Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่, นิทานอบอุ่นหัวใจ

“เพลงเล่านิทาน : แมวล่องหน” นิทานอบอุ่นหัวใจเสียงของความเหงาและความหวัง

“แมวล่องหน” เป็นนิทานก่อนนอนที่อบอุ่นหัวใจที่สุดเรื่องหนึ่งจากคอลเลกชันนิทานนำบุญ เล่าเรื่องแมวน้อยชื่อ “ศูนย์” ที่ไม่มีใครมองเห็นตัวตน จนวันหนึ่งได้พบหญิงสาวเจ้าของร้านหนังสือที่มองเห็นและโอบกอดเขาด้วยความรัก นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงแต่สร้างรอยยิ้มและความประทับใจ แต่ยังแฝงแง่คิดสำคัญทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่—เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่องความเมตตาต่อสัตว์เลี้ยง ส่วนผู้ใหญ่หลายคนอาจรู้สึกเชื่อมโยงกับความเหงา ความโดดเดี่ยว และความต้องการใครสักคนที่มองเห็นและรักเราอย่างแท้จริง

เมื่อผมเริ่มทดลองทำเพลงเล่านิทานผ่านเว็บไซต์ suno.com “แมวล่องหน” กลายเป็นเรื่องแรกที่ผมแต่งเนื้อเพลงและสร้างเสียงประกอบขึ้นมา เพลงเวอร์ชั่นแรกสะท้อนเสียงหัวใจของแมว—เว้าวอน ตัดพ้อ และน่ารักน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งผมเองก็รู้สึกผูกพันกับเพลงนี้มาก เพราะมันเหมือนเสียงลึก ๆ จากตัวละครที่กำลังตามหาใครสักคนที่เข้าใจ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มอยากลองเล่าเรื่องผ่านบทเพลงในอีกมุมหนึ่ง ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของตัวละคร แต่เป็นการเล่าเรื่องราวของนิทานอย่างชัดเจน จึงเกิดเป็นเพลงเวอร์ชั่นที่สอง ที่มีลีลาสดใสขึ้น และสามารถถ่ายทอดเนื้อเรื่องได้ครบถ้วนมากขึ้น ทั้งสองเวอร์ชั่นมีเสน่ห์ต่างกัน และผมอยากชวนคุณฟังแล้วลองตอบตัวเองว่า…คุณชอบเวอร์ชั่นไหนมากกว่ากัน?

สำหรับใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้วแต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกันด้านล่าง ส่วนใครที่เพิ่งเข้ามาเจอเพลงเล่านิทานและอยากอ่านฉบับเต็ม ลองกดอ่านที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

“ศูนย์” เป็นแมวน้อยที่ไม่มีใครมองเห็นตัวตน มันเป็นแมวล่องหนที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว วันหนึ่ง มันตัดสินใจออกเดินทางเพื่อหาวิธีทำให้คนอื่นมองเห็นมันได้

มันไปขอความช่วยเหลือจากช่างตัดเสื้อ หมอ และแม่มด แต่ไม่มีใครสามารถช่วยมันได้ บ้างก็ยุ่งเกินไป บ้างก็ต้องการเงิน บ้างก็ไร้เมตตา ทำให้ศูนย์รู้สึกหมดหวัง

ขณะเดินคอตกกลางสายฝน มันเจอร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่อบอุ่น และหญิงสาวเจ้าของร้านที่มองเห็นมัน เธออุ้มมันเข้ามาหลบฝน เช็ดตัวให้ และเสนอให้มันอยู่ด้วยกันโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ด้วยความรักและความเอาใจใส่ของหญิงสาว ร่างกายของศูนย์ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความล่องหน จนมันกลายเป็นแมวธรรมดาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเวทมนตร์ แต่เพราะความเมตตาและการยอมรับอย่างแท้จริง

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง แมวล่องหน ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพปกนิทานเรื่องแมวล่องหน แสดงใบหน้าแมวเพียงบางส่วน ดูเหมือนแมวค่อย ๆ จางหาย มีลวดลายสีเหลืองและเขียว เพิ่มความรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่น
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานอบอุ่นหัวใจ, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : โทรศัพท์ข้ามมิติ – เด็กกำพร้าและสายใยความคิดถึง

“โทรศัพท์ข้ามมิติ” เป็นนิทานก่อนนอนที่ผมแต่งขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อนำมาทำเป็น เพลงเล่านิทาน กลับกลายเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและน่าประทับใจ เพลงนี้เล่าเรื่องของเด็กกำพร้าผู้มีจินตนาการและความคิดถึงอันลึกซึ้ง เขาประดิษฐ์โทรศัพท์จากของเล่นธรรมดา เพื่อสื่อสารกับคนที่เขารักที่สุด แม้จะอยู่ไกลแสนไกล

ผมเลือกเพลงเล่านิทานเรื่องนี้มาเผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เพราะเชื่อว่าเสียงเพลงและเรื่องราวในนิทานจะช่วยปลอบโยนหัวใจของผู้ฟังทุกวัย โดยเฉพาะในวันที่รู้สึกเหงา เพลงนี้อาจเป็นสายใยเล็ก ๆ ที่เชื่อมโยงความรัก ความคิดถึง และความหวังไว้ด้วยกัน

เมื่อฟังเพลงนี้ไปแล้ว หากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

เด็กกำพร้าช่างคิดคนหนึ่งมีความฝันอยากสร้างโทรศัพท์ที่ไม่เหมือนใคร เขาจึงประดิษฐ์ “โทรศัพท์ข้ามมิติ” จากถ้วยพลาสติก ด้าย และปากกา แม้จะดูเหมือนโทรศัพท์กระป๋องธรรมดา แต่เขาเชื่อว่ามันสามารถเชื่อมต่อหัวใจถึงคนที่อยู่ไกลได้

เมื่อเพื่อนถามว่าเขาจะโทรหาใคร เด็กน้อยจึงพูดผ่านสายว่า “พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูคิดถึงพ่อกับแม่สุดหัวใจ…” แล้วเงียบฟังด้วยความหวัง

แม้จะมีเพียงเสียงลมและใบไม้ แต่ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง เสียงอ่อนโยนก็ดังขึ้นว่า “ได้ยินแล้วนะ คิดถึงเหมือนกันนะ…”

ฝนโปรยลงมาเบา ๆ ทั้งสองเด็กกำพร้ากอดกันแน่น พร้อมถือโทรศัพท์ข้ามมิตินั้นกลับบ้าน เผื่อวันใดที่หัวใจเหงา พวกเขาจะได้ใช้มันพูดคุยกับคนที่รัก…แม้จะอยู่ไกลแสนไกล แต่ไม่ไกลเกินใจจะคิดถึง.

