใจความหมายสักเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าหญิงรู้สึกได้ก็คือ เจ้าหญิงรู้สึกถึงความเข้าอกเข้าใจที่เจ้าชายมีให้ ซึ่งเจ้าหญิงไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

เจ้าชายริเกต์กล่าวต่อไปว่า “สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ มันทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง และทำให้เรารู้วิธีปฏิบัติตัวให้ผู้อื่นเห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของตัวเรา” เจ้าชายริเกต์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า “จริง ๆ แล้ว ข้ามีพรวิเศษที่สามารถมอบสติปัญญาให้คนที่ข้ารักได้ ถ้าเจ้าหญิงต้องการพรข้อนี้ ข้ายินดีมอบให้นะ แต่ท่านต้องตกลงว่าจะแต่งงานกับข้า”

เจ้าหญิงนิ่งคิดอยู่นาน นานจนเจ้าชายอมยิ้ม จากนั้น เจ้าชายก็พูดกับเจ้าหญิงอย่างเอ็นดูว่า “หากท่านยังไม่แน่ใจ ข้าจะให้เวลาท่านคิด 1 ปี ระหว่างนี้ ข้าจะมอบพรวิเศษให้ท่านนำไปใช้ก่อน ท่านจะได้คลายทุกข์ลงบ้าง”

คำพูดของเจ้าชายริเกต์อบอุ่นมาก เจ้าหญิงจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล

หลังจากคืนนั้น เจ้าหญิงที่สวยแต่เซ่อ ได้กลายเป็นเจ้าหญิงผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม พระองค์สามารถพูดจาโต้ตอบได้อย่างน่าฟัง และมีความรอบรู้ในทุก ๆ เรื่อง จนพระราชาผู้เป็นพระบิดายังขอความคิดเห็นจากเจ้าหญิงเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองต่าง ๆ ซึ่งคำแนะนำของเจ้าหญิงล้วนมีประโยชน์และใช้แก้ปัญหาได้จริงชนิดที่ทุกคนพากันทึ่ง

ไม่นานนัก ข่าวเรื่องเจ้าหญิงแสนงามในเวอร์ชั่นใหม่ที่เจิดจรัสด้านสติปัญญาก็แพร่สะพัดจนเจ้าชายรูปงามทั้งหลายพากันมาขอพบเพื่อผูกสัมพันธ์ด้วย

แต่เจ้าหญิงผู้มีสติปัญญาไม่ได้สนใจเจ้าชายเหล่านั้นเลย เพราะพระองค์มัวแต่กังวลใจ เกี่ยวกับข้อตกลงที่พระองค์มีกับเจ้าชายริเกต์”

ในวันที่เจ้าหญิงยังสวยแต่เซ่อ เจ้าหญิงยังงง ๆ กับข้อตกลงดังกล่าว แต่ในเวลานี้ เจ้าหญิงเพิ่งตระหนักว่า ข้อตกลงเรื่องแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะการแต่งงานต้องเกิดขึ้นจากความรัก ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้…พระองค์ไม่แน่ใจตัวเองว่า พระองค์รักเจ้าชายริเกต์บ้างหรือไม่?

เมื่อเวลาผ่านไปครบ 1 ปี เจ้าหญิงได้เดินทางเข้าป่าเพื่อพบกับเจ้าชายริเกต์อีกครั้ง ในเวลานี้ ภายในใจของเจ้าหญิงยังคงวนเวียนอยู่กับคำถามที่พระองค์ยังหาคำตอบไม่ได้

เมื่อเจ้าหญิงไปถึงสถานที่นัดพบ เจ้าชายริเกต์ได้ปรากฎตัวในชุดเจ้าบ่าว พร้อมกับกล่าวทักทายเจ้าหญิงอย่างอบอุ่นว่า “เจ้าหญิงตกลงจะแต่งงานกับข้าแล้วใช่ไหม?”

