Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, นิทานเจ้าชายเจ้าหญิง

เจ้าชายหมีถัก – นิทานแฟนตาซีความรักอบอุ่น ซาบซึ้งใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

นิทานความรักคือหนึ่งในรูปแบบนิทานที่งดงามและเป็นอมตะที่สุดในโลกวรรณกรรม จาก “เจ้าชายกบ” ถึง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” นิทานความรักได้ถ่ายทอดคุณค่าของความเสียสละ ความกล้าหาญ และความรักแท้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก นิทานเหล่านี้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ แต่ยังปลอบโยนหัวใจของผู้ใหญ่ที่เคยผ่านความรักและการสูญเสียมาแล้ว นิทานความรักจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัย และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปลูกฝังความเมตตาและความเข้าใจในมนุษย์

แต่การแต่งนิทานความรักเรื่องใหม่ให้มีคุณค่าเทียบเท่านิทานอมตะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้แต่งต้องสร้างเรื่องราวที่ทั้งสนุก ชวนติดตาม และซาบซึ้งใจ โดยไม่ซ้ำกับนิทานคลาสสิกที่ผู้คนคุ้นเคย การออกแบบตัวละครต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเนื้อเรื่องต้องมีจังหวะที่พาให้ผู้อ่านอยากรู้ว่า “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อต้องแต่งนิทานที่เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายกับความลึกซึ้งคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักเล่าเรื่อง

นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” คือหนึ่งในนิทานความรักร่วมสมัยที่กล้าฉีกกรอบเดิมอย่างน่าทึ่ง ตัวเอกฝ่ายชายไม่ใช่เจ้าชายรูปงาม แต่เป็นตุ๊กตาหมีที่ถักจากไหมพรม ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวานตามแบบฉบับนิทานคลาสสิก แต่เป็นเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดที่กล้าทดสอบหัวใจของผู้ชายทุกคน เรื่องราวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเสียสละ และความรักที่งดงามเหนือรูปลักษณ์ภายนอก ตอนจบของนิทานนี้ชวนให้ประทับใจอย่างลึกซึ้ง และองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้นิทานเรื่อง “เจ้าชายหมีถัก” กลายเป็นนิทานแฟนตาซีอบอุ่นที่เหมาะสำหรับทุกวัย และควรค่าแก่การจดจำ

นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดองค์หนึ่ง ทรงวางแผนเพื่อค้นหาเจ้าชายที่รักพระองค์ยิ่งชีวิตมาเป็นคู่ครอง เจ้าหญิงขอร้องให้พระบิดาเชื้อเชิญเจ้าชายผู้กล้าหาญเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ของพระองค์ และในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงก็ทรงขอร้องให้พ่อมดหลวงกับเทพธิดาตัวจิ๋ว ร่วมมือกับพระองค์ในการเฟ้นหาเจ้าชายผู้มีจิตใจมั่นในรัก

เจ้าชายหมีถักแห่งอาณาจักรไหมพรมเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่งที่ตัดสินใจเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ จริง ๆ แล้ว เจ้าชายหมีถักไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมในพิธีเลือกคู่ใดใดมาก่อนเลย ( เพราะเจ้าชายหมีถักทรงคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คงไม่มีเจ้าหญิงองค์ใดอยากแต่งงานกับเจ้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหมีอย่างพระองค์เป็นแน่) แต่ด้วยความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ดลใจเจ้าชายจนมิอาจอยู่เฉยได้ เจ้าชายจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นขี่ม้าแกลบคู่ชีพ แล้วควบม้าตรงไปยังงานเลือกคู่ของเจ้าหญิง…ทันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น

ทันทีที่เจ้าหญิงปรากฏกายให้เจ้าชายทุก ๆ องค์ได้ยลโฉม เจ้าชายต่างก็ถึงกับตกตะลึงในความงามของเจ้าหญิงจนเกือบจะลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เจ้าชายหมีถักเองก็ไม่แตกต่างไปจากเจ้าชายองค์อื่น ๆ พระองค์ทรงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของเจ้าชายหมีถักเต้นตูมตามอยู่ภายในร่างไหมพรมที่แสนอ่อนนุ่ม เจ้าชายหมีถักทรงบอกกับตัวเองว่า พระองค์ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงองค์นี้เข้าให้เสียแล้ว

เจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดทรงกล่าวทักทายเจ้าชายทุก ๆ พระองค์ที่ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเลือกคู่ จากนั้น เจ้าหญิงก็ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า เจ้าชายที่พระองค์ต้องการจะเลือกเป็นคู่ครองนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเก่งกาจฉลาดเฉลียวหรือมีบุคลิกที่สง่างามแต่อย่างใด พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งงานกับเจ้าชายธรรมดา ๆ ที่รักพระองค์อย่างสุดหัวใจ…ก็เพียงเท่านั้น

ไม่ทันที่เจ้าชายแต่ละพระองค์จะมีโอกาสพรรณนาถึงความรักที่ตนเองมีต่อเจ้าหญิง จู่ ๆ พ่อมดหลวงซึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้น และจัดการคาบเจ้าหญิงบินตรงไปยังหุบเหวมังกร แล้วปล่อยเจ้าหญิงให้ร่วงลงไปในเหวลึกตามแผนที่เจ้าหญิงทรงวางเอาไว้

เจ้าชายหมีถักทรงตกใจมากจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วตามไปช่วยเจ้าหญิงเป็นคนแรก แต่ด้วยความที่พระองค์ตัวเล็กกว่าเจ้าชายองค์อื่น ๆ ดังนั้น กว่าที่เจ้าชายหมีถักจะเดินทางไปถึงหุบเหวมังกร เจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็สามารถไล่มังกรยักษ์ซึ่งเฝ้าปากเหวให้บินหนีไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีเจ้าชายองค์ใดรู้เลยว่า ที่ด้านล่างของหุบเหวมังกร มีเทพธิดาตัวจิ๋วแอบเตรียมฟูกหนา ๆ เอาไว้รองรับตัวของเจ้าหญิงตามแผนที่เจ้าหญิงได้เตรียมการเอาไว้ เมื่อเจ้าหญิงรู้ว่ามีเจ้าชายติดตามมาช่วยพระองค์เป็น    จำนวนมาก เจ้าหญิงจึงดำเนินการตามแผนขั้นสุดท้ายเพื่อวัดใจเจ้าชายผู้มีรักแท้

เจ้าหญิงทรงแกล้งร้องไห้โอดครวญให้เจ้าชายที่อยู่บนปากเหวลงมาช่วยพระองค์โดยเร็วที่สุด แน่นอน…เจ้าชายทั้งหลายทรงอยากช่วยเจ้าหญิงด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเจ้าชายทั้งหลายก้มลงไปมองในเหวลึกที่มืดมิดราวกับว่ามันเป็นหุบเหวไร้ก้น เจ้าชายแต่ละองค์ต่างก็จนใจและไม่มีใครคิดที่จะเสี่ยงปีนลงไปเพื่อช่วยเจ้าหญิงเลยแม้แต่คนเดียว

