Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ลูกเป็ดกับพรวิเศษเจ็ดประการ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ลูกเป็ดกับพรวิเศษเจ็ดประการ” เป็นนิทานสั้นพร้อมข้อคิดที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เป็นผู้แต่ง และเคยตีพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือน รวมทั้งเคยพิมพ์เป็นหนังสือภาพสำหรับเด็กกับสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊กส์ นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ชวนติดตาม และสามารถนำไปใช้ทำกิจกรรมศิลปะเพิ่มเติม เช่น การจีัดกิจกรรมระบายสีให้ลูกเป็ดเปลี่ยนสีไปตามเรื่องราวในนิทาน หวังว่าคุณผู้อ่านจะชอบนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง ลูกเป็ดกับพรวิเศษเจ็ดประการ

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเป็ดน้อยตัวหนึ่งเป็นลูกเป็ดที่มีขนสีขะมุกขะมอมแลดูไม่น่ารัก  เจ้าเป็ดน้อยไม่ชอบสีสันของตัวเองเลย  มันอยากจะเป็นลูกเป็ดที่ดูงามสง่ามากกว่าเป็ดตัวไหน ๆ      

          อยู่มาวันหนึ่ง  มีนางฟ้าตัวจิ๋วถูกสายลมพัดปลิวมาตกที่กลางบึงบ้านของเป็ดน้อย  เมื่อลูกเป็ดเห็นนางฟ้ากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก  มันจึงรีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยนางฟ้าตัวจิ๋วทันที

          เมื่อนางฟ้าตัวจิ๋วรอดพ้นจากอันตราย  เธอจึงนึกอยากขอบคุณเป็ดน้อยที่มีน้ำใจให้ความช่วยเหลือ  นางฟ้ามอบพรวิเศษเจ็ดประการให้เจ้าเป็ดเป็นของขวัญ ซึ่งเป็ดน้อยเองก็มีความสุขมากที่มันได้รับโอกาสดี ๆ เช่นนี้

          แน่นอน..สิ่งที่ลูกเป็ดปรารถนาก็คือการมีขนที่งดงามกว่าเป็ดตัวอื่น ๆ  ดังนั้น  เป็ดน้อยจึงอธิษฐานขอให้ขนของมันกลายเป็นสีขาวที่ดูแวววาวราวกับไข่มุก

          เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน  ลูกเป็ดก็กลายสภาพเป็นเป็ดขาวตัวน้อยที่ดูน่ารักขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา  เจ้าเป็ดมองเงาของตัวเองในน้ำด้วยความภาคภูมิใจ  มันมีความสุขเหลือเกินที่ความฝันของมันเป็นจริงขึ้นมาได้

          ในขณะนั้นเอง  เจ้าลูกเป็ดเกิดนึกสนุกอยากมีลวดลายเฉพาะตัวที่ดูพิเศษมากขึ้นไปอีก  ด้วยเหตุนี้  เป็ดน้อยจึงใช้พรวิเศษที่เหลืออยู่ลองแต่งแต้มลวดลายให้ตัวเองดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

          ลูกเป็ดใช้พรข้อที่สองเนรมิตให้มันมีจุดสีดำกระจายอยู่ตามลำตัวคล้ายกับลายของสุนัขดัลเมเชี่ยน  แต่เมื่อแปลงกายเสร็จ  มันกลับไม่ชอบใจจุดสีดำเหล่านั้นนัก

          “จุดสีดำดูสกปรกจังเลย  ถ้าเปลี่ยนเป็นสีที่อ่อนหวานก็คงจะดีกว่านี้นะ”

          เจ้าเป็ดใช้พรข้อที่สามเนรมิตจุดสีดำให้กลายเป็นลายดอกไม้แสนสวย   แม้ลายดอกไม้จะน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม  แต่สำหรับเจ้าเป็ดน้อยตัวผู้  มันก็ดูออกจะหวานแหววเกินไปสักหน่อย

          “แบบนี้คงต้องโดนล้อแน่ ๆ  เปลี่ยนเป็นลายเท่ ๆ คงจะดีกว่านี้นะ”

          เป็ดน้อยใช้พรข้อที่สี่เนรมิตให้ตัวเองมีขนสีเหลืองสลับกับลายจุดสีน้ำตาลคล้ายกับผิวของยีราฟ  แต่ทันทีที่แปลงกายเสร็จ  เป็ดน้อยกลับรู้สึกว่ามันดูแย่กว่าเดิมเสียอีก 

