Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานความรัก, นิทานตลกก่อนนอน, นิทานเชคสเปียร์

ราตรีลวงใจ (Twelfth Night) : นิทานความรัก ความลวง ตลกโรแมนติกจากเชคสเปียร์

Twelfth Night หรือชื่อเต็มว่า Twelfth Night, or What You Will คือบทละครแนวตลกโรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1601–1602 เพื่อแสดงในช่วงเทศกาลฉลองหลังคริสต์มาส โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปลอมตัว ความรักที่ซับซ้อน และความเข้าใจผิดอันแสนสนุก

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง Twelfth Night ว่าเป็นหนึ่งในบทละครที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเชคสเปียร์ในการสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวาและซับซ้อน โดยเฉพาะไวโอลา (Viola) ซึ่งปลอมตัวเป็นชายเพื่อเอาตัวรอด และกลายเป็นศูนย์กลางของความรักที่พันกันอย่างน่าทึ่ง บทละครเรื่องนี้ยังสะท้อนประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ ความเท่าเทียม และการให้อภัยอย่างงดงาม จึงเป็นที่นิยมทั้งในวงการละครเวทีและการศึกษาวรรณกรรมทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Twelfth Night – Project Gutenberg

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวชื่อไวโอลา (Viola) และเซบาสเตียน (Sebastian) ซึ่งเป็นฝาแฝด พวกเขารักกันมากและเดินทางร่วมกันบนเรือลำหนึ่งที่แล่นข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่ง พายุใหญ่ก็พัดกระหน่ำจนเรือแตกกลางทะเล

ไวโอลารอดชีวิตมาได้โดยมีชาวประมงช่วยพาขึ้นฝั่งที่เมืองอิลลีเรีย (Illyria) นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะคิดว่าเซบาสเตียนพี่ชายของตนจมน้ำไปแล้ว

“ข้าคงเหลือตัวคนเดียวในโลกนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตนเองขณะมองทะเลที่เงียบงัน

…….

เมืองอิลลีเรียมีผู้ปกครองคือ ดยุก ออร์ซิโน (Duke Orsino) ขุนนางผู้สูงศักดิ์และมีชื่อเสียง เขาเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความรักและความฝัน เขาหลงรักหญิงสาวชื่อเลดี้โอลิเวีย (Lady Olivia) ซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ผู้เพิ่งสูญเสียพี่ชาย และยังไม่เปิดใจรับรักใคร

“ข้ารักนาง…แต่ดูเหมือนนางไม่เคยเห็นข้าเลย” ดยุกออร์ซิโนกล่าวกับข้ารับใช้

…….

ไวโอลาได้ยินเรื่องราวของ ดยุก ออร์ซิโน และรู้ว่านางไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองนี้ในฐานะหญิงสาวได้อย่างปลอดภัย นางจึงตัดสินใจปลอมตัวเป็นชายหนุ่ม และตั้งชื่อใหม่ว่าเซซาริโอ (Cesario)

“ข้าจะเป็นข้ารับใช้ของ ดยุก ออร์ซิโน ข้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

……

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความอ่อนโยน ไวโอลาในนามเซซาริโอได้รับความไว้วางใจจากดยุกออร์ซิโนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้สนิทที่ดยุกใช้ให้ไปส่งสารรักถึงเลดี้โอลิเวีย

“เจ้ามีถ้อยคำที่อ่อนโยน…จงไปพูดแทนข้าเถิด” ดยุกกล่าว

ไวโอลาแม้จะเจ็บปวดในใจ เพราะนางเริ่มหลงรักดยุกออร์ซิโน แต่ก็ยอมทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

……..

เมื่อเซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลาในร่างชายหนุ่ม ไปส่งสารรักจาก ดยุก ออร์ซิโน ถึงเลดี้โอลิเวีย นางกลับรู้สึกประหลาดใจกับความอ่อนโยนและความจริงใจของผู้ส่งสารมากกว่าคำพูดของ ดยุก

“เจ้าพูดได้นุ่มนวล…แต่แฝงความเศร้าในดวงตา” เลดี้โอลิเวียกล่าวขณะมองเซซาริโอ

ไวโอลาไม่กล้าสบตานางนานนัก เพราะรู้ดีว่าตนกำลังปลอมตัว และหัวใจของตนก็รัก ดยุก ออร์ซิโนอย่างสุดหัวใจ

“ข้าเพียงทำหน้าที่…ข้าไม่อาจพูดแทนหัวใจของข้าเอง” นางตอบเบาๆ

แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เลดี้โอลิเวียรู้สึกหวั่นไหว นางเริ่มหลงรักเซซาริโอ โดยไม่รู้เลยว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มจริงๆ

…….

“ข้าจะไม่รับรักจากดยุก…แต่ข้าจะส่งคนไปหาเซซาริโอแทน” นางกล่าวกับข้ารับใช้

……

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลา ซึ่งไม่ได้จมน้ำตามที่นางเข้าใจ กลับรอดชีวิตมาได้ และเดินทางมาถึงเมืองอิลลีเรียพร้อมกับอันโตนิโอ (Antonio) กะลาสีผู้ช่วยชีวิตเขา

“ข้าจะตามหาน้องสาวข้า…หากนางยังมีชีวิตอยู่” เซบาสเตียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น

อันโตนิโอเตือนว่าเมืองนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา เพราะเคยมีเรื่องกับทางการมาก่อน แต่เขายอมเสี่ยงเพื่อช่วยเซบาสเตียน

“ข้าจะอยู่ใกล้ๆ เจ้า…แม้จะต้องหลบซ่อนก็ตาม” เขากล่าว

เมื่อเซบาสเตียนเดินในเมือง ผู้คนต่างเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ เพราะทั้งสองเป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันอย่างมาก

ความเข้าใจผิดเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ และความรักก็เริ่มพันกันอย่างไม่อาจคลี่คลายได้ง่าย ๆ

……..

ในวันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ได้รับคำสั่งจาก ดยุก ออร์ซิโน ให้ไปส่งสารรักอีกครั้งถึงเลดี้โอลิเวีย เซซาริโอไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะทุกครั้งที่นางพูดแทนดยุก นางก็ยิ่งรักดยุก มากขึ้น

“ข้าพูดแทนท่าน…แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็มีหัวใจ” ไวโอลาพึมพำขณะเดินทางไปยังคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย

เมื่อเลดี้โอลิเวียเห็นเซซาริโออีกครั้ง นางยิ่งแน่ใจว่าตนหลงรักชายหนุ่มผู้นี้อย่างสุดหัวใจ แม้เขาจะพูดถึงความรักของดยุก แต่นางกลับมองเห็นความอ่อนโยนในดวงตาของเขา

“เจ้ามีหัวใจของตนเองหรือไม่…หรือเจ้าคือเงาของชายอื่น?” นางถามอย่างอ่อนโยน

ไวโอลานิ่งงัน นางไม่อาจตอบคำถามนั้นได้ เพราะความจริงของนางยังถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม

………

ในเวลาต่อมา ขณะที่เซบาสเตียนผู้เป็นพี่ชายของไวโอลา เดินเล่นอยู่ในเมืองอิลลีเรีย เขาบังเอิญพบกับเลดี้โอลิเวียโดยไม่รู้จักนางมาก่อน เลดี้โอลิเวียเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ และพูดกับเขาด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม

“ข้าไม่อาจรออีกแล้ว…เจ้าคือผู้ที่ข้ารัก” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

เซบาสเตียนตกใจ แต่ก็รู้สึกประทับใจในความจริงใจของนาง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยอมรับคำเชิญของนางอย่างสุภาพ

“ข้าไม่เข้าใจ…แต่ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธความเมตตาของเจ้า” เขาตอบ

ในเวลาไม่นาน เลดี้โอลิเวียก็ขอเซบาสเตียนแต่งงาน โดยนางยังเข้าใจว่าเขาคือเซซาริโอ ซึ่งเซบาสเตียนก็ตอบตกลงด้วยความเคารพ

“ข้าจะเป็นสามีของเจ้า…แม้ข้ายังไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงรักข้าเช่นนี้” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน

ความรักเริ่มเบ่งบาน แต่ความจริงยังคงซ่อนอยู่ และความเข้าใจผิดก็เริ่มพันกันแน่นขึ้นทุกขณะ

……..

วันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ถูกขอให้ไปพบเลดี้โอลิเวียอีกครั้ง ไวโอลาลังเล เพราะรู้ดีว่าหญิงผู้นั้นหลงรักตนโดยไม่รู้ความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของ ดยุก ออร์ซิโนได้

“ข้าจะไป…แม้หัวใจของข้าจะสับสน” นางกล่าวเบาๆ

เมื่อไปถึงคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย นางพบว่าเลดี้โอลิเวียมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางพูดถึงการแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน และเรียกเซซาริโอว่า “สามี”

ไวโอลาตกใจ “ข้าไม่เคยแต่งงานกับเจ้า…ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด”

เลดี้โอลิเวียเองก็สับสน “เจ้าคือชายที่ข้าแต่งงานด้วย…เจ้าคือเซซาริโอ”

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลาเดินเข้ามาในคฤหาสน์ และเมื่อทั้งสองฝาแฝดเผชิญหน้ากัน ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง

“เจ้าคือ…ข้า?” เซบาสเตียนถามอย่างงุนงง

ไวโอลาน้ำตาไหล “ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าอีก…ข้าคือไวโอลา…น้องสาวของเจ้า”

ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าเกิดความเข้าใจผิดจากการปลอมตัว แต่ความรักที่เบ่งบานนั้นเกิดจากความจริงใจ แม้จะมีเงาของความลวงซ้อนอยู่

ดยุก ออร์ซิโน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มองไวโอลาอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยตลอด…แม้ข้าจะไม่เคยเห็นเจ้าในร่างที่แท้จริง”

ไวโอลายิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารักท่าน…แม้ข้าจะต้องพูดแทนหัวใจของท่านทุกวัน”

…….

เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าเซซาริโอคือไวโอลา และชายที่เลดี้โอลิเวียแต่งงานด้วยคือเซบาสเตียนพี่ชายฝาแฝดของไวโอลา ทุกคนในเมืองอิลลีเรียต่างตกตะลึง แต่ก็เต็มไปด้วยความยินดี

ดยุก ออร์ซิโนมองไวโอลา แล้วพูดกับนางว่า “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยไม่รู้ตัว…เจ้าคือผู้ที่ข้าสนิทใจและ….รักที่สุด”

ไวโอลายิ้มด้วยน้ำตา “ข้ารักท่านมาโดยตลอด…แม้ข้าจะต้องซ่อนหัวใจไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม”

ดยุกออร์ซิโนจึงขอไวโอลาแต่งงาน และนางก็ตอบตกลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

“ข้าจะเป็นภรรยาของท่าน…ในร่างที่แท้จริงของข้า” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน

……

ในขณะเดียวกัน เลดี้โอลิเวียและเซบาสเตียนก็เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความเข้าใจและความรักที่เกิดจากความจริงใจ แม้จะเริ่มต้นด้วยความเข้าใจผิด แต่ก็จบลงด้วยความสุขแท้จริง

…….

ส่วนอันโตนิโอ (Antonio) ซึ่งเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเซบาสเตียน ก็ได้รับการให้อภัยจากทางการ และได้รับเกียรติในฐานะผู้มีคุณธรรม

“ข้าไม่เคยหวังสิ่งใด…ข้าเพียงทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เขากล่าวอย่างสงบ

ทุกคนในเมืองอิลลีเรียร่วมฉลองการแต่งงานของทั้งสองคู่ด้วยความยินดี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะแผ่ไปทั่วคฤหาสน์

เรื่องราวของไวโอลาและเซบาสเตียนกลายเป็นตำนานแห่งเมืองอิลลีเรีย ที่ผู้คนเล่าขานว่า “ความรักแท้…ย่อมพบทางของมันเสมอ แม้จะต้องผ่านพายุและการปลอมตัว”

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน, นิทานแอนเดอร์สัน

ราชินีหิมะ (The Snow Queen) : นิทานอมตะว่าด้วยพลังแห่งรักและความกล้า

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานชาวเดนมาร์กผู้เป็นที่รักของเด็กทั่วโลก เกิดที่เมืองโอเดนเซ (Odense) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเดนมาร์ก เมืองนี้มีฤดูหนาวที่ยาวนานและอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจที่จินตนาการของแอนเดอร์เซนจะพาเขาไปสู่เรื่องราวของ “ราชินีหิมะ” ซึ่งเป็นนิทานที่เต็มไปด้วยภาพของน้ำแข็ง ความเงียบ และความเย็นชาในหัวใจมนุษย์ แม้ในนิทานพื้นบ้านของยุโรปเหนือจะมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับหญิงผู้ปกครองแดนหิมะอยู่บ้าง แต่แอนเดอร์เซนได้สร้างตัวละคร “ราชินีหิมะ” ขึ้นใหม่อย่างมีเอกลักษณ์ โดยผสมผสานความงาม ความเยือกเย็น และความไร้หัวใจเข้าด้วยกันอย่างน่าหวั่นไหว

แม้ชื่อ “ราชินีหิมะ” จะฟังดูคุ้นหูในวัฒนธรรมร่วมสมัย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเรื่องนี้คือหนึ่งในนิทานที่ลึกซึ้งที่สุดของแอนเดอร์เซน นักวิชาการด้านวรรณกรรมเด็กหลายคนยกนิทานเรื่องนี้ให้เป็นผลงานที่โดดเด่น เพราะแอนเดอร์เซนไม่ได้เล่าเรื่องเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่เขาใช้โครงสร้างแบบ 7 บท เพื่อค่อย ๆ เปิดเผยความเปลี่ยนแปลงของหัวใจมนุษย์ผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ทั้งกระจกวิเศษ ราชินีหิมะ และการเดินทางของเด็กหญิงผู้มีหัวใจกล้าหาญ แก่นเรื่องของนิทานนี้คือการต่อสู้ระหว่างความรักแท้กับความเย็นชา การหลงผิดกับการให้อภัย และการกลับคืนสู่ความอบอุ่นของหัวใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่แอนเดอร์เซนสื่อสารได้อย่างละเมียดละไมและลึกซึ้ง

ในการเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ เราเลือกเล่าเรื่องตามโครงสร้าง 7 บทของต้นฉบับ โดยรักษาเนื้อหาและอารมณ์ของเรื่องไว้อย่างครบถ้วนที่สุด เราใช้ภาษาที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านทุกวัยสามารถเข้าถึงความงามของเรื่องได้โดยไม่สะดุดกับถ้อยคำที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม นิทานต้นฉบับของแอนเดอร์เซนมีความงามเฉพาะตัว ทั้งในด้านภาษา จังหวะการเล่า และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในแต่ละบรรทัด หากมีโอกาส ผู้อ่านควรหาฉบับดั้งเดิมมาอ่าน เพื่อสัมผัสถึงความลึกของเรื่องราวที่แอนเดอร์เซนมอบไว้ให้โลกอย่างแท้จริง

บทที่ 1: กระจกวิเศษ

นานมาแล้ว มีปีศาจตนหนึ่งซึ่งไม่ชอบสิ่งดีงามต่าง ๆ มันเกลียดความรัก ความเมตตา และความงาม มันจึงสร้างกระจกวิเศษขึ้นมา ซึ่งกระจกบานนี้มีพลังแปลกประหลาด คือสิ่งใดที่สะท้อนอยู่ในกระจก จะปรากฎเป็นสิ่งตรงกันข้าม เช่น สิ่งที่เคยดูดีจะดูแปลกประหลาด สิ่งที่เคยงดงามจะดูไม่น่ามอง ความรักอันบริสุทธิ์จะดูเหมือนเรื่องไร้สาระ และหัวใจที่เคยอบอุ่นก็จะกลายเป็นหัวใจที่เย็นชาและห่างเหิน

ปีศาจพอใจในผลงานของตนมาก มันจึงนำกระจกขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเยาะเย้ยสวรรค์ แต่เมื่อมันบินสูงขึ้น กระจกกลับแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปลิวตามสายลมไปทั่วโลก

เศษกระจกบางชิ้นปลิวเข้าตาของผู้คน ทำให้พวกเขามองโลกผิดไปจากเดิม บางชิ้นฝังเข้าไปในหัวใจ ทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง ไม่อ่อนโยนอีกต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าเศษกระจกเหล่านั้นจะตกลงที่ใคร หรือจะเปลี่ยนแปลงใครไปในทางไหน แต่ตั้งแต่นั้นมา โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายคือเด็กชายชื่อเคย์ (Kay) และเรื่องราวของเขากำลังจะเริ่มต้น…

.