ในขณะที่เจ้าชายทั้งหลายยอมพ่ายแพ้ เจ้าชายหมีถักกลับตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ยื่นกิ่งอยู่เหนือกึ่งกลางของปากเหว จากนั้น พระองค์ก็ใช้มือซ้ายกำกิ่งไม้ไว้แน่น พลางใช้มือขวาแก้ปมไหมที่ส่วนเท้าของตนเอง แล้วค่อย ๆ ปลดเส้นไหมพรมจากร่างของพระองค์ เพื่อหย่อนลงไปช่วยเจ้าหญิงที่พระองค์ทรงรักยิ่งชีวิต

เจ้าหญิงไม่รู้เลยว่า เส้นไหมพรมที่พระองค์ทรงใช้ไต่ขึ้นมาที่ปากเหวคือชีวิตของเจ้าชายผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยรัก

ทันทีที่เจ้าหญิงโผล่ขึ้นมายังพื้นดิน สิ่งที่เจ้าหญิงเห็นก็คือภาพของมือไหมพรมน้อย ๆ ที่เกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น…อย่างไม่มีวันปล่อย

เจ้าหญิงทรงร้องไห้และกอดเส้นไหมพรมเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความเสียใจอย่างที่สุด พระองค์ทรงเชื่อแล้วว่าเจ้าชายองค์นี้รักพระองค์ด้วยความจริงใจ แต่เจ้าหญิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แผนการของพระองค์จะทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหญิงเสียใจมากและคิดที่จะไม่ยอมให้อภัยตัวเองไปตลอดชั่วชีวิต

เรื่องราวทั้งหมดเกือบจะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่โชคยังดี…เพราะเมื่อน้ำตาของเจ้าหญิงสัมผัสกับเส้นไหมพรมสีน้ำตาลของเจ้าชายหมีถัก ปาฏิหาริย์แห่งความรักที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น! เส้นไหมพรมทั้งหมดค่อย ๆ รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมีแสงสว่างวูบวาบตลอดเวลาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ และหลังจากที่เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เจ้าชายหมีถักก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่คราวนี้ พระองค์ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมอีกแล้ว เจ้าชายหมีถักกลายสภาพเป็นเจ้าชายรูปงามด้วยอานุภาพแห่งความรักที่แท้จริง

เจ้าหญิงทรงกล่าวคำขอโทษเจ้าชายด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าชายกลับไม่คิดติดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เจ้าชายทรงให้อภัยเจ้าหญิงทุก ๆ อย่าง และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหญิงและเจ้าชายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ช่วยกดแบนเนอร์โฆษณาต่าง ๆ ที่ขึ้นมาให้เห็น เพื่อทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

Posted in #นิทานอมตะ, นิทานกริมม์, นิทานสอนใจ

เจ้าชายติ๋มติ๋ม – นิทานกริมส์ The Queen Bee ฉบับเรียบเรียงใหม่

นิทานเรื่อง The Queen Bee หรือที่รู้จักกันว่า “ราชินีผึ้ง” เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ (Grimm’s Fairy Tales) ที่ถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมส์ในศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดเรื่อง “ความอ่อนโยน เมตตา และความนอบน้อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของความกล้าหาญที่มักถูกยกย่องในนิทานยุโรปโบราณ จุดเด่นของเรื่องคือการที่ตัวละครเอก ไม่ได้ใช้กำลังหรือความห้าวหาญเอาชนะอุปสรรค แต่กลับใช้หัวใจที่อ่อนโยนต่อสัตว์และสิ่งเล็กน้อยรอบตัว จนได้รับความช่วยเหลือและสามารถแก้คำสาปได้สำเร็จ

นิทานกริมส์หลายเรื่องถูกเล่าในโครงสร้างคล้ายกัน เช่น The Golden Goose (ห่านทองคำ), The Three Feathers (ขนนกสามเส้น) หรือ The Simpleton (เจ้าชายซื่อ) ซึ่งล้วนสะท้อนมุมมองว่า “คนที่ดูอ่อนแอหรือถูกมองข้าม” มักจะเป็นผู้ไขปริศนาหรือทำภารกิจสำเร็จ เรื่องเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบของ “นิทานอมตะ” ที่คนทั่วโลกจดจำ เพราะนอกจากจะมีความแฟนตาซีและปริศนาแล้ว ยังให้ข้อคิดเรื่องความดีงามที่ซ่อนอยู่ในตัวคนธรรมดา

ในเวอร์ชันเรียบเรียงใหม่ เว็บไซต์ นิทานนำบุญ พยายามคงโครงเรื่องและอารมณ์ตามต้นฉบับเดิมไว้ แต่เพิ่มการตีความใหม่ให้สอดคล้องกับภาษาและวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่น แต่เดิมในฉบับแปลไทยมักใช้คำว่า “เจ้าชายซื่อ” แต่ในการตีความครั้งนี้เลือกใช้คำว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ” เพราะคำว่า “ติ๋ม ๆ” ในภาษาไทยสื่อถึงคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน ไม่โลดโผน และอาจถูกมองว่าเชื่องช้า ไม่ทันคน แต่แท้จริงแล้วสะท้อนบุคลิกที่สงบและเมตตา ซึ่งสอดคล้องกับแก่นแท้ของนิทานกริมส์เรื่องนี้มากกว่า การเรียบเรียงใหม่จึงไม่ใช่เพียงการแปลแบบตรงตัว แต่เป็นการ “ทำความเข้าใจ” ความหมายดั้งเดิม และถ่ายทอดออกมาในแบบที่ผู้อ่านชาวไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระโอรสอยู่สามพระองค์ เจ้าชายองค์โตเป็นคนห้าวหาญและชอบความท้าทาย เจ้าชายองค์รองมีนิสัยคล้ายพี่ชาย คือ ชอบผจญภัยและไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนเจ้าชายองค์เล็กกลับมีนิสัยที่แตกต่าง คือพระองค์เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน และมีจิตใจเมตตาต่อสัตว์ จนผู้คนแอบตั้งสมญาให้เจ้าชายว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ”

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายองค์โตกับเจ้าชายองค์รองทรงออกเดินทางเพื่อผจญภัย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติแต่การเดินทางนี้ ทั้งคู่หายไปนานโดยไม่ส่งข่าวกลับมา ทำให้พระราชาทรงเป็นกังวล พระราชาจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายองค์เล็กออกติดตาม

เมื่อเหล่าเสนาบดีได้ทราบพระบัญชา เสนาบดีต่างก็ซุบซิบกันว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ คงไม่มีทางตามตัวพี่ชายทั้งสองได้แน่ หนำซ้ำยังอาจเอาตัวไม่รอดจากป่า”