เจ้าหญิงทรงมองตาเจ้าชายริเกต์ แล้วตอบอย่างลังเลว่า “ณ วันนี้ ข้ามีปัญหาที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ข้ารักท่านหรือไม่ ซึ่งหากข้าไม่ได้รักท่าน ข้าก็ไม่ควรตอบตกลงแต่งงานกับท่านนะ”

เจ้าชายริเกต์มองเจ้าหญิงอย่างใจดี แล้วพระองค์ก็พูดกับเจ้าหญิงว่า “ความฉลาดอาจทำให้เราต้องคิดอะไรมากหน่อย แต่มันไม่ควรทำให้เราทุกข์ใจมากขึ้นนะ”

เจ้าชายริเกต์ส่งยิ้มอันอบอุ่นให้เจ้าหญิง แล้วพูดต่อไปว่า “ให้ข้าช่วยท่านนะ เจ้าหญิงลองคิดแล้วตอบข้าหน่อยว่า มีสิ่งใดในตัวข้าที่ท่านรังเกียจหรือรู้สึกแปลกประหลาดบ้างไหม?”

เจ้าหญิงมองเจ้าชายริเกต์ แล้วตอบเจ้าชายอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่มีเลย ข้าชื่นชมทุกสิ่งที่เป็นตัวท่าน ท่านมีความสุภาพ รับฟังความทุกข์ของข้า ให้คำแนะนำข้า ช่วยเหลือข้า ไม่เคยมองข้าเป็นตัวประหลาด!”

“แล้วเรื่องรูปกายภายนอกล่ะ” เจ้าชายริเกต์ถาม

“รูปกายของท่านเป็นอย่างไรหรือ? ท่านอ่อนโยน ไว้ผมจุกสุดเท่ ท่าเดินก็ดูมีเสน่ห์ จมูกสีแดงก็ดูขี้อายน่ารัก หนังตาที่กระตุกในบางครั้งก็ดูขี้เล่นอย่างบอกไม่ถูก”

เจ้าชายริเกต์ยิ้มเขิน ๆ จากนั้น พระองค์ก็บอกเจ้าหญิงว่า “เจ้าหญิงรู้ไหม ในวันที่เจ้าหญิงเกิด นางฟ้าได้มอบพรวิเศษให้เจ้าหญิงสามารถเนรมิตบุคคลที่เจ้าหญิงรักให้มีหน้าตาดีขนาดไหนก็ได้” เจ้าชายริเกต์มองตาเจ้าหญิงอย่างมีลึกซึ้ง แล้วพูดต่อไปว่า “ถ้าเจ้าหญิงเห็นว่า ตัวประหลาด อย่างข้ามีหน้าตาดีตามที่กล่าวไว้จริง ๆ นั่นก็หมายความว่า…..”

เจ้าหญิงผู้งดงามและชาญฉลาดเติมคำในช่องว่างทันทีว่า “หมายความว่า….ท่านคือบุคคลที่ข้ารัก”

เจ้าหญิงตกหลุมรักเจ้าชายริเกต์ไปตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ เจ้าชายริเกต์รักเจ้าหญิงมานานแล้ว ส่วนเจ้าหญิงก็รักเจ้าชายเช่นกัน