บทที่ 2: เคย์กับเกอร์ด้า

ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กชายชื่อเคย์และเด็กหญิงชื่อเกอร์ด้า (Gerda) ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านติดกัน มีสวนดอกไม้เล็ก ๆ เชื่อมระหว่างหน้าต่างของบ้านทั้งสองหลัง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เล่นด้วยกันทุกวัน และแบ่งปันความฝันอันอ่อนโยนร่วมกัน ความสัมพันธ์ของเคย์กับเกอร์ด้าไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน แต่เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์ เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานด้วยความรักและความไว้ใจ

ทุกวันในฤดูใบไม้ผลิ เคย์กับเกอร์ด้าจะนั่งริมหน้าต่าง ปลูกดอกไม้ พูดคุย และหัวเราะด้วยกัน ดอกกุหลาบสีแดงที่พวกเขาปลูกไว้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่งดงาม วันหนึ่งเคย์ถามขึ้นว่า “ถ้าเราตายไป ดอกไม้พวกนี้จะยังเติบโตอยู่ไหม?” เกอร์ด้ายิ้มและตอบว่า “ถ้าเรารักกัน ดอกไม้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉา” คำตอบนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะมันหมายถึงความรักแท้ที่จะไม่จางหาย แม้เวลาจะผ่านไป

แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เศษกระจกวิเศษที่ปีศาจสร้างไว้ปลิวเข้าตาของเคย์ และอีกชิ้นหนึ่งฝังเข้าไปในหัวใจของเขา ตั้งแต่นั้นมา เคย์ก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนเย็นชา พูดจาแข็งกระด้าง และไม่สนใจดอกไม้หรือคำพูดอ่อนโยนของเกอร์ด้าอีกต่อไป เขาหัวเราะเยาะสิ่งที่เคยรัก และมองทุกอย่างด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ

“ดอกไม้พวกนี้น่าเบื่อ…” เคย์พูดอย่างเฉยชา โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเกอร์ด้า

เกอร์ด้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคย์ เธอได้แต่เฝ้ามองเขาอย่างเศร้า ๆ และหวังว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หัวใจของเธอยังรักเขาเหมือนเดิม แต่เธอไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร

แล้ววันหนึ่งในฤดูหนาว เคย์ออกไปเล่นเลื่อนหิมะในถนน เขาเห็นรถเลื่อนคันหนึ่งสีขาวบริสุทธิ์ มีหญิงผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่ นางคือราชินีหิมะ ผู้ปกครองแดนเหนือ ราชินีหิมะยิ้มอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่มน้อย…มานั่งกับข้าเถิด” เคย์ขึ้นไปบนรถเลื่อน และทันใดนั้น รถก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ลอยขึ้นเหนือพื้นหิมะ และหายไปในสายลมหนาว

เมื่อเคย์ไม่กลับบ้าน ยายและเกอร์ด้าก็ออกตามหา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน เกอร์ด้าร้องไห้ “เธอจะหายไปอย่างนี้ไม่ได้นะ…ฉันจะตามหาเธอให้พบ” แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน แต่เธอเชื่อว่า หากหัวใจของเธอยังรักเคย์อยู่ เธอจะพบเขาได้ในที่สุด

และการเดินทางของเด็กหญิงผู้มีหัวใจกล้าหาญก็เริ่มต้นขึ้น…

.

บทที่ 3: สวนดอกไม้และความทรงจำที่เลือนหาย

หลังจากเคย์หายไปกับราชินีหิมะ เกอร์ด้าก็เศร้าใจอย่างมาก เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปเพราะอะไร แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่า เธอคิดถึงเขา และอยากให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงอีกครั้ง ดอกไม้ริมหน้าต่างยังคงเบ่งบาน แต่ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำพูดอ่อนโยน ไม่มีเคย์นั่งอยู่ข้าง ๆ เกอร์ด้าเฝ้ามองดอกกุหลาบที่เคยปลูกด้วยกัน แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เธอตัดสินใจออกเดินทางตามหาเคย์ แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เธอเดินผ่านเมือง ผ่านทุ่งหญ้า และข้ามแม่น้ำด้วยหัวใจที่มั่นคง จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งกลางสวนดอกไม้ที่งดงามราวกับภาพฝัน

หญิงชราผู้ใจดีคนหนึ่งออกมาต้อนรับเกอร์ด้า นางมีรอยยิ้มอ่อนโยน และพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้ามาจากที่ใดกัน เด็กน้อย?” เกอร์ด้าตอบว่า “หนูกำลังตามหาเพื่อน…เขาหายไปกับราชินีหิมะ”

หญิงชราพยักหน้าเบา ๆ แล้วใช้ไม้เท้าวิเศษโบกเหนือหัวของเกอร์ด้า ทันใดนั้น ความทรงจำของเด็กหญิงก็เริ่มเลือนราง เธอลืมเรื่องเคย์ ลืมการเดินทาง และอยู่ในสวนดอกไม้โดยไม่รู้ว่าตนเองมาทำอะไร

“ดอกไม้เหล่านี้พูดได้…พวกมันจะเป็นเพื่อนของเจ้า” หญิงชรากล่าว

ดอกไม้ในสวนพูดกับเกอร์ด้าด้วยเสียงอ่อนโยน บางดอกเล่าเรื่องของฤดูใบไม้ผลิ บางดอกพูดถึงสายลมและแสงแดด แต่ไม่มีดอกใดรู้เรื่องเคย์เลย เกอร์ด้าเริ่มรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ แม้เธอจะอยู่ในสวนที่งดงามที่สุดก็ตาม

วันหนึ่ง เธอเห็นดอกกุหลาบสีแดงที่คล้ายกับดอกไม้ที่เคยปลูกกับใครคนหนึ่งที่ริมหน้าต่าง เธอจึงถามดอกกุหลาบว่า “เธอเคยเห็นใครคนหนึ่งไหม?”

ดอกกุหลาบตอบว่า “เราไม่เคยเห็นเขา…แต่เรารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่”

คำตอบนั้นปลุกความทรงจำของเกอร์ด้ากลับคืนมา เธอร้องไห้ด้วยความคิดถึง และตัดสินใจออกจากสวนทันที

“หนูต้องไป…หนูต้องตามหาเขาให้พบ” เกอร์ด้ากล่าวอย่างแน่วแน่

หญิงชราพยายามรั้งไว้ แต่เวทมนตร์ของนางไม่อาจหยุดหัวใจที่รักแท้ได้ เกอร์ด้าจึงออกเดินทางต่อด้วยความมุ่งมั่น

.

บทที่ 4: ปราสาทเจ้าชายและเจ้าหญิง

หลังจากออกจากสวนดอกไม้ของหญิงชราผู้มีเวทมนตร์ เกอร์ด้าเดินทางต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง เธอเดินผ่านป่า ผ่านทุ่งหญ้า และข้ามแม่น้ำโดยไม่รู้ทิศทาง เธอไม่รู้ว่าเคย์อยู่ที่ไหน แต่เธอเชื่อว่า หากเธอไม่หยุดเดิน เธอจะพบเขาในที่สุด

วันหนึ่ง เธอมาถึงปราสาทหลังหนึ่งที่งดงามราวกับภาพฝัน ประตูใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า และมีทหารเฝ้าอยู่ ทหารมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เดินทางมาเพียงลำพัง แล้วถามว่า “เจ้ามาจากไหน เด็กน้อย?”

เกอร์ด้าตอบด้วยเสียงเรียบง่ายว่า “หนูกำลังตามหาเพื่อนของหนู…เขาชื่อเคย์”

ทหารพาเกอร์ด้าเข้าไปในปราสาท ซึ่งมีเจ้าชายและเจ้าหญิงผู้ใจดีอาศัยอยู่ ทั้งสองฟังเรื่องราวของเกอร์ด้าด้วยความสงสาร และพาเธอไปยังห้องนอนเพื่อดูว่าเด็กชายที่นอนอยู่บนเตียงนั้นใช่เคย์หรือไม่

เกอร์ด้ามองด้วยความหวัง หัวใจของเธอเต้นแรง แต่เมื่อเด็กชายหันหน้ามา เธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ เขาไม่ใช่เคย์

เจ้าชายและเจ้าหญิงรู้สึกประทับใจในความรักและความกล้าหาญของเกอร์ด้า พวกเขาไม่อาจช่วยเธอหาตัวเคย์ได้ แต่ก็อยากให้เธอเดินทางต่อไปอย่างปลอดภัย จึงมอบเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าอุ่น ๆ และรถเลื่อนให้แก่เธอ

“เจ้ามีหัวใจที่งดงาม…เราขอให้เจ้าพบเพื่อนของเจ้าโดยเร็ว” เจ้าหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เกอร์ด้าโค้งคำนับอย่างสุภาพ “หนูจะไม่หยุด…จนกว่าจะพบเขา”

เธอออกเดินทางอีกครั้งด้วยรถเลื่อนที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมอบให้ แม้จะยังไม่พบเคย์ แต่เธอก็ได้พบกับความเมตตา และนั่นทำให้หัวใจของเธออบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

.

บทที่ 5: กลุ่มโจรและเพื่อนใหม่

เกอร์ด้าเดินทางต่อด้วยรถเลื่อนที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมอบให้ เธอข้ามป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยหิมะและลมหนาว แม้จะเหนื่อยล้า แต่เธอก็ไม่หยุด เพราะหัวใจของเธอยังคิดถึงเคย์อยู่เสมอ

ระหว่างทาง รถเลื่อนของเธอถูกกลุ่มโจรป่าดักจับ พวกเขาโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ และพาเธอไปยังถ้ำที่เต็มไปด้วยเสียงลมและเงามืด หัวหน้าโจรเป็นหญิงชราผู้ดุร้าย นางมีดวงตาแข็งกร้าวและเสียงที่ดังจนสะท้านใจ แต่ในถ้ำแห่งนั้น ยังมีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของหัวหน้าโจร

เด็กสาวคนนั้นมีดวงตาเฉียบคมและท่าทางแข็งแรง แต่เมื่อเธอมองเกอร์ด้า เธอกลับเห็นบางอย่างที่ต่างออกไป เธอถามด้วยเสียงเรียบว่า “เจ้าคือใคร? ทำไมเจ้ามาในป่าของเรา?”

เกอร์ด้าตอบด้วยเสียงสั่น “หนูกำลังตามหาเพื่อน…เขาถูกพาไปโดยราชินีหิมะ”

เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็นใครกล้าหาญเท่าเจ้า…ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

เธอพาเกอร์ด้าไปยังห้องของตน และให้พักผ่อนในเปลที่แขวนไว้ท่ามกลางสัตว์ป่าที่เชื่องอย่างประหลาด ในคืนนั้น เด็กสาวเล่าเรื่องของราชินีหิมะให้ฟัง “ข้าเคยได้ยินว่านางอาศัยอยู่ทางเหนือสุด…ในปราสาทน้ำแข็งที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป”

เกอร์ด้าฟังด้วยความหวัง “หนูต้องไปที่นั่น…หนูต้องช่วยเคย์ให้ได้”

เด็กสาวนิ่งไปอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ข้าจะช่วยเจ้า…แม้ข้าจะเป็นโจร แต่ข้าก็มีหัวใจ”

รุ่งเช้า เด็กสาวปล่อยเกอร์ด้าออกเดินทางอีกครั้ง พร้อมมอบกวางเรนเดียร์ให้พาไปยังแดนเหนือ

“เจ้าต้องไปยังลัปแลนด์…ที่นั่นมีหญิงชราผู้รู้ทางไปปราสาทของราชินีหิมะ” เด็กสาวกล่าว

เกอร์ด้าขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจ แล้วออกเดินทางต่อไปด้วยความหวังที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง

.

บทที่ 6: ลัปแลนด์ ฟินแลนด์ และคำตอบของหัวใจ

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางสู่แดนเหนือ พวกเขาข้ามภูเขาสูง ผ่านทุ่งน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ และฝ่าลมหนาวที่พัดแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน เกอร์ด้าหนาวจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เพราะหัวใจของเธอยังมีความหวัง

ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงลัปแลนด์ ดินแดนที่หนาวเหน็บที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเธอได้พบหญิงชราผู้รู้ทาง หญิงชรานั้นอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ที่อบอุ่น มีไฟสว่างไสวและกลิ่นหอมของปลาแห้งลอยอยู่ในอากาศ

หญิงชราฟังเรื่องราวของเกอร์ด้าอย่างตั้งใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้ามีหัวใจที่กล้าหาญ…แต่การจะช่วยเคย์ต้องใช้มากกว่าความกล้า” นางเขียนจดหมายถึงหญิงชราอีกคนในฟินแลนด์ ซึ่งรู้เวทมนตร์ลึกซึ้งกว่า และส่งเกอร์ด้าเดินทางต่อไป

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางต่ออีกครั้ง คราวนี้เหนื่อยยิ่งกว่าเดิม แต่เธอก็ยังไม่หยุด จนกระทั่งมาถึงกระท่อมของหญิงชราฟินแลนด์ หญิงชราผู้นี้ไม่พูดมาก นางอ่านจดหมายเงียบ ๆ แล้วมองหน้าเกอร์ด้าอย่างอ่อนโยน

“ข้าไม่มีเวทมนตร์ใดที่เหนือกว่าความรักของเจ้า” หญิงชรากล่าว “จงไปเถิด เด็กน้อย หัวใจของเจ้าคือสิ่งเดียวที่สามารถละลายความเย็นชาได้”

คำพูดนั้นทำให้เกอร์ด้ารู้ว่า เธอไม่ต้องการเวทมนตร์ ไม่ต้องการอาวุธหรือพลังพิเศษใด ๆ สิ่งที่เธอมีอยู่แล้ว ทั้งความรัก ความกล้าหาญ และความจริงใจ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

.

