นิทานคลาสสิก “เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ” โดยฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เรื่องราวอบอุ่นหัวใจ ท่ามกลางค่ำคืนที่หนาวเหน็บที่สุด เป็นหนึ่งในนิทานระดับโลกที่ผู้คนจดจำและกล่าวถึงอย่างไม่รู้ลืม ความงดงามของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ความยาวของถ้อยคำ แต่คือความลึกของหัวใจที่ซ่อนอยู่ในแสงไฟอันริบหรี่ นิทานเรื่องนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กโตและผู้อ่านทุกวัยที่พร้อมจะรับฟังเรื่องเล่าเงียบ ๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนความรู้สึกบางอย่างในใจเราได้อย่างไม่รู้ตัว ขอแนะนำให้ผู้อ่านเปิดใจ อ่านอย่างช้า ๆ และเงียบสงบ เพื่อสัมผัสความงามที่แฝงอยู่ในทุกถ้อยคำ ความงามที่ยังคงเปล่งประกาย แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด
มาอ่านนิทานเรื่อง “เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ” กันเถอะ…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองใหญ่แห่งหนึ่งในคืนสิ้นปีที่เหน็บหนาว หิมะตกหนักจนพื้นถนนกลายเป็นสีเงินวาววับคล้ายผ้าห่มยักษ์ที่ปูคลุมเมืองทั้งเมืองเอาไว้ อากาศหนาวเย็นจนปลายจมูกกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ผู้คนต่างเดินผ่านกันไปมาอย่างเร่งรีบ เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านที่มีผ้าห่มและเตาผิงที่แสนอบอุ่น
ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ริมถนนตามลำพัง เธอสวมเสื้อบาง ๆ ตัวเก่า เท้าเล็ก ๆ เปลือยเปล่าแดงช้ำ มือทั้งสองกำไม้ขีดไฟที่ห่อด้วยกระดาษเก่า ๆ เอาไว้แน่น เธอพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาไปตามทางว่า “ไม้ขีดจ้ะ… มีใครอยากซื้อไม้ขีดไฟไว้ใช้บ้างไหมจ๊ะ”
เด็กหญิงเดินขายไม้ขีดไฟท่ามกลางอากาศหนาวจัด แต่ไม่มีใครตอบรับ หยุดฟัง หรือแม้แต่ส่งสายตาที่อ่อนโยนให้เธอเลย อากาศหนาวเกินกว่าที่ใครจะมาสนใจเด็กหญิงขายไม่ขีดไฟอย่างเธอ มีเพียงลมหนาวเท่านั้นที่พัดผ่านหน้าเธอไปราวกับต้องการทำให้เธอยอมแพ้
เด็กหญิงอยากกลับบ้าน แต่เธอไม่กล้ากลับบ้าน เพราะในตอนนี้ เธอยังขายไม้ขีดไฟไม่ได้เลย ถ้าเธอกลับบ้าน เธอกลัวว่าพ่อจะโกรธ
เด็กน้อยรู้สึกเหนื่อย หนาวและหิวมาก แต่ไม่มีใครเรียกให้เธอเข้าไปพักหลบลมหนาวในบ้านเลย เด็กหญิงจึงได้แต่หลบไปนั่งอยู่ในตรอกซึ่งอับลม แล้วขดตัวอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ คล้ายลูกแมวที่หาที่ซุกหัวนอนไม่ได้
เด็กหญิงหนาวมาก หนาวจนมือเล็ก ๆ สั่นแทบจะจับกล่องไม้ขีดไฟไม่อยู่ เธออยากได้ความอบอุ่นแม้สักนิด เด็กหญิงจึงตัดสินใจจุดไม้ขีดไฟก้านหนึ่ง เพื่อให้มือได้อุ่นขึ้นบ้าง
ทันทีที่เปลวไฟลุกวาบขึ้น แสงนวล ๆ ของไม้ขีดไฟและความร้อนจากเปลวไฟก็ทำให้มือของเด็กน้อยรู้สึกอุ่นขึ้น ครั้นเมื่อเธอเงยหน้าจากปลายไม้ขีดไฟ เธอมองเห็นเตาผิงที่มีไฟลุกโชติช่วงปรา กฏอยู่ต่อหน้า ความอบอุ่นคงมาจากเตาผิงนี่เอง แต่เมื่อเด็กหญิงยื่นมือไปโดยหวังจะอังไออุ่นใกล้ ๆ เปลวไฟก็ดับลง พร้อม ๆ กับภาพเตาผิงที่หายวับไปกับตา
สิ้นแสงไม้ขีดไฟ อากาศก็กลับมาหนาวจัดอีกครั้ง เด็กหญิงขดตัวแน่นขึ้นกว่าเดิม ความหนาวทิ่มแทงจนเธอเจ็บเนื้อตัวไปหมด เด็กหญิงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ฟ้าหม่นมัว ไม่มีแสงดาว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านหูเหมือนเสียงสะอื้นของใครบางคน เด็กหญิงอยากอังไออุ่นของเตาผิงอีกครั้ง เธอจึงหยิบไม้ขีดอีกก้านออกมาจุด
เมื่อเด็กหญิงจุดไม้ขีด แสงนวล ๆ ของไม้ขีดไฟและความร้อนจากเปลวไฟทำให้มือของเด็กน้อยรู้สึกอุ่นขึ้น ครั้นเมื่อเธอเงยหน้าจากปลายไม้ขีดไฟ เธอก็มองเห็นโต๊ะอาหารที่คลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาด บนโต๊ะมีซุปอุ่น ๆ ซึ่งมีควันลอยฟุ้ง และมีห่านย่างตัวโตวางอยู่กลางโต๊ะ นอกจากนี้ เด็กหญิงยังเห็นขนมหลากหลายชนิดวางอยู่บนโต๊ะด้วย เด็กหญิงยิ้มอย่างตื่นเต้น เธอยื่นมือจะหยิบช้อนเพื่อชิมอาหาร ทันใดนั้น เปลวไฟก็ดับลง และอาหารทุกอย่างก็หายไปทันที
ความหนาวกลับคืนมาอีกครั้ง เด็กหญิงนิ่งงัน ริมฝีปากเม้มสนิท หัวใจเต้นช้าลงเหมือนความหวังที่เพิ่งดับ เธอมองกล่องไม้ขีดในมือ มันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยทำให้เธอเห็นโลกในแบบที่เธออยากเห็น แม้จะได้เห็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เด็กหญิงนั่งอยู่ในความหนาวได้เพียงครู่เดียว เธอก็ตัดสินใจจุดไม้ขีดอีก
เมื่อไฟจากไม้ขีดวาบขึ้นมา เด็กหญิงก็รู้สึกอุ่นขึ้นอีกครั้ง ครั้นเมื่อเธอเงยหน้าจากปลายไม้ขีดไฟ คราวนี้ เธอมองเห็นต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับประดาด้วยแสงเทียนระยิบระยับ ต้นคริสต์มาสตกแต่งด้วยลูกบอลที่ทำจากแก้วใส ๆ และมีของขวัญวางเรียงรายอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสนั้น เด็กหญิงได้ยินเสียงเพลงคริสต์มาสลอยแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง เธอยื่นหน้าเข้าไปดูต้นคริสต์มาสใกล้ ๆ พร้อม ๆ กับหัวใจที่พองโตราวกับกำลังจะได้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขนั้น แต่แล้ว เปลวไฟก็ดับลงอีกครั้ง และทุกสิ่งก็หายไปต่อหน้าต่อตา
เด็กหญิงถอนหายใจด้วยความเศร้า เธอมองขึ้นไปบนฟ้า และเห็นดาวดวงหนึ่งตกลงมาจากฟ้าพอดี เด็กหญิงจึงพึมพำกับตัวเองเหมือนระลึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ “คุณยายเคยบอกว่า… ถ้าดาวตก แปลว่ามีใครบางคนคนกำลังจะขึ้นสวรรค์”
เด็กหญิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอเคยฟังจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เธอรู้ก็คือ ตอนนี้เธอหนาวมาก และทุกครั้งที่เธอจุดไม้ขีดไฟ มันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้มาก ด้วยเหตุนี้เอง เด็กหญิงจึงจุดไม้ขีดอีกครั้ง
เมื่อแสงไฟจากไม้ขีดสว่างวาบขึ้น คราวนี้ เด็กหญิงเห็นคุณยายของเธอยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของคุณยายทำให้เด็กน้อยรู้สึกอบอุ่นจนเหมือนตัวเองได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของคุณยายอีกครั้ง เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เธอเคยนอนอยู่ในอ้อมอกของคุณยาย และฟังคุณยายเล่านิทานอยู่ข้างเตาผิง เด็กหญิงดีใจมาก เพราะเธอรักคุณยายมากที่สุดในโลก
“คุณยายอย่าหายไปไหนนะ หนูหนาว หนูกลัว หนูคิดถึงคุณยายเหลือเกิน” เด็กหญิงพูดเสียงเบาโดยมีน้ำตาคลออยู่ที่ดวงตา เด็กหญิงไม่อยากให้คุณยายหายไปพร้อมกับแสงไฟ เธอจึงรีบจุดไม้ขีดทีละก้าน ทีละก้าน โดยหวังให้แสงไฟอยู่ไปได้นานที่สุด
เมื่อเด็กหญิงจุดไม้ขีดก้านสุดท้าย แสงไฟจากไม้ขีดก้านสุดท้ายก็สว่างขึ้นและเจิดจ้ากว่าแสงไฟจากไม้ขีดทุก ๆ ก้าน ในขณะที่เด็กหญิงมองคุณยายผ่านม่านน้ำตา คุณยายก็ยื่นมือออกมา แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมอก
ไม่มีลมหนาว ไม่มีเสียงใครดุ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ตอนนี้…มีเพียงอ้อมกอดอุ่น ๆ ของคุณยาย และรอยยิ้มที่ไม่มีวันเลือนหาย
รุ่งเช้า หิมะหยุดตก ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย ผู้คนเดินผ่านตรอกแคบ ๆ แห่งนั้น พวกเขาเห็นเด็กหญิงนั่งอยู่ข้างกำแพงอย่างสงบ เธอหลับตา ใบหน้ายิ้มละไม ในมือกำกล่องไม้ขีดเอาไว้ ส่วนที่พื้นมีไม้ขีดใช้แล้ววางเรียงรายอยู่
ไม่มีใครรู้เลยว่า ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เด็กหญิงได้พบคนที่เธอรักที่สุดอีกครั้ง และเธอได้เดินทางไปยังที่ซึ่งไม่มีความหนาว ความกลัว หรือความเดียวดายอีกต่อไป
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- ความอบอุ่นในใจสำคัญไม่แพ้ความอบอุ่นทางกาย – แม้เพียงภาพในจินตนาการก็สามารถปลอบประโลมใจคนที่เหน็บหนาวได้
- การมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่นเป็นจุดเริ่มต้นของความเมตตา – หลายครั้งเรามัวแต่เร่งรีบ จนลืมสังเกตว่าใครกำลังลำบากอยู่รอบตัว
- เด็กทุกคนควรได้รับความรัก ความห่วงใย และพื้นที่ปลอดภัย – ไม่ควรมีใครต้องเผชิญความหนาวเหน็บตามลำพัง
- จินตนาการและความหวังสามารถสร้างพลังใจให้มนุษย์ในวันที่มืดมน – แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ก็มีความหมายมหาศาล
- ความรักจากครอบครัวคือของขวัญล้ำค่าที่สุด – สำหรับเด็กหญิงในเรื่อง เพียงได้เห็นคุณยายอีกครั้งก็ทำให้เธอยิ้มได้อย่างสงบ
#นิทานนำบุญ
