พอดี มีผู้อ่านรู้สึกว่า นิทานเรื่อง ครูจะกอดลูกไว้ด้วยใจรัก (แบบแรก) ค่อนข้างยาว ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะต้นฉบับยาวถึง 5 หน้า คนอ่านคงเหนื่อยแน่ ๆ ดังนั้น ผมจึงทำแบบกระชับมาให้เป็นทางเลือก (เนื้อหาเหมือนกัน แต่ลดรายละเอียดลงบ้าง ซึ่งไม่น่าจะทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน)
นิทานเรื่อง ครูจะกอดลูกไว้ด้วยใจรัก (แบบกระชับ)
กาลครั้งหนึ่ง มีคุณครูคนหนึ่ง ชื่อว่า “จรัสศรี” คุณครูจรัสศรีเป็นคุณครูที่มีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมี แต่ทุกครั้งที่คุณครูจรัสหมี เอ้ย! จรัสศรีอยู่กับเด็ก ๆ คุณครูจรัสศรีจะเจิดจรัสเหมือนมีแสงระยิบระยับทาบทาอยู่ทั่วตัว เด็ก ๆ ทุกคนรักคุณครูจรัสศรีมาก ส่วนคุณครูจรัสศรีก็รักเด็ก ๆ มากเช่นกัน
ชื่อเสียงในการสอนและความรักเด็กของคุณครูจรัสศรีทำให้ผู้คนในเมืองพาลูกหลานมาเรียนที่โรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ ของคุณครูจรัสศรีกันหมด แม้จะมีเด็กมาเรียนมาก แต่คุณครูจรัสศรีก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบ คุณครูจรัสศรีมักจัดสรรเงินค่าเทอมไปจ้างครู จ้างทีมสนับสนุนการทำงานของครู จ้างทีมแม่ครัวและแม่บ้าน แล้วฝึกอบรมให้ทุกคนดูแลเด็ก ๆ ด้วยหัวใจ
วันหนึ่ง มีมหาเศรษฐีย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ เศรษฐีผู้นี้มุ่งแต่ทำงานหาเงินจนเขาลืมใส่ใจภรรยาและลูกสาวตัวน้อย เมื่อภรรยาล้มป่วยและจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เศรษฐีจึงคิดได้ว่า เขาเพลินกับการหาเงินมากเกินไป ดังนั้น เศรษฐีจึงหยุดทำงาน แล้วย้ายมาอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ โดยตั้งใจจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก
เมื่อเศรษฐีย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ในเมืองเล็ก ๆ เศรษฐีพยายามค้นหาโรงเรียนให้ลูกสาวสุดที่รัก แต่เมืองทั้งเมืองมีโรงเรียนประถมแค่แห่งเดียว เป็นโรงเรียนที่ทั้งเล็กและเก่า แถมครูใหญ่ยังต้องมาสอนหนังสือด้วยตัวเอง เศรษฐีจึงคิดว่า โรงเรียนคงไม่มีคุณภาพแน่ ๆ ด้วยเหตุนี้ เศรษฐีจึงเรียกประชุมผู้จัดการให้ช่วยกันคิด “แผนธุรกิจ” ในการสร้างโรงเรียนประถม เพื่อใช้เป็นโรงเรียนของลูกสาว และเพื่อการสร้างรายได้จากเด็กนักเรียน
เมื่อผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ เข้าประชุม ผู้จัดการคนหนึ่งเสนอให้นำหลักสูตรจากต่างประเทศที่มีงานวิจัยยืนยันว่าเป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดในโลกมาใช้เป็นหลักสูตรของโรงเรียน
ผู้จัดการอีกคนหนึ่งเสนอว่า หากสร้างอาคารเรียนให้ทันสมัย เป็นตึกสัก 7 ชั้น แต่ละชั้นตกแต่งด้วยรูปแบบที่ต่างกัน เช่น ตกแต่งเป็นชั้นอวกาศ ชั้นวิทยาศาสตร์ ชั้นกีฬา ชั้นสร้างศิลปิน ชั้นของเล่น ชั้นสวนสนุก ชั้นสวนสัตว์ พ่อแม่น่าจะแย่งกันส่งลูกมาเรียน