ในที่สุด เจ้าหญิงก็ได้รู้ว่า พระองค์ควรตอบตกลงแต่งงานกับเจ้าชายริเกต์หรือไม่

และแล้ว …เรื่องราวความรักของบุคคลที่ถูกมองว่าเป็น “ตัวประหลาด” ก็จบลงอย่างมีความสุข.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าวัดคุณค่าคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ความสวยงามหรือความแปลกประหลาดของร่างกาย ไม่ได้สะท้อนคุณภาพจิตใจ หรือความสามารถที่แท้จริงของใครเลย
  • ความเข้าใจคือรากฐานของความรัก ความรักของเจ้าชายริเกต์และเจ้าหญิงเติบโตจากการเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่ความดึงดูดทางกายภาพ
  • สติปัญญาทำให้เรารู้คุณค่าของตัวเอง เมื่อเจ้าหญิงได้รับพรแห่งปัญญา พระองค์ไม่เพียงพูดเก่งขึ้น แต่ยังตระหนักถึงความเป็นตัวเอง จนสามารถแนะนำเรื่องสำคัญของบ้านเมืองได้
  • รักแท้ไม่เกิดจากการแลกเปลี่ยน แต่เกิดจากใจจริง เจ้าหญิงไม่ตอบตกลงแต่งงานทันที เพราะพระองค์ต้องมั่นใจว่า สิ่งนั้นคือ “ความรัก” ไม่ใช่การตอบแทนสิ่งดี ๆ ที่ได้รับมา
  • คนที่เคยถูกมองเป็นตัวประหลาด อาจเป็นคนที่มีค่ามากที่สุด เจ้าชายริเกต์แสดงให้เห็นว่าความแปลกไม่ใช่ข้อด้อย หากแต่เป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่า เมื่อประกอบกับหัวใจที่ดีงาม
“ภาพประกอบนิทาน เจ้าชายรูปลักษณ์แปลก กับเจ้าหญิงแสนงาม ยืนอยู่กลางป่าใต้แสงจันทร์”
Posted in นิทานร่วมสมัย, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

“บ้านที่ฟางชี้โด่ชี้เด่ – นิทานอบอุ่นหัวใจที่ปลุกชีวิตให้กลับมามีรอยยิ้ม”

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง เจ้าชายสัตว์ป่า

วันหนึ่ง  ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินชมนกชมไม้อยู่เพลินๆ   จู่ ๆ เจ้าชายก็ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก   เจ้าชายสัตว์ป่ารู้สึกว่ากลิ่นดังกล่าวหอมอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายจึงแอบย่องไปสังเกตการณ์ว่าใครแอบเข้ามาในป่าของพระองค์  แต่ทันทีที่เจ้าชายเห็นว่า ผู้บุกรุกคือเจ้าหญิงที่แสนน่ารัก พระองค์ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างทำให้พระองค์หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เมื่อได้สติ เจ้าชายจึงรู้ตัวว่าตนเองคง “ตกหลุมรัก” เจ้าหญิงเข้าให้เสียแล้ว  แต่เพราะเจ้าชายสัตว์ป่าเป็นเจ้าชายที่ไม่ใช่มนุษย์  เจ้าชายจึงรู้ดีว่า การจะไปขอแต่งงานกับเจ้าหญิง เป็นเรื่องที่ยากเสียจนไม่น่าจะเป็นไปได้

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าทราบข่าว  เจ้าชายสัตว์ป่าก็รู้สึกมีความหวัง แต่เจ้าชายรู้ดีว่าตนเองเป็นเจ้าชายสัตว์ป่าที่แตกต่างจากเจ้าชายอื่น ๆ  พระองค์จึงใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน เพราะรู้สึกว่าตนอาจไม่เหมาะสมกับเจ้าหญิง แต่ความรักที่เจ้าชายมีต่อเจ้าหญิงมีอานุภาพมาก ในที่สุด เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลือกคู่

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าไปถึงงาน เจ้าชายพบว่าตนเองมาถึงงานเป็นคนสุดท้าย   ครั้นเมื่อถึงเวลา  พระราชาได้แจ้งกติกาในการเลือกคู่ให้เจ้าชายทุกพระองค์ทราบว่า เจ้าชายที่สามารถนำอัญมณีสายรุ้งจากรังนกที่อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้ามามอบให้แก่เจ้าหญิงได้  จะมีสิทธิ์ได้พูดคุยทำความรู้จักเพื่อให้เจ้าหญิงตัดสินใจเลือกเป็นคู่ครองต่อไป