แม้เจ้าชายองค์เล็กจะได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่พระองค์ก็ไม่เสียกำลังใจ เพราะพระองค์เชื่อว่า เจ้าชายที่มีนิสัยอย่างพระองค์ก็สามารถทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ไม่ต่างจากคนอื่น

เจ้าชายองค์เล็กออกเดินทางโดยใช้ความกล้าหาญ ความอ่อนน้อม และหัวใจที่ดีงามเป็นเกราะคุ้มครองตัว พระองค์เลือกเดินตามเส้นทางที่พี่ชายเคยเปรยไว้ และค่อย ๆ สอบถามชาวบ้านด้วยความสุภาพ คำพูดที่อ่อนโยนและสายตาที่จริงใจ ทำให้ผู้คนยินดีให้เบาะแส จนพระองค์ตามตัวพี่ชายทั้งสองได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์รองเห็นน้องเล็กตามมา ต่างก็ประหลาดใจ แต่ลึก ๆ แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็แอบภูมิใจในตัวน้อง ครั้นเมื่อเจ้าชายองค์เล็กขอให้พี่ทั้งสองรีบกลับวังตามพระบัญชา พี่ชายทั้งสองได้บอกว่า ยังมีภารกิจที่ปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งอยากทำมาก ๆ หากทำสำเร็จแล้วก็จะกลับแต่โดยดี

เจ้าชายองค์เล็กเห็นว่าคงพาพี่ชายกลับวังในทันทีไม่ได้ จึงขอติดตามไปด้วย โดยตั้งใจที่จะเตือนให้พี่ชายกลับวังเมื่อภารกิจสิ้นสุด

เจ้าชายองค์โตและองค์รองไม่ขัดข้องที่น้องเล็กจะร่วมเดินทาง แต่ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเจ้าชายองค์เล็กอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็แกล้งถามว่า “เจ้าจะกลัวเสียงนกกลางคืนไหม” บางครั้งก็แกล้งให้เดินนำในทางรก เจ้าชายองค์เล็กไม่โต้ตอบ ได้แต่ยิ้มและเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ เพราะพระองค์รู้ดีว่า พี่ชายทั้งสองหยอกพระองค์ด้วยความรัก

วันหนึ่ง เจ้าชายทั้งสามเดินผ่านเนินดินที่มีฝูงมดตัวเล็ก ๆ กำลังขนไข่ของพวกมันอย่างขะมักเขม้นเจ้าชายองค์โตหัวเราะแล้วพูดว่า “ลองเหยียบรังมันดูสิ จะได้เห็นพวกมันวิ่งกันวุ่น” เจ้าชายองค์เล็กรีบยกมือห้าม “อย่ารบกวนพวกมันเลย ปล่อยให้พวกมันอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์โตชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้น ก็ยอมเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังมด

อีกวันหนึ่ง พวกเขาเดินผ่านทะเลสาบที่เงียบสงบ มีฝูงเป็ดว่ายน้ำอย่างสบายใจ เจ้าชายองค์รองพูดขึ้นว่า “จับมาสักสองตัวไปย่างกินกันเถอะ” เจ้าชายองค์เล็กส่ายหน้า “อย่าฆ่าพวกมันเลย ให้พวกมันว่ายน้ำอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์รองถอนใจ “เจ้าช่างอ่อนโยนเกินไป” แต่ก็ยอมถอยห่างจากฝูงเป็ด

เมื่อเดินทางต่อไปอีก เจ้าชายทั้งสามก็พบต้นไม้ใหญ่ที่มีรังผึ้งอยู่เต็มโพรง น้ำผึ้งไหลลงมาตามลำต้นจนชวนให้ลิ้มลอง เจ้าชายองค์โตพูดขึ้นว่า “จุดไฟรมควันเถอะ จะได้เอาน้ำผึ้งมากิน” แต่เจ้าชายองค์เล็กยืนขวาง “อย่าทำลายบ้านของพวกมันเลย ปล่อยให้ผึ้งอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายทั้งสองมองหน้ากันอย่างเสียดาย แต่ก็วางไฟลง และเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังผึ้ง

เมื่อเจ้าชายทั้งสามเดินทางมาถึงปราสาทกลางหุบเขา ซึ่งเป็นจุดหมายของเจ้าชายองค์โตและองค์รอง พวกเขายืนอยู่หน้าประตูหินสูงใหญ่ที่ปิดสนิท เจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์ทรงร้องตะโกนเรียกให้ผู้ที่อยู่ด้านในเปิดประตูด้วยน้ำเสียงห้าวหาญราวกับเป็นการออกคำสั่ง แต่ไม่ว่าเจ้าชายจะตะโกนดังสักเพียงใด ประตูก็ยังคงปิดอยู่เช่นนั้น เจ้าชายองค์เล็กจึงก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ขออภัยเถิด หากเป็นไปได้ พวกเราอยากขอเข้าไปพักในปราสาทได้ไหม” เสียงพูดที่นอบน้อมของเจ้าชายองค์เล็กไม่ได้ดังมากนัก แต่มันกลับก้องกังวาลอยู่ในความเงียบ และเพียงครู่เดียว ประตูปราสาทก็ค่อย ๆ เปิดออก

ทันทีที่ประตูเปิด เจ้าชายทั้งสามก็เห็นชายชราร่างเล็กนั่งอยู่ในห้องโถงตามลำพัง ชายชราไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำเจ้าชายทั้งสามไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้อย่างเรียบง่าย และหลังอาหาร ชายชราก็พาเจ้าชายแต่ละพระองค์ไปยังห้องพักโดยไม่เอ่ยคำใด

เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชราพาเจ้าชายทั้งสามไปยังลานหินหน้าปราสาท ที่นั่นมีแผ่นหินสลักข้อความไว้ว่า “ผู้ใดต้องการถอนคำสาปของปราสาทนี้ ต้องทำภารกิจสามอย่างให้สำเร็จ หากล้มเหลว จะถูกสาปให้กลายเป็นหิน” ชายชราอธิบายเงื่อนไขอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้อหนึ่ง จงเก็บไข่มุกพันเม็ดในป่าให้ครบก่อนพระอาทิตย์ตก ข้อสอง จงนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ ข้อสาม จงเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงจากเจ้าหญิงสามองค์ที่หน้าตาเหมือนกัน ผู้ที่เข้าร่วมในภารกิจเหล่านี้ หากทำสำเร็จก็จะได้รับรางวัล แต่หากทำไม่สำเร็จ ก็จะถูกสาปให้กลายเป็นหินตลอดกาล”