ผู้จัดการอีกคนรีบเสนอความคิดว่า ถ้านำคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และปัญญาประดิษฐ์ หรือ A.I. มาใช้ในการเรียนการสอนแทนครู โรงเรียนก็จะยิ่งดูล้ำสมัย แล้วเม็ดเงินก็จะตามมา
เศรษฐีคิดตามแล้วสั่งให้ผู้จัดการทั้งหมดสร้างโรงเรียนให้เสร็จภายในเวลา 6 เดือน
เมื่อเศรษฐีทุ่มเงินสร้างโรงเรียนอย่างเต็มที่ โรงเรียนที่เลิศหรูอลังการจึงเสร็จสมบูรณ์ในเวลาที่กำหนด แต่เมื่อถึงวันเปิดเทอม โรงเรียนกลับมีนักเรียนเพียงคนเดียว คือ…ลูกสาวของเศรษฐี
เศรษฐีแปลกใจที่พ่อแม่ในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนของเขาเลย
เศรษฐีจึงตัดสินใจส่ง “สายลืบ” เข้าไปล้วงความลับว่า เพราะเหตุใด พ่อแม่และเด็ก ๆ จึงไม่ยอมย้ายโรงเรียน เมื่อเศรษฐีมุ่งคิดแต่เรื่องการเอาชนะ เขาจึงตัดสินใจส่งสายลืบที่ดูแนบเนียนที่สุดไปยังโรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ แห่งนั้น ซึ่งสายสืบที่แนบเนียน ควรเป็นเด็กประถม และเด็กประถมคนเดียวที่เศรษฐีมีอยู่ ก็คือ “ลูกสาว” ของตัวเอง
“ลูกต้องสืบให้ได้นะว่า โรงเรียนคู่แข่งของเราตกแต่งโรงเรียนยังไง ใช้หลักสูตรจากประเทศไหนและมีการใช้ A.I.หรือมีอะไรที่ทันสมัยกว่าโรงเรียนของเราหรือเปล่า” เศรษฐีกำชับ
เมื่อลูกสาวเศรษฐีได้รับคำสั่งจากพ่อ ลูกสาวเศรษฐีจึงจำใจต้องย้ายโรงเรียบแบบไม่ทันตั้งตัว และต้องกลายเป็นสายสืบแทนที่จะเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ
วันแรกที่ลูกสาวเศรษฐีไปโรงเรียน คุณครูจรัสศรีเป็นคนมารับเด็กหญิงตัวน้อยที่รถของคุณพ่อ จากนั้น คุณครูจรัสศรีก็ทักทายนักเรียนใหม่ว่า “สวัสดีจ้ะคนดี ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ ครูชื่อครูจรัสศรี ไม่ใช่จรัสหมีหรือจะจับหมีนะจ๊ะ ถึงครูจะตัวใหญ่เหมือนหมี แต่ครูก็น่ารักไม่แพ้หมีแพนด้านะ” จากนั้น คุณครูตัวใหญ่ก็พานักเรียนตัวเล็กเดินไปยังห้องเรียน
ระหว่างทาง ลูกสาวเศรษฐีพยายามสังเกตการตกแต่งของโรงเรียนตามที่พอสั่ง สักพัก เด็กน้อยก็เห็นแปลงดอกไม้ ซึ่งมีเด็ก ๆ ในวัยเดียวกับเธอพากันมาดูแลและรดน้ำอย่างมีความสุข คุณครูจรัสศรีจึงเล่าว่า “เด็กนักเรียนที่นี่จะได้เลือกปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่ตัวเองชอบ แล้วคอยดูแลให้ต้นไม้ดอกไม้ของตัวเองเจริญเติบโต โรงเรียนของเราจะสวยและน่าอยู่แค่ไหน ก็เป็นเพราะสองมือของเด็ก ๆ ทุกคนเลยจ้ะ แล้วครูจะพาหนูมาปลูกดอกไม้ของตัวเองด้วยนะ ครูให้สัญญา”
ลูกสาวเศรษฐีตื่นเต้นที่จะได้ปลูกดอกไม้ของตัวเองบ้าง เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่า เธอสามารถมีส่วนร่วมในการทำให้โรงเรียนน่าอยู่ได้ เพราะโรงเรียนของพ่อใช้วิธีจ้างคนให้มาตกแต่งให้ทั้งหมด
เมื่อถึงเวลาเรียน แม้โรงเรียนของคุณครูจรัสศรีจะไม่มีการตกแต่งอาคารเป็นชั้นอวกาศ ชั้นวิทยาศาสตร์ ชั้นกีฬา ฯลฯ แต่ระหว่างการเรียน คุณครูจรัสศรีมักชวนเด็ก ๆ ให้ “สมมติ” ว่าห้องเรียนเป็นที่นั่นที่นี่ เช่น เป็นดวงดาวในจักรวาล เป็นช่วงเวลาที่เด็กอยู่ในท้องแม่ เป็นดินแดนหนาวเหน็บที่ขั้วโลก ฯลฯ การสมมติทำให้การเรียนสนุกและไม่จำเจ ที่สำคัญ การสมมติยังพาเด็ก ๆ ไปยังทุกสถานที่ได้…แม้สถานที่เหล่านั้นจะไปจริง ๆ ไม่ได้ก็ตาม