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง โทรศัพท์ข้ามมิติ ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

เด็กชายและเด็กหญิงนั่งคุยกันผ่านโทรศัพท์กระป๋องในทุ่งหญ้า สื่อถึงความคิดถึงและจินตนาการในนิทานโทรศัพท์ข้ามมิติ
เด็กชายและเด็กหญิงนั่งคุยกันผ่านโทรศัพท์กระป๋องในทุ่งหญ้า สื่อถึงความคิดถึงและจินตนาการในนิทานโทรศัพท์ข้ามมิติ
Posted in นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่, นิทานฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ – เพลงที่ทำให้นิทานอ่อนโยนลง

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นักเขียนนิทานระดับโลก เจ้าของผลงานอมตะอย่าง ลูกเป็ดขี้เหร่, เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว, และ เงือกน้อยผจญภัย ได้ฝากนิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ไว้เป็นหนึ่งในเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดในโลกวรรณกรรมสำหรับเด็ก

นิทานเรื่องนี้สะท้อนความยากลำบากของเด็กยากไร้ในยุโรปยุคเก่า ผ่านภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องขายไม้ขีดไฟท่ามกลางความหนาวเหน็บในคืนวันสิ้นปี แม้เนื้อเรื่องจะหม่นเศร้า แต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และความเมตตา

เพื่อให้เรื่องราวนี้เข้าถึงใจเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ได้อย่างอ่อนโยน ผมจึงแต่งเพลงเล่านิทานขึ้นมา ด้วยเสียงดนตรีที่อบอุ่นและเนื้อเพลงที่ชวนฟัง ผมหวังว่าเพลงนี้จะเป็นสื่อกลางให้พ่อแม่และคุณครูใช้พูดคุยกับเด็ก ๆ เรื่องความเอื้ออาทร ความเห็นอกเห็นใจ และการแบ่งปันให้กับผู้ที่ขาดแคลน

ลองฟังเพลงนี้ แล้วหากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

ในคืนสิ้นปีที่หนาวเหน็บ เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินขายไม้ขีดไฟตามลำพังบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ เธอสวมเสื้อเก่า เดินเท้าเปล่า มือกำกล่องไม้ขีดไว้แน่น แม้จะพยายามเรียกผู้คนให้ซื้อ แต่ไม่มีใครสนใจเธอเลย

อากาศวันนั้นหนาวจนแทบทนไม่ไหว เด็กหญิงจึงจุดไม้ขีดไฟก้านหนึ่งเพื่อให้มืออุ่นขึ้น และในแสงไฟนั้น เธอเห็นภาพเตาผิงอันอบอุ่นปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่เมื่อไฟดับ ภาพนั้นก็หายไป

เธอจุดไม้ขีดอีกก้าน แล้วเห็นโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารน่ากิน แต่ภาพนั้นก็หายไปเมื่อไฟดับอีกครั้ง

ไม้ขีดก้านต่อมาพาเธอไปพบต้นคริสต์มาสที่สวยงาม มีของขวัญและเสียงเพลงลอยมาเบา ๆ แต่ภาพนั้นก็เลือนหายไปเช่นกัน

เมื่อเห็นดาวตก เด็กหญิงนึกถึงคำพูดของคุณยายว่า “ถ้าดาวตก แปลว่ามีใครบางคนกำลังจะขึ้นสวรรค์” เธอจุดไม้ขีดอีกก้าน และคราวนี้ คุณยายปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

เด็กหญิงดีใจมาก เธอจุดไม้ขีดทีละก้านเพื่อให้คุณยายอยู่กับเธอนานที่สุด จนถึงก้านสุดท้าย แสงไฟเจิดจ้าขึ้น และคุณยายก็โอบกอดเธอไว้ในอ้อมอกอันอบอุ่น

รุ่งเช้า ผู้คนพบเด็กหญิงนั่งสงบอยู่ข้างกำแพง ใบหน้ายิ้มละไม ในมือกำกล่องไม้ขีดไว้แน่น ไม่มีใครรู้เลยว่า ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เด็กหญิงได้พบคนที่เธอรักที่สุดอีกครั้ง และได้เดินทางไปยังที่ซึ่งไม่มีความหนาว ความกลัว หรือความเดียวดายอีกต่อไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

นิทาน เด็กหญิงขายไม้ขีดกำลังเดินในหิมะ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานความรัก, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน “เจ้าชายฝุ่น” – บทเพลงแห่งรักที่ไม่มีเงื่อนไข

“เจ้าชายฝุ่น” คือนิทานก่อนนอนที่เล่าผ่านบทเพลงอย่างละเมียดละไม ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักที่แอบซ่อนอยู่ในใจ—รักที่ไม่ต้องการการตอบแทน รักที่พร้อมปกป้องแม้จะไม่มีใครมองเห็น

ในนิทานนี้ ตัวเอกถูกเปรียบเป็นเจ้าชายตัวจิ๋วที่เล็กจนเจ้าหญิงไม่อาจมองเห็นได้ เป็นภาพแทนของคนที่รู้สึกต่ำต้อย แต่ยังมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเจ้าหญิงตกอยู่ในอันตราย เจ้าชายฝุ่นก็พร้อมจะปกป้องเธอโดยไม่ลังเล นี่คือพลังแห่งรักที่บริสุทธิ์และงดงามที่สุด

บทเพลงเล่านิทานเรื่องนี้มีให้ฟัง 2 เวอร์ชั่น:

เวอร์ชั่นแรก: เนื้อร้องและท่วงทำนองกลมกล่อม ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลงตัว

เวอร์ชั่นที่สอง: เพลงไทยสไตล์จีนที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกใหม่และเพลินใจ

ไม่ว่าคุณจะเคยอ่านนิทาน “เจ้าชายฝุ่น” หรือเพิ่งรู้จักครั้งแรก เพลงทั้งสองเวอร์ชั่นนี้จะพาคุณกลับไปสัมผัสความรักที่อ่อนโยนและซาบซึ้งอีกครั้ง

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าชายองค์หนึ่งตัวเล็กเท่าเม็ดฝุ่น แม้ใคร ๆ จะมองไม่เห็น แต่พระองค์มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เจ้าชายองค์ใด

วันหนึ่ง เจ้าชายฝุ่นปลิวตามสายลมไปพบเจ้าหญิงผู้ใจดีที่กำลังอ่านหนังสือและดูแลสัตว์น้อยใหญ่ในสวน เจ้าชายเผลอหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่วินาทีแรก และตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็มาเฝ้ารอเจ้าหญิงทุกวันด้วยหัวใจที่มั่นคง

เมื่อถึงวันที่เจ้าชายตัดสินใจสารภาพรัก เสียงของพระองค์กลับเบาเกินไปจนเจ้าหญิงไม่ได้ยิน และแม้จะพยายามเท่าไร เจ้าหญิงก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงความรักนั้นได้

แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเจ้าหญิงตกอยู่ในอันตรายจากยักษ์เกเร เจ้าชายฝุ่นก็ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ พระองค์ปลิวเข้าไปในดวงตาของยักษ์ ทำให้มันระคายเคืองจนต้องล่าถอยไป

แม้เจ้าหญิงจะไม่รู้ว่าใครช่วยเธอไว้ แต่เจ้าชายฝุ่นก็ยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ยิ้มกว้างและตะโกนว่า “ถึงเธอจะมองไม่เห็นฉัน…แต่ฉันมีอยู่จริง เหมือนความรักของฉัน แม้เธอจะมองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง ๆ”