          “ลวดลายของสัตว์สี่ขาคงไม่เข้ากับเราสักเท่าไหร่  ลองใช้ลายของพวกเดียวกันคงจะดีกว่านี้นะ”

          เจ้าเป็ดใช้พรข้อที่ห้าเนรมิตให้ตัวเองมีขนสีเขียวแซมด้วยลวดลายคล้ายกับหางนกยูงแสนสวย  แม้สีสันของหางนกยูงจะงดงามยิ่งนัก  แต่มันกลับดูไม่เข้าท่าเมื่อมาอยู่บนตัวของเจ้าเป็ดน้อย

          “สีแบบนี้ดูแก่จังเลย  เปลี่ยนเป็นสีที่ดูสดใสอีกนิดก็คงจะดีกว่านี้นะ”

          เป็ดน้อยใช้พรข้อที่หกเนรมิตให้ตัวเองกลายเป็นเป็ดเจ็ดสีเลียนแบบสีของรุ้งกินน้ำ  ลูกเป็ดสายรุ้งดูสวยสะดุดตาชนิดที่หาเป็ดตัวใดเทียบเทียมได้ยาก  ซึ่งเจ้าเป็ดน้อยเองก็ชื่นชอบสีขนและลวดลายของมันในตอนนี้มากที่สุด

          ในขณะที่ลูกเป็ดกำลังชื่นชมกับขนสีรุ้งของตัวเองอยู่นั้น  จู่ ๆ เจ้าเป็ดน้อยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนและฝูงสุนัขวิ่งตรงมายังบึงซึ่งเป็นบ้านของมันเพื่อที่จะจับลูกเป็ดแสนสวยเอาไว้ในครอบครองให้จงได้

          ลูกเป็ดตกใจมากเมื่อเห็นปืนยาวและเขี้ยวขาว ๆ ที่ดาหน้ากันเข้ามา  มันจึงรีบดำผุดดำว่ายเพื่อหาที่หลบภัยอย่างไม่คิดชีวิต

          อนิจจา! แม้เป็ดน้อยจะพยายามหาที่ซ่อนตัวตามดงอ้อกอหญ้าสักเท่าไร  แต่ด้วยสีสันที่แสนสดใสของมันก็ทำให้การซ่อนตัวนั้นไม่อาจที่จะอำพรางตัวมันได้   ในที่สุด  เจ้าเป็ดน้อยก็ค้นพบคุณค่าของขนขะมุกขะมอมที่มันเคยรังเกียจ  

          เจ้าเป็ดน้อยตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการใช้พรข้อที่เจ็ดเนรมิตให้ตัวเองกลับกลาย เป็นลูกเป็ดขี้เหร่ดังเดิม  จากนั้น  มันก็รีบว่ายน้ำเข้าไปซ่อนในกอกกที่รกทึบ  แล้วซุ่มตัวพรางตนจนกลมกลืนกับดินเลนแถว ๆ นั้นจนแยกกันแทบไม่ออก

          โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าลูกเป็ดซึ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น  และเมื่อผู้บุกรุกทั้งหลายจากไป   เจ้าเป็ดน้อยก็ค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อนของมันด้วยความระแวดระวังเป็นที่สุด

          และแล้ว…ลูกเป็ดตัวน้อยก็อยู่รอดปลอดภัยด้วยขนที่แสนขะมุกขะมอมของมันนั่นเอง

#นิทานนำบุญ

……………………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

คุณยายเจ็ดสิบเอ็ด

นิทานก่อนนอนเรื่อง คุณยายเจ็ดสิบเอ็ด เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งขึ้นโดยนำประสบการณ์วัยเด็ก (จนถึงโต) ที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากอาม่า (คุณยาย) มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียน นิทานเรื่องนี้พูดถึงร้านสะดวกซื้อในยุคหนึ่งซึ่งสินค้าในร้านไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเด็กสักเท่าไหร่ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็มักพาเด็ก ๆ เข้าไปซื้อของกินของเล่นในนั้นจนกลายเป็นความเคยชินที่น่าเป็นห่วง ในมุมมองของนักแต่งนิทานและคนที่ทำงานด้านเด็ก ทำได้เพียงการแบ่งปันมุมมองผ่านสื่อนิทานที่ตัวเองทำเท่านั้น หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะให้ความสุขและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างนะครับ

นิทานเรื่อง คุณยายเจ็ดสิบเอ็ด

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อว่า “บุญ”   

บุญเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนที่แวดล้อมไปด้วยร้านสะดวกซื้อเต็มไปหมด ทุกเย็น เพื่อน ๆ ของบุญมักพากันเข้าไปซื้อขนมในร้านเหล่านั้นจนกระเป๋าแฟบ มีเพียงบุญเท่านั้นที่มักรอเพื่อน ๆ อยู่นอกร้านและไม่เคยเสียเงินให้ร้านเหล่านั้นเลยแม้แต่บาทเดียว

เมื่อเพื่อน ๆ สังเกตว่าบุญแทบไม่เคยเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ  เพื่อนบางคนจึงคาดเดาว่า บางที ฐานะทางบ้านของบุญอาจไม่สู้ดีนัก บุญจึงไม่มีเงินซื้อขนม  ส่วนเพื่อนบางคนก็คาดเดาว่า บุญอาจมีเงินมากก็ได้ แต่เป็นคนขี้เหนียว จึงไม่ยอมใช้เงินซื้ออะไรเลยแม้กระทั่งของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ

 ในขณะที่เพื่อน ๆ พากันสงสัย  เพื่อนสนิทของบุญก็บอกกับเพื่อนคนอื่น ๆ ว่า “บุญไม่ใช่คนขี้เหนียวแน่ ๆ เพราะเขามักเอาขนมจากที่บ้านมาแบ่งให้ฉันกินบ่อย ๆ  แถมบุญยังได้ค่าขนมมาโรงเรียนไม่น้อย  แต่ที่เขาไม่เข้าร้านสะดวกซื้อ อาจเป็นเพราะที่บ้านของบุญมีอะไรเจ็ดสิบเอ็ด ๆ ที่เด็ดกว่าร้านสะดวกซื้อแถวโรงเรียนก็ได้นะ เห็นเขาเคยเปรย ๆ ให้ฟังน่ะ”

“อะไรเจ็ดสิบเอ็ด ๆ ที่เด็ดกว่าร้านสะดวกซื้อแถวโรงเรียนน่ะเหรอ”  เด็กทุกคนรำพึงแล้วมองหน้ากันด้วยความสงสัย  และเพื่อให้ความสงสัยคลี่คลายลง  เด็กทุกคนจึงวางแผนกันว่า  พวกเขาจะขอตามไปที่บ้านของบุญเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ค้างคาใจอยู่

เมื่อบุญได้ฟังคำขอร้องของเพื่อน ๆ เขาก็ยิ้มพร้อมกับอนุญาตให้เพื่อน ๆ ตามเขากลับบ้านได้   ครั้นเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน  เด็กทุกคนก็พากันเดินตามบุญกลับบ้าน  โดยเด็กทุกคนต่างคาดเดาว่า แถวบ้านของบุญอาจมีร้านสะดวกซื้อชื่อเจ็ดสิบเอ็ด ที่มีของกินอร่อยเด็ดกว่าร้านแถวโรงเรียนแน่ ๆ

แต่เมื่อเด็กทุกคนตามบุญไปถึงหน้าบ้าน  แทนที่บุญจะแวะร้านสะดวกซื้อแถว ๆ นั้น  เขากลับชวนเพื่อน ๆ ให้เข้าไปในบ้าน พร้อมกับบอกว่า “อะไรเจ็ดสิบเอ็ด ๆ ที่เด็ดกว่าร้านสะดวกซื้อแถวโรงเรียน อยู่ในบ้านของฉันนี่แหละ  เชิญทุกคนเข้าไปได้เลยนะ”

เมื่อเด็กทุกคนเดินเข้าไปในบ้าน  สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ บนโต๊ะอาหารมีแซนวิชไข่ดาว ขนมกุ้ยช่าย นึ่งร้อน ๆ  ขนมไทยหลากหลายชนิด  น้ำเก๊กฮวยเย็นสดชื่น  มะละกอ กล้วยและแตงโมฝาน ซึ่งทั้งหมดจัดเป็นชุด ๆ เท่าจำนวนเด็ก  ที่สำคัญ  ในตู้เย็นยังมีทุเรียนแช่แข็งที่อร่อยน่ากินไม่แพ้ไอศกรีมยี่ห้อดัง ซึ่งอาหารทั้งหมดเป็นฝีมือการจัดการของคุณยายที่มีอายุเจ็ดสิบเอ็ดปี และคุณยายของบุญก็คือ “อะไรเจ็ดสิบเอ็ด ๆ ที่เด็ดกว่าร้านสะดวกซื้อ” นั่นเอง