เจ้าชายองค์โตเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยาก จึงตัดสินใจทำภารกิจแรก โดยพระองค์ออกเดินเข้าไปในป่าอย่างมั่นใจ แต่เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์กลับเก็บไข่มุกได้เพียงหนึ่งร้อยเม็ดเท่านั้น ร่างของพระองค์จึงแข็งทื่อ และกลายเป็นหินอยู่กลางป่า

เจ้าชายองค์รองอยากช่วยพี่ชาย วันต่อมา เจ้าชายองค์รองจึงขอลองทำภารกิจเดียวกัน ซึ่งเมื่อพระองค์ออกไปค้นหาไข่มุก และพยายามเร่งมืออย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุด เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พระองค์ก็ยังทำไม่สำเร็จ ร่างของพระองค์จึงกลายเป็นหินอยู่ข้างพี่ชาย

เจ้าชายองค์เล็กมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร วันต่อมา พระองค์ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ คิดว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำภารกิจได้สำเร็จเพื่อที่จะช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากการกลายเป็นหินได้ แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ ๆ ฝูงมดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็กรูกันออกมา พวกมันช่วยกันค้นหาไข่มุกอย่างขะมักเขม้น มดตัวเล็ก ๆ วิ่งไปทั่วพื้นป่า คาบไข่มุกทีละเม็ดมาวางรวมกัน และก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เจ้าชายก็ได้ไข่มุกจำนวนหนึ่งพันเม็ดโดยที่พระองค์ไม่ต้องออกแรงเลย

หลังจากภารกิจแรกสำเร็จ วันต่อมา เจ้าชายองค์เล็กได้ไปยังทะเลสาบใสกลางหุบเขาเพื่อทำภารกิจที่สองคือ การนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ เมื่อไปถึงทะเลสาป เจ้าชายยืนครุ่นคิดหาวิธีเก็บกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบอยู่เงียบ ๆ แต่ทันใดนั้นเอง ฝูงเป็ดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็ว่ายน้ำเข้ามา จากนั้น พวกมันก็ผลัดกันดำน้ำอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุด เป็ดตัวหนึ่งก็พบกุญแจทองคำ และนำขึ้นมาให้เจ้าชาย

หลังจากเจ้าชายนำกุญแจทองคำไปไขหีบสมบัติที่ปราสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายชราก็พาเจ้าชายองค์เล็กไปยังห้องลับของปราสาท ซึ่งที่นั่นมีเจ้าหญิงสามองค์นอนหลับอยู่บนเตียงเรียงกัน และใบหน้าของเจ้าหญิงทั้งสามก็เหมือนกันทุกประการ ภารกิจสุดท้ายที่เจ้าชายต้องทำก็คือ การเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงให้ถูกต้อง ถ้าหากเลือกผิด ทุกสิ่งที่เจ้าชายทำมาก็จะสูญเปล่า

เจ้าชายองค์เล็กยืนลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก่อนที่เจ้าชายจะต้องตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีผึ้งตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องลับแห่งนั้น แล้วค่อย ๆ โบยบินไปเกาะลงที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง เหมือนจงใจที่จะบอกให้เจ้าชายได้รู้ว่าใครคือเจ้าหญิงตัวจริง

เจ้าชายองค์เล็กมองผึ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น จากนั้น พระองค์ก็ชี้ไปยังเจ้าหญิงตามที่ผึ้งบอกใบ้

ทันใดนั้น ประกายแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นในห้อง แล้วเจ้าหญิงทั้งสามก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ส่วนเจ้าชายทั้งสององค์ที่กลายเป็นหินก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จ ปราสาทที่เคยเงียบงันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แสงสว่างสาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง เสียงหัวเราะของผู้คนเริ่มกลับมา และดอกไม้ในสวนก็ผลิบานรับแสงอรุณ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จและสามารถช่วยพี่ชายทั้งสองได้ เจ้าชายทั้งสามก็พากันเดินทางกลับสู่พระราชวังทันที

เมื่อเจ้าชายทั้งสามกลับถึงพระราชวัง พระราชาทรงดีใจมาก และยิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ทราบว่า เจ้าชายองค์เล็กที่หลายคนมองว่าเป็นเจ้าชายติ๋มติ๋ม แต่พระองค์คือผู้ที่ทำภารกิจสำคัญได้สำเร็จ ทั้งยังเป็นผู้ที่ช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากอันตราย พระราชามีรับสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองทั่วทั้งแผ่นดิน

ตั้งจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าชายองค์เล็กก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในแผ่นดิน และบุคลิกของพระองค์ก็ทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของคนที่อ่อนโยนไม่แพ้คนที่มีความห้าวหาญ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความอ่อนโยนและเมตตา อาจนำมาซึ่งพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าความแข็งแกร่ง
  • อย่าดูถูกคนที่ดูเรียบง่ายหรือไม่โดดเด่น เพราะพวกเขาอาจทำสิ่งสำคัญได้
  • การช่วยเหลือสิ่งเล็กน้อยในวันนี้ อาจกลายเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่ในวันหน้า
  • ความดี ความสุภาพ และความจริงใจ คือกุญแจไขปริศนาและอุปสรรคทั้งปวง


Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานยุโรป, นิทานเด็ก

เจ้าชาย Boots ปราบยักษ์ : นิทานพื้นบ้านนอร์เวย์

นิทานเรื่อง “Jetten uten hjerte” เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านนอร์เวย์ที่ทรงคุณค่าที่สุดของชาวนอร์ส ถูกเก็บรวบรวมโดยนักเล่านิทานชื่อดังของนอร์เวย์คือ Peter Christen Asbjørnsen และ Jørgen Moe ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรวบรวมและเผยแพร่นิทานพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 ผ่านชุดนิทานชื่อ Norske Folkeeventyr

นิทานเรื่องนี้ในเวอร์ชันต้นฉบับของนอร์เวย์ มีจุดเด่นที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและปรัชญาชีวิตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “การตอบแทนความดี” ผ่านสัตว์ที่เจ้าชาย Boots เคยช่วยไว้ (อีกา ปลาแซลมอน และหมาป่า) ซึ่งต่อมาได้กลับมาช่วยเหลือเจ้าชายในยามคับขัน นอกจากนี้ ยังจะเห็นได้ว่า เจ้าชายไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการฝ่าฟันอุปสรรค แต่ใช้ความเมตตา ความกล้าหาญ และความเสียสละ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของชาวนอร์ส และท้ายที่สุด นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนคุณธรรมแบบนอร์สที่เน้นความรักต่อครอบครัว ความกล้าหาญ และการเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างงดงาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระโอรสเจ็ดพระองค์ พระราชารักลูกชายทั้งเจ็ดสุดหัวใจจนไม่อาจทนอยู่ได้โดยอยู่ไกลจากลูก ดังนั้น จึงต้องมีลูกชายอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่เคียงข้างเสมอ