และในวินาทีนั้น หัวใจของเจ้าหญิงก็ได้ยินเสียงของใครบางคน…เสียงของความรักที่แท้จริง

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าชายฝุ่น ในเวอร์ชั่นที่ผมเขียนไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

เจ้าหญิงนั่งอ่านหนังสือในสวนพร้อมสัตว์น้อยใหญ่ ขณะเจ้าชายฝุ่นตัวจิ๋วแอบเฝ้ามองด้วยความรัก
แม้เธอจะมองไม่เห็นฉัน…แต่ฉันมีอยู่จริง” – เจ้าชายฝุ่น

Posted in Uncategorized

เพลงเล่านิทาน : ซินเดอเรล่า – จากนิทานคลาสสิกสู่บทเพลงอันอบอุ่น

ซินเดอเรลล่า เป็นหนึ่งในนิทานคลาสสิกที่ครองใจผู้คนทั่วโลกมาหลายศตวรรษ ด้วยเรื่องราวของความหวัง ความเมตตา และการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากความยากลำบากสู่ความงดงาม นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากยุโรป โดยมีหลายเวอร์ชั่นที่เล่าต่อกันมา ทั้งฉบับของชาร์ลส์ แปโรต์ และพี่น้องกริมม์ ซึ่งต่างก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว

ครั้งนี้ ผมขอนำเสนอ เพลงเล่านิทานซินเดอเรลล่า ที่แต่งขึ้นเอง โดยตั้งใจให้เป็นบทเพลงที่ฟังเพลิน ๆ ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ มีให้เลือกฟัง 2 เวอร์ชั่น—เสียงร้องผู้หญิงและเสียงร้องผู้ชาย—เพื่อให้เข้ากับอารมณ์และความชอบของแต่ละคน

เพลงนี้เป็นการทดลองนำนิทานคลาสสิกมาเล่าในรูปแบบใหม่ ที่ผสมผสานความอบอุ่นของเนื้อเรื่องเข้ากับท่วงทำนองที่ฟังง่ายและชวนฝัน หากคุณเคยหลงรักเรื่องราวของซินเดอเรลล่า ลองฟังเพลงนี้ดูครับ อาจทำให้คุณยิ้มได้อีกครั้ง

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นิทานเรื่อง : ซินเดอเรลล่า(ฉบับย่อ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยชื่อ “ซินเดอเรลล่า” ผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน เธอเป็นลูกสาวของเศรษฐี แต่เมื่อแม่แท้ ๆ เสียชีวิต พ่อของเธอก็แต่งงานใหม่กับหญิงม่ายที่มีลูกติดสองคน หลังจากพ่อเสียชีวิต แม่เลี้ยงกลับกลายเป็นคนใจร้าย ใช้ให้ซินเดอเรลล่าทำงานหนักทุกวัน และปฏิบัติเธอราวกับคนรับใช้

วันหนึ่ง พระราชาเชิญหญิงสาวทั่วเมืองไปร่วมงานเต้นรำ เพื่อให้เจ้าชายได้เลือกคู่ครอง แม่เลี้ยงและลูกสาวต่างตื่นเต้น เตรียมตัวอย่างเต็มที่ แต่กลับห้ามซินเดอเรลล่าไปงานด้วย

ขณะที่ซินเดอเรลล่าร้องไห้ด้วยความเสียใจ นางฟ้าประจำตัวก็ปรากฏตัวขึ้น และใช้เวทมนตร์เนรมิตชุดราตรี รองเท้ากลาส และรถม้าให้เธอ พร้อมเตือนว่าเวทมนตร์จะหมดลงเมื่อถึงเที่ยงคืน

ในงานเต้นรำ เจ้าชายตกหลุมรักซินเดอเรลล่าทันที เพราะเธอเรียบง่ายและงดงามอย่างแท้จริง ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างมีความสุข แต่เมื่อใกล้เที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าต้องรีบกลับบ้านโดยไม่ได้บอกลา และทำรองเท้าแก้วหล่นไว้

เจ้าชายตามหารองเท้าแก้วทั่วเมือง และเมื่อซินเดอเรลล่าได้ลองสวม รองเท้าก็พอดีเป๊ะ ทหารจึงพาเธอไปพบเจ้าชาย และทั้งสองก็ได้แต่งงานกันในที่สุด

ซินเดอเรลล่าได้กลายเป็นเจ้าหญิง และไม่ต้องทนอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายอีกต่อไป ส่วนแม่เลี้ยงและลูกสาวก็หนีออกจากเมืองไปอย่างไร้ร่องรอย

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง ซินเดอเรลล่า ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงแบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพซินเดอเรลล่าในชุดราตรีสีฟ้า กำลังวิ่งลงบันไดจากงานเลี้ยง พร้อมเจ้าชายที่ตามมา
ฉากสำคัญจากนิทานซินเดอเรลล่า เมื่อเจ้าหญิงหนีจากงานเลี้ยงก่อนเที่ยงคืน
Posted in #นิทานให้ข้อคิด, นิทานก่อนนอน, นิทานญี่ปุ่น

เจ้าหนูนักวาดแมว – นิทานก่อนนอนจากญี่ปุ่นที่สนุกสำหรับเด็ก และให้แง่คิดผู้ใหญ่

นิทานเรื่อง “เจ้าหนูนักวาดแมว” (The Boy Who Drew Cats) เป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่ถูกเรียบเรียงโดย Lafcadio Hearn และตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1898 โดยสำนักพิมพ์ Hasegawa Takejirō ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการเผยแพร่นิทานญี่ปุ่นในรูปแบบภาพพิมพ์ไม้สำหรับชาวต่างชาติ

นิทานพื้นบ้านจากญี่ปุ่นเรื่องนี้ เล่าเรื่องของเด็กชายตัวเล็กผู้มีความสุขกับการวาดแมว แม้จะถูกมองว่าไร้สาระ แต่สิ่งที่เขาทำกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราวที่ทั้งสนุก ลึกลับ และชวนให้ขบคิด

สำหรับเด็ก เรื่องนี้คือการผจญภัยที่เต็มไปด้วยจินตนาการ แต่สำหรับผู้ใหญ่ มันคือบทเรียนเงียบ ๆ ที่เตือนให้เราหยุดและทบทวนว่า…บางครั้ง สิ่งที่ดูไม่มีค่าในสายตาเรา อาจเป็นสิ่งที่มีพลังในโลกของเด็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นเด็กขยันและมีน้ำใจ แต่เขาตัวเล็กจึงไม่ถนัดทำงานในไร่นาเหมือนกับพี่ ๆ วันทั้งวัน…เด็กชายจะเอาแต่นั่งวาดรูปแมว…แมว…แล้วก็แมว เขาวาดรูปแมวบนเศษกระดาษ เศษไม้ หรือแม้แต่บนกำแพงบ้าน เด็กชายวาดรูปแมวได้ทั้งวันแบบไม่รู้เบื่อ