เมื่อเด็กทุกคนได้พบคุณยาย  เด็ก ๆ ก็สวัสดีคุณยายด้วยความนอบน้อม  ส่วนคุณยายก็รับไหว้อย่างใจดี จากนั้น  คุณยายก็พูดว่า “เจ้าบุญโทรศัพท์มาบอกว่าหลาน ๆ จะมากัน ยายก็เลยเตรียมของอร่อย ๆ ไว้ต้อนรับ  เหมือนที่ทำเตรียมไว้รอเจ้าบุญทุก ๆ เย็นนั่นแหละนะ เอ้า…ลงมือกินกันได้เลยนะจ๊ะ” 

เด็กทุกคนส่งยิ้มให้คุณยายพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ก่อนที่จะกินอาหารต่าง ๆ อย่างเอร็ดอร่อย

ในขณะที่เด็ก ๆ กำลังเพลินกับการกินอาหาร  เด็กบางคนก็พูดว่า  “ของกินวันนี้อร่อยเด็ดกว่าของกินจากร้านสะดวกซื้อจริง ๆ เพราะมันไม่ใช่อาหารแช่แข็งหรืออาหารสำเร็จรูปแบบที่เรากินอยู่ทุกวัน”

เด็กบางคนหันไปบอกบุญว่า “เธอนี่โชคดีจริง ๆ เลยนะ ของทั้งหมดนี้  มีเงินก็ซื้อไม่ได้  ฉันยอมรับเลยว่า อะไรเจ็ดสิบเอ็ด ๆ ของเธอ เด็ดกว่าร้านสะดวกซื้อทุกร้านที่ฉันเคยเห็นจริง ๆ”

บุญยิ้มรับ แล้วบอกกับเพื่อน ๆ  ว่า “แต่มีของที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้และเป็นสิ่งที่เด็ดที่สุดอีกอย่างนึงนะ”

ในขณะที่บุญพูดค้างอยู่นั้น  คุณยายวัยเจ็ดสิบเอ็ดก็เดินเข้ามา แล้วพูดว่า “เอ! วันนี้หลานลืมอะไรรึเปล่า”  บุญมองตาคุณยายพร้อมกับยิ้มให้ด้วยความรัก  เขาวางมือจากขนมที่กินอยู่  จากนั้น เขาก็บอกคุณยายว่า “ไม่ลืมหรอกครับ  เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้บุญมีความสุขที่สุด”  ว่าแล้ว  บุญก็ตรงเข้าหาคุณยาย เพื่อให้คุณยายกอดเขาเอาไว้ในอ้อมอก

วินาทีนั้น  เด็กทุกคนจึงได้รู้ว่า  สิ่งที่เด็ดที่สุดที่ไม่สามารถหาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อไหน ๆ และร้านสะดวกซื้อก็ไม่สามารถทำเป็นของแช่แข็งหรือของสำเร็จรูปมาขายได้ ก็คือ อ้อมกอดแห่งความรักของคุณยายนี่เอง  

เด็กทุกคนรู้สึกอิ่มท้องและอิ่มใจมากที่ได้เห็นภาพแห่งความรักระหว่างเพื่อนของเขากับคุณยายที่แสนใจดี บางที พวกเขาน่าจะลองชวนคุณพ่อคุณแม่ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้กินด้วยกันหลังเลิกเรียนบ้าง  และแน่นอนว่า จะต้องมีอ้อมกอดแห่งความรักให้กันและกันเป็นทีเด็ดหลังมื้ออาหารด้วย