เมื่อเจ้าชายทั้งเจ็ดเติบโตขึ้น พระราชาจึงอนุญาตให้เจ้าชายหกพระองค์ออกเดินทางเพื่อไปหาคู่ครอง ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้อง พระราชาทรงขอให้อยู่ที่วัง และสั่งให้พี่ชายทั้งหกหาเจ้าหญิงกลับมาให้เขา

เจ้าชายทั้งหกออกจากวังไปได้สักพัก ก็มีข่าวเล่าลือว่า เจ้าชายทั้งหกถูกยักษ์จับและสาปให้กลายเป็นหิน พระราชาทรงเป็นห่วงลูกชายทั้งหกมาก ในที่สุด พระราชาจึงขอให้เจ้าชายองค์สุดท้องออกเดินทางไปช่วยพี่ ๆ

เมื่อเจ้าชายองค์สุดท้องซึ่งมีชื่อว่า Boots (บู๊ท) ได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ออกเดินทางตามหาพี่ชายทั้งหก ม้าที่เหลืออยู่ในวังก็มีแค่ม้าแก่ ๆ ที่โรยแรงและใกล้หมดสภาพ แต่เจ้าชายบู๊ทไม่ได้ใส่ใจ เขาอยากไปช่วยพี่ ๆ เขาจึงกระโดดขึ้นขี่ม้าตัวนั้น แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันจะกลับมาแน่นอน และจะพาพี่ชายทั้งหกกลับมาด้วย!”

ระหว่างทางเจ้าชายบู๊ทพบอีกาที่หิวโซจนบินไม่ไหว มันร้องขออาหาร เจ้าชายบู๊ทจึงตอบไปว่า “ข้าไม่มีอาหารมากนัก แต่ข้าจะมอบอาหารให้เจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าต้องการมันจริง ๆ” เจ้าชายบู๊ท มอบอาหารทั้งหมดให้อีกา ส่วนอีกาก็สัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

ต่อมาเจ้าชายบู๊ทพบปลาแซลมอนตัวใหญ่พลัดติดอยู่บนพื้นแห้ง มันดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง “ช่วยพาข้ากลับลงน้ำด้วยเถิด แล้วข้าจะช่วยเจ้าในยามจำเป็น” เจ้าชายบู๊ทสงสาร จึงช่วยนำปลาแซลมอนกลับลงน้ำ ปลาแซลมอนจึงเอ่ยปากสัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

หลังจากนั้น เจ้าชายบู๊ทก็เดินทางต่อไปอีกสักพัก และพบหมาป่าที่หิวโซจนหมดแรง เมื่อหมาป่าเห็นเจ้าชาย มันจึงพูดขึ้นว่า “ขอม้าของท่านได้ไหม ข้าหิวจนลมพัดผ่านซี่โครงได้แล้ว”

เจ้าชายบู๊ทตอบว่า “ข้าให้อาหารอีกาจนหมด แถมช่วยปลาแซลมอนกลับลงน้ำ และตอนนี้เจ้าจะเอาม้าของข้าอีกเหรอ ข้าจะไม่มีอะไรเหลือเลยนะ”

แต่หมาป่ากล่าวว่า “ข้าสัญญาว่าจะให้ท่านขี่หลังข้าแทน และข้าจะช่วยเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

เจ้าชายบู๊ทสงสารหมาป่า และเห็นว่าม้าชราจนใกล้สิ้นอายุขัย เจ้าชายจึงมอบม้าให้หมาป่าใช้ประทังชีวิต

ครั้นเมื่อหมาป่ากลับมามีเรี่ยวแรง เจ้าชายขอให้หมาป่าพาไปหาพี่ชายทัังหกที่ปราสาทของยักษ์ หมาป่ามีความรอบรู้เรื่องราวในป่า มันจึงให้เจ้าชายบู๊ทนั่งบนหลัง แล้ววิ่งไปยังปราสาทของยักษ์อย่างรวดเร็วราวกับสายลม

หลังจากหมาป่าพาเจ้าชายบู๊ทเดินทางมาได้พักใหญ่ ในที่สุด มันก็หยุดและกล่าวว่า “ดูนั่นสิ นั่นคือปราสาทของเจ้ายักษ์ และนั่นคือพี่ชายทั้งหกของท่านที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน”

เจ้าชายบู๊ทมองไปยังลานหน้าปราสาท พระองค์เห็นรูปปั้นหินของชายหนุ่มหกคนยืนเรียงกันอยู่ พวกเขาคือพี่ชายทั้งหกของเจ้าชายจริง ๆ และข้าง ๆ คือเจ้าหญิงหกองค์ที่ถูกสาปเช่นกัน

เจ้าชายบู๊ทรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่พระองค์ไม่ยอมแพ้ หมาป่ากล่าวว่า “ท่านต้องเข้าไปในปราสาท และตามหาเจ้าหญิงที่ถูกกักขังอยู่ข้างใน เจ้าหญิงอาจช่วยท่านได้”

เจ้าชายบู๊ทลอบเข้าไปในปราสาท และพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เจ้าหญิงสะดุ้งเมื่อเห็นเขา แต่เมื่อเจ้าชายบู๊ทบอกว่าพระองค์มาเพื่อช่วยพี่ชายและจะช่วยเจ้าหญิงด้วย เจ้าหญิงจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถจัดการเจ้ายักษ์ได้หรอก เพราะมันไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย”

เจ้าชายบู๊ทตกใจ “ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกายงั้นหรือ?”

เจ้าหญิงพยักหน้า “ใช่ ยักษ์ซ่อนหัวใจของมันเอาไว้ที่อื่น และไม่มีใครรู้ว่ามันซ่อนหัวใจไว้ที่ไหน”

เจ้าชายบู๊ทจึงขอร้องให้เจ้าหญิงช่วยหาทางล้วงความลับจากยักษ์ให้ เจ้าหญิงตกลงจะช่วยเจ้าชายบู๊ท เมื่อยักษ์กลับมาถึงปราสาท เจ้าหญิงจึงแกล้งกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าฝันถึงท่านเมื่อคืน และในฝัน ข้าเห็นหัวใจของท่านอยู่ใต้ธรณีประตู”

ยักษ์หัวเราะเสียงดัง พลางคิดในใจว่า “โง่จริง ใครจะเอาหัวใจไปซ่อนไว้ตรงนั้น”

เจ้าหญิงแสร้งทำเป็นคนใสซื่อ วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยไว้ที่ธรณีประตู เมื่อยักษ์กลับมาอีกครั้ง มันถามว่า “เจ้าทำอะไร?” เจ้าหญิงตอบว่า “ข้าโปรยดอกไม้ไว้ตรงที่หัวใจของท่านอยู่ เพื่อให้มันมีความสุข”

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าก็ยังเชื่ออยู่นั่นเอง หัวใจของข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก มันอยู่ที่ตู้ในห้องนอนของข้า”

วันต่อมา เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยที่ตู้อีก เมื่อยักษ์เห็น ยักษ์จึงถามว่า “เจ้าทำอะไรอีกแล้ว?”

