นิทานความรักแต่งไม่ยาก แต่ถ้าต้องแต่งทุกปี มันก็กลายเป็นงานหิน นิทานเรื่อง “คูมูโจ้กับนีจิ” เป็นนิทานความรักที่พี่นำบุญแต่งในช่วงปีท้าย ๆ ของการทำงาน ตัวละครไปไกลกว่าจินตนาการทั่ว ๆ ไปมาก คือเป็นตัวละครสมมติจากดาวดวงใดดวงหนึ่งในจักรวาลนิทาน เนื้อหามีความเป็นธรรมะและปรัชญาแอบแฝงอยู่ มองเป็นนิทานความรักก็ได้ นิทานสอนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ได้ นี่เป็นนิทานที่ “น้อยแต่มาก” เรื่องหนึ่ง ขอลงเป็นคลิปวิดีโอให้ชม และลงเนื้อหานิทานจากต้นฉบับให้อ่านกันนะครับ
นิทานเรื่อง คูมูโจ้กับนีจิ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดาวดวงน้อยซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของคูมูโจ้และนีจิ สิ่งมีชีวิตชายหญิงที่น่ารักที่สุดในจักรวาล ยังมีคูมูโจ้ตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนกิ่งของต้นไม้ต้นที่ใหญ่ที่สุดในดาวดวงนั้น
คูมูโจ้แอบปลื้มนีจิที่อาศัยอยู่บนกิ่งไม้ฝั่งตรงกันข้าม แต่คูมูโจ้ไม่รู้ว่าจะบอกความในใจกับเธออย่างไร มันจึงได้แต่แอบมองนีจิอยู่เงียบ ๆ
ทุกวัน คูมูโจ้ได้แต่เฝ้าครุ่นคิดถึงวิธีบอกความในใจให้นีจิได้รับรู้
คูมูโจ้คิดว่า การบอกรักด้วยการร้องเพลงอาจเป็นวิธีที่ไม่ยากเกินไปนัก มันจึงฝึกร้องเพลงยอดนิยมทุกวันด้วยเสียงสั่น ๆ ที่เกิดจากความเขินอายว่า “จำได้ไหม ตายายยังจำได้ไหม ปูย่าจำได้ใช่ไหม สอนหนูอยู่แทบทุกปี…” แต่หลังจากซ้อมร้องเพลงไป ซ้อมร้องเพลงมา คูมูโจ้ก็รู้สึกว่า เสียงร้องของมันฟังไม่ค่อยเข้าท่า แถมยังสั่นจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง มันจึงตัดสินใจคิดหาวิธีอื่นที่ดีกว่า
คูมูโจ้เลือกใช้วิธีเขียนจดหมายเพื่อบอกความในใจแทนการพูดหรือร้องเพลง แต่เมื่อคูมูโจ้ลงมือเขียนจดหมาย มือของมันก็สั่นจนลายมือหยุกหยิกคล้ายตัวหนอนดูน่าเกลียด คูมูโจ้จึงต้องคิดวิธีอื่นอีก
คูมูโจ้คิดว่า การส่งข้อความด้วยรหัสแบบโบราณที่เรียกว่ารหัสมอร์ส น่าจะช่วยให้มันหายเขินอายได้บ้าง และถ้ามันส่งด้วยวิธีที่ไม่ใช่การเขียนหนังสือ ก็อาจแก้ปัญหาเรื่องลายมือของมันได้ คูมูโจ้จึงคิดจะตำส้มตำเป็นจังหวะสั้นยาวแบบรหัสมอร์สเพื่อบอกรัก แต่เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว มันก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า นีจิจะเข้าใจความหมายของรหัสลับที่มันต้องการจะบอกหรือไม่
คูมูโจ้จึงได้แต่คิด…คิด…แล้วก็คิด แต่จนแล้วจนรอด มันก็คิดวิธีบอกความในใจไม่สำเร็จ
เมื่อคุณใบไม้ที่ขึ้นอยู่ตรงปลายกิ่งไม้ฝั่งที่คูมูโจ้เกาะอยู่เห็นคูมูโจ้กลุ้มใจ มันก็นึกสงสาร คุณใบไม้จึงถามคูมูโจ้ไปว่า “ความสัมพันธ์ของเธอกับนีจิในตอนนี้เป็นอย่างไรเหรอ?”