ทันทีที่เจ้าชายทั้งหลายได้ฟังเงื่อนไขจากพระราชา  แม้เจ้าชายทุกพระองค์จะรู้ถึงความยากลำบาก  แต่การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและการได้ครอบครองอาณาจักรต่อจากพระราชาเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่า  เจ้าชายเกือบทั้งหมดจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าฝ่าพายุฝนที่ตกลงมาพอดี  จนในท้องพระโรงเหลือเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกเดินทางไปไหน ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าชายสัตว์ป่า

เจ้าชายสัตว์ป่าส่งยิ้มให้พระราชาด้วยความอ่อนน้อม จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตอบพระราชาไปว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในธรรมชาติ  กระหม่อมจึงได้เรียนรู้ว่า  บางครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทันที  แต่ในบางกรณี การหยุดรอแทนการเข้าไปปะทะอย่างไรประโยชน์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า  เมื่อกระหม่อมเห็นพายุฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา และประเมินถึงภารกิจที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกหลายอย่าง กระหม่อมจึงขอเลือกเก็บแรงไว้ก่อน แล้วใช้เวลานี้วางแผน เตรียมสิ่งที่จำเป็น เพื่อใช้ในการเดินทาง ซึ่งน่าจะดีกว่าการออกไปปะทะกับพายุฝน”

หลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางมาได้ราวครึ่งวัน  จู่ ๆ เจ้าชายก็พบว่ามีเจ้าชายบางพระองค์ที่ออกเดินทางมาก่อน ขี่ม้านำหน้าพระองค์อยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น   ซึ่งหลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าแซงหน้าเจ้าชายเหล่านั้นไปได้   เจ้าชายจึงคาดเดาว่า เจ้าชายบางพระองค์ที่ขี่ม้าฝ่าพายุฝน คงสะบักสะบอมเพราะพลังของธรรมชาติ ทำให้หมดสภาพที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมาย

ณ ลานทางเข้าป่าอาถรรพ์ มีเจ้าชายจำนวนมากที่เนื้อตัวมอมแมม (ซึ่งอาจเกิดจากการขี่ม้าฝ่าพายุฝนแล้วคลุกกับฝุ่นตอนขี่ม้ากลางแดด) กำลังครุ่นคิดว่าจะเดินทางผ่านป่าอาถรรพ์เพื่อมุ่งหน้าไปยังภูเขาเสียดฟ้าในทันที  หรือจะหยุดพักค้างแรมที่ลานทางเข้านี้ก่อนสักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า

เมื่อเจ้าชายองค์อื่น ๆ เห็น “คู่แข่ง” ออกเดินทางไปก่อน  เจ้าชายทั้งหลายจึงเลิกคิดที่จะพัก  แต่กลับพากันกระโดดขึ้นม้าแล้วควบตามเจ้าชายองค์แรกไป จนลานกว้างเหลือเจ้าชายอยู่เพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าชายสัตว์ป่า นั่นเอง

วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าคู่ใจเข้าไปในป่าอาถรรพ์ตั้งแต่เช้าตรู่  ระหว่างทาง เจ้าชายสัตว์ป่าพบร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเจ้าชายทั้งหลายกับเหล่าปิศาจปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ทั้งการได้เห็นกิ่งไม้หักระเนระนาด  การพบเจ้าชายจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ  หรือการได้เห็นม้าหวาดกลัวจนหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ฯลฯ   เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าขี่ม้าพ้นออกมาจากเขตป่าอาถรรพ์และเดินทางต่อจนถึงตีนเขาสูงเสียดฟ้า  พระองค์ก็พบว่ามีเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่เอาชนะเหล่าปิศาจได้จนหมด (ทำให้เจ้าชายสัตว์ป่าไม่ต้องสู้กับปิศาจเลย) ซึ่งเจ้าชายพระองค์นั้นกำลังควบม้าขึ้นสู่ยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อค้นหาอัญมณีสายรุ้ง