“ข้าอยากให้หัวใจของท่านมีความสุข” เจ้าหญิงตอบ

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง ข้าบอกเจ้าตามตรงนะ หัวใจของข้าอยู่ไกลจากที่นี่มาก มันอยู่ในไข่ ไข่อยู่ในเป็ด เป็ดอยู่ในบ่อน้ำใต้โบสถ์ บนเกาะกลางทะเลสาบที่ไม่มีใครหาเจอ”

เจ้าหญิงจำคำพูดนั้นไว้ และเมื่อยักษ์หลับ พระองค์จึงแอบไปบอกเจ้าชายบู๊ทถึงที่ซ่อนหัวใจของยักษ์

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ฟัง เจ้าชายก็ยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วพระองค์ก็รีบขี่หลังหมาป่าเพื่อออกเดินทางไปยังเกาะกลางทะเลสาบตามคำบอกของเจ้าหญิง

เมื่อหมาป่าพาเจ้าชายไปถึงเกาะ บนเกาะมีโบสถ์เก่าแก่ตั้งอยู่ และในโบสถ์ก็มีบ่อน้ำซึ่งมีเป็ดตัวหนึ่งว่ายน้ำอยู่ เมื่อเจ้าชายเห็นเช่นนั้น เจ้าชายบู๊ทจึงส่งสัญญาณเรียกอีกาที่พระองค์เคยช่วยไว้ให้มาหา จากนั้น เจ้าชายก็ขอให้อีกาช่วยบินเข้าไปในโบสถ์และนำกุญแจมาให้

เมื่อเจ้าชายเข้าไปในโบสถ์ได้ เจ้าชายก็เห็นเป็ดว่ายอยู่ในบ่อน้ำ เจ้าชายเพยายามจับเป็ดเพื่อเอาไข่ของเป็ดออกมาจากท้อง แต่เป็ดตกใจ จึงปล่อยไข่ออกมาทำให้ไข่จมลงไปที่ก้นบ่อน้ำซึ่งลึกมาก

เจ้าชายบู๊ทไม่สามารถดำน้ำลงไปเก็บไข่นั้นมาได้ พระองค์จึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากปลาแซลมอนที่พระองค์เคยช่วยไว้ เมื่อปลาแซลมอนรู้ว่าเจ้าชายต้องการความช่วยเหลือ มันจึงหาทางว่ายน้ำผ่านซอกหลืบต่าง ๆ จนเข้าไปถึงก้นบ่อน้ำ แล้วนำไข่ขึ้นมาให้เจ้าชายได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ไข่มา พระองค์จึงถามหมาป่าว่า “ข้าควรทำอย่างไร?”

หมาป่าผู้รอบรู้จึงแนะนำว่า “บีบมัน”

เจ้าชายบู๊ทจึงบีบไข่เบา ๆ และทันใดนั้น ยักษ์ที่อยู่ในปราสาทก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงร้องของยักษ์ดังมาถึงโบสถ์ที่เจ้าชายยืนอยู่ หมาป่ารู้ในทันทีว่าในไข่มีหัวใจของยักษ์ซ่อนอยู่จริง ๆ มันจึงแนะนำเจ้าชายว่า “ขว้างไข่ลงที่พื้นให้ไข่แตก”

เมื่อเจ้าชายทำตามโดยขว้างไข่ลงที่พื้นจนไข่แตกกระจาย หัวใจของยักษ์ก็แตกสลายไปพร้อมกับร่างของมัน

เมื่อร่างของยักษ์ล้มลง พลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่มันใช้สาปเจ้าชายและเจ้าหญิงทุกพระองค์ก็สลายไปสิ้น พี่ชายทั้งหกของเจ้าชายบู๊ทและเจ้าหญิงทั้งหกจึงได้กลับคืนสู่ร่างปกติ ทุกคนต่างโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทกลับไปที่ปราสาทของยักษ์ เจ้าหญิงที่ช่วยเจ้าชายบู๊ทยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับเจ้าชายว่า “ท่านคือผู้กล้าที่ช่วยเหลือพวกเรา”

เจ้าชายบู๊ทตอบอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ คือทำเพื่อครอบครัวและทำเพื่อความยุติธรรม”

หลังจากเรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดลง เจ้าชายบู๊ทและพี่ชายทั้งหก พร้อมกับเจ้าหญิงทุกพระองค์เดินทางกลับสู่อาณาจักร เมื่อพระราชาเห็นลูกชายทั้งหมดกลับมาอย่างปลอดภัย พระองค์ก็ทรงหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ

“ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” พระราชาตรัสกับเจ้าชายบู๊ท

หลังจากนั้น พระราชาก็จัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ โดยเจ้าชายบู๊ทได้แต่งงานกับเจ้าหญิงที่พระองค์ช่วยไว้ และเจ้าชายทั้งหกก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงของตนเช่นกัน

และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน อาจกลายเป็นพลังช่วยชีวิตในยามคับขัน
  • ความกล้าหาญและความเสียสละ คือคุณสมบัติของผู้กล้าที่แท้จริง
  • สติปัญญาและไหวพริบสามารถเอาชนะพลังอำนาจที่ดูน่ากลัวได้
Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายนักปลูกดอกไม้

นิทานเรื่อง เจ้าชายนักปลูกดอกไม้

นานแสนนานมาแล้ว  ณ ดินแดนกลางผืนน้ำซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรแห่งหนึ่ง ยังมีเจ้าชายองค์น้อยพระองค์หนึ่งทรงเป็นเจ้าชายที่อ่อนโยนและรักการปลูกดอกไม้มาก

ทุกวัน  เจ้าชายจะตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อไปทักทายหมู่ผีเสื้อและดูแลสวนดอกไม้ที่พระองค์ทรงปลูกเอาไว้   เจ้าชายเชื่อว่าความงามของดอกไม้มีพลังที่สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงปลูกดอกไม้ชนิดต่าง ๆ จนเต็มสวนไปหมด  

อยู่มาวันหนึ่ง  เจ้าชายทรงคิดอยากมอบความสุขให้แก่ประชาชนของพระองค์  เจ้าชายจึงแอบออกจากวังเพื่อไปหาที่เหมาะ ๆ ในการปลูกดอกไม้  

แต่อนิจจา! เมื่อเจ้าชายเหยียบย่างเข้าไปในเมือง  เจ้าชายกลับพบภาพที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาเลยตลอดชั่วชีวิต  

เจ้าชายทรงเห็นเด็ก ๆ ร้องไห้ด้วยความหิวโหย   พระองค์ทรงพบผู้คนที่เอาเปรียบกัน เจ้าชายทรงเจอฝูงชนที่ทำร้ายกันจนเลือดตกยางออก  ซ้ำร้าย…พระองค์ยังเห็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุด นั่นก็คือภาพของผู้คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่สนใจใยดีเลยแม้สักนิด!