ในเรื่องของหลักสูตรที่ใช้ ลูกสาวเศรษฐีถามคุณครูจรัสศรีว่า คุณครูจรัสศรีใช้หลักสูตรจากประเทศไหนมาทำการสอน ตอนแรก คุณครูจรัสศรีค่อนข้างแปลกใจกับคำถาม แต่พอนึกทบทวนดู คุณครูจรัสศรีก็ตอบลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “หลักสูตรของครูน่าจะเป็นหลักสูตรจากประเทศหัวใจนะ”
ลูกสาวเศรษฐีค่อนข้างงงกับคำตอบ แต่เมื่อคุณครูจรัสศรีเริ่มสอนด้วยการเล่าเรื่อง ชวนเล่น ชวนคิด ชวนทำ ทั้งยังใช้หู ใช้ตา ใช้ใจ ในการสังเกตและโต้ตอบกับเด็กแบบไม่มีบท ไม่มีตำราบังคับ ลูกสาวเศรษฐีจึงได้สัมผัสว่า การสอนจากหลักสูตรประเทศหัวใจ ช่างแตกต่างจากการสอนของคุณครูในโรงเรียนของพ่อ ซึ่งคุณครูทุกคนสอนตามที่หลักสูตรเมืองนอกเขียนไว้ทุกคำ เหมือนสอนด้วยการท่องจำ ไม่ใช่สอนจากความเข้าใจ
ในเรื่องของการใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือ A.I. ลูกสาวเศรษฐีพยายามสังเกตและหาคำตอบตามที่พ่อมอบหมาย แต่ในห้องเรียนไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยใด ๆ เลย จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง ลูกสาวเศรษฐีพบว่า มีทีมครูอีกทีมหนึ่ง ชื่อ ทีมสนับสนุนการทำงานของครู เข้ามาพูดคุยกับคุณครูจรัสศรีพร้อมกับนำเอกสารปึกใหญ่มาด้วย
คุณครูจรัสศรีสังเกตเห็นว่านักเรียนใหม่มองคุณครูเหล่านั้นด้วยสีหน้าสงสัย คุณครูจรัสศรีจึงอธิบายให้ลูกศิษย์ตัวน้อยฟังว่า “คุณครูเหล่านี้เป็นคนคอยช่วยคุณครูทุกคนในโรงเรียนเกี่ยวกับการทำงานเอกสารต่าง ๆ และช่วยใช้คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ A.I.ในการค้นคว้าข้อมูล แต่ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตบางครั้งก็ไม่ถูกต้องนะ ทีมสนับสนุนครูเคยถาม A.I.ถามว่า คุณครูจรัสศรีเป็นใคร A.I. ตอบว่า คุณครูจรัสศรีเป็นคุณครูใจดีที่เลี้ยงหมี สอนสนุก ลุกนั่งไม่ค่อยไหว ทีมสนับสนุนครูจึงรู้ในทันทีว่า ข้อมูลจาก A.I.ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”
ลูกสาวเศรษฐีค่อนข้างตกใจที่เธอเพิ่งรู้ว่า A.I.ที่โรงเรียนของพ่อใช้แทนครู เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือไม่ได้เสมอไป การใช้ A.I. แทนครูจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ในช่วงเย็น ระหว่างที่ลูกสาวเศรษฐีรอให้พ่อมารับ คุณครูจรัสศรีชวนลูกศิษย์ตัวน้อยไปปลูกต้นไม้ตามที่ให้สัญญาไว้ หลังจากที่เด็กน้อยปลูกต้นไม้เสร็จได้ไม่นาน รถของคุณพ่อก็มาถึงที่โรงเรียนพอดี
ทันทีที่เศรษฐีลงจากรถ แทนที่เศรษฐีจะถามลูกสาวว่าหิวไหม เหนื่อยไหม เศรษฐีผู้ร้อนรนกลับรีบกระซิบถามลูกสาวด้วยเสียงที่เบาที่สุดว่า “วันนี้ สืบอะไรมาได้บ้าง”
เศรษฐีไม่รู้เลยว่า คุณครูจรัสศรีเป็นคุณครูที่ตั้งใจสังเกตลูกศิษย์ของตัวเองเสมอ หูของคุณครูจรัสศรีจึงได้ยินคำพูดของเศรษฐีทุกคำอย่างชัดเจน และสายตาของคุณครูจรัสศรีก็เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนของลูกศิษย์ตัวน้อย ส่วนหัวใจของคุณครูจรัสศรีก็สัมผัสได้ถึงหัวใจของลูกศิษย์ที่ผิดหวัง เพราะแทนที่พ่อจะถามถึงสารทุกข์สุขดิบในการมาโรงเรียนใหม่วันแรก แต่คุณพ่อกลับถามถึงเรื่องอื่นไปเสีย