#นิทานนำบุญ

……………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

รักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้

นิทานธรรมะก่อนนอนเรื่องนี้ เป็นนิทานที่ผมแต่งขึ้นหลังจากได้เริ่มปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์เอนก เตชะวโร เจ้าอาวาสวัดโมกขวนาราม จ.ขอนแก่น วันนั้น (ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเริ่มปฏิบัติได้ไม่นาน และยังสับสนอยู่มาก) ท่านได้เตือนสติผมว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องทำให้ได้มีเพียงอย่างเดียว คือ ต้อง “รักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ นำบุญแต่งนิทานเด็ก และบอกว่าสิ่งที่เขียนออกมา เขียนมาจากสิ่งที่เชื่อ นิทานที่เขียนมันสะท้อนให้เห็นสิ่งดีงามในใจที่มีอยู่มากมาย แต่ในชีวิต มันอาจมีเรื่องราวมากระทบเรา มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ยั่วยุให้เราทำสิ่งที่เลวทราม ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้กลับมามีสติและรักษาหัวใจที่ดีงามนี้เอาไว้ให้ได้เสมอ” วันที่ผมฟังคำสอนของพระอาจารย์ ผมซาบซึ้งในความเมตตา แต่ยังไม่เข้าใจความหมายมากนัก แต่เมื่อได้ปฏิบัติเจริญสติอย่างต่อเนื่องมาอีกนานพอสมควร จึงเริ่มเข้าใจมากขึ้น จนรู้สึกว่าต้องนำคำสอนของพระอาจารย์ มาแต่งเป็นนิทานธรรมะก่อนนอนสอนใจเด็ก ๆ ให้ได้ (ซึ่งก็ทำให้เกิดนิทานเรื่องนี้) และหลังจากที่หยุดเจริญสติไป กิเลสก็หลอกล่อให้ผมเกิดความโลภโกรธหลงได้บ่อยขึ้น ๆ จนลืมรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้อีกหลาย ๆ ครั้ง และมันก็ทำให้ผมเข้าใจความหมายและความสำคัญของการ “เจริญสติ” มากขึ้นไปอีก ผมหวังว่านิทานธรรมะก่อนนอนเรื่องนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อทุก ๆ คน โดยเฉพาะการนำไปเชื่อมโยงเพื่อแนะนำเด็กเกี่ยวกับการเจริญสติต่อไปในอนาคต และหวังว่าเด็ก ๆ จะชอบเรื่องราวผจญภัยในนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง รักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้

กาลครั้งหนึ่ง มียักษ์ใจร้ายตนหนึ่งบุกมาที่พระราชวังของพระราชินีและเจ้าชายองค์น้อยที่มีกันอยู่เพียงสองคนแม่ลูก ยักษ์จับตัวพระราชินีไป เจ้าชายองค์น้อยอยากช่วยแม่ พระองค์จึงปรึกษาแม่นม จนทราบว่าโอกาสเอาชนะยักษ์เป็นเรื่องที่ยากมาก ยกเว้นเจ้าชายจะนำดาบต้องห้ามไปใช้ในการต่อสู้

ดาบต้องห้ามเป็นดาบวิเศษที่สามารถใช้ฟันอะไรให้ขาดก็ได้แม้กระทั่งดวงอาทิตย์! ซึ่งหลังจากใช้ดาบครบ 3 ครั้งดาบก็จะสลายไป แต่ในดาบต้องห้ามมีวิญญาณร้ายที่ชอบยุให้นำดาบไปใช้ทำเรื่องเลวร้าย พระราชินีผู้มักสอนให้เจ้าชาย“รักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้” จึงไม่เคยคิดใช้ดาบเล่มนี้เลย

เจ้าชายตัดสินใจนำดาบไปช่วยแม่ โดยเจ้าชายสัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะใช้ดาบอย่างระมัดระวังและรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ดังคำที่แม่พร่ำสอน

เมื่อเจ้าชายเดินทางเข้าป่า พระองค์พบราชสีห์หิมะถูกเถาวัลย์อาคมของยักษ์รัดตัวจนกระดุกกระดิกไม่ได้ เมื่อเจ้าชายเห็นราชสีห์ พระองค์ก็เงื้อดาบเตรียมฟัน วิญญาณร้ายในดาบรีบยุให้เจ้าชายฟันราชสีห์ให้ตาย แต่เสียงของแม่เตือนให้เจ้าชายรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้

เจ้าชายฟันดาบฉับเดียว ราชสีห์หลับตาปี๋ แต่ดาบไม่โดนตัวราชสีห์เลยแม้สักนิด มันตัดเถาวัลย์ขาดหมด ทำให้ราชสีห์เป็นอิสระ ราชสีห์จึงอาสาพาเจ้าชายไปยังภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งปราสาทของยักษ์ใจร้าย

เมื่อราชสีห์พาเจ้าชายไปถึงตีนเขา ราชสีห์ให้เจ้าชายเดินทางขึ้นไปบนภูเขาเอง เพราะทางเดินเล็กเกินกว่าที่ราชสีห์จะเดินขึ้นไปได้ ระหว่างทาง เจ้าชายพบทหารยามที่ถูกยักษ์ใจร้ายใช้เวทมนตร์บงการให้คอยทำร้ายคนที่บุกขึ้นมาบนภูเขา เมื่อเหล่าทหารเห็นเจ้าชาย พวกเขาก็หยิบอาวุธตรงเข้ามาหมายจะทำร้าย เจ้าชายเงื้อดาบขึ้น วิญญาณร้ายในดาบรีบยุให้เจ้าชายฟันทหารให้ตาย แต่เสียงของแม่เตือนให้เจ้าชายรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ เจ้าชายจึงใช้ดาบฟันมนตร์ดำที่ครอบคลุมร่างของทหารเหล่านั้นและทำให้ผู้คนเหล่านั้นเป็นอิสระ