เจ้าชายทรงรู้สึกหดหู่ใจมากต่อสิ่งที่ได้พบ  พระองค์จึงรีบนำเรื่องไปหารือกับพระบิดาและเหล่าเสนาบดีผู้รอบรู้

เมื่อพระราชาและเหล่าเสนาบดีได้ฟังเรื่องที่เจ้าชายนำมาปรึกษา  ทุกคนจึงชี้แจงให้เจ้าชายทราบว่า ความยากจน, การเอารัดเอาเปรียบและการทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก  ผู้คนต่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้  และไม่มีใครสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมดาเหล่านี้ให้เป็นอื่นไปได้!

คำตอบที่เจ้าชายได้ฟังทำให้พระองค์ผิดหวังมาก เพราะแม้ว่าสิ่งที่เจ้าชายได้พบจะเป็นเรื่องจริง  แต่มันก็เป็นความจริงที่โหดร้ายเกินกว่าที่ผู้คนพึงจะยอมรับ  ด้วยเหตุนี้เอง  เจ้าชายจึงตัดสินใจทำเรื่องไม่ธรรมดาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนกล้าทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้!

เจ้าชายเริ่มแผนของพระองค์โดยการขอร้องให้เหล่าผีเสื้อในสวนดอกไม้ช่วยพาพระองค์ไปยังก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้า  

ทันทีที่ผีเสื้อได้ฟังคำขอร้องของเจ้าชาย  เหล่าผีเสื้อนับพัน ๆ ตัวก็พากันบินมาเกาะตามตัวของพระองค์ แล้วช่วยกันกระพือปีกจนเจ้าชายค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น 

เมื่อเหล่าผีเสื้อพาเจ้าชายไปถึงก้อนเมฆ  พวกมันก็ช่วยกันบินประคองให้เจ้าชายลอยนิ่งอยู่กับที่ เจ้าชายทรงมองเมฆซึ่งชุ่มชื้นไปด้วยละอองน้ำอย่างมีความหวัง  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงโปรยเมล็ดของดอกไม้จนทั่วไปทั้งผืนเมฆ

เมื่อเวลาผ่านไป  เจ้าชายทรงพบว่าการโปรยเมล็ดอย่างไม่เอาใจใส่ทำให้ต้นอ่อนของดอกไม้ไม่ยอมงอกออกมาทักทายพระองค์เลยแม้สักต้น  เจ้าชายจึงขอให้หมู่ผีเสื้อพาพระองค์ลงไปยืนบนปุยเมฆที่ทั้งนุ่มและทรงตัวได้ยาก แล้วพระองค์ก็ลงมือปลูกดอกไม้อีกครั้ง โดยคราวนี้เจ้าชายทรงพรวนเมฆจนร่วนซุย ก่อนที่จะบรรจงปลูกดอกไม้ด้วยความตั้งอกตั้งใจทีละเมล็ด

หลายคืนต่อมา  เมล็ดพืชที่ถูกปลูกด้วยความเอาใจใส่ก็ค่อย ๆ ขยับตัวกระดุ๊กกระดิ๊กและต้นอ่อนก็เริ่มงอกขึ้นมาจากเมล็ดเหล่านั้นอย่างช้า ๆ  

แต่น่าเสียดายเหลือเกิน  เมื่อต้นอ่อนของดอกไม้ที่แสนบอบบางสัมผัสเข้ากับแสงแดดที่จัดจ้า  พวกมันก็พาลอ่อนแรงลงและเหี่ยวเฉาตายไปจนหมดสิ้น

แม้ความพยายามของเจ้าชายจะล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สอง  แต่พระองค์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เจ้าชายทรงเลือกเมล็ดพืชชนิดใหม่ที่ทนแสงได้ดีกว่าเดิม  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงลงมือพรวนเมฆ   แล้วนำเมล็ดพืชที่คัดสรรลงปลูกในแปลงด้วยความรักความเอาใจใส่  

เพียงไม่กี่วัน  ต้นอ่อนของดอกไม้ก็งอกขึ้นมาจากปุยเมฆ  เจ้าชายทรงดีใจมาก  แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท  ตลอดทั้งวัน…พระองค์จึงทรงใช้ตัวเองยืนบังแสงแดดให้ต้นอ่อนของดอกไม้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันเฉาตายเพราะแสงอาทิตย์  ซึ่งเมื่อเจ้าชายทุ่มเทดูแลต้นอ่อนของดอกไม้อย่างเต็มที่   ในที่สุด  ดอกไม้แสนสวยก็เติบโตและปกคลุมผืนเมฆจนทั่วไปหมด

เมื่อก้อนเมฆเต็มไปด้วยดอกไม้  มันจึงลอยต่ำลงและส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งอาณาจักร  ชาวเมืองต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นสวนดอกไม้ลอยอยู่เหนืออาณาจักรของพวกเขา  แต่เมื่อเมฆลอยต่ำลงมาอีก  พวกเขาก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้น เพราะผู้ที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆก็คือเจ้าชายองค์น้อยของพวกเขานั่นเอง

ทันทีที่พระราชาและเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ได้เห็นเรื่องเกินฝันที่เจ้าชายทรงกระทำ  ทุกคนก็เกิดแรงบันดาลใจอยากทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมาบ้าง 

ฝ่ายผู้คนในอาณาจักรที่เคยชาชินกับเรื่องธรรมดาอันเลวร้าย  มาบัดนี้…พวกเขาก็เกิดความกล้าที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้นเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาดีงามและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

เมื่อทุก ๆ คนร่วมมือร่วมใจกัน  ท้ายที่สุด  พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมดาอันเลวร้ายให้กลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ดีงามได้เป็นผลสำเร็จ

เจ้าชายองค์น้อยทรงดีใจมากที่ความพยายามปลูกดอกไม้บนก้อนเมฆของพระองค์ช่วยทำให้อาณาจักรธรรมดาที่พระองค์รักแสนรักกลายเป็นอาณาจักรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข 

ส่วนพระราชา, เหล่าเสนาบดีและประชาชนทุกคนต่างก็รู้สึกชื่นชมเจ้าชายองค์น้อยที่นอกจากพระองค์จะปลูกดอกไม้บนก้อนเมฆได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว  พระองค์ยังได้ปลูกดอกไม้ที่แสนวิเศษในหัวใจของพวกเขาอีกด้วย