บทที่ 7: ปราสาทน้ำแข็งและการพบกันอีกครั้ง

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางข้ามทุ่งน้ำแข็งที่เงียบงันและหนาวเหน็บที่สุดในโลก ลมพัดแรงจนแทบยืนไม่อยู่ แต่เด็กหญิงก็ไม่ยอมแพ้ เธอกอดผ้าคลุมแน่น และหลับตาเพื่อไม่ให้หิมะเข้าตา หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความหวังและความกลัวปะปนกัน

ในที่สุด ปราสาทน้ำแข็งของราชินีหิมะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งขาวโพลน งดงามราวกับแก้วใส แต่ก็เย็นเยือกจนแทบไม่มีชีวิต ปราสาทนั้นไม่มีประตู ไม่มีทหาร ไม่มีเสียงใด ๆ มีเพียงความเงียบที่ลึกจนเหมือนจะกลืนทุกอย่างเข้าไป

เกอร์ด้าเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ เท้าของเธอจมลงในหิมะที่หนาและเย็นจัด แต่เธอไม่หยุด เธอเดินผ่านห้องโถงที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งซึ่งมีรูปทรงแปลกตา บางเกล็ดเหมือนดอกไม้ บางเกล็ดเหมือนดาว แต่ทุกชิ้นก็เย็นชาและไม่มีชีวิต

ในห้องกลางของปราสาท มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นน้ำแข็ง เขากำลังจัดเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เขาไม่พูด ไม่ขยับ และไม่รู้ว่าใครอยู่รอบตัว

เกอร์ด้าเข้าไปใกล้ แล้วเรียกเบา ๆ “เคย์…”

เด็กชายไม่ตอบ เธอเรียกอีกครั้ง “เคย์…นี่ฉันเอง เกอร์ด้า…”

เคย์ยังคงนิ่งอยู่เหมือนรูปปั้นน้ำแข็ง เขามองเกล็ดน้ำแข็งตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก และพยายามจัดมันให้เป็นคำว่า “นิรันดร์” เพราะราชินีหิมะเคยบอกว่า หากเขาสามารถจัดเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นคำนั้นได้ เขาจะได้รับอิสรภาพและพลังวิเศษ

แต่เคย์ไม่รู้ว่า เขาไม่ได้ต้องการอิสรภาพจากราชินีหิมะ เขาต้องการอิสรภาพจากความเย็นชาในหัวใจของตนเอง

เกอร์ด้าเข้าไปใกล้ แล้วโอบเขาไว้ด้วยแขนเล็ก ๆ ของเธอ เธอร้องไห้ น้ำตาไหลลงบนแก้มของเคย์ และหยดลงบนหัวใจของเขา

ทันใดนั้น เศษกระจกที่ฝังอยู่ในหัวใจของเคย์ก็ละลายลงอย่างช้า ๆ เขาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วมองหน้าเกอร์ด้า

“เกอร์ด้า…เธอมาได้ยังไง?” เขาถามด้วยเสียงสั่น

“ฉันตามหาเธอมาตลอด…ฉันไม่เคยหยุดรักเธอเลย” เกอร์ด้าตอบ

เคย์หลับตา น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เศษกระจกที่อยู่ในดวงตาของเขาก็หลุดออกมา เขามองโลกอีกครั้งด้วยสายตาเดิม สายตาที่อ่อนโยนและอบอุ่น

เขามองเกล็ดน้ำแข็งตรงหน้า แล้วพูดว่า “มันไม่มีความหมายเลย…”

เกอร์ด้ายิ้ม “เพราะความรักต่างหากที่มีความหมาย”

……

เมื่อเคย์หลุดพ้นจากเวทมนตร์ของราชินีหิมะ เขามองหน้าเกอร์ด้าอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ดวงตาของเขาไม่เย็นชาอีกต่อไป หัวใจของเขาไม่แข็งกระด้างอีกแล้ว เขาจำทุกอย่างได้ ทั้งดอกกุหลาบริมหน้าต่าง เสียงหัวเราะในฤดูใบไม้ผลิ และคำพูดอ่อนโยนที่เคยแลกเปลี่ยนกัน

เขากอดเกอร์ด้าแน่น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไร ทั้งสองคนยืนอยู่กลางปราสาทน้ำแข็งที่เคยเงียบงัน แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่มีใครมองเห็นได้ด้วยตา มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่รับรู้

เกล็ดน้ำแข็งที่เคย์เคยจัดเรียงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น มันไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะคำว่า “นิรันดร์” ที่เขาเคยพยายามสร้าง ไม่ได้อยู่ในรูปทรงของน้ำแข็ง แต่มันอยู่ในความรักที่ไม่ยอมแพ้ของเกอร์ด้า

ทั้งสองออกจากปราสาทน้ำแข็งโดยไม่มีใครขัดขวาง ราชินีหิมะไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย เพราะเธอไม่เคยผูกพันกับใครจริง ๆ เคย์จากไปได้ง่าย เพราะไม่มีใครรั้งเขาไว้ ความงามที่ไร้หัวใจไม่อาจยึดเหนี่ยวใครได้

กวางเรนเดียร์พาทั้งสองกลับสู่แดนใต้ ผ่านลัปแลนด์ ผ่านฟินแลนด์ ผ่านป่าของโจร และกลับไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่พวกเขาเคยอยู่ ดอกไม้ริมหน้าต่างยังคงเบ่งบานเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันดูงดงามกว่าเดิม เพราะหัวใจของทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เคย์กับเกอร์ด้านั่งริมหน้าต่างอีกครั้ง พูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม และหัวเราะเบา ๆ เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครพูดถึงปราสาทน้ำแข็ง ไม่มีใครพูดถึงราชินีหิมะ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป

สิ่งที่มีความหมายคือความรักที่ไม่ยอมแพ้ ความกล้าหาญของหัวใจเด็กหญิงคนหนึ่ง และการกลับมาของเด็กชายที่เคยหลงทาง

และแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ดอกไม้ที่พวกเขาปลูกไว้ก็ยังไม่เหี่ยวเฉา เพราะมันเติบโตจากความรักแท้ที่ไม่มีวันจางหาย.


Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานเชคสเปียร์

ความฝันในคืนกลางฤดูร้อน : นิทานตลก ๆ ก่อนนอนจากเชคสเปียร์

A Midsummer Night’s Dream คือบทละครแนวแฟนตาซี-โรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1595–1596 และถือเป็นหนึ่งในบทละครที่มีชีวิตชีวาและเป็นที่รักมากที่สุดของเชคสเปียร์ ด้วยฉากป่าเวทมนตร์ ตัวละครภูติ และความรักที่วุ่นวายระหว่างหนุ่มสาวสี่คนในเมืองเอเธนส์

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง A Midsummer Night’s Dream ว่าเป็นบทละครที่โดดเด่นด้านโครงสร้างและลีลา เพราะสามารถผสมผสานความรัก ความขบขัน และเวทมนตร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยไม่ลดทอนความลึกของอารมณ์มนุษย์ เรื่องนี้สะท้อนความเปราะบางของความรัก ความเข้าใจผิด และพลังของจินตนาการอย่างแยบคาย หลายคนมองว่าเป็นบทละครที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้สำรวจความจริงและความฝันไปพร้อมกัน

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมจินตนาการ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s A Midsummer Night’s Dream – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… ณ กรุงเอเธนส์ (Athens) เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและความคึกคัก มีเจ้าผู้ครองนครชื่อว่า เธเซอุส (Theseus) กำลังเตรียมพิธีแต่งงานกับหญิงงามผู้กล้าหาญนามว่า ฮิปโปลิตา (Hippolyta) ผู้เป็นราชินีแห่งอเมซอน (Amazon) ทั้งเมืองต่างรอคอยวันแห่งความสุขนี้ด้วยใจเบิกบาน

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในหัวใจของหนุ่มสาวอีกสี่คน คือ เฮอร์เมีย (Hermia) ไลแซนเดอร์ (Lysander) เดเมเทรียส (Demetrius) และ เฮเลนา (Helena)

เฮอร์เมียเป็นหญิงสาวผู้รักชายชื่อไลแซนเดอร์ แต่บิดาของเธอกลับต้องการให้เธอแต่งงานกับ เดเมเทรียส ชายอีกคนที่เธอไม่รักเลยแม้แต่น้อย

เฮอร์เมียไม่ยอมทำตามคำสั่งของบิดา เธอจึงวางแผนหนีออกจากเมืองไปพร้อมกับไลแซนเดอร์ เพื่อใช้ชีวิตด้วยกันอย่างอิสระในที่ที่ไม่มีใครขัดขวาง

เมื่อเฮเลนาเพื่อนสาวของเฮอร์เมียรู้เรื่อง เธอเกิดความหวังขึ้นในใจ เพราะเธอเองก็หลงรักเดเมเทรียสมานาน แม้ว่าเขาจะไม่เคยรักเธอกลับเลยก็ตาม เฮเลนาจึงรีบไปบอกเดเมเทรียสว่าเฮอร์เมียหนีไปกับไลแซนเดอร์ เพื่อหวังว่าเขาจะหันมาสนใจเธอแทน

เดเมเทรียสโกรธมากและรีบตามไปยังป่าที่เฮอร์เมียหลบหนีไป เฮเลนาก็ตามไปด้วย หวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชายที่เธอรัก แม้จะรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเธอเลย

และแล้ว…หนุ่มสาวทั้งสี่ก็หลงเข้าไปในป่าลึกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ โดยไม่รู้เลยว่าในป่าแห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์อาศัยอยู่ ซึ่งก็คือ…ภูติแห่งความฝันและความรัก

……..

ณ ใจกลางของป่า มีราชาแห่งภูตนามว่า โอเบรอน (Oberon) และราชินีแห่งภูตนามว่า ไททาเนีย (Titania) ทั้งสองมีอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่ในเวลานั้น พวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องเด็กคนหนึ่งที่ไททาเนียรับมาเป็นบุตรบุญธรรม

โอเบรอนไม่พอใจที่ไททาเนียไม่ยอมแบ่งปันเด็กคนนั้นให้เขาดูแลเลย เขาจึงวางแผนใช้เวทมนตร์เพื่อทำให้ไททาเนียหลงรักสิ่งที่น่าขันที่สุดเท่าที่จะหาได้ในป่า

เขาเรียกภูติรับใช้ชื่อ พัค (Puck) ซึ่งเป็นภูติจอมซน ให้ไปหา “ดอกไม้แห่งความหลง” ที่เมื่อหยดน้ำจากดอกไม้ลงบนเปลือกตาของผู้ที่หลับใหล จะทำให้ผู้นั้นหลงรักสิ่งแรกที่เห็นเมื่อตื่นขึ้นมา นอกจากนี้ โอเบรอนยังสั่งให้พัคใช้ดอกไม้นี้กับหนุ่มสาวที่หลงทางในป่า เพื่อช่วยให้ความรักของพวกเขาเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

……..

ในค่ำคืนนั้น ป่าเวทมนตร์เงียบสงบ มีเพียงเสียงใบไม้ไหวและแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านกิ่งไม้สูงใหญ่ พัคภูติจอมซนบินอย่างว่องไวตามคำสั่งของโอเบรอน พัคพบดอกไม้แห่งความหลงที่มีน้ำวิเศษอยู่ในกลีบ และเขาพยายามมองหาชายหนุ่มที่ควรจะได้รับหยดน้ำจากดอกไม้นี้

แต่เมื่อพัคเห็นชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมาย พัคกลับจำหน้าคนผิด เขาเห็นไลแซนเดอร์ นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ และคิดว่าเขาคือเดเมเทรียส พัคจึงหยดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตาของไลแซนเดอร์ แล้วบินจากไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เฮเลนาก็เดินหลงทางมาใกล้ที่ ๆ ไลแซนเดอร์นอนอยู่ เฮเลนาเห็นไลแซนเดอร์นอนหลับ เธอจึงพยายามปลุกด้วยความเป็นห่วง “ท่านไลแซนเดอร์ ตื่นเถิด ท่านหลับอยู่กลางป่าเช่นนี้ไม่ปลอดภัยเลย”

เมื่อไลแซนเดอร์ตื่นขึ้นมาและเห็นเฮเลนา เขาก็หลงรักเธออย่างไม่มีเหตุผล “โอ เฮเลนา เจ้าเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในโลก ข้ารักเจ้า!”

เฮเลนาตกใจและคิดว่าเขากำลังล้อเล่น “ทำไมท่านพูดเช่นนี้ ท่านรักเฮอร์เมียมิใช่หรือ?

“ข้าไม่เคยรักเฮอร์เมียเลย” ไลแซนเดอร์ตอบ “ข้ารักเจ้าเท่านั้น!”

เฮเลนาสับสนและเสียใจ เธอคิดว่าไลแซนเดอร์กำลังล้อเล่นกับเธอ เธอจึงเดินจากไปทั้งน้ำตา

……….

ในอีกมุมหนึ่งของป่า เดเมเทรียสยังคงตามหาเฮอร์เมียอย่างไม่ลดละ โอเบรอนซึ่งเฝ้าดูอยู่รู้ทันทีว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น โอเบรอนจึงสั่งให้พัคหยดน้ำวิเศษใส่ตาของเดเมเทรียสด้วย เพื่อให้เขาหันมารักเฮเลนาอย่างแท้จริง

พัคทำตามคำสั่ง และเมื่อเดเมเทรียสตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นเฮเลนาเดินร้องไห้อยู่ไกลๆ ซึ่งทันใดนั้นเอง เขาก็หลงรักเธออย่างสุดหัวใจ

“เฮเลนา! ข้ารักเจ้า! ข้าขอโทษที่เคยเมินเฉยต่อเจ้า” เดเมเทรียสร้องออกมา

เฮเลนาตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้มีชายสองคน คือทั้งไลแซนเดอร์และเดเมเทรียส ต่างก็กล่าวว่ารักเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจเธอเลย

เฮอร์เมียซึ่งตามมาเห็นเหตุการณ์ ก็โกรธและเสียใจอย่างมาก “ไลแซนเดอร์! เจ้าเคยสาบานว่าจะรักข้า แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ?”