ผู้คนเหล่านั้นเดิมเคยทำงานอยู่ในปราสาทของเจ้ายักษ์ แต่ก่อนยักษ์ใจร้ายไม่เคยทำร้ายใคร จนกระทั่งแม่ของยักษ์มีเนื้อร้ายงอกขึ้นมาเกาะกินหัวใจ เจ้ายักษ์จึงเริ่มเครียด, มีอารมณ์ฉุนเฉียวและค้นตำราจนพบว่าต้องจับพระราชินี 100 องค์มาต้มเป็นยา แม่ยักษ์จึงจะหายจากอาการป่วย

นอกจากนี้ ผู้คนที่เคยทำงานในปราสาทของยักษ์ ยังบอกเจ้าชายว่า คุกที่ขังพระราชินีอยู่ที่ด้านล่างของปราสาท ส่วนห้องนอนของยักษ์กับแม่ยักษ์อยู่ที่หอคอยด้านบน ผู้คนเหล่านั้นแนะนำให้เจ้าชายใช้ดาบฟันกุญแจคุก เพราะมันเป็นกุญแจที่ไม่มีใครไขได้นอกจากเจ้ายักษ์ แต่วิญญาณร้ายในดาบกลับยุให้เจ้าชายเอาดาบไปฆ่ายักษ์

เจ้าชายลังเลใจอยู่ชั่วขณะ พลันเจ้าชายได้ยินเสียงของแม่เตือนให้พระองค์รักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ เจ้าชายจึงมุ่งหน้าไปยังปราสาทของยักษ์ และทำสิ่งที่ไม่มีใครคิดคาด

เจ้าชายไม่เดินลงไปที่คุก แต่กลับขึ้นบันไดไปยังหอคอยด้านบน วิญญาณร้ายดีใจที่ยุเจ้าชายได้สำเร็จ

แต่เมื่อไปถึงชั้นบน แทนที่เจ้าชายจะเข้าไปในห้องนอนของยักษ์ พระองค์กลับเลี้ยวไปยังห้องแม่ของยักษ์ จากนั้น เงื้อดาบฟันฉับไปเพียงครั้งเดียว

ดาบของเจ้าชายตัดเอา “เนื้อร้าย” ที่เกาะกินหัวใจแม่ยักษ์ โดยร่างกายของแม่ยักษ์ไม่ได้รับอันตรายเลยแม้สักนิด ใช่แล้ว เจ้าชายไม่ได้ทำร้ายแม่ยักษ์ พระองค์ทรงช่วยเหลือแม่ยักษ์และยังคงรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ได้

เช้าวันต่อมา ยักษ์ใจร้ายตื่นนอนด้วยความแปลกใจ เพราะแม่ยักษ์เดินมาลูบศีรษะของมัน แล้วเล่าเรื่องที่เจ้าชายเลือกไม่ช่วยแม่ของตัวเอง, เลือกไม่ทำร้ายยักษ์ผู้เป็นศัตรู แต่เลือกรักษาแม่ของศัตรูที่ป่วยให้ลูกชายฟัง จากนั้น แม่ยักษ์ก็บอกลูกชายว่า “ลูกจำได้ไหม…แม่เองก็เคยบอกลูกเสมอ ให้รักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ ลูกลืมไปแล้วหรือเปล่า”

ยักษ์ใจร้ายรู้สึกผิดที่มันลืมสิ่งที่แม่สอน

ยักษ์ผู้สำนึกผิดมองเจ้าชายองค์น้อยแล้วรีบขอโทษเจ้าชายทันที จากนั้น มันก็ปล่อยพระราชินีออกจากคุก แล้วพาทุกคนกลับไปส่งที่เมืองอย่างไม่รอช้า

พระราชินีดีใจที่รอดชีวิต แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือ พระองค์ดีใจที่เจ้าชายรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม

แม่ทุกคนก็คงต้องการเพียงเท่านี้ ต้องการให้ลูกรักษาหัวใจที่ดีงามเอาไว้ เพราะมันเป็นสิ่งมีค่าที่จะทำให้ลูกของแม่เป็นที่รักของคนทุกคนตลอดไป

#นิทานนำบุญ

…………………….