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายใฝ่ทำดี

ในสมัยที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ทำหนังสือรวมนิทานเล่มแรกเพื่อจำหน่ายในชื่อหนังสือ “นิทานเจ้าชาย นิยายเจ้าหญิง” นิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าชายใฝ่ทำดี เป็นนิทานก่อนนอนเรื่องสั้น ๆ เรื่องแรก ที่ผมเลือกนำมาพิมพ์ โดยจัดเรียงให้อยู่เป็นนิทานเรื่องที่หนึ่งของหนังสือเล่มนั้น ทำไมนิทานเรื่องนี้จึงได้รับเลือกให้เป็นนิทานในเล่มและเป็นนิทานเรื่องแรก คำตอบก็คือ นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่มีข้อคิดสอนใจที่ดีสำหรับเด็กทุกคน ทั้งที่เรียนเก่งและเรียนไม่เก่ง ส่วนเนื้อเรื่องถือว่ามีความสนุกพอที่จะใช้เป็นนิทานเรื่องแรกของเล่ม และเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายคล้ายเป็นนิทานอุ่นเครื่องก่อนที่จะอ่านนิทานเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ผมหวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่ถูกใจทุก ๆ คนนะครับ

นิทานเรื่อง  เจ้าชายใฝ่ทำดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่า “อาณาจักรเชฟ”   พระราชาผู้ครองนครแห่งนี้ทรงเป็นพระราชาผู้เก่งกาจ  ส่วนพระราชินีก็เป็นพระราชินีที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา   ด้วยเหตุนี้  ผู้คนชาวเชฟจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยความสุข

เมื่อพระราชินีทรงให้กำเนิดพระโอรส  ไพร่ฟ้าประชาชนจึงพากันคาดหวังว่า  เจ้าชายองค์น้อยจะเติบโตขึ้นเป็นเจ้าชายผู้ชาญฉลาดและมีความสามารถไม่แพ้พระบิดา   แต่หลังจากที่เจ้าชายเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน   ความหวังของประชาชนก็ค่อย ๆ ริบหรี่ลง  เพราะเจ้าชายทรงไม่แตกฉานในด้านการศึกษา  โดยพระองค์มักจะสอบได้เป็นที่สุดท้ายของห้องอยู่เสมอ ๆ

 ข่าวคราวความไม่เอาถ่านของเจ้าชายทำให้พระราชาแห่งเมืองต่าง ๆ ที่เคยพ่ายแพ้ต่อพระราชาแห่งอาณาจักรเชฟเริ่มมีความหวัง  พระราชาแห่งเมืองต่าง ๆ พากันสะสมกำลังพลและเฝ้ารอวันที่เจ้าชายจะขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระบิดา  โดยพระราชาที่คิดร้ายเหล่านั้นต่างมีความเห็นคล้าย ๆ กันว่า  การเอาชนะเจ้าชายผู้โง่เขลาคงทำได้ง่ายกว่าการเอาชนะพระบิดาซึ่งเป็นพระราชาที่ทรงปรีชาสามารถ

ชาวเมืองเชฟพากันหวาดหวั่นเมื่อทราบข่าวการสะสมกำลังพลของฝ่ายศัตรู   ส่วนตัวเจ้าชายเองก็ทรงตระหนักดีถึงภาระที่พระองค์ต้องแบกรับเอาไว้   การเป็นเจ้าชายที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และมันก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากขึ้นไปอีก  เมื่อทุก ๆ คนต่างคาดหวังให้เจ้าชายดีเลิศเช่นเดียวกับพระบิดาของพระองค์   เจ้าชายทรงกลุ้มพระทัยมาก  ดังนั้น   พระองค์จึงนำเรื่องไปปรึกษาพระมารดาที่พระองค์รักแสนรัก

พระราชินีทรงเห็นใจพระโอรสมาก  พระองค์ไม่อยากให้เจ้าชายต้องทุกข์ใจอยู่เช่นนี้   พระราชินีจึงปลอบเจ้าชายว่า  “แม้ความรู้จะเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ความดีเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า   แม่รู้ว่าลูกของแม่เรียนหนังสือไม่เก่ง  แต่ลูกของแม่ก็มีสิ่งวิเศษติดตัวอยู่  นั่นก็คือ…ลูกเป็นเด็กที่มีจิตใจงดงาม  ซึ่งแม่เชื่อว่า หากลูกยึดมั่นในการทำดีต่อทุก ๆ คนเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ   ผลแห่งความดีก็จะทำให้ลูกสามารถดูแลชาวเมืองเชฟให้อยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างแน่นอน”

เจ้าชายไม่เข้าใจในคำพูดของพระมารดามากนัก  แต่พระองค์ก็ทรงเชื่อและพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำของพระมารดาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง  นับจากวันนั้น  เจ้าชายจึงตั้งใจที่จะทำดีต่อคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงเป็นเพื่อนที่ดีของมิตรสหาย  ทรงมีน้ำใจต่อข้าราชบริพาร  รวมทั้งยังคอยเอาใจใส่และช่วยเหลือประชาชนของพระองค์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย   เจ้าชายทรงทำดีต่อทุก ๆ คนอย่างสม่ำเสมอ (เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเรียนหนังสือไม่เก่งอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง)  และเมื่อถึงวันที่พระองค์ต้องขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา  สิ่งที่ทุก ๆ คนคาดการณ์เอาไว้ก็เกิดขึ้น

กองทัพข้าศึกจากเมืองต่าง ๆ บุกตรงมายังอาณาจักรเชฟทันทีที่ทราบข่าวการขึ้นครองราชย์ของเจ้าชาย   กองทัพฝ่ายข้าศึกต่างมั่นใจว่า พวกเขาจะสามารถเอาชนะเจ้าชายที่เรียนหนังสือไม่เก่งพระองค์นี้ได้อย่างไม่มีปัญหา   แต่แล้ว…สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น  เพราะความดีที่เจ้าชายทรงกระทำต่อทุก ๆ คน กลับผูกใจให้เพื่อน ๆ ที่เก่งกาจในวิชาต่าง ๆ อาสามาช่วยพระองค์ดูแลประเทศให้เข้มแข็ง  ในขณะเดียวกัน ข้าราชการ ทหารและประชาชนต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันสนับสนุนพระราชาองค์ใหม่ผู้เป็นที่รักของพวกเขา   ด้วยเหตุนี้  เมื่อกองทัพของเหล่าข้าศึกบุกเข้าประชิดเมือง  กองทัพแห่งอาณาจักเชพจึงสามารถต้านทานและปกป้องอาณาจักเชฟเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ในที่สุด  คำพูดของพระราชินีก็ได้รับการพิสูจน์  แม้ความรู้จะเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ความดีกลับเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า   เจ้าชายทรงประจักษ์ในคำพูดของพระมารดาอย่างชัดแจ้ง   และพระองค์ก็ทรงยึดมั่นในการทำดีต่อทุก ๆ คนสืบมา…ตลอดชั่วรัชกาลอันเปี่ยมสุขของพระองค์

#นิทานนำบุญ

………………………………..