“ก็ดีนะ” คูมูโจ้ตอบ “ฉันรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่บนกิ่งไม้ฝั่งตรงข้ามกับเธอและได้แอบมองเธออยู่เงียบ ๆ แบบนี้”
“ถ้ามันดีแล้ว เธอรักษาความพอดีนั้นเอาไว้ดีไหม” ใบไม้แนะนำ “ปล่อยทุกอย่างให้เป็นอย่างที่เคยเป็น แล้วถ้าวันหนึ่งอะไรจะเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ”
คำแนะนำของใบไม้ ทำให้คูมูโจ้ได้คิด
“ถ้าทุกอย่างดีอยู่แล้ว จะหาเรื่อง…ให้มันยุ่งไปทำไม ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่านะ”
……….
หลายวันหลังจากนั้น อากาศค่อนข้างหนาว คูมูโจ้ตื่นแต่เช้า และสังเกตเห็นว่า ที่ปลายของกิ่งไม้ตรงที่คุณใบไม้เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว บัดนี้ มีใบไม้อีกใบงอกขึ้นมาเคียงข้างตามวิถีของธรรมชาติ
“คุณใบไม้คงไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้วนะ” คูมูโจ้รู้ในทันที
แต่สิ่งที่คูมูโจ้ไม่รู้ก็คือ เมื่อมีใบไม้งอกขึ้นมาใหม่ น้ำหนักของใบไม้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กิ่งไม้ฝั่งที่คูมูโจ้อาศัยอยู่หนักมากกว่ากิ่งไม้ฝั่งตรงข้ามนิดหนึ่ง ผลที่ตามมาก็คือ กิ่งไม้ฝั่งของคูมูโจ้ค่อย ๆ เอียงลงและทำให้นีจิเดินตามความลาดเอียงมาทางกิ่งไม้ของฝั่งคูมูโจ้บ่อยขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง นีจิจึงเริ่มแปลกใจที่เธอมักเดินเข้าหากิ่งไม้ของชายหนุ่มบ่อยอย่างผิดสังเกต และในเสี้ยววินาทีหนึ่ง เธอก็เริ่มสงสัยว่า บางที…มันอาจเกิดขึ้นจากแรงดึงดูดของความรักที่ทำให้เธอเดินเข้าใกล้เขาอยู่เสมอ ๆ
ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงเปลี่ยนฤดู นีจิก็ตัดสินใจนำผ้าห่มไปแบ่งให้คูมูโจ้ห่ม แม้ว่าคูมูโจ้จะเขินมาก แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ธรรมชาติก็ค่อย ๆ ทำให้คูมูโจ้และนีจิรักกัน จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน โดยที่คูมูโจ้ไม่ต้องทำชีวิตให้ยุ่งไปกว่าปกติเลยแม้แต่นิดเดียว
#นิทานนำบุญ
…………………………………………………

ขอบคุณสำหรับนิทานดีๆ เด็กๆชอบมากค่ะ ได้อ่านให้ฟังเด็กๆ ทุกคืนขออนุญาตเลี้ยงกาแฟคุณนำบุญนะคะ
LikeLike
ขอบพระคุณมาก ๆ นะครับ สิ่งที่มีค่าที่สุดในฐานะคนทำงานเด็ก คือการได้รู้ว่า งานที่ทำ ทำให้เด็กมีความสุขได้ ขอบคุณคณแสงเดือนที่เลือกอ่านนิทานให้เด็ก ๆ ฟังนะครับ ขอบคุณจากหัวใจเลยครับ
LikeLike