ไลแซนเดอร์ไม่ฟังเธอเลย เขาหันไปหาเฮเลนาอย่างเดียว เฮอร์เมียจึงหันไปต่อว่าเฮเลนา “เจ้าแย่งคนรักของข้าไป!”

เฮเลนาร้องไห้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจเลย ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!”

ความรักที่เคยเรียบง่าย กลับกลายเป็นความสับสนวุ่นวาย และป่าเวทมนตร์ก็เต็มไปด้วยเสียงโต้เถียง เสียงร้องไห้ และความเข้าใจผิด

โอเบรอนเห็นแล้วรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราววุ่นวายเช่นนี้เกิดขึ้น เขาจึงวางแผนให้พัคแก้เวทมนตร์ทั้งหมด เพื่อคืนความรักให้เป็นไปตามธรรมชาติ

แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้น ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่เขาต้องจัดการ นั่นคือเรื่องของไททาเนีย (Titania) ราชินีแห่งภูติ ที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และกำลังจะตื่นขึ้นมาเห็นสิ่งที่น่าขันที่สุดในป่า…

……….

ในอีกมุมหนึ่งของป่าเวทมนตร์ มีกลุ่มชาวบ้านธรรมดาๆ กลุ่มหนึ่ง กำลังซ้อมละครเพื่อแสดงในพิธีแต่งงานของเธเซอุส พวกเขาไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความขยันขันแข็ง

หนึ่งในนั้นคือชายชื่อ บอทท่อม ชายผู้มีนิสัยชอบอวดเก่งและมักเสนอให้ตนเองรับบทเด่นเสมอ เขาเสนอว่า “ข้าจะเล่นเป็นพระเอกก็ได้ หรือจะเป็นสิงโตก็ได้ ข้าเล่นได้ทุกบท!”

พัคซึ่งบินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงบอทท่อมอวดตัวเอง พัคจึงคิดจะแกล้งเขา พัคใช้เวทมนตร์แปลงหัวของบอทท่อมให้กลายเป็นหัวลา มีหูยาวและเสียงร้อง “ฮี่ ๆ ๆ” ที่แปลกประหลาด

เมื่อบอทท่อมกลับไปซ้อมละคร เพื่อนๆ ต่างตกใจและวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว บอทท่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเพียงรู้สึกว่าทุกคนมองเขาแปลกๆ และเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป

ในขณะเดียวกัน ไททาเนีย ราชินีแห่งภูติ กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โอเบรอนจึงแอบเข้ามาหยดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตาของเธอ และรอให้เธอตื่นขึ้นมา

ไม่นานนัก ไททาเนียก็ลืมตาขึ้น และสิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือ บอทท่อมหัวลา เธอจ้องมองเขาอย่างหลงใหล และกล่าวว่า “โอ ชายผู้สง่างาม ข้ารักเจ้าเหลือเกิน!”

บอทท่อมตกใจ “ข้า…ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร”

แต่ไททาเนียไม่ฟัง เธอเรียกภูติรับใช้ให้พาบอทท่อมไปยังที่พักของเธอ ให้อาหารอร่อยๆ และดูแลเขาอย่างดี

บอทท่อมรู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เขาเพลิดเพลินกับการได้รับความสนใจ และพูดกับตัวเองว่า “บางทีข้าอาจจะมีเสน่ห์มากกว่าที่คิดก็ได้”

โอเบรอนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้ต้องการให้ไททาเนียเจ็บปวด เพียงต้องการให้เธอเรียนรู้ว่า ความดื้อรั้นและการยึดติดอาจทำให้เราหลงรักสิ่งที่ไม่ควรรัก

เมื่อโอเบรอนเห็นว่าไททาเนียหลงรักบอทท่อมอย่างจริงจัง เขาจึงเริ่มรู้สึกสงสาร และวางแผนจะคืนทุกอย่างให้เป็นปกติ

ในขณะเดียวกัน ความรักของหนุ่มสาวมนุษย์ก็ยังคงสับสนวุ่นวาย พัคต้องรีบแก้เวทมนตร์ให้ถูกคน ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้

…….

เมื่อความวุ่นวายในป่าเวทมนตร์เริ่มเกินควบคุม โอเบรอนราชาแห่งภูติจึงตัดสินใจแก้ไขทุกสิ่งที่เขาและพัคได้ก่อไว้ เขาไม่ได้ต้องการให้ผู้คนเจ็บปวด เพียงต้องการสอนบทเรียนเรื่องความรักและความยึดมั่น

โอเบรอนสั่งให้พัคหยดน้ำวิเศษอีกชนิดหนึ่งลงบนเปลือกตาของไลแซนเดอร์ ขณะที่เขาหลับ เพื่อถอนเวทมนตร์ที่ทำให้เขาหลงรักเฮเลนา เมื่อไลแซนเดอร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กลับมารักเฮอร์เมีย อย่างแท้จริงเหมือนเดิม

เฮอร์เมียดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เธอกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าทอดทิ้งข้าไปแล้ว ข้ากลัวเหลือเกิน”

ไลแซนเดอร์จับมือเธอไว้แน่น “ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าใจของข้าเป็นของเจ้าเท่านั้น”

ในอีกมุมหนึ่ง เดเมเทรียสยังคงหลงรักเฮเลนาอย่างมั่นคง แม้ว่าเวทมนตร์จะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ความรู้สึกของเขากลับแน่นแฟ้นขึ้นทุกขณะ เขากล่าวว่า “ข้าเคยมองข้ามเจ้า แต่ตอนนี้ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงที่ข้าควรจะรักตั้งแต่แรก”

เฮเลนามองเขาด้วยความลังเล แต่เมื่อเห็นความจริงใจในดวงตา เธอก็ยิ้มออกมา “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจอีกนะ”

โอเบรอนเห็นว่าความรักของหนุ่มสาวกลับคืนสู่ความสมดุลแล้ว เขาจึงหันไปจัดการเรื่องสุดท้าย ซึ่งก็คือเรื่องของไททาเนียราชินีแห่งภูติ

โอเบรอนเดินไปหาเธอขณะที่เธอยังหลงรักบอทท่อมผู้มีหัวเป็นลา และกล่าวเบาๆ “ถึงเวลาที่เจ้าจะตื่นจากความฝันแล้ว”

โอเบรอนหยดน้ำแก้เวทมนตร์ลงบนเปลือกตาของไททาเนีย และเมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็เห็นบอทท่อมหลับอยู่ข้างๆ ด้วยหัวลา เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ “ข้า…ข้าหลงรักสิ่งนี้จริงหรือ?”

โอเบรอนยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ และข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจว่า ความรักไม่อาจถูกบังคับ และความดื้อรั้นอาจทำให้เราหลงทาง”

ไททาเนียหัวเราะเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอโทษที่เคยดื้อดึง”

โอเบรอนถอนเวทมนตร์ทั้งหมด และบอททอมก็กลับคืนสู่ร่างเดิมโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าเขาแค่ฝันไป และเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนเพื่อเตรียมแสดงละคร

เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ โอเบรอนและไททาเนียก็คืนดีกัน พวกเขาจับมือกันและบินขึ้นสู่ยอดไม้สูง ราวกับธรรมชาติได้คืนความสมดุลอีกครั้ง

ในป่าเวทมนตร์ที่เคยเต็มไปด้วยความสับสน ตอนนี้มีเพียงเสียงหัวเราะ เสียงเพลง และความรักที่แท้จริง

……..

เมื่อรุ่งเช้าเริ่มส่องแสงผ่านยอดไม้ในป่าเวทมนตร์ หนุ่มสาวทั้งสี่ ได้แก่ เฮอร์เมีย, ไลแซนเดอร์, เฮเลนา และเดเมเทรียส ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสงบ พวกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นความฝันหรือความจริง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ความรักของพวกเขาได้กลับคืนสู่หัวใจที่ถูกต้อง

เธเซอุส (Theseus) เจ้าผู้ครองนครเอเธนส์ และฮิปโปลิตา (Hippolyta) ว่าที่พระชายา เสด็จมายังป่าเพื่อออกล่าสัตว์ตามธรรมเนียมก่อนพิธีแต่งงาน และพบหนุ่มสาวทั้งสี่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อพระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด เธเซอุสตัดสินใจให้อภัยและอนุญาตให้ทั้งสองคู่รักได้แต่งงานพร้อมกันในพิธีเดียวกับพระองค์

ทุกคนกลับสู่เมืองเอเธนส์ด้วยหัวใจที่เบิกบาน พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างงดงามในพระราชวัง มีเสียงดนตรี การตกแต่งด้วยดอกไม้ และผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดี

กลุ่มชาวบ้านที่ซ้อมละครในป่า รวมถึงบอทท่อมผู้กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้ว ได้ขึ้นแสดงละครตลกเรื่อง “พีระมัสและธิสบี” (Pyramus and Thisbe) ซึ่งเต็มไปด้วยความผิดพลาดน่าขันและความตั้งใจจริงที่น่ารัก เธเซอุสและผู้ชมต่างหัวเราะอย่างมีความสุข และชื่นชมความพยายามของพวกเขา

เมื่อค่ำคืนมาถึง และทุกคนกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม โอเบรอนและไททาเนียบินผ่านเมืองอย่างเงียบงัน พวกเขาโปรยน้ำวิเศษแห่งความสงบลงบนบ้านเรือน เพื่อให้ทุกคนหลับฝันดี

พัคภูติจอมซนปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เขากล่าวเบาๆ กับผู้อ่านว่า “หากเรื่องราวนี้ทำให้ท่านยิ้มได้ ก็จงคิดว่าเป็นเพียงความฝัน หากมีสิ่งใดผิดพลาด ก็ขอให้ท่านให้อภัยแก่ภูติผู้นี้ด้วยเถิด”

และแล้ว…เรื่องราวแห่งความรัก ความเข้าใจผิด และเวทมนตร์ก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะและความสุขที่แท้จริง

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานเชคสเปียร์, วรรณกรรมคลาสสิก

โรมิโอกับจูเลียต | นิทานก่อนนอนความรักจากเชคสเปียร์

Romeo and Juliet คือบทละครโศกนาฏกรรมที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และกลายเป็นหนึ่งในบทละครที่โด่งดังที่สุดของเชคสเปียร์ ถ่ายทอดเรื่องราวความรักอันเร่าร้อนระหว่างหนุ่มสาวจากสองตระกูลที่เป็นศัตรูกันในเมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี

นักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วโลกยกย่อง Romeo and Juliet ว่าเป็นบทละครที่สะท้อนความซับซ้อนของอารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง ทั้งความรัก ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิด และความสูญเสีย โดยไม่พยายามสอนหรือชี้นำ แต่ปล่อยให้ผู้อ่านสัมผัสความจริงของชีวิตผ่านชะตากรรมของตัวละคร เชคสเปียร์ใช้บทสนทนาและฉากที่ทรงพลังในการสร้างอารมณ์โศกนาฏกรรมที่ยังคงสะเทือนใจผู้ชมทุกยุคทุกสมัย

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างกลมกลืน โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Romeo and Juliet – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ.

ณ เมืองเวโรนา (Verona) อันงดงามในอิตาลี มีสองตระกูลใหญ่ที่เกลียดชังกันอย่างรุนแรง—มอนตากิว (Montague) และ คาปูเล็ต (Capulet) ความบาดหมางระหว่างพวกเขากินเวลายาวนานจนแม้แต่คนรับใช้ก็พร้อมจะทะเลาะกันกลางถนน

ในเช้าวันหนึ่ง เกิดการวิวาทขึ้นอีกครั้ง ผู้คนต่างแตกตื่น เจ้าชายแห่งเวโรนาต้องออกมาห้ามปราม และประกาศว่า หากมีการต่อสู้กันอีก เขาจะลงโทษอย่างหนัก

ในบ้านมอนตากิว โรมิโอ (Romeo) บุตรชายคนเดียวของตระกูล กำลังเศร้าใจ เขาไม่ได้สนใจความขัดแย้งของครอบครัว แต่กลับหม่นหมองเพราะความรักที่ไม่สมหวัง เขาหลงรักหญิงสาวชื่อ โรซาลีน (Rosaline) ซึ่งไม่สนใจเขาเลย

เพื่อนของโรมิโอ ชื่อเบนโวลิโอ (Benvolio) และ เมอร์คูชิโอ (Mercutio) พยายามปลอบใจ และชวนเขาไปงานเลี้ยงของตระกูลคาปูเล็ต ซึ่งจัดขึ้นในคืนนั้น แม้จะเป็นงานของศัตรู แต่พวกเขาแอบปลอมตัวเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

นบ้านคาปูเล็ต จูเลียต (Juliet) บุตรีวัยเยาว์ของเจ้าบ้าน กำลังเตรียมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน เธอไม่เคยรู้จักความรักมาก่อน และครอบครัวกำลังวางแผนให้เธอแต่งงานกับชายหนุ่มชื่อ ปารีส (Paris) ซึ่งเป็นญาติของเจ้าชาย

เมื่อค่ำคืนมาถึง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างงดงาม มีเสียงดนตรี แสงเทียน และผู้คนมากมาย โรมิโอซึ่งปลอมตัวเข้ามาในงาน เดินผ่านผู้คนอย่างเงียบๆ และทันใดนั้น เขาก็เห็นจูเลียต

โรมิโอตกตะลึง ราวกับโลกทั้งใบเงียบลง “เธอคือแสงสว่างในราตรีอันมืดมน” เขาพึมพำ

จูเลียตก็เห็นโรมิโอเช่นกัน และรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงกว่าที่เคย “ข้าไม่เคยเห็นชายใดที่งามเช่นนี้มาก่อนเลย”

ทั้งสองเดินเข้าหากันอย่างช้าๆ และเริ่มพูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนโยน ราวกับวิญญาณของพวกเขาเข้าใจกันตั้งแต่แรกพบ

แต่เมื่อจูเลียตกลับไปถามพี่เลี้ยงว่าเขาเป็นใคร คำตอบนั้นทำให้เธอสะเทือนใจ “เขาคือโรมิโอ บุตรของมอนตากิว”

จูเลียตตกใจ “ข้ารักศัตรูของครอบครัวข้าแล้วหรือ?”

โรมิโอก็รู้ความจริงเช่นกัน และกล่าวเบาๆ “ข้าพบรักแท้ในบ้านของศัตรู ข้าจะทำเช่นไรดี?”

……….

หลังจากค่ำคืนแห่งการพบกัน โรมิโอ (Romeo) ไม่อาจหยุดคิดถึงจูเลียต (Juliet) ได้เลย เขาเดินกลับไปยังบ้านคาปูเล็ตในยามค่ำ เพื่อแอบมองนางจากสวนใต้ระเบียง และแล้ว…เขาได้ยินเสียงของจูเลียตพูดกับดวงดาว

“โอ โรมิโอ โรมิโอ เหตุใดเจ้าจึงเป็นโรมิโอ? จงปฏิเสธนามของเจ้าเสีย หรือหากเจ้าไม่ยอม ข้าจะละทิ้งนามของข้าแทน…”

โรมิโอซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ เขาไม่อาจทนฟังคำพูดนั้นโดยไม่ตอบ “ข้าจะละทิ้งนามของข้า หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าคือผู้ที่รักเจ้า ไม่ใช่ศัตรูของครอบครัวเจ้า”

จูเลียตตกใจที่เขาอยู่ใกล้เพียงนั้น แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความสุข ทั้งสองพูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนโยนและจริงใจ ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงพวกเขา

เมื่อรุ่งเช้าใกล้เข้ามา โรมิโอรีบไปหา ลอเรนซ์ (Friar Laurence) นักบวชผู้มีเมตตา และขอให้เขาช่วยจัดพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ ลอเรนซ์ลังเล แต่เมื่อเห็นความรักที่แท้จริงของทั้งสอง เขาก็ยอมช่วย โดยหวังว่าการแต่งงานนี้จะช่วยสมานรอยร้าวระหว่างสองตระกูล

ในวันเดียวกันนั้น จูเลียตส่งพี่เลี้ยงไปพบโรมิโอ เพื่อรับคำตอบเรื่องพิธีแต่งงาน โรมิโอบอกสถานที่และเวลาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลา ทั้งสองก็แต่งงานกันอย่างเงียบงันในโบสถ์เล็กๆ โดยมีลอเรนซ์เป็นพยาน

หลังพิธี โรมิโอและจูเลียตต่างกลับบ้านของตน โดยไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว

แต่ในเมืองเวโรนา ความขัดแย้งยังคงคุกรุ่น เมอร์คูชิโอ (Mercutio) เพื่อนของโรมิโอ และเดเมโท (Tybalt) ญาติของจูเลียต ต่างมีความแค้นต่อกัน และกำลังจะเผชิญหน้ากันในถนนกลางเมือง

……..

ณ ถนนในเมืองเวโรนา แสงแดดส่องแรงในยามบ่าย เมอร์คูชิโอ (Mercutio) เพื่อนของโรมิโอ (Romeo) เดินไปพร้อมกับเบนโวลิโอ (Benvolio) เขาอารมณ์ขุ่นมัว และกล่าวว่า “อากาศร้อนเช่นนี้ทำให้เลือดเดือดง่าย ข้าไม่อยากเจอใครจากคาปูเล็ตเลย”

แต่แล้ว เดเมโท (Tybalt) ญาติของจูเลียต (Juliet) ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาโกรธที่โรมิโอแอบเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลคาปูเล็ต และต้องการท้าทายเขาให้สู้

โรมิโอซึ่งเพิ่งแต่งงานกับจูเลียตอย่างลับ ๆ ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ เขากล่าวอย่างสงบ “ข้าไม่มีเหตุผลจะสู้กับเจ้า เดเมโท ข้าเคารพเจ้าอย่างที่ญาติควรเคารพกัน”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้เดเมโทโกรธ เขาคิดว่าโรมิโอเยาะเย้ยเขา เมอร์คูชิโอจึงเข้ามาขวาง และท้าสู้แทน

การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาบฟาดกันกลางถนน โรมิโอพยายามห้าม แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเข้าไปขวางในจังหวะที่เดเมโทแทงเมอร์คูชิโอเข้าที่ท้อง

เมอร์คูชิโอล้มลง เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าโดนแทงแล้ว…ไม่ใช่แผลลึก แต่ลึกพอจะทำให้ข้าตาย”

โรมิโอตกใจและโกรธอย่างสุดขั้ว เขาไม่อาจอดกลั้นได้อีก เขาหยิบดาบขึ้นและไล่ตามเดเมโท ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด และในที่สุด โรมิโอก็แทงเดเมโทจนสิ้นใจ

เสียงร้องดังไปทั่วเมือง ผู้คนแตกตื่น เจ้าชายแห่งเวโรนามาถึง และเมื่อรู้ว่าโรมิโอฆ่าเดเมโท เขาจึงสั่งเนรเทศโรมิโอออกจากเมืองทันที

โรมิโอกลับไปหาลอเรนซ์ด้วยหัวใจที่แตกสลาย “ข้าฆ่าญาติของภรรยา ข้าถูกเนรเทศ ข้าจะไม่ได้เห็นจูเลียตอีกแล้ว”

ลอเรนซ์พยายามปลอบ “เจ้าจะได้พบจูเลียตอีกครั้งก่อนจากไป และข้าจะหาทางให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”

ในบ้านคาปูเล็ต จูเลียตรู้ข่าวการตายของเดเมโท และรู้ว่าโรมิโอเป็นผู้ลงมือ นางร้องไห้ด้วยความสับสน “ข้าควรโกรธเขา…แต่ข้ารักเขา ข้าจะทำเช่นไรดี?”

ในคืนนั้น โรมิโอแอบกลับมาพบจูเลียตเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากเมือง ทั้งสองโอบกอดกันด้วยน้ำตา และสัญญาว่าจะหาทางกลับมาหากันอีกครั้ง

…….

เมื่อโรมิโอ (Romeo) ถูกเนรเทศออกจากเวโรนา เขาหลบไปยังเมืองมานทัว (Mantua) ด้วยหัวใจที่แตกสลาย จูเลียต (Juliet) เองก็ถูกบีบให้แต่งงานกับปารีส (Paris) โดยไม่รู้ว่าโรมิโอยังมีชีวิตอยู่ นางพยายามปฏิเสธ แต่ครอบครัวไม่ฟังเสียงใด

จูเลียตจึงไปหาลอเรนซ์ (Friar Laurence) ด้วยความสิ้นหวัง “ข้าไม่อาจแต่งงานกับชายอื่นได้ ข้าเป็นภรรยาของโรมิโอแล้ว”

ลอเรนซ์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสนอแผนลับ “ข้าจะให้เจ้าดื่มยานี้ มันจะทำให้เจ้าดูเหมือนสิ้นใจไปชั่วคราว เมื่อครอบครัวพบเจ้า พวกเขาจะคิดว่าเจ้าตายแล้ว และจะนำร่างเจ้าไปฝังในสุสานของตระกูล ข้าจะส่งข่าวไปหาโรมิโอให้มารับเจ้าเมื่อเจ้าตื่นขึ้น”

จูเลียตยอมรับแผนด้วยความกล้าหาญ นางกลับบ้านและแสร้งทำเป็นยอมแต่งงานกับปารีส แต่ในคืนก่อนพิธี นางดื่มยาตามที่ลอเรนซ์ให้ไว้ และล้มลงอย่างเงียบงัน

รุ่งเช้า ครอบครัวคาปูเล็ตพบจูเลียตนอนนิ่งไร้ลมหายใจ พวกเขาร้องไห้ด้วยความเศร้า และจัดพิธีฝังศพอย่างเร่งรีบ

แต่ในเมืองมานทัว ข่าวที่ไปถึงโรมิโอไม่ใช่ข่าวจากลอเรนซ์ หากเป็นข่าวลือจากผู้เดินทางผ่าน เขาได้ยินว่า “จูเลียตสิ้นใจแล้ว”

โรมิโอช็อก เขาไม่รู้ถึงแผนลับของลอเรนซ์ และคิดว่าความรักของเขาได้จบลงแล้ว เขาจึงรีบกลับไปยังเวโรนา พร้อมกับยาพิษที่เขาซื้อมาด้วยความตั้งใจแน่วแน่

“หากนางไม่อยู่ ข้าก็ไม่ควรอยู่เช่นกัน” เขาพึมพำขณะเดินเข้าสู่สุสานของตระกูลคาปูเล็ต

ในสุสาน เขาพบจูเลียตนอนอยู่ในความเงียบงัน และกล่าวคำอำลาด้วยน้ำตา “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ แม้ในความตาย”

แล้วเขาก็ดื่มยาพิษ และล้มลงข้างร่างของนาง

ไม่นานหลังจากนั้น จูเลียตฟื้นขึ้นมา และพบโรมิโอนอนนิ่งอยู่ข้างๆ นางรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น และหัวใจของนางก็แตกสลาย

“โอ โรมิโอ…เจ้าจากข้าไปแล้วจริงหรือ?” นางกล่าวเบาๆ แล้วหยิบกริชของเขาขึ้นมา และจบชีวิตของตนเองเคียงข้างเขา

……….

เมื่อเจ้าชายแห่งเวโรนา (Prince of Verona) มาถึงสุสาน เขาพบร่างของโรมิโอ (Romeo) และจูเลียต (Juliet) นอนเคียงกันอย่างสงบ ข้างๆ มีปารีส (Paris) ผู้ถูกโรมิโอสังหารขณะพยายามปกป้องสุสานของหญิงที่เขารัก

ลอเรนซ์ (Friar Laurence) ซึ่งมาถึงช้าไปเพียงครู่เดียว ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าชายและครอบครัวทั้งสองฟัง ตั้งแต่เรื่องความรักที่เป็นความลับ การแต่งงาน การเนรเทศ และแผนการหลบหนีที่ผิดพลาด

ทุกคนเงียบ ไม่มีเสียงโต้เถียง ไม่มีคำกล่าวโทษ มีเพียงความเศร้าและความเสียใจที่แผ่ไปทั่วสุสาน

ลอร์ดมอนตากิว (Lord Montague) และลอร์ดคาปูเล็ต (Lord Capulet) มองดูร่างของลูกทั้งสอง และรู้ทันทีว่า ความเกลียดชังที่พวกเขาสร้างขึ้นคือสาเหตุของโศกนาฏกรรมนี้

“ข้าจะสร้างรูปปั้นทองคำให้จูเลียต เพื่อให้ผู้คนจดจำความงามและความรักของนาง” ลอร์ดมอนตากิวกล่าว

“และข้าจะทำเช่นเดียวกันกับโรมิโอ” ลอร์ดคาปูเล็ตตอบ

เจ้าชายกล่าวอย่างหนักแน่น “ความรักของหนุ่มสาวสองคนนี้ได้ดับความแค้นของครอบครัวทั้งสองลงแล้ว แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไป”

เมื่อพิธีฝังศพจัดขึ้นอย่างเงียบงัน ผู้คนในเวโรนาต่างมาร่วมไว้อาลัย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงดนตรี มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านสุสาน และแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องลงบนหลุมศพของโรมิโอกับจูเลียต

เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้จบด้วยความสุข แต่จบด้วยความจริง ความรักที่กล้าหาญ ความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืน และความสงบที่เกิดขึ้นจากการยอมรับ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

แผนลับปราบแผนร้าย : นิทานคุณธรรมเรื่องความร่วมมือและพลังแห่งศิลปะ

ในโลกของนิทาน พ่อมดมักเป็นตัวแทนของเล่ห์กลและอำนาจลึกลับที่สามารถพลิกให้สิ่งดีงามกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายได้ในพริบตา แต่ในขณะเดียวกัน พ่อมดก็เป็นภาพสะท้อนของ “ใจมนุษย์” ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ หากมีแสงแห่งปัญญาและความงามคอยส่องนำทาง

“แผนลับปราบแผนร้าย” เป็นนิทานแนวศิลปะที่งดงามและลึกซึ้ง ถ่ายทอดเรื่องราวของความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อแข่งขันเอาชนะกัน แต่มีไว้เพื่อเชื่อมใจผู้คนให้เข้าใจซึ่งกันและกัน ผ่านพลังแห่งภาพวาดและหัวใจที่อ่อนโยนของศิลปิน

นิทานเรื่องนี้จะพาผู้อ่านไปสัมผัสกับเวทมนตร์อีกแบบหนึ่ง เวทมนตร์ที่ไม่ได้เกิดจากคาถาในตำรา แต่เกิดจาก “ความงาม” ที่ปลุกความดีในใจของทุกคนให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

นานมาแล้ว มีพ่อมดเจ้าเล่ห์ตนหนึ่ง ปรารถนาที่จะปลูกฝังนิสัยชอบชิงดีชิงเด่นให้เกิดขึ้นในใจของมนุษย์  ด้วยเหตุนี้  พ่อมดจึงแปลงกายเป็นนักจัดการประกวด  แล้วเนรมิตสนามประลองฝีมือขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการแข่งขันชิงชัยต่าง ๆ

พ่อมดเจ้าเล่ห์ยืนบนเวทีประกวดศิลปะในนิทานเรื่อง แผนลับปราบแผนร้าย ท่ามกลางผู้ชมและผู้เข้าแข่งขัน
พ่อมดเจ้าเล่ห์ผู้ใช้กลอุบายจัดการแข่งขันศิลปะ เพื่อปลุกความริษยาในใจมนุษย์ จากนิทาน “แผนลับปราบแผนร้าย”

พ่อมดพยายามจัดการประกวดสำหรับทุกเพศทุกวัย เพื่อปลุกเร้าให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่อยากจะเอาชนะผู้อื่น   พ่อมดจัดการแข่งขันคิดเลขเร็วสำหรับเด็ก ๆ    จัดการประกวดความงามสำหรับหนุ่มสาว   จัดงานแข่งตำหมากสำหรับผู้สูงอายุ  พ่อมดคิดการประกวดได้สารพัดรูปแบบ 

ผู้ชนะซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า ต่างพอใจที่ตนมีความสามารถเหนือกว่าคู่แข่งขัน   ฝ่ายผู้แพ้ที่มีจำนวนมากกว่า ก็พาลนึกเคียดแค้นและรอโอกาสที่จะได้กลับมาแก้มือกับผู้ชนะอีกสักครั้ง   ไม่ช้าไม่นานนัก  คนที่ติดบ่วงแห่งเล่ห์กลของพ่อมดก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจนน่าเป็นห่วง

วันหนึ่ง  พ่อมดเกิดนึกสนุกอยากจัดการแข่งขันประชันฝีมือทางศิลปะ   ดังนั้น  มันจึงวางแผนยุยงให้ผู้คนส่งนักวาดรูปฝีมือดีมาแข่งกันเพื่อค้นหาผู้ชนะ

ครูไม้เป็นศิลปินใจดีที่ชาวเมืองสีน้ำขอร้องให้เข้าร่วมการแข่งขัน  ส่วนครูอ้อยเป็นนักวาดรูปสาวแสนสวยที่เมืองคู่แข่งส่งเข้าร่วมชิงชัยในงานนี้   ทั้งครูไม้และครูอ้อยต่างไม่อยากเข้าแข่งขันเลยสักนิด  เพราะศิลปะไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อใช้ต่อสู้เอาชนะกัน  แต่ศิลปะมีไว้เพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้ทุกคนรักกันต่างหาก   อย่างไรก็ดี  ครูไม้และครูอ้อยกลับตกลงเข้าร่วมการแข่งขันโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะทั้งคู่มีแผนลับบางอย่างที่ตั้งใจจะต้องทำให้ได้

ครูไม้และครูอ้อยกำลังวาดภาพอย่างตั้งใจในนิทานเรื่อง แผนลับปราบแผนร้าย แสดงพลังแห่งศิลปะและความร่วมมือ
สองศิลปินใจดีเริ่มวาดภาพเพื่อใช้แผนลับปราบพ่อมดเจ้าเล่ห์ ด้วยพลังแห่งศิลปะและความเมตตา

เมื่อวันประกวดมาถึง  ครูไม้ซึ่งชอบวาดรูปสัตว์ก็ตวัดพู่กันวาดรูปช้างพ่นน้ำได้อย่างมีชีวิตชีวาที่สุด   ในขณะเดียวกัน  เมื่อครูอ้อยเห็นภาพช้างของลุงอุ้ยอ้าย  เธอจึงบรรจงวาดรูปดอกไม้สี หวาน ชูกิ่งก้านอาบสายฝนที่แสนสดชื่น   พ่อมดดีใจที่เห็นศิลปินสองคนหลงกลเข้ามาปะทะฝีมือกัน   ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ…คนที่เอาใจช่วยนักวาดภาพทั้งสองก็ย่อมต้องเกิดความรู้สึกที่อยากจะดีเด่นเหนืออีกฝ่ายหนึ่งแน่ ๆ    พ่อมดนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ  และเมื่อศิลปินทั้งสองวาดรูปเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พ่อมดก็ส่งข่าวป่าวร้องให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเข้าร่วมลงคะแนนตัดสินศึกศิลปะในครั้งนี้

แต่ก่อนที่ผู้คนจะลงคะแนน  ครูไม้กับครูอ้อยก็เริ่มดำเนินการตามแผนลับที่พวกตนแอบเตรียมเอาไว้  โดยทั้งคู่ช่วยกันนำภาพที่ตนเองวาดมาวางลงคู่กัน  ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ มันทำให้เกิดภาพใหม่ เป็นรูปช้างกำลังรดน้ำให้แก่ดอกไม้ มองดูสวยงามและกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์

ครูไม้และครูอ้อยนำภาพของตนมาวางเคียงกัน กลายเป็นภาพช้างรดน้ำดอกไม้จากนิทานเรื่อง แผนลับปราบแผนร้าย

ผู้คนต่างส่งเสียงอื้ออึงเมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งดูสมบูรณ์แบบ และลงตัวกว่าภาพเดี่ยวของทั้งคู่เป็นไหน ๆ   ภาพดอกไม้ที่ได้รับพลังแห่งความสดชื่นจากเจ้าช้างน้อย  ทำให้ผู้คนได้สติและตระหนักว่า  การแข่งขันเพื่อช่วงชิงชัยชนะมีค่าเทียบไม่ได้กับการร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น   เมื่อผู้คนคิดได้ดังนั้นแล้ว  แผนร้ายของพ่อมดที่อยากให้ผู้คนนิยมชมชอบการชิงดีชิงเด่นจึงล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า

หลายคนอาจวิตกว่าพ่อมดคงคิดหาวิธีล่อหลอกให้ผู้คนหลงผิดอีกเป็นแน่  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  เมื่อพ่อมดได้เห็นภาพของนักวาดภาพทั้งสองท่านแล้ว  ความคิดที่ชั่วร้ายต่าง ๆ ก็กลับสลายไปด้วยพลังแห่งความงามของภาพเขียนและความร่วมมือร่วมใจกันของนักวาดภาพทั้งสอง

ในที่สุด  พ่อมดก็กลับใจเป็นคนดี และขอฝากเนื้อฝากตัวเรียนรู้วิธีการวาดรูปสวย ๆ กับครูไม้และครูอ้อยนั่นเอง   ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนัก  พ่อมดผู้หลงใหลในศิลปะก็กลายเป็นศิลปินชื่อดัง ที่คอยสร้างสรรค์ผลงานแสนสวย เพื่อกล่อมเกลาหัวใจของคนทั่วทั้งโลกให้อ่อนโยนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การร่วมมือกันย่อมมีค่ามากกว่าการแข่งขันเอาชนะกัน
  • ศิลปะมีพลังกล่อมเกลาจิตใจให้ละอายต่อความชั่ว
  • ความงามและความดีสามารถเปลี่ยนใจผู้ที่หลงผิดได้
  • การให้อภัยและการร่วมแรงร่วมใจนำความสุขมาสู่ทุกฝ่าย
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

คำสอนของแม่ – นิทานก่อนนอนสอนใจที่อบอุ่นและให้พลังใจแก่ทุกคน

นิทานต่อไปนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เคยแต่งลงใน นิตยสารขวัญเรือน และเคยนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ สาขา 2 ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวไปแล้ว ในโอกาสที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ กำลังปรับปรุงเนื้อหาและยุติการเผยแพร่นิทานบางส่วน ผมจึงอยากนำนิทานเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่อาจมีผู้อ่านไม่มากนัก กลับมาเผยแพร่อีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังใจของเด็กหญิงคนหนึ่งผู้เติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก แต่เธอมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่นในคำสอนของแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักและเมตตา เรื่องราวสะท้อนให้เห็นคุณค่าของความมุ่งมั่น ความกตัญญู และความพยายามในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจจริง เป็นนิทานที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทั้งความอบอุ่นและแรงบันดาลใจในเวลาเดียวกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งชื่อว่า “ลินลา” ลินลาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่และน้องอีกสองคน ครอบครัวของลินลามีฐานะไม่สู้ดีนัก หนำซ้ำ แม่ของลินลาก็อายุมากแล้ว ลินลาจึงอยากหางานทำเพื่อนำเงินมาดูแลแม่และน้อง ๆ ให้มีชีวิตสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่

วันหนึ่ง ลินลาทราบข่าวว่า พระราชินีทรงต้องการสาวใช้คนใหม่ไปทำงานในวัง แม้ลินลาจะไม่รู้ระเบียบวิธีในการทำงานรับใช้เจ้านายในวังมาก่อน แต่เธอก็คิดว่า นี่คงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เธอดูแลแม่กับน้อง ๆ ให้สุขสบายได้เร็วขึ้น ลินลาจึงขออนุญาตแม่ไปสมัครทำงาน ทั้ง ๆ ที่เธอก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย

ก่อนออกเดินทาง แม่ของลินลากอดลูกสาวคนดีเอาไว้ในอ้อมอก พร้อมกับให้กำลังใจว่า “งานทุกอย่าง…ถ้าเราเอาใจใส่ ก็ไม่มีอะไรยากจนเราทำไม่ได้หรอกนะลูก”

คำสอนของแม่ทำให้ลินลาอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ลินลากอดแม่แนบแน่น จากนั้น เธอก็ลาแม่เพื่อเดินทางไปยังพระราชวังตามที่ตั้งใจเอาไว้

เมื่อมาถึงพระราชวัง ลินลาพบว่ามีสาวชาวบ้านแห่แหนกันมาสมัครเป็นสาวใช้ในวังนับได้เกือบหนึ่งร้อยคน แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ว่างมีเพียงตำแหน่งเดียว นางข้าหลวงในวังจึงต้องทดสอบเด็กสาวแต่ละคนว่าจะทำงานได้ดีสักแค่ไหน

งานแรกที่ลินลาต้องลองทำคือการดูแลที่นอนในห้องบรรทมของพระราชา ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการซักผ้าปูที่นอนจนสะอาดเอี่ยม แล้วนำมันไปตากให้หอมกลิ่นแดด จากนั้น เธอก็นำผ้ามาปูบนเตียงจนเรียบตึง แล้วนำดอกไม้หอมจัดใส่แจกันตั้งไว้ในห้อง เมื่อพระราชาที่เหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันได้เห็นเตียงที่ปูอย่างเรียบร้อยและหอมสะอาดเป็นพิเศษ แถมยังมีกลิ่นดอกไม้ชวนให้สบายใจ พระองค์จึงนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน

วันต่อมา ลินลาได้รับมอบหมายให้ดูแลสวนดอกไม้ของพระราชินี ในตอนแรก ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการตัดหญ้าให้เป็นระเบียบ, ตัดแต่งพุ่มไม้ให้ได้รูป, เช็ดถูม้านั่งจนสะอาด, นำก้อนหินน้อยใหญ่มาเรียงเป็นแนวเพิ่มความงามให้กับทางเดินในสวน, หาบ้านนกหลังเล็ก ๆ มาแขวนไว้ตามต้นไม้ แล้วเอาอ่างน้ำมาวางกลางสนามเพื่อให้นกมีน้ำสะอาดดื่มกิน เมื่อพระราชินีผู้มีจิตใจอ่อนโยนเสด็จมาเห็นสวนสวยที่มีชีวิตชีวาด้วยเสียงนกร้อง พระองค์ก็ทรงยิ้มและรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

วันสุดท้าย นางข้าหลวงมอบหมายให้ลินลาทำของหวานให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงองค์น้อยที่อ้วนตุ้ยนุ้ยเสวยตามสูตรที่ทั้งสองพระองค์ทรงชอบ ลินลาดูสูตรขนมแล้วค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ จากนั้น ลินลาก็ตัดสินใจทำของหวานโดยลดน้ำตาลจากเดิมลงถึงครึ่งหนึ่ง เพราะเธอห่วงสุขภาพของเจ้าชายและเจ้าหญิง ลินลาใช้วิธีจัดแต่งของหวานในจานเป็นรูปสัตว์น่ารัก ๆ เพื่อทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงสนใจในหน้าตาของขนมมากกว่ารสหวานที่ลดน้อยลง ซึ่งเมื่อเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้เห็นและชิมขนมที่ลินลาทำ ทั้งคู่ก็นั่งกินขนมแสนน่ารักของลินลากันอย่างมีความสุข

เมื่อถึงวันตัดสินผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสาวใช้ในวัง หญิงสาวหลายคนต่างคาดเดาว่าลินลาคงได้เป็นสาวใช้คนใหม่อย่างแทบไม่ต้องสงสัย แต่ทันทีที่นางข้าหลวงประกาศผลผู้ที่ได้รับเลือก ทุกคนก็ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้คนใหม่ กลับไม่ใช่ลินลาอย่างที่หลาย ๆ คนคิด!

ลินลาผิดหวังที่เธอไม่ได้รับเลือกและหมดโอกาสทำงานหาเงินไปดูแลแม่กับน้อง ๆ แต่ในขณะที่ลินลากำลังสิ้นหวังอยู่นั้น จู่ ๆ พระราชินีก็เสด็จเข้ามาในห้อง แล้วเดินตรงมาหาลินลาโดยที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน

เมื่อพระราชินีมายืนต่อหน้าลินลา พระองค์ก็ทรงกล่าวกับสาวน้อยผู้แสนดีว่า “คนที่เอาใจใส่ต่อการทำงานอย่างหนู คงไม่เหมาะที่จะเป็นเพียงสาวใช้ในวังเท่านั้น ชั้นอยากให้หนูมาเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายกับเจ้าหญิง และคอยดูแลทั้งสองพระองค์ให้เติบโตอย่างมีความสุขจะได้ไหม”

ลินลาตกใจมากที่พระราชินีทรงเชื่อใจให้เธอดูแลพระโอรสและพระธิดาที่พระองค์รักดั่งแก้วตาดวงใจ แต่เมื่อพระราชินีทรงยืนยันว่าพระองค์เชื่อในความเอาใจใส่ของลินลาที่น่าจะดูแลเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้อย่างวิเศษ ลินลาจึงรู้สึกปลาบปลื้มและรับทำงานให้พระราชินีด้วยความ เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุด ลินลาก็มีงานทำและสามารถดูแลแม่กับน้อง ๆ ได้สมดังที่เธอหวังเอาไว้ ลินลามีความสุขมาก เธอนึกขอบคุณคำสอนของแม่ พร้อมกับสัญญากับตัวเองว่า เธอจะทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเอาใจใส่ และจะตั้งใจทำงานทั้งหลายอย่างสุดความสามารถ

#นิทานนำบุญ

Posted in เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : จุดจบของแม่มดน้อย | นิทานนำบุญ

ในโลกของนิทานก่อนนอนที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และจินตนาการ มีบางเรื่องที่ไม่เพียงแต่เล่าเพื่อความบันเทิง แต่ยังปลุกหัวใจให้ตื่นขึ้นด้วยความอ่อนโยนและความดีงาม “จุดจบของแม่มดน้อย” คือหนึ่งในนิทานเช่นนั้น—เรื่องราวของแม่มดน้อยผู้ไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายได้สำเร็จ แต่กลับเลือกทำความดีอย่างไม่ลังเล แม้ต้องแลกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็ตาม

นิทานเรื่องนี้ไม่ได้เพียงเล่าถึงการเดินทางของตัวละคร แต่ยังสะท้อนการเดินทางภายในจิตใจของผู้ฟัง จากความเจ็บปวด สู่การให้อภัย และการกลับคืนสู่รากแท้ของความดีงาม ด้วยโครงเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานต่างประเทศอันทรงพลัง ผู้เขียน (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้ถักทอเรื่องใหม่ขึ้นอย่างตั้งใจ เพื่อแสดงความเคารพต่อความทรงจำในวัยเยาว์ และเพื่อมอบนิทานที่อบอุ่นที่สุดในบรรดานิทานแม่มดที่เขาเคยแต่ง

เมื่อนิทานเรื่องนี้ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบ “เพลงเล่านิทาน” ความงดงามของเรื่องราวก็ยิ่งทวีคูณ เสียงเพลงและการเล่าเรื่องช่วยเติมอารมณ์ให้ลึกซึ้งขึ้นจากความหนาวเหน็บของภูเขามายา สู่แสงสว่างของดินแดนนางฟ้า ทุกถ้อยคำและท่วงทำนองล้วนสื่อถึงความหวังที่ซ่อนอยู่ในความเศร้า และพลังแห่งความดีที่ไม่เคยสูญหายไปจากโลกใบนี้

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

“นานา” แม่มดน้อยกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่มดใจร้าย เติบโตมาท่ามกลางความมืดมนและการเรียนรู้เวทมนตร์เพื่อทำเรื่องชั่วร้าย แม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับสอบตกวิชาความชั่ว และไม่เคยทำให้นางแม่มดภูมิใจได้เลย

วันหนึ่ง นานาตัดสินใจออกเดินทางขึ้นภูเขามายาเพื่อนำผลไม้อมตะกลับไปมอบให้นางแม่มดผู้มีพระคุณ ระหว่างทาง เธอได้ช่วยเหลือผู้คนและสัตว์ที่กำลังลำบาก มอบไม้กวาดวิเศษให้เด็กน้อย, ฝากแมวน้อยไว้กับแม่เสือดำที่สูญเสียลูก และสละผ้าคลุมวิเศษให้ครอบครัวกระต่ายที่หนาวเหน็บ

แม้จะเสียสิ่งสำคัญไปทั้งหมด นานายังคงมุ่งมั่นเดินต่อ แต่สุดท้ายเธอก็หมดแรงและสิ้นลมหายใจกลางหิมะหนาวเหน็บ ก่อนถึงยอดเขาเพียงนิดเดียว

ทว่าเรื่องราวยังไม่จบ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น และนานาก็ฟื้นคืนชีพในร่างของเด็กหญิงที่แท้จริง เธอคือทายาทแห่งดินแดนนางฟ้าที่ถูกแม่มดใจร้ายลักพาตัวไปตั้งแต่แบเบาะ การทำความดีของนานาได้พิสูจน์จิตใจอันงดงามของเธอ และนำเธอกลับคืนสู่บ้านเกิดในฐานะนางฟ้าองค์น้อยอีกครั้ง

ในส่วนของเพลง จุดจบของแม่มดน้อย เพลงนี้เล่าเรื่องในแบบเพลงเล่านิทาน คือ เนื้อเพลงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอ่านนิทานเสร็จแล้วได้ฟังเพลงต่อ ก็จะรู้สึกหรือคิดภาพตามไปได้ง่ายขึ้น

ท่านที่ชอบเพลงนิทาน-นิทานเพลงในคลิป และอยากอ่านนิทานฉบับเต็ม ผมขอนำลิงค์มาแปะไว้ให้ นิทานฉบับเต็มมีรายละเอียดที่สมบูรณ์กว่าฉบับย่อ หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

แม่มดน้อยนานาในชุดคลุมดาว ขี่ไม้กวาดพร้อมแมวดำ ฉากหลังเป็นภูเขาและปราสาท – ภาพประกอบนิทาน จุดจบของแม่มดน้อย โดย นำบุญ
Posted in นิทานพื้นบ้าน, นิทานไทย, Thai Folk Tales in English

Thai Folktale: The Golden Conch Child and His Mother’s Love

Thai Folktale: The Golden Conch Child and His Mother’s Love is a beloved story from Thailand, passed down through generations as part of the country’s rich oral storytelling tradition. Though its precise origin is difficult to trace, the tale likely emerged during the Ayutthaya period or earlier, when Buddhist values, royal symbolism, and moral teachings were deeply woven into everyday life.

Unlike Western fairy tales with named authors, this folktale was shaped collectively—told by monks, elders, and village storytellers who used it to teach compassion, resilience, and the triumph of virtue over envy. It reflects the heart of Thai culture, where karma, forgiveness, and maternal love are guiding forces.

At its core, the story follows a gentle queen wrongfully exiled, and her miraculous son born not in human form, but as a radiant golden conch shell. Through hardship and quiet courage, the tale explores themes of injustice, unconditional love, and the hidden nobility that lies beneath appearances.

The golden conch itself carries deep cultural meaning in Thailand. Used in sacred ceremonies and symbolizing purity and blessing, it transforms in this tale into a vessel of hope and divine protection. For international readers, this folktale offers not only a moving narrative, but also a window into Thai values, palace life, and the enduring strength of a mother’s love.

Long ago in the city of Varanasi, there lived a wise king named Brahmadatta. He had two queens—Queen Chandradevi, who was kind and quiet, and Queen Suwannachampaka, who was clever but sometimes jealous.

One day, both queens became pregnant. Everyone in the palace was excited! The royal astrologer came to tell their fortunes. He said Queen Chandradevi would have a son with great blessings, and Queen Suwannachampaka would have a daughter with good fortune—but not as great as the prince.

Queen Suwannachampaka felt afraid. She worried the king would love the prince more than her daughter. Her fear turned into anger, and she made a plan to trick the king.

Queen Suwannachampaka told the king that Queen Chandradevi was doing secret magic to make her son become king. Many people repeated the lie, and the king started to believe it.

Without asking questions, the king sadly sent Queen Chandradevi away from the palace.

She walked out with tears on her face, holding her baby inside her belly. People watched her go, but no one dared to speak. She walked far, through hot sun and dusty roads, until she found a small hut in the forest. An old couple lived there. They saw she was tired and kind, so they let her stay.

One stormy night, Queen Chandradevi gave birth. But instead of a baby boy, she saw a shiny golden conch shell. She was surprised and scared. “Why are you like this?” she whispered, crying softly.

But when she looked at the glowing shell, she felt a deep love. She named him Suwannasankha Kumar and cared for him gently, even though she didn’t understand why he was born that way.

Time passed. Every day, the queen went outside to collect wood and water. The golden conch stayed quiet in a soft basket. But the old couple noticed something strange—when the queen was gone, the house became clean and tidy!

One day, they peeked through a crack in the wall. To their surprise, a handsome boy stepped out of the conch shell! He swept the floor and smiled kindl

They quickly called the queen home. When she saw her son in human form, she cried with joy. “My child… how long have you been like this?” she asked.

The boy said, “I hide in the shell to keep you safe, and to stay away from danger.” She hugged him tightly, full of love and hope.

That night, she broke the shell with her own hands. She was scared, but she believed in love more than fear. From then on, her son stayed in human form forever.

News of the magical boy spread to nearby villages. People said he was special—maybe even a blessing from heaven. A nobleman told the king, and the king felt curious and sorry.

He sent people to see the boy. When they saw Suwannasankha Kumar, they said he looked noble and kind. The king invited the queen and her son back to the palace with honor.

The queen walked in proudly, with her son beside her. The king said, “I was wrong. I believed lies and didn’t ask the truth.” The queen smiled gently. “I never hated you. I still believe in goodness.”

Everyone in the palace was quiet and touched by her words.

The boy became a royal prince. He studied well and became a good example for all. And the story of the golden conch child was told again and again, for many years to come.

Illustration of a young Thai boy holding a golden conch shell, dressed in traditional attire, with soft textured background – the folktale “The Golden Conch Child and His Mother’s Love”
Posted in นิทานพื้นบ้าน, นิทานสอนใจ, นิทานไทย

ลูกน้อยหอยสังข์ (สังข์ทอง) : นิทานไทยสอนใจจากเรื่องสุวัณณสังขกุมาร

นิทานเรื่อง “ลูกน้อยหอยสังข์” หรือ “สุวัณณสังขกุมาร” เป็นตอนต้นของวรรณคดีไทยเรื่อง “สังข์ทอง” ที่คนไทยรู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในรูปแบบนิทานพื้นบ้าน ละครจักร ๆ วงศ์ และบทเรียนในโรงเรียน แม้ชื่อ “สุวัณณสังขกุมาร” จะไม่คุ้นหูนัก แต่แท้จริงแล้วคือชื่อดั้งเดิมของพระสังข์ในวัยเยาว์เด็กชายผู้ถือกำเนิดจากหอยสังข์ทองคำ และเป็นตัวแทนของความดีที่ถูกซ่อนเร้นไว้จากสายตาโลกภายนอก

นิทานเรื่องนี้ปรากฏในเอกสารโบราณหลายฉบับ โดยเฉพาะใน “นิทานชาดก” และ “วรรณคดีมูลบทบรรพกิจ” ซึ่งมีการเล่าถึงพระสังข์ในฐานะผู้มีบุญบารมีมาเกิด นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าเรื่องนี้มีรากจากพุทธศาสนา โดยสะท้อนแนวคิดเรื่องกรรม ความเมตตา และการไม่ตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก ขณะที่นักวรรณกรรมไทยมองว่า “สุวัณณสังขกุมาร” เป็นภาคเด็กที่มีความอ่อนโยน ละเมียดละไม และเปี่ยมด้วยอารมณ์แม่ลูกที่ลึกซึ้ง

นิทานเรื่องนี้ไม่มีผู้แต่งที่ระบุชัดเจน เนื่องจากเป็นนิทานพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาในรูปแบบมุขปาฐะ ก่อนจะได้รับการบันทึกในเอกสารวรรณคดีไทย เช่น วรรณคดีมูลบทบรรพกิจ และ นิทานชาดก ซึ่งมีการรวบรวมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 1–3 เรื่องราวของสุวัณณสังขกุมารจึงถือเป็นมรดกทางวรรณกรรมที่สะท้อนความเชื่อ ความงาม และคุณธรรมของสังคมไทยในอดีต

แม้จะเป็นเพียง “ภาคต้น” ของนิทานเรื่องสังข์ทอง แต่นิทานเรื่อง “ลูกน้อยหอยสังข์” หรือ “สุวัณณสังขกุมาร” ก็มีโครงเรื่องที่สมบูรณ์ในตัวเอง คือ เริ่มจากการถูกใส่ร้าย การพลัดพราก การเกิดอัศจรรย์ และการกลับคืนสู่ความรักและความยุติธรรม เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การปูพื้นให้พระสังข์เติบโตเป็นเจ้าชายผู้กล้าหาญในภาคหลัง แต่ยังเป็นนิทานสอนใจที่สะท้อนคุณค่าของความรัก ความอดทน และความดีที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยรูปลักษณ์

ณ กรุงพาราณสีอันรุ่งเรือง พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์ด้วยพระปรีชาญาณและความเมตตา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้รอบคอบ แต่ก็มีพระทัยอ่อนไหวต่อความขัดแย้งในวังหลวง พระองค์มีมเหสีสององค์ คือ นางจันทราเทวี ผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความสงบเสงี่ยม กับนางสุวรรณจัมปากะ ผู้เฉลียวฉลาดแต่มีจิตริษยาแฝงอยู่ลึก ๆ ทั้งสองต่างได้รับความโปรดปราน แต่ความแตกต่างในนิสัยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มิอาจมองข้าม

วันหนึ่ง มเหสีทั้งสองตั้งครรภ์พร้อมกัน ข่าวนี้สร้างความยินดีในราชสำนัก โหรหลวงถูกเรียกมาทำนายชะตาแห่งทารกในครรภ์ และคำทำนายที่ออกมากลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งใหญ่ โดยโหรหลวงทำนายว่า นางจันทราเทวีจะให้กำเนิดโอรสผู้มีบุญ ส่วนนางสุวรรณจัมปากะจะได้ธิดาผู้มีวาสนาแต่ไม่สูงเท่าโอรส คำทำนายนี้ทำให้นางสุวรรณจัมปากะรู้สึกหวั่นไหวอย่างรุนแรง ความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจและตำแหน่งในใจพระราชาเริ่มกัดกินจิตใจของนางอย่างเงียบ ๆ

ด้วยความริษยาและความกลัวที่แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ นางสุวรรณจัมปากะจึงวางแผนใส่ร้ายนางจันทราเทวี โดยนางแอบปลุกปั่นขุนนางใกล้ชิดให้กราบทูลพระราชาว่า นางจันทราเทวีมีใจคิดร้ายต่อพระองค์และแอบทำพิธีลับเพื่อให้โอรสของตนได้ครองราชย์ พระเจ้าพรหมทัตแม้จะเป็นผู้รอบคอบ แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวหาซ้ำ ๆ จากหลายฝ่าย พระทัยก็เริ่มหวั่นไหว ความลังเลแปรเปลี่ยนเป็นความไม่ไว้วางใจ และในที่สุด พระองค์ก็มีรับสั่งให้เนรเทศนางจันทราเทวีออกจากวังโดยไม่ไต่สวน

เช้าวันนั้น ท้องฟ้าเหนือกรุงพาราณสีดูหม่นหมองกว่าทุกวัน นางจันทราเทวีเดินออกจากวังอย่างเงียบงัน อุ้มครรภ์ที่ใกล้คลอดด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา ขุนนางและนางกำนัลบางคนมองตามด้วยความสงสาร แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา ผู้คนริมถนนต่างหลบสายตา บ้างแอบซุบซิบ บ้างยืนมองด้วยความเวทนา เสียงเกือกม้าของราชองครักษ์ที่เดินตามหลังนางดังสะท้อนใจไปทั่วเมือง ราวกับเป็นเสียงของความไม่ยุติธรรมที่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน

นางจันทราเทวีเดินทางออกจากเมืองท่ามกลางแดดร้อนระอุ ฝุ่นลอยคลุ้งตามทางเดินที่ทอดยาวสู่ป่าริมเมือง ความเหนื่อยล้าเริ่มกัดกินร่างกาย แต่ความรักที่มีต่อลูกในครรภ์ยังคงเป็นแรงผลักดันให้ก้าวต่อไป จนในที่สุด นางก็พบกระท่อมหลังเล็กกลางป่าที่มีตายายใจดีอาศัยอยู่ ตากับยายเห็นนางอ่อนแรงและมีครรภ์ใกล้คลอด จึงเชิญให้นางพักอาศัยโดยไม่ถามไถ่อดีต เพียงมองด้วยสายตาเมตตาและเข้าใจความทุกข์ที่ไม่ต้องเอ่ยวาจา

คืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก ฟ้าร้องคำรามราวกับสะท้อนความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ นางจันทราเทวีคลอดบุตรในกระท่อมเล็ก ๆ ที่มีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่เป็นพยาน แต่สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นไม่ใช่ทารกธรรมดา กลับเป็นหอยสังข์ทองคำที่สะท้อนแสงวาววับ นางตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ ความกลัว ความสับสน และความเศร้าแล่นเข้ามาในใจพร้อมกัน “เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้” นางพึมพำเบา ๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แต่เมื่อมองดูเปลือกหอยที่ส่องประกายราวกับมีชีวิต นางกลับรู้สึกถึงสายใยบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกล้ำ ด้วยความรักของแม่ที่ไม่อาจถูกทำลายด้วยรูปลักษณ์ นางจึงตั้งชื่อหอยสังข์ว่า “สุวัณณสังขกุมาร” และเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลของสวรรค์ แต่ก็เลือกเชื่อในความรักมากกว่าความกลัว

วันเวลาผ่านไป ในกระท่อมกลางป่า นางจันทราเทวีใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเงียบงัน ทุกเช้าเธอจะออกไปหาฟืนและน้ำ ส่วนหอยสังข์ทองคำยังคงนอนนิ่งอยู่ในกระด้งที่ปูด้วยผ้านุ่มสะอาด แม้จะไม่มีเสียงตอบรับ แต่ทุกคืน นางจะนั่งข้างหอยสังข์ พลางพูดเบา ๆ ว่า “แม่รักเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร” คำพูดนั้นเปี่ยมด้วยความหวัง ความเหงา และความกลัวที่แฝงอยู่ในใจ นางจันทราเทวีกลัวว่าลูกจะไม่มีวันเติบโตเป็นมนุษย์ กลัวว่าความรักของแม่จะไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนโชคชะตา

ในเวลาต่อมา ตากับยายที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเดียวกันเริ่มสังเกตว่า ทุกครั้งที่นางจันทราเทวีออกไปทำงานนอกบ้าน บ้านจะสะอาดเรียบร้อยราวกับมีมือวิเศษมาปัดกวาด ตากับยายไม่กล้าถามอะไร แต่ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้น จนวันหนึ่ง ตากับยายแอบดูจากช่องไม้ และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ทั้งสองตกตะลึง เพราะในขณะที่ทั้งคู่มองหอยสังข์ในกระด้ง จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้ชายรูปงามผู้มีราศีก้าวออกมาจากหอยสังข์นั้น แล้วรีบกวาดพื้นอย่างขยันขันแข็ง จัดของอย่างเป็นระเบียบ โดยยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะทำงาน

เมื่อตากับยายเห็นเช่นนั้น ตากับยายจึงไปตามให้นางจันทราเทวีกลับมาจากป่าเร็วกว่าปกติ และเมื่อนางจันทราเทวีได้เห็นลูกในร่างมนุษย์เป็นครั้งแรก นางไม่พูดอะไรในทันที เพียงยืนมองด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ความตื่นเต้น ความอัศจรรย์ และความรักหลั่งไหลเข้ามาในใจอย่างท่วมท้น นางเดินเข้าไปหาลูกอย่างช้า ๆ แล้วนั่งลงข้างเขาพร้อมกับถามว่า “ลูกเอ๋ย… เจ้าเป็นเช่นนี้มาแต่เมื่อใด” เสียงของนางสั่นเครือแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น

เด็กชายหันมามองแม่ด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าซ่อนตัวอยู่ในหอยสังข์เช่นนี้เพื่อให้แม่ไม่ลำบาก และเพื่อหลีกเลี่ยงภัยจากผู้ไม่หวังดี” คำพูดของเขาเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความหมาย นางจันทราเทวีโอบกอดลูกไว้แน่น ราวกับจะไม่ปล่อยให้พลัดพรากอีกครั้ง ความกลัวในใจเริ่มจางหาย เหลือเพียงความกล้าหาญที่เกิดจากความรัก

คืนนั้น ในขณะที่ทุกคนนอนหลับ นางจันทราเทวีตัดสินใจทุบเปลือกหอยสังข์ด้วยมือของตนเอง แม้จะมีความลังเลใจอยู่ลึก ๆ ว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นอันตรายหรือไม่ แต่เธอเลือกเชื่อในสายใยแห่งความรักมากกว่าความกลัว เมื่อเปลือกหอยสังข์แตก เด็กชายจึงกลับไปอยู่ในหอยสังข์อีกไม่ได้

หลังจากนั้น ข่าวเรื่องเด็กชายที่ออกมาจากหอยสังข์ทองคำเริ่มแพร่ไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง ผู้คนต่างพูดถึงความอัศจรรย์ บ้างเชื่อว่าเป็นเทพ บ้างเชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ขุนนางที่เดินทางผ่านป่าได้ยินเรื่องนี้ จึงนำไปกราบทูลพระเจ้าพรหมทัต พร้อมคำบรรยายว่าเด็กชายมีรูปงามและมีวาสนาเหนือสามัญชน

เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้ฟังเรื่องราว พระองค์ก็เกิดความสงสัยและรู้สึกสำนึกผิดในใจลึก ๆ พระองค์จึงส่งคนไปตรวจสอบ และเมื่อทุกคนเห็นสุวัณณสังขกุมารด้วยตาของตัวเอง ทุกคนต่างก็ยอมรับว่าเด็กผู้นี้มีสง่าราศีมากกว่าคนทั่วไป แลดูเป็นผู้มีบุญวาสนาอย่างแท้จริง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทราบเรื่อง พระองค์จึงมีรับสั่งให้เชิญแม่ลูกกลับเข้าวังอย่างสมเกียรติ

การกลับสู่วังครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการคืนสู่สถานะเดิม แต่เป็นการคืนสู่ความรักที่ถูกพรากไปด้วยความเข้าใจผิด นางจันทราเทวีเดินเข้าสู่วังอย่างสง่างาม โดยมีสุวัณณสังขกุมารเดินเคียงข้าง ผู้คนในราชสำนักต่างพากันต้อนรับด้วยความยินดี

พระเจ้าพรหมทัตทรงขอขมานางจันทราเทวีด้วยพระสุรเสียงสั่นเครือ “ข้าผิดไป ที่หลงเชื่อคำใส่ร้ายโดยไม่ไต่สวน” นางจันทราเทวีให้อภัยด้วยใจเมตตา “ข้าไม่เคยโกรธพระองค์เลย เพราะข้ายังเชื่อในความดี” คำพูดนั้นทำให้ทั้งวังเงียบงันด้วยความซาบซึ้ง

สุวัณณสังขกุมารได้รับการแต่งตั้งเป็นโอรสหลวง และได้รับการศึกษาต่อในราชสำนัก พระเจ้าพรหมทัตทรงโปรดปรานพระสังข์อย่างมาก และให้เขาเป็นแบบอย่างแห่งความดีแก่ประชาชน นับจากวันนั้น เรื่องราวของเด็กชายในหอยสังข์ทองคำก็กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันทั่วเมืองพาราณสีสืบมา

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความกตัญญูเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ลูกพึงมี
  • ความหูเบาเชื่อคนง่ายอาจนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่บุคคลที่เรารัก
  • ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นอย่างไร แม่ก็ยังรักลูก
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานผจญภัย

อาลีบาบากับโจร 40 คน | นิทานคลาสสิกสำหรับเด็ก

“อาลีบาบากับโจร 40 คน” เป็นหนึ่งในนิทานที่โด่งดังที่สุดจากชุด พันหนึ่งราตรี (One Thousand and One Nights) หรือที่รู้จักกันในชื่อ อาหรับราตรี ซึ่งเป็นรวมเรื่องเล่าพื้นบ้านจากตะวันออกกลาง เปอร์เซีย อินเดีย และแอฟริกาเหนือ ที่ถูกร้อยเรียงขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9–14 โดยไม่มีผู้แต่งที่แน่ชัด เนื่องจากเป็นนิทานที่สืบทอดกันมาในรูปแบบมุขปาฐะ

แม้ว่าเรื่อง “อาลีบาบา” จะไม่ได้ปรากฏในฉบับภาษาอาหรับดั้งเดิม แต่ถูกเพิ่มเข้ามาในศตวรรษที่ 18 โดยนักแปลชาวฝรั่งเศสชื่อว่า อ็องตวน กัลล็อง (Antoine Galland) ซึ่งได้ยินเรื่องนี้จากนักเล่านิทานชาวซีเรีย และนำมาแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสจนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

นิทานเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่โดดเด่นหลายประการ เช่น คำว่า “Open Sesame” ที่กลายเป็นวลีอมตะ, ตัวละครมอร์จานา ที่เป็นหนึ่งในหญิงสาวที่มีบทบาทสำคัญในนิทานคลาสสิก ด้วยความฉลาดและกล้าหาญ, ธีมของความเมตตา ไหวพริบ และการไม่โลภ สะท้อนคุณธรรมที่สอดคล้องกับการเลี้ยงดูเด็กในทุกยุคสมัย

ในฉบับของนิทานนำบุญ เราได้เรียบเรียงเรื่องนี้ใหม่ให้มีความละมุน อบอุ่น และปลอดภัยสำหรับเด็ก โดยเน้นความกล้าหาญของมอร์จานา ความเมตตาของอาลีบาบา และการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกอย่างอ่อนโยน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลทราย มีชายคนหนึ่งชื่อว่า “อาลีบาบา” เขาเป็นคนยากจน หาเลี้ยงชีพด้วยการตัดฟืนแล้วนำไปขายในตลาดทุกวัน แม้ชีวิตจะเรียบง่าย แต่เขาเป็นคนขยัน ซื่อสัตย์ และมีจิตใจเมตตา เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กที่ปลูกด้วยไม้เก่า ๆ มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวและหม้อดินใบเดียว

วันหนึ่ง ขณะที่อาลีบาบากำลังตัดฟืนอยู่ใกล้เชิงเขา เขาเห็นกลุ่มชายแต่งกายแปลกตาจำนวนสี่สิบคน ขี่ม้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบ พวกเขาหยุดหน้าผาหินใหญ่ และชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “โอเพ่น เซซามี่ (Open Sesame)” ทันใดนั้น ผาหินก็แยกออก เผยให้เห็นถ้ำลึกที่เต็มไปด้วยแสงทองระยิบระยับ

อาลีบาบาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ด้วยความตกใจ เขาเห็นชายกลุ่มนั้นเข้าไปในถ้ำ และเมื่อออกมา พวกเขาก็พูดคำเดิมอีกครั้ง ผาหินจึงปิดลงเหมือนเดิม เขารู้ทันทีว่านี่คือถ้ำสมบัติของโจร

หลังจากโจรจากไป อาลีบาบาเดินไปยังผาหินอย่างระมัดระวัง เขาเอ่ยคำว่า “โอเพ่น เซซามี่ (Open Sesame)” และถ้ำก็เปิดออกจริง ๆ เขาเข้าไปในถ้ำด้วยหัวใจเต้นแรง ภายในเต็มไปด้วยทองคำ อัญมณี และผ้าผืนงามจากแดนไกล

เขาไม่โลภ เขาเลือกหยิบทองคำเพียงเล็กน้อยใส่ถุงผ้า แล้วกลับบ้านอย่างเงียบ ๆ วันต่อมา เขากลับไปที่ถ้ำอีกครั้ง และทำเช่นเดิม นำสมบัติออกมาทีละนิด เพื่อไม่ให้โจรสังเกตเห็น ฐานะของเขาค่อย ๆ ดีขึ้น เขาเริ่มมีเงินพอจะเปิดร้านขายไม้ฟืนและผ้าทอเล็ก ๆ ในตลาด แม้จะยังไม่ร่ำรวย แต่ก็ผิดธรรมดาสำหรับคนที่เคยแทบไม่มีอะไร

คืนหนึ่ง ขณะอาลีบาบากำลังพักผ่อน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ เมื่อเปิดออก เขาพบหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพอิดโรย เธอชื่อว่า “มอร์จานา” และเล่าว่า “มีโจรสี่สิบคนบุกปล้นหมู่บ้านของข้า พวกมันขนของมีค่าทุกอย่างไปจนหมด ข้าเกือบถูกฉุดไปด้วย แต่โชคดีที่หลบหนีมาได้ในความมืด พวกมันช่างร้ายกาจและโหดเหี้ยม ข้ายังจำใบหน้าของพวกมันได้ทุกคน โดยเฉพาะหัวหน้าโจร ชายร่างสูงที่มีดวงตาแข็งกร้าวและรอยยิ้มเย็นชา ข้าไม่มีวันลืม”

อาลีบาบาฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงกลุ่มชายสี่สิบคนที่เขาเคยเห็นหน้าผาหิน และเริ่มเชื่อว่าพวกโจรที่มอร์จานาเล่าถึงกับกลุ่มที่เขาเห็นนั้น น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน เขาจึงให้ที่พักพิงแก่เธอ แม้เขาจะชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียว แต่เขาไม่อาจปล่อยให้เธอเผชิญชะตากรรมตามลำพัง

ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้าโจรเริ่มสังเกตว่ามีบางสิ่งผิดปกติในถ้ำสมบัติ ทองคำบางส่วนหายไป แม้จะไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอให้เขารู้ว่ามีคนลอบเข้ามาโดยไม่ถูกจับได้ เขาจึงสั่งให้ลูกน้องออกไปสืบข่าวในหมู่บ้านใกล้เคียง ว่ามีใครที่ฐานะเปลี่ยนไปอย่างผิดสังเกตหรือไม่

ไม่นานนัก พวกเขาก็รายงานว่า ชายคนหนึ่งชื่ออาลีบาบา ซึ่งเคยยากจนมาก บัดนี้เริ่มมีเงินทุนเปิดร้านเล็ก ๆ แม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ผิดธรรมดา หัวหน้าโจรจึงตั้งเป้าไปที่เขา และวางแผนปลอมตัวเป็นพ่อค้าเดินทาง โดยนำไหน้ำมันจำนวนมากไปที่บ้านอาลีบาบา พร้อมซ่อนลูกน้องไว้ในไหแต่ละใบ เพื่อรอจังหวะลงมือในยามค่ำคืน

มอร์จานาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง เธอรู้สึกว่าพ่อค้าที่เดินทางมามีใบหน้าคล้ายคนบางคนที่เธอเคยพบ ด้วยความไม่แน่ใจ…เธอจึงแอบส่องดูไหและพบว่าในนั้นมีคนซ่อนอยู่ มอร์จานามั่นใจว่าพ่อค้าและไหน้ำมันอีก 39 ใบ คือ โจรที่ปล้นหมู่บ้านของเธอ เธอจึงใช้เชือกผูกปากไหไว้แน่น แล้วรีบไปแจ้งตำรวจให้มาจับโจรทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะออกมา

ความฉลาดและกล้าหาญของมอร์จานาทำให้ทุกคนปลอดภัย และอาลีบาบาก็ซาบซึ้งของเธอมาก

อย่างไรก็ตาม แม้ตำรวจจะจับโจรไปได้ถึง 39 คน แต่หัวหน้าโจรซึ่งไม่ได้อยู่ในไหกลับรอดมาได้ หัวหน้าโจรหลบหนีไปตั้งหลักในเมืองใกล้เคียง แล้วรอเวลาให้ผ่านไปราว 6 เดือน จากนั้น เขาก็วางแผนใหม่ โดยคราวนี้ เขาแต่งกายเป็นพ่อค้าผ้าและเครื่องเทศจากแดนไกล แล้วเดินทางกลับมาที่หมู่บ้านโดยอ้างว่าจะมาค้าขายกับอาลีบาบา

เมื่อมอร์จานาเห็นชายผู้นั้น เธอก็จำได้ทันทีว่าเขาคือหัวหน้าโจรที่เคยปล้นหมู่บ้านของเธอ มอร์จานาจึงวางแผนอย่างเงียบ ๆ ในระหว่างหัวหน้าโจรรอพบกับอาลีบาบา มอร์จานาก็แสร้งทำทีเป็นสนใจเขาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และเมื่อสบโอกาส เธอก็แอบใส่ยานอนหลับลงในเครื่องดื่มของเขา แล้วหลอกให้เขาดื่ม ก่อนที่จะเรียกตำรวจมาจับตัวไปโดยไม่มีใครได้รับอันตราย

“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้หลายครั้ง” อาลีบาบากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้ายังไง แต่ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ข้าขอรับเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของข้า”

มอร์จานายิ้มอย่างอ่อนโยน เธอไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากความปลอดภัยและความรักที่แท้จริง และนับจากวันนั้น เธอกับอาลีบาบาก็อยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • คนดีที่มีใจเมตตาและไม่โลภ จะได้รับความสุขและปลอดภัยในที่สุด
นิทานคลาสสิกจากชุดพันหนึ่งราตรี เรื่องราวของอาลีบาบา มอร์จานา และโจร 40 คน ที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ไหวพริบ และความเมตตา เหมาะสำหรับเด็กและครอบครัว