จริง ๆ แล้ว คุณครูจรัสศรีพอจะทราบว่า คุณพ่อของเด็กน้อยเป็นเศรษฐีและเป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งใหม่ ส่วนเด็กน้อยเป็นเด็กกำพร้าที่เพิ่งเสียคุณแม่ไปได้ไม่นานนัก การที่เศรษฐีส่งลูกสาวมาเรียนที่โรงเรียนจึงเป็นเรื่องที่คุณครูจรัสศรีรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อคุณครูจรัสศรีได้เห็นท่าทีและได้ฟังคำพูดของเศรษฐีที่มีกับลูก คุณครูจรัสศรีจึงมองลูกศิษย์ด้วยความสงสาร จากนั้น คุณครูจรัสศรีจึงตัดสินใจ ปกป้องลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยหัวใจของครูที่รักลูกศิษย์เหมือนลูกแท้ ๆ
สิ่งที่คุณครูจรัสศรีทำ คือการบอกให้ลูกศิษย์ตัวน้อยไปเลือกต้นไม้ดอกไม้ที่ชอบมาอีกต้น เพื่อให้คุณพ่อปลูกคู่กับต้นไม้ของลูกสาวเป็นกรณีพิเศษ เด็กหญิงตัวน้อยดีใจมากจึงรีบเดินไปเลือกต้นไม้เพื่อนำมาปลูกในแปลงอีกต้นหนึ่ง
เมื่อลูกสาวเศรษฐีเดินพ้นสายตาไปแล้ว คุณครูจรัสศรีก็หันมามองเศรษฐีด้วยสีหน้าของคุณครูที่เข้มงวดที่สุด แล้วพูดกับเศรษฐีว่า “ครูรู้แล้วนะว่าคุณพ่อส่งลูกสาวมาเรียนที่นี่เพราะอะไร ครูเอง แม้จะเพิ่งได้เป็นครูของลูกสาวคุณพ่อแค่เพียงวันเดียว แต่ครูก็อยากปกป้องเค้าให้ดีที่สุด ครูจึงอยากเตือนคุณพ่อว่า หัวใจของลูกเป็นสิ่งที่มีค่ามากนะคะ อย่าเห็นแก่ความต้องการของตัวเอง จนลืมปกป้องหัวใจของเค้า อย่าสั่งให้ลูกเป็นอย่างอื่นเลย ให้ลูกได้เป็นลูก เป็นเด็กนักเรียนธรรมดา ๆ แต่เป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อ จะไม่ดีกว่าเหรอคะ”
เมื่อคุณครูจรัสศรีพูดจบ ลูกสาวเศรษฐีก็นำต้นไม้ต้นเล็ก ๆ สำหรับคุณพ่อกลับมาที่แปลงดอกไม้พอดี
หลังจากนั้น คุณครูจรัสศรีก็ปล่อยให้เศรษฐีปลูกต้นไม้กับลูกสาวกันตามลำพัง ครั้นเมื่อสองพ่อลูกปลูกต้นไม้เสร็จ พวกเขาก็ลาคุณครูขึ้นรถกลับบ้าน โดยที่เศรษฐีไม่ได้ถามเรื่องภารกิจลับใด ๆ กับลูกสาวอีก
ระหว่างทาง ลูกสาวเศรษฐีเล่าเรื่องสนุก ๆ ที่ได้พบในโรงเรียนให้เศรษฐีฟังไม่หยุดปาก แต่เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณครูจรัสศรีที่รูปร่างเหมือนหมี แต่น่ารักเหมือนหมีแพนด้า
เศรษฐีนึกขอบคุณคุณครูจรัสศรีที่เตือนสติเขา เศรษฐีรับรู้ได้ว่า คุณครูหวังดีและพยายามปกป้องลูกสาวของเขาจากพ่อที่ไม่เอาไหน เศรษฐีรู้แล้วว่า เพราะเหตุใดผู้คนจึงพาเด็ก ๆ มาเรียนหนังสือกันที่นี่
เศรษฐีกอดลูกสาวเอาไว้ในอ้อมอก ในขณะที่เด็กน้อยเล่าเรื่องจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่เมื่อเศรษฐีก้มมองหน้าของลูกสาว เขาก็มองเห็นรอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าของลูกสาวสุดที่รัก…ซึ่งเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
#นิทานนำบุญ
ที่โรงเรียนให้อ่านในคาบ ไม่ไหวๆ
LikeLike
ถ้าไม่ไหว ต้องบอกคุณครูนะครับ
LikeLike