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางขึ้นไปถึงยอดเขา เจ้าชายสัตว์ป่าก็พบว่า รังนกจำนวนมากถูกรื้อค้นกระจุยกระจายไปหมด ส่วนลูกนกทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงร้องอยู่ที่พื้นอย่างน่าสงสาร เจ้าชายสัตว์ป่ามองเจ้าชายอีกพระองค์ที่รีบเร่งค้นหาอัญมณีจนลืมใส่ใจต่อชีวิตน้อย ๆ ของลูกนกด้วยความรู้สึกสังเวชใจ  บุคคลเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ครองของเจ้าหญิงและคงเป็นพระราชาที่ดีไม่ได้แน่ ๆ  

แม้เจ้าชายสัตว์ป่าจะเห็นว่าเจ้าชายอีกพระองค์ได้เดินทางนำหน้าไปก่อนแล้ว  แต่แทนที่พระองค์จะรีบค้นหา   อัญมณีสายรุ้งบ้าง เจ้าชายสัตว์ป่ากลับเลือกที่จะสร้างรังพักฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกนกที่สูญเสียรังไปได้มีที่อยู่ชั่วคราวก่อน  เมื่อภารกิจสำเร็จ พระองค์จึงเริ่มค้นหาอัญมณีสายรุ้ง…แม้จะเป็นการเริ่มต้นค้นหาที่ช้ากว่าเจ้าชายองค์แรกมากก็ตาม

เมื่อเจ้าชายมองไปที่ปากของนก เจ้าชายก็พบอัญมณีที่มีสีถึง 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เจ้าชายแปลกใจ พลางตั้งสติพิจารณาสีของอัญมณีอีกครั้งอย่างรอบคอบ  จนมั่นใจว่าอัญมณีที่นกนำมาให้เป็นอัญมณีสายรุ้งที่พระองค์กำลังค้นหา   เจ้าชายรับอัญมณีมาจากนกด้วยความขอบคุณ  จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงออกเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิง

เจ้าชายผู้เก่งกล้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะพระองค์รู้ดีว่าตนเองคงไปถึงเมืองของเจ้าหญิงช้ากว่าคู่แข่งเป็นแน่  เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงเล่าความจริงให้เจ้าชายสัตว์ป่าฟังว่า “ข้าพเจ้าประมาทเกินไป จึงเอาแต่บุกตะลุยเพื่อหวังจะเอาชนะ จนม้าประจำตัวหมดกำลังไปต่อไม่ไหว  ข้าพเจ้าคงแพ้ในการเลือกคู่ครั้งนี้แล้ว  ท่านไปต่อเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าชายผู้เก่งกล้าเดินทางไปถึงปราสาทของเจ้าหญิง พระราชาทรงออกมาต้อนรับเจ้าชายทั้งสองด้วยความกระตือรือร้น  เมื่อเจ้าชายทั้งสองได้พบพระราชา ทั้งคู่จึงนำอัญมณีสายรุ้งจากยอดเขาสูงเสียดฟ้ามอบให้พระราชาพิจารณาทันที

เจ้าชายผู้เก่งกล้าตกใจและรู้สึกผิดที่ตนเองรีบร้อน ไม่ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีเสียก่อน  บางที การใช้แต่พละกำลังบุกตะลุยสู้กับอุปสรรค โดยขาดความรอบคอบ อาจบทเรียนที่พระองค์ควรปรับปรุงแก้ไข  ในขณะเดียวกัน    เจ้าชายผู้เก่งกล้าก็รู้สึกว่า เจ้าชายสัตว์ป่าคือเจ้าชายที่เหมาะสมกับเจ้าหญิงจริง ๆ  ทั้งในเรื่องความสามารถและจิตใจอันดีงาม  ดังนั้น เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงยอมรับคำตัดสินของพระราชาแต่โดยดี

หลังจากเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าหญิงได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอกัน และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟัง  เจ้าหญิงทรงชื่นชมความสามารถของเจ้าชายที่รู้จักบุกเมื่อควรบุก รู้จักหยุดเมื่อควรตั้งรับ  ทั้งยังรักในจิตใจอันดีงามของเจ้าชายที่มีต่อผู้อื่น (ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่แข่ง) รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อลูกนก ส่วนเจ้าชายสัตว์ป่าก็ทรงมีความสุขเมื่อได้คุยกับเจ้าหญิงที่ตนแอบหลงรัก ทั้งยังสบายใจเมื่อได้รู้ว่า เสด็จแม่ของเจ้าหญิงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนางเงือก  ทำให้เจ้าหญิงมีเลือดผสมที่สามารถอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสัตว์ป่าได้

และแล้ว นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข

Posted in นิทานความรัก, นิทานสอนใจ, นิทานอ่านให้แฟนฟัง

คู่รักกระต่ายน้อย : นิทานความรักก่อนนอนพร้อมข้อคิดที่ควรอ่านให้แฟนฟัง

ภาพที่แคปหน้าจอ ข้อความที่ผู้อ่านส่งมา  เล่าว่าอ่านตั้งแต่ ม.4 จนตอนนี้ขึ้นปี 3 อ่านให้แฟนฟัง

ก่อนที่จะแต่งงงาน  กระต่ายหนุ่มได้จ้างช่างมาสร้างเรือนหอเป็นบ้านแห่งความรักระหว่างมันกับกระต่ายสาวยอดดวงใจ 

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวได้จัดการหาสีมาทาแก้ไขจนรอยกระดำกระด่างหายไปจนหมด  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหา จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวตัดสินใจเก็บกวาดจัดสวนให้เรียบร้อย แถมยังจัดหาต้นไม้ดอกไม้มาปลูกเพิ่มเติมจนสวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการ “โมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน” ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหาจนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เมื่อพูดจบ กระต่ายสาวก็ชวนกระต่ายหนุ่มให้ช่วยกันจุดเทียนรอบ ๆ งานแต่ง  จากนั้น  พวกมันก็ชวนให้แขกเข้ามานั่งใกล้ ๆ กันอีกนิด เพราะในงานไม่มีไมโครโฟน   ส่วนเรื่องเพลงหรือดนตรี กระต่ายสาวก็ขอให้กระต่ายหนุ่มและแขกในงานช่วยกันร้องเพลง ซึ่งทั้งหมดให้บรรยากาศภายในงานดูอบอุ่นและทำให้พิธีแต่งงานดำเนินไปได้อย่างน่าประทับใจ

กระต่ายหนุ่มมองกระต่ายสาวด้วยสายตาที่เหมือนต้องการจะบอกว่า “ขอบคุณนะ”  ส่วนกระต่ายสาวซึ่งหันมาสบตากระต่ายหนุ่มพอดี กลับส่งยิ้มให้แล้วทำหน้าทะเล้นใส่  จากนั้น กระต่ายสาวก็บอกกระต่ายหนุ่มว่า “นับจากวันนี้ ถ้าเจออะไรไม่สมดังใจ ก็อย่างเพิ่งโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืนนะ  เพราะถึงจะขาดสิ่งนู้น ไม่มีสิ่งนี้ แต่ยังไง..เราก็ยังมีกันและกัน ที่จะช่วยกัน แก้ปัญหาในทุก ๆ เรื่องนะ”

“ใช่แล้ว มีกันและกัน” กระต่ายสาวยิ้มเขิน   จากนั้น กระต่ายสาวก็อ้อนกระต่ายหนุ่มว่า “ว่าแต่คืนนี้ เธอลืมอะไรไปรึเปล่า”

กระต่ายหนุ่มยิ้มให้กระต่ายสาวด้วยความรัก  ส่วนกระต่ายสาวก็ยิ้มตอบ พร้อมกับหัวเราะ “แหะ ๆ” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากระต่ายสาวคิดอะไรอยู่

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ฝากกดดูแบนเนอร์โฆษณาอัตโนมัติที่เด้งขึ้นมาด้วยนะครับ (บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น) มันจะช่วยทำให้เว็บไซต์มีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ ขอบคุณครับ