วันหนึ่ง พ่อกับแม่ของเด็กชายเห็นว่าเขาไม่ถนัดทำงานในไร่ในนา พ่อกับแม่จึงพาเขาไปฝากไว้ที่วัดใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน โดยหวังให้เขาได้เป็นเณรน้อยช่วยงานที่วัด

ณ วัดแห่งนั้น…เด็กชายตั้งใจจะเป็นเณรที่ดี แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับเผลอวาดรูปแมวจนเต็มกำแพงวัด เมื่อพระอาจารย์เห็นเข้า พระอาจารย์ก็ส่ายหน้า พร้อมกับบอกเด็กชายว่า “เจ้าหนูเอ๋ย… ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะกับเจ้านักนะ”

เมื่อพระอาจารย์พูดเช่นนั้น เด็กชายจึงเก็บข้าวของ แล้วเดินออกจากวัดด้วยความรู้สึกผิด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงรักการวาดรูปแมวอยู่ดี

ระหว่างทาง เด็กชายเดินมาจนถึงวัดร้างที่อยู่ไม่ไกลจากวัดของพระอาจารย์นัก วัดแห่งนี้ดูเงียบสงัดและเหมือนไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ชาวบ้านบอกเด็กชายว่า วัดแห่งนี้ไม่มีคนกล้ามาอยู่เพราะกลัวปิศาจหนู เด็กชายคิดในใจว่า “ปิศาจหนูคงไม่น่ากลัวเท่ากับ..การเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการหรอกนะ” เด็กชายรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง แต่เขาไม่อยากกลุ้มใจนานนัก เขาจึงตัดสินใจพักค้างคืนในวัดร้างแห่งนั้น

ก่อนค่ำ เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นผนังโบสถ์ดูโล่ง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดแมวอีกครั้ง การวาดรูปคือความสุขของเขา คราวนี้เขาวาดรูปแมวอย่างสนุก เขาวาด….วาด….แล้วก็วาด เด็กชายวาดรูปแมวจนเต็มผนัง รูปแมวที่เขาวาดมีทั้งแมวตัวใหญ่ แมวตัวเล็ก บางตัวยิ้ม บางตัวยิงฟัน บางตัวกล้ามใหญ่ บางตัวเล็บยาว บางตัวทำท่าเหยียดขา และบางตัวนอนหลับปุ๋ยดูน่ารักมาก

ในคืนนั้น หลังจากที่เด็กชายวาดรูปแมวจนง่วง เขาก็หาที่นอนตรงมุมหนึ่งของโบสถ์ แล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

แต่ในขณะที่เด็กชายหลับอยู่ท่ามกลางความมืด จู่ ๆ เขาก็ได้เสียงฝีเท้าดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายที่มุ่งหน้าเข้ามาเพื่อล่าเหยื่อ

สัตว์ร้ายดังกล่าว คือ ปิศาจหนูตัวมหึมาที่ไล่ล่าผู้คน จนไม่มีใครกล้าอยู่ที่วัดแห่งนี้ ปิศาจหนูเดินเข้ามาในโบสถ์อย่างน่าสะพรึงกลัว มันใช้จมูกดมกลิ่นมนุษย์ พลางกวาดตามองหาเหยื่อด้วยสายตาที่หิวโหย

ทันใดนั้นเอง…เด็กชายที่นอนตัวสั่นด้วยความกลัว ก็ได้ยินเสียงขู่ที่น่ากลัว ซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเสียงของปิศาจหนู แต่เมื่อฟังให้ดี เขากลับพบว่าเสียงขู่นั้นดังมาจากรอบทิศ ตามด้วยเสียงข่วนผนังแกรก ๆ และเสียงร้องของแมวนับร้อย ๆ ตัวที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน

เสียงของแมวเหล่านั้น คือ เสียงจากแมวที่เด็กชายวาดไว้บนกำแพง ที่จู่ ๆ พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหว แล้วแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ปิศาจหนูจากทุกทิศทุกทาง

ปิศาจหนูร้องเจี๊ยก เหมือนลิงจ๋อ แล้วร้องเอ๋ง ๆ เหมือนหมาที่เจอเจ้าถิ่น มันรีบวิ่งหนีสุดชีวิต แต่พวกแมวก็ไม่ยอมให้มันหนีไปได้ง่าย ๆ การต่อสู้ที่ดุเดือดจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายก็จบลงที่ ปิศาจหนูสะบักสะบอมถึงขั้นต้องร้องขอชีวิต และสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนมนุษย์ที่วัดแห่งนี้อีก

ในที่สุด พวกแมวก็ยอมปล่อยปิศาจหนูไป เด็กชายที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงค่อย ๆ คลายความตระหนก แล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จากนั้น เด็กชายก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

เช้าวันต่อมา…พระอาจารย์ได้ทราบจากชาวบ้านว่า เด็กชายได้ไปพักอยู่ที่วัดร้างซึ่งมีปิศาจหนูคอยทำร้ายผู้คน และเมื่อคืน….เกิดเหตุเสียงดังเอะอะดูน่ากลัว พระอาจารย์รู้สึกผิดที่ให้เด็กชายออกจากวัด พระอาจารย์จึงรีบไปหาเด็กชายด้วยความเป็นห่วง

เมื่อพระอาจารย์มาถึง พระอาจารย์พบว่าเด็กชายกำลังหลับอยู่ในวัดร้างแห่งนั้นตามลำพัง และพบว่าเด็กชายวาดรูปแมวเอาไว้ที่ผนังโบสถ์เต็มไปหมด

เมื่อเด็กชายตื่นนอนและเห็นพระอาจารย์ เด็กชายจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอาจารย์ฟัง

เมื่อพระอาจารย์ได้ฟังจนจบ พระอาจารย์ก็ลูบหัวเด็กชายเบา ๆ พลางกล่าวว่า “บางที การวาดแมวของเจ้าก็มีค่ามากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกนะ”

หลังจากวันนั้น พระอาจารย์ก็ให้เด็กชายกลับไปอยู่ที่วัด โดยท่านอนุญาตให้เด็กชายผู้รักการวาดแมว วาดแมวได้ แต่ต้องวาดในเศษกระดาษ ไม่ใช่วาดไปทั่ว

เด็กชายดีใจและเข้าใจ เขารับปากพระอาจารย์และตามกลับไปอยู่ที่วัดดังเดิม

ในที่สุด เรื่องราวของเด็กชายผู้รักการวาดรูปแมว ก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • สิ่งที่ดูไร้สาระในสายตาผู้ใหญ่ อาจมีคุณค่าในโลกของเด็ก
  • เด็กบางคนมีแรงขับภายในที่ผู้ใหญ่ควรเข้าใจ มากกว่าควบคุม
  • การเปิดใจของผู้ใหญ่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานยุโรป, นิทานเด็ก

เจ้าชาย Boots ปราบยักษ์ : นิทานพื้นบ้านนอร์เวย์

นิทานเรื่อง “Jetten uten hjerte” เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านนอร์เวย์ที่ทรงคุณค่าที่สุดของชาวนอร์ส ถูกเก็บรวบรวมโดยนักเล่านิทานชื่อดังของนอร์เวย์คือ Peter Christen Asbjørnsen และ Jørgen Moe ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรวบรวมและเผยแพร่นิทานพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 ผ่านชุดนิทานชื่อ Norske Folkeeventyr

นิทานเรื่องนี้ในเวอร์ชันต้นฉบับของนอร์เวย์ มีจุดเด่นที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและปรัชญาชีวิตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “การตอบแทนความดี” ผ่านสัตว์ที่เจ้าชาย Boots เคยช่วยไว้ (อีกา ปลาแซลมอน และหมาป่า) ซึ่งต่อมาได้กลับมาช่วยเหลือเจ้าชายในยามคับขัน นอกจากนี้ ยังจะเห็นได้ว่า เจ้าชายไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการฝ่าฟันอุปสรรค แต่ใช้ความเมตตา ความกล้าหาญ และความเสียสละ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของชาวนอร์ส และท้ายที่สุด นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนคุณธรรมแบบนอร์สที่เน้นความรักต่อครอบครัว ความกล้าหาญ และการเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างงดงาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระโอรสเจ็ดพระองค์ พระราชารักลูกชายทั้งเจ็ดสุดหัวใจจนไม่อาจทนอยู่ได้โดยอยู่ไกลจากลูก ดังนั้น จึงต้องมีลูกชายอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่เคียงข้างเสมอ

เมื่อเจ้าชายทั้งเจ็ดเติบโตขึ้น พระราชาจึงอนุญาตให้เจ้าชายหกพระองค์ออกเดินทางเพื่อไปหาคู่ครอง ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้อง พระราชาทรงขอให้อยู่ที่วัง และสั่งให้พี่ชายทั้งหกหาเจ้าหญิงกลับมาให้เขา

เจ้าชายทั้งหกออกจากวังไปได้สักพัก ก็มีข่าวเล่าลือว่า เจ้าชายทั้งหกถูกยักษ์จับและสาปให้กลายเป็นหิน พระราชาทรงเป็นห่วงลูกชายทั้งหกมาก ในที่สุด พระราชาจึงขอให้เจ้าชายองค์สุดท้องออกเดินทางไปช่วยพี่ ๆ

เมื่อเจ้าชายองค์สุดท้องซึ่งมีชื่อว่า Boots (บู๊ท) ได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ออกเดินทางตามหาพี่ชายทั้งหก ม้าที่เหลืออยู่ในวังก็มีแค่ม้าแก่ ๆ ที่โรยแรงและใกล้หมดสภาพ แต่เจ้าชายบู๊ทไม่ได้ใส่ใจ เขาอยากไปช่วยพี่ ๆ เขาจึงกระโดดขึ้นขี่ม้าตัวนั้น แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันจะกลับมาแน่นอน และจะพาพี่ชายทั้งหกกลับมาด้วย!”

ระหว่างทางเจ้าชายบู๊ทพบอีกาที่หิวโซจนบินไม่ไหว มันร้องขออาหาร เจ้าชายบู๊ทจึงตอบไปว่า “ข้าไม่มีอาหารมากนัก แต่ข้าจะมอบอาหารให้เจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าต้องการมันจริง ๆ” เจ้าชายบู๊ท มอบอาหารทั้งหมดให้อีกา ส่วนอีกาก็สัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

ต่อมาเจ้าชายบู๊ทพบปลาแซลมอนตัวใหญ่พลัดติดอยู่บนพื้นแห้ง มันดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง “ช่วยพาข้ากลับลงน้ำด้วยเถิด แล้วข้าจะช่วยเจ้าในยามจำเป็น” เจ้าชายบู๊ทสงสาร จึงช่วยนำปลาแซลมอนกลับลงน้ำ ปลาแซลมอนจึงเอ่ยปากสัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

หลังจากนั้น เจ้าชายบู๊ทก็เดินทางต่อไปอีกสักพัก และพบหมาป่าที่หิวโซจนหมดแรง เมื่อหมาป่าเห็นเจ้าชาย มันจึงพูดขึ้นว่า “ขอม้าของท่านได้ไหม ข้าหิวจนลมพัดผ่านซี่โครงได้แล้ว”

เจ้าชายบู๊ทตอบว่า “ข้าให้อาหารอีกาจนหมด แถมช่วยปลาแซลมอนกลับลงน้ำ และตอนนี้เจ้าจะเอาม้าของข้าอีกเหรอ ข้าจะไม่มีอะไรเหลือเลยนะ”

แต่หมาป่ากล่าวว่า “ข้าสัญญาว่าจะให้ท่านขี่หลังข้าแทน และข้าจะช่วยเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

เจ้าชายบู๊ทสงสารหมาป่า และเห็นว่าม้าชราจนใกล้สิ้นอายุขัย เจ้าชายจึงมอบม้าให้หมาป่าใช้ประทังชีวิต

ครั้นเมื่อหมาป่ากลับมามีเรี่ยวแรง เจ้าชายขอให้หมาป่าพาไปหาพี่ชายทัังหกที่ปราสาทของยักษ์ หมาป่ามีความรอบรู้เรื่องราวในป่า มันจึงให้เจ้าชายบู๊ทนั่งบนหลัง แล้ววิ่งไปยังปราสาทของยักษ์อย่างรวดเร็วราวกับสายลม

หลังจากหมาป่าพาเจ้าชายบู๊ทเดินทางมาได้พักใหญ่ ในที่สุด มันก็หยุดและกล่าวว่า “ดูนั่นสิ นั่นคือปราสาทของเจ้ายักษ์ และนั่นคือพี่ชายทั้งหกของท่านที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน”

เจ้าชายบู๊ทมองไปยังลานหน้าปราสาท พระองค์เห็นรูปปั้นหินของชายหนุ่มหกคนยืนเรียงกันอยู่ พวกเขาคือพี่ชายทั้งหกของเจ้าชายจริง ๆ และข้าง ๆ คือเจ้าหญิงหกองค์ที่ถูกสาปเช่นกัน

เจ้าชายบู๊ทรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่พระองค์ไม่ยอมแพ้ หมาป่ากล่าวว่า “ท่านต้องเข้าไปในปราสาท และตามหาเจ้าหญิงที่ถูกกักขังอยู่ข้างใน เจ้าหญิงอาจช่วยท่านได้”

เจ้าชายบู๊ทลอบเข้าไปในปราสาท และพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เจ้าหญิงสะดุ้งเมื่อเห็นเขา แต่เมื่อเจ้าชายบู๊ทบอกว่าพระองค์มาเพื่อช่วยพี่ชายและจะช่วยเจ้าหญิงด้วย เจ้าหญิงจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถจัดการเจ้ายักษ์ได้หรอก เพราะมันไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย”

เจ้าชายบู๊ทตกใจ “ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกายงั้นหรือ?”

เจ้าหญิงพยักหน้า “ใช่ ยักษ์ซ่อนหัวใจของมันเอาไว้ที่อื่น และไม่มีใครรู้ว่ามันซ่อนหัวใจไว้ที่ไหน”

เจ้าชายบู๊ทจึงขอร้องให้เจ้าหญิงช่วยหาทางล้วงความลับจากยักษ์ให้ เจ้าหญิงตกลงจะช่วยเจ้าชายบู๊ท เมื่อยักษ์กลับมาถึงปราสาท เจ้าหญิงจึงแกล้งกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าฝันถึงท่านเมื่อคืน และในฝัน ข้าเห็นหัวใจของท่านอยู่ใต้ธรณีประตู”

ยักษ์หัวเราะเสียงดัง พลางคิดในใจว่า “โง่จริง ใครจะเอาหัวใจไปซ่อนไว้ตรงนั้น”

เจ้าหญิงแสร้งทำเป็นคนใสซื่อ วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยไว้ที่ธรณีประตู เมื่อยักษ์กลับมาอีกครั้ง มันถามว่า “เจ้าทำอะไร?” เจ้าหญิงตอบว่า “ข้าโปรยดอกไม้ไว้ตรงที่หัวใจของท่านอยู่ เพื่อให้มันมีความสุข”

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าก็ยังเชื่ออยู่นั่นเอง หัวใจของข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก มันอยู่ที่ตู้ในห้องนอนของข้า”

วันต่อมา เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยที่ตู้อีก เมื่อยักษ์เห็น ยักษ์จึงถามว่า “เจ้าทำอะไรอีกแล้ว?”

“ข้าอยากให้หัวใจของท่านมีความสุข” เจ้าหญิงตอบ

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง ข้าบอกเจ้าตามตรงนะ หัวใจของข้าอยู่ไกลจากที่นี่มาก มันอยู่ในไข่ ไข่อยู่ในเป็ด เป็ดอยู่ในบ่อน้ำใต้โบสถ์ บนเกาะกลางทะเลสาบที่ไม่มีใครหาเจอ”

เจ้าหญิงจำคำพูดนั้นไว้ และเมื่อยักษ์หลับ พระองค์จึงแอบไปบอกเจ้าชายบู๊ทถึงที่ซ่อนหัวใจของยักษ์

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ฟัง เจ้าชายก็ยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วพระองค์ก็รีบขี่หลังหมาป่าเพื่อออกเดินทางไปยังเกาะกลางทะเลสาบตามคำบอกของเจ้าหญิง

เมื่อหมาป่าพาเจ้าชายไปถึงเกาะ บนเกาะมีโบสถ์เก่าแก่ตั้งอยู่ และในโบสถ์ก็มีบ่อน้ำซึ่งมีเป็ดตัวหนึ่งว่ายน้ำอยู่ เมื่อเจ้าชายเห็นเช่นนั้น เจ้าชายบู๊ทจึงส่งสัญญาณเรียกอีกาที่พระองค์เคยช่วยไว้ให้มาหา จากนั้น เจ้าชายก็ขอให้อีกาช่วยบินเข้าไปในโบสถ์และนำกุญแจมาให้

เมื่อเจ้าชายเข้าไปในโบสถ์ได้ เจ้าชายก็เห็นเป็ดว่ายอยู่ในบ่อน้ำ เจ้าชายเพยายามจับเป็ดเพื่อเอาไข่ของเป็ดออกมาจากท้อง แต่เป็ดตกใจ จึงปล่อยไข่ออกมาทำให้ไข่จมลงไปที่ก้นบ่อน้ำซึ่งลึกมาก

เจ้าชายบู๊ทไม่สามารถดำน้ำลงไปเก็บไข่นั้นมาได้ พระองค์จึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากปลาแซลมอนที่พระองค์เคยช่วยไว้ เมื่อปลาแซลมอนรู้ว่าเจ้าชายต้องการความช่วยเหลือ มันจึงหาทางว่ายน้ำผ่านซอกหลืบต่าง ๆ จนเข้าไปถึงก้นบ่อน้ำ แล้วนำไข่ขึ้นมาให้เจ้าชายได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ไข่มา พระองค์จึงถามหมาป่าว่า “ข้าควรทำอย่างไร?”

หมาป่าผู้รอบรู้จึงแนะนำว่า “บีบมัน”

เจ้าชายบู๊ทจึงบีบไข่เบา ๆ และทันใดนั้น ยักษ์ที่อยู่ในปราสาทก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงร้องของยักษ์ดังมาถึงโบสถ์ที่เจ้าชายยืนอยู่ หมาป่ารู้ในทันทีว่าในไข่มีหัวใจของยักษ์ซ่อนอยู่จริง ๆ มันจึงแนะนำเจ้าชายว่า “ขว้างไข่ลงที่พื้นให้ไข่แตก”

เมื่อเจ้าชายทำตามโดยขว้างไข่ลงที่พื้นจนไข่แตกกระจาย หัวใจของยักษ์ก็แตกสลายไปพร้อมกับร่างของมัน

เมื่อร่างของยักษ์ล้มลง พลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่มันใช้สาปเจ้าชายและเจ้าหญิงทุกพระองค์ก็สลายไปสิ้น พี่ชายทั้งหกของเจ้าชายบู๊ทและเจ้าหญิงทั้งหกจึงได้กลับคืนสู่ร่างปกติ ทุกคนต่างโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทกลับไปที่ปราสาทของยักษ์ เจ้าหญิงที่ช่วยเจ้าชายบู๊ทยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับเจ้าชายว่า “ท่านคือผู้กล้าที่ช่วยเหลือพวกเรา”

เจ้าชายบู๊ทตอบอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ คือทำเพื่อครอบครัวและทำเพื่อความยุติธรรม”

หลังจากเรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดลง เจ้าชายบู๊ทและพี่ชายทั้งหก พร้อมกับเจ้าหญิงทุกพระองค์เดินทางกลับสู่อาณาจักร เมื่อพระราชาเห็นลูกชายทั้งหมดกลับมาอย่างปลอดภัย พระองค์ก็ทรงหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ

“ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” พระราชาตรัสกับเจ้าชายบู๊ท

หลังจากนั้น พระราชาก็จัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ โดยเจ้าชายบู๊ทได้แต่งงานกับเจ้าหญิงที่พระองค์ช่วยไว้ และเจ้าชายทั้งหกก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงของตนเช่นกัน

และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน อาจกลายเป็นพลังช่วยชีวิตในยามคับขัน
  • ความกล้าหาญและความเสียสละ คือคุณสมบัติของผู้กล้าที่แท้จริง
  • สติปัญญาและไหวพริบสามารถเอาชนะพลังอำนาจที่ดูน่ากลัวได้
Posted in Uncategorized

เพลงเล่านิทาน : พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์

ในบรรดานิทานนำบุญที่ผมแต่ง นิทานเรื่องพรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์ ถือว่าเป็นนิทานเรื่องยิ่งใหญ่ ที่หากเทียบกับภาพยนตร์ก็ต้องบอกว่าอยู่ในหมวดเดียวกับภาพยนตร์แนวมหากาพย์ เพราะฉากและเรื่องราวยิ่งใหญ่อลังการมาก ๆ

นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมชอบ แต่ผมไม่แน่ใจเลยว่าผู้อ่านจะชอบไหม เพราะเรื่องราวของนิทานไม่ได้อ่อนหวานหรือตลกขบขัน แต่หลังจากลงนิทานเรื่องนี้ให้อ่านในหมวดนิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ ผลปรากฎว่า มีผู้อ่านหลายท่านส่งข้อความมาบอกว่าชอบนิทานเรื่องนี้มาก

เมื่อผมปรับปรุงเว็บไซต์นิทานนำบุญและตั้งใจจะทำหมวดเพลงนิทาน-นิทานเพลง ซึ่งเป็นการแต่งเนื้อเพลงแล้วใช้ A.I.จากเว็บไซต์ suno.com ให้ช่วยสร้างเพลงให้ ผมจึงทดลองทำเพลงนิทานเอาไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเพลงจากนิทานเรื่อง “พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์” นี้ ผมเพิ่งทำเมื่อเช้า (7 สิงหาคม 2568) ซึ่งเป็นการทำเพลงครั้งแรกหลังจากชำระเงินเข้าสู่แพคเกจโปรของเว็บไซต์ suno.com (จ่าย 10 ดอลล่าร์ สร้างเพลงได้ 2500 ครั้งใน 1 เดือน)

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นานมาแล้ว มีชนเผ่าสองเผ่าอาศัยอยู่คนละด้านของภูเขาใหญ่ เผ่าหนึ่งบูชาพระอาทิตย์ เชื่อในพลังสร้างสรรค์ อีกเผ่าหนึ่งบูชาพระจันทร์ เชื่อในพลังแห่งความสงบเย็น ทั้งสองเผ่าไม่รู้ว่ามีอีกเผ่าอยู่ฝั่งตรงข้าม และต่างก็ยากจนไม่แพ้กัน

วันหนึ่ง ผู้นำของทั้งสองเผ่าฝันว่าดวงอาทิตย์และพระจันทร์หายไป หมอผีจึงทำนายให้สร้างวิหารบนยอดเขาเพื่อบูชาเทพ ทั้งสองเผ่าเริ่มออกเดินทางขึ้นเขาในวันเดียวกัน และไปถึงยอดเขาพร้อมกันโดยไม่รู้ล่วงหน้าล

เมื่อพบกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่ายอดเขานั้นเป็นของตน ความขัดแย้งเริ่มปะทุจนแทบจะเกิดสงคราม ผู้คนลืมความศรัทธาและคุณค่าของเทพที่ตนนับถือ

พระอาทิตย์จึงดับแสง และพระจันทร์ไม่ขึ้นมา ความมืดและความหนาวเย็นปกคลุมยอดเขา ผู้คนจึงเริ่มตระหนักว่าพวกเขาหลงทางจากเจตนารมณ์เดิม

ในที่สุด ผู้นำทั้งสองขอโทษกัน และตัดสินใจร่วมมือกันสร้างวิหารเดียว เพื่อบูชาทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์อย่างเท่าเทียม

เมื่อวิหารเสร็จสมบูรณ์ ทั้งแสงแดดและแสงจันทร์ก็กลับมา วิหารที่ผสานศิลปะสองเผ่ากลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนหลั่งไหลมาสักการะ นำความรุ่งเรืองมาสู่สองเผ่า

ไม่นาน ชนเผ่าทั้งสองก็รวมเป็นเผ่าเดียว กลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งและเปี่ยมสุข

ในส่วนของเพลง พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์ ถ้าอ่านเรื่องย่อของนิทานก่อนฟังเพลง จะพบว่า เนื้อหาถือว่าใกล้เคียงมาก ส่วนการร้องและดนตรี ทำให้รู้สึกเหมือนได้ดูละครเพลงเลยครับ

ท่านที่ชอบเพลงนิทาน-นิทานเพลงในคลิป และอยากอ่านนิทานฉบับเต็ม ผมขอนำลิงค์มาแปะไว้ให้ นิทานฉบับเต็มมีรายละเอียดที่สมบูรณ์กว่าฉบับย่อ หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานนานาชาติ, นิทานเซน

นิทานเซนก่อนนอน: ปริศนาแห่งนิ้วมือ

นิทานเรื่องนี้เรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า Trading Dialogue for Lodging ซึ่งเป็นหนึ่งใน 101 เรื่องเล่าแห่งเซนจากหนังสือคลาสสิก Zen Flesh, Zen Bones ที่นักอ่านทั่วโลกต่างยกย่องว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งปัญญา

นิทานประเภทเซนมีจุดเด่นอยู่ที่การสื่อธรรมะแบบเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง โดยมักถ่ายทอดผ่านบทสนทนา สัญลักษณ์ หรือแม้แต่ความเข้าใจผิดที่กลายเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ เป็นนิทานที่อ่านแล้วทำให้ใจสงบ พร้อมทั้งตั้งคำถามให้เราหยั่งรากความคิดในยามก่อนหลับใหล

นิทานเรื่องนี้คือหนึ่งในนิทานเซนที่ทั้งตลกและลึกซึ้ง ซึ่งการเรียบเรียงนิทานขึ้นใหม่น่าจะทำให้นิทานเรื่องนี้เหมาะสำหรับการอ่านเป็นนิทานก่อนนอน หรือใช้เล่าเพื่อสร้างรอยยิ้มในโอกาสต่าง ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนซากุระบาน มีวัดเล็ก ๆ วัดหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาที่เงียบสงบ ในวัดมีพระสองรูปเป็นพี่น้องกัน พระองค์พี่เป็นผู้รู้ธรรมลึกซึ้ง ส่วนพระองค์น้องเป็นพระที่มีตาเดียว ซึ่งแม้จะหัวช้า แต่ก็ตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติธรรม

วันหนึ่ง มีพระจากวัดอื่น เดินทางมาเยือนวัดของพระทั้งสองโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งตามธรรมเนียม พระเจ้าวัดและพระผู้มาเยือน มักใช้โอกาสสนทนาธรรมกัน

แต่วันนั้น พระองค์พี่มีกิจนิมนต์ที่อื่น พระองค์น้องจึงต้องทำหน้าที่แทนพระผู้พี่

ก่อนหน้านี้ พระผู้พี่เคยแนะนำว่า “หากวันใดที่พี่ไม่อยู่ และเจ้าต้องต้อนรับพระรูปอื่น เจ้าจงเลี่ยงการสนทนาธรรมด้วยคำพูด แต่จงใช้ความสงบหรือใช้มือแทนคำตอบ”

พระองค์พี่รู้ดีว่า พระผู้น้องเป็นคนหัวช้า การตอบคำถามต่าง ๆ ด้วยคำพูด จึงอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย แต่การสำรวม โดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี หรือการตอบด้วยการใช้มือเพียงเล็กน้อย พระผู้มาเยือนก็น่าจะเข้าใจด้วยภูมิธรรมของท่าน

พระองค์พี่ไม่เคยคิดเลยว่า เหตุการณ์ที่พระผู้น้องต้องต้อนรับพระผู้มาเยือนจะเกิดขึ้นจริง เพราะพระองค์พี่มักอยู่ที่วัดโดยไม่ไปไหน แต่เมื่อมีพระผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย และพระผู้น้องต้องรับแขกเพียงลำพัง พระองค์น้องจึงนึกถึงคำแนะนำของพระผู้พี่ แล้วตั้งใจทำหน้าที่ต้อนรับพระผู้มาเยือนให้ดีที่สุด

ในวันนั้น พระทั้งสองนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ศาลาโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากสนทนา ลมพัดเบา ๆ ใบไม้ไหว กลิ่นธูปหอมโชยไปทั่ว

ครั้นเมื่อถึงเวลาอันควร พระผู้มาเยือนได้เงยหน้าสบตาพระองค์น้อง จากนั้น พระผู้มาเยือนก็จ้องตาพระองค์น้อง แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาด้วยสายตาที่เอาจริงเอาจัง

เมื่อพระองค์น้องเห็นเช่นนั้น พระองค์น้องก็รู้สึกหงุดหงิด แต่พยายามสำรวมไว้ จากนั้น พระองค์น้องก็จ้องตาของพระผู้มาเยือน พร้อมกับชูนิ้วสองนิ้วขึ้นมา

เมื่อพระผู้มาเยือนเห็นเช่นนั้น พระผู้มาเยือนก็ชูนิ้วสามนิ้ว พร้อมกับจ้องตาของพระองค์น้อง เหมือนต้องการค้นหาคำตอบบางอย่าง

ฝ่ายพระองค์น้องเมื่อเห็นเช่นนั้น พระองค์น้องก็กำมือแล้วชูขึ้นทันที ซึ่งก่อนที่พระองค์น้องจะเผลอพูดอะไรออกมา พระผู้มาเยือนก็รีบลุกขึ้น โค้งคำนับ แล้วเดินออกจากวัดไป

เมื่อพระผู้มาเยือนเดินทางออกจากวัดบนภูเขาไปถึงหมู่บ้าน พระผู้มาเยือนได้เล่าให้ชาวบ้านฟังด้วยตาเป็นประกายว่า… “อาตมาได้ไปที่วัดบนภูเขา อาตมาใช้ปริศนาธรรม ถามโดยชูนิ้วเดียว ซึ่งหมายถึง พระพุทธ พระบนเขาได้ตอบอาตมาทันที ด้วยการชูสองนิ้ว…แสดงถึง พระธรรม อาตมาจึงชูสามนิ้ว ซึ่งหมายถึง พระสงฆ์ ท่านก็กำมือชูขึ้น… ซึ่งหมายถึง พระรัตนตรัย ! พระที่วัดนั้นน่าจะบรรลุธรรมแล้วล่ะ! พวกโยมช่างโชคดีเหลือเกิน”

เมื่อชาวบ้านได้ฟัง ทุกคนก็พากันตื่นเต้น และตั้งใจที่จะไปใส่บาตรทุกวันด้วยศรัทธาอันเต็มเปี่ยม

ในขณะเดียวกัน ที่วัดบนภูเขา เมื่อพระองค์พี่กลับมาถึงวัด พระองค์น้องได้เดินมาหาพระองค์พี่ด้วยสีหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์นัก

พระผู้พี่จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์น้องจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระองค์พี่ฟังว่า “วันนี้ มีพระรูปหนึ่งเดินทางมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย น้องจึงทำหน้าที่ต้อนรับตามที่พี่เคยแนะนำ ครั้นเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง พระรูปนั้นได้มองหน้าน้องพร้อมกับชูนิ้วหนึ่งนิ้ว เพื่อล้อเลียนว่า…น้องเป็นพระตาเดียว! น้องโมโหแต่ยังคงหักห้ามใจไว้ จึงชูสองนิ้วตอบไปว่า…ท่านเป็นพระสองตา แต่พระผู้นั้นยังเสียมารยาท ชูสามนิ้ว ล้อเลียนน้องว่า…หนึ่งตารวมเข้ากับสองตา ก็เท่ากับสามตา น้องโมโหจึงชูกำปั้น จะซัดหน้าพระรูปนั้นสักหมัด แต่พระรูปนั้นกลับโค้งคำนับ แล้วชิงหนีไปเสียก่อน”

พระผู้พี่ฟังแล้วกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ หลังจากนั้น พระผู้พี่จึงไขปริศนาธรรมให้พระผู้น้องเข้าใจความหมาย เมื่อพระผู้น้องเข้าใจ พระผู้น้องจึงหัวเราะในความด้อยปัญญาของตน.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • สติช่วยให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริง
  • การตีความต่างกัน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือปัญญา
  • อย่าด่วนตัดสินผู้อื่นจากมุมมองของตัวเองเท่านั้น
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสำหรับผู้ใหญ่

นิทานสอนใจ: ฮันส์กับเจ้าของโรงสี – มิตรภาพที่ไม่เท่ากัน

นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นโดยนักเขียนชื่อก้องโลก ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) ผู้เปี่ยมด้วยสายตาเสียดสี และสำนวนที่ลึกซึ้งจนหลายคนเข้าใจผิดว่า “แค่เรื่องเด็ก”… แท้จริงแล้ว นิทานของเขา โดยเฉพาะ The Devoted Friend ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1888 คือบทเรียนแห่งชีวิต และคำถามที่สะเทือนใจคนอ่านทุกวัย

Wilde เริ่มเรื่องนี้ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา เขาให้สัตว์สามตัวในสวน ได้แก่ นกกระเรียน เม่น และหนูน้ำ (Water-rat) สนทนาถกเถียงกันเรื่อง “คุณธรรม” และ “มิตรภาพที่แท้จริง” ก่อนจะเล่าเรื่องราวของชายชื่อ “ฮันส์” กับเจ้าของโรงสีที่พูดจาอ่อนหวาน แต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ในหัวใจ

คุณจะเห็นว่า ทุกฉาก ทุกคำพูด ไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่อง แต่คือการตั้งคำถามถึง ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่ากัน ความดีที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ความอ่อนโยนที่กลายเป็นจุดอ่อน และมิตรภาพ…ที่ไม่มีความยุติธรรม

นิทานเรื่องนี้แต่งมาแล้วกว่า 135 ปี แต่ประเด็นยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อ่านจบแล้ว คุณอาจอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า เราเป็นเหมือนฮันส์ไหม หรือเราเป็นเจ้าของโรงสีที่อ้างคำว่าเพื่อนเพื่อใช้คนอื่นให้คุ้ม หรือแย่กว่านั้น…เราเคยเป็น “หนูน้ำ” ที่ตัดสินทุกอย่างจากความเชื่อของตัวเอง โดยไม่เข้าใจความจริงเลยสักนิด?

หวังว่าเรื่องเล่