ยุคที่เปลี่ยนไป ทำให้คนหลาย ๆ คนหลงลืมคุณความดีของผู้มีพระคุณ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู ผู้หลักผู้ใหญ่ กัลยาณมิตรทั้งที่เป็นเพื่อนวัยเดียวกันและต่างวัยกัน รวมทั้งสรรพสัตว์ที่ให้คุณแก่เรา ดังนั้น ผู้เขียนจึงแต่งนิทานเรื่องนี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดความคิดเรื่องความกตัญญูกตเวทีให้แก่เด็ก ๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
นิทานเรื่อง ควายแทนคุณ
นานมาแล้ว ยังมีเด็กกำพร้าคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ กับควายน้อยเพื่อนรักของเขา เจ้าควายตัวนี้เป็นสมบัติเพียงอย่างเดียวที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนที่ท่านจะจากเขาขึ้นสวรรค์ เด็กน้อยจึงสนิทสนมและผูกพันกับควายของเขามาก
สิบปีต่อมา เด็กเลี้ยงควายเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยที่แม้จะยากจนแต่ก็มีความสุข ส่วนเจ้าควายที่ช่วยเขาไถนาทำนาก็ค่อย ๆ แก่ตัวลงจนทำงานต่อไปไม่ไหว เมื่อชาวบ้านเห็นดังนั้น ชาวบ้านจึงแนะนำให้เด็กหนุ่มฆ่าควายเสีย เพราะการเลี้ยงควายที่ทำงานไม่ได้เป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มรักควายของเขามาก เด็กหนุ่มจึงเลี้ยงมันต่อไปโดยมิได้ให้มันทำงานใด ๆ ทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อชาวบ้านทราบข่าว ชาวบ้านก็พากันหาว่าเด็กหนุ่มโง่เขลาไร้ความคิด เพราะในยุคที่ข้าวยากหมากแพง แค่การหาเลี้ยงตัวเองก็ยังเป็นเรื่องที่ยาก อย่างไรก็ตาม แม้ชาวบ้านจะทัดทานสักเพียงไร หนุ่มน้อยก็ไม่หวั่นไหว เขาคิดเพียงว่า…การตอบแทนผู้มีพระคุณให้ดีที่ สุดเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว
สามปีต่อมา เมื่อเจ้าควายรู้ตัวว่ามันกำลังจะต้องจากโลกนี้ไป มันจึงตั้งจิตรวมพลังครั้งสุดท้ายแล้วมาเข้าฝันหนุ่มน้อยผู้เป็นทั้งนายและเพื่อนของมัน
ในความฝัน…เจ้าควายบอกลาเด็กหนุ่มด้วยความอาลัยรัก มันกล่าวขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอร้องให้เด็กหนุ่มแล่หนังของมันไปทำตัวหนังตะลุง แล้วจัดแสดงหนังตะลุงติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดคืน โดยมันย้ำว่า “นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันพอจะมอบให้แก่เจ้านายได้”
เมื่อเด็กหนุ่มตื่นนอนในตอนเช้าและพบว่าควายของเขาได้ตายไปจริง ๆ แม้เด็กหนุ่มจะโศกเศร้าและไม่เข้าใจเจตนาของเจ้าควายนัก แต่เขาก็ยินยอมทำตามคำที่เจ้าควายขอร้อง
ด้วยเหตุนี้เอง เด็กหนุ่มจึงลงมือนำหนังควายมาตากแดด แช่น้ำยา แล้วฉลุลายเป็นตัวหนัง จากนั้น เขาก็ผูกโรงแสดงหนังตะลุงขึ้นที่หน้ากระท่อมของเขา
เมื่อชาวบ้านรู้ว่าจะมีการจัดแสดงหนังตะลุง ผู้คนที่ว่างจากงานก็พากันมาปูเสื่อรอดูหนังตะลุงเพื่อฆ่าเวลาเล่น แต่ทันทีที่เงาของตัวหนังซึ่งทำจากหนังของเจ้าควายปรากฏบนจอผ้าสีขาวและเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาเตรียมมา เงาของตัวหนังซึ่งเคลื่อนไหวคล้ายกับมันมีชีวิตก็สะกดผู้ชมจนทุกคนไม่อาจละสายตาไปจากจอหนังได้
เนื้อเรื่องของหนังตะลุงที่เด็กหนุ่มจัดแสดงนั้นทั้งเศร้าสร้อยและเปี่ยมสุข เด็กหนุ่มเล่าถึงชีวิตของเขาที่ผูกพันกับเจ้าควายเพื่อนรัก รวมทั้งเรื่องของควายทั้งหลายที่มักถูกชาวบ้านฆ่าทิ้งเมื่อพวกมันไร้ประโยชน์ เด็กหนุ่มเล่าเรื่องไปร้องไห้ไปอย่างเข้าถึงอารมณ์โดยเฉพาะตอนที่เจ้าควายเพื่อนรักต้องจากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งเมื่อผู้ชมดูจบ ทุกคนก็พากันร้องไห้ตามด้วยความซาบซึ้ง แล้วนำเรื่องที่ได้ดูไปบอกเล่าให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้
เมื่อข่าวเรื่องการแสดงหนังตะลุงที่น่าประทับใจเล่าลือไปถึงในวัง พระราชาผู้ชื่นชอบการชมมหรสพจึงปลอมตัวมาดูการแสดงหนังตะลุงของเด็กหนุ่มด้วย พระราชาผู้นี้ทรงเป็นพระราชาผู้เมตตา เมื่อพระองค์ได้ชมหนังตะลุง พระองค์ก็ทรงซาบซึ้งจนเสียน้ำตาเช่นเดียวกับผู้ชมคนอื่น ๆ และเมื่อพระราชามาทราบภายหลังว่า เรื่องราวทั้งหมดมีที่มาจากเรื่องจริง พระองค์ก็ยิ่งประทับใจมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่พระราชาได้ชมการแสดงหนังตะลุงไปแล้ว พระองค์ก็ทรงกลับมาครุ่นคิดถึงเด็กหนุ่มผู้มีจิตใจดีงามและควายผู้เสียสละทำงานหนักมาตลอดชีวิต พระราชาคิดว่าพระองค์สามารถทำอะไรบางอย่างได้
ในที่สุด พระราชาก็ตัดสินใจรับตัวเด็กหนุ่มผู้ไร้ญาติขาดมิตรเข้ามาชุบเลี้ยงในวัง โดยพระองค์ทรงแต่งตั้งให้เด็กหนุ่มเป็นนายหนังตะลุงประจำราชสำนัก นอกจากนี้ พระองค์ยังกรุณารับซื้อควายชราที่ทำงานไม่ได้จากชาวบ้านทั้งหลาย แล้วนำพวกมันมาเลี้ยงดูเพื่อให้พวกมันมีชีวิตบั้นปลายที่เป็นสุขอีกด้วย
เด็กหนุ่มดีใจมากที่เขาได้รับความเมตตาจากพระราชาและดีใจที่เห็นควายทั้งหลายไม่ต้องถูกฆ่าตายเมื่อแก่เฒ่า ในเวลานี้…เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเจ้าควายจึงมาเข้าฝันและขอให้เขานำหนังของมันมาใช้ทำหนังตะลุง
เด็กหนุ่มรู้สึกขอบคุณเจ้าควายเพื่อนรักที่หวังดีต่อเขาทุกลมหายใจ ในขณะเดียวกัน เขาก็สัญญากับตัวเองว่า เขาจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักของเขาและจะดูแลหนังของมันเป็นอย่างดีตลอดชั่วชีวิต
#นิทานนำบุญ
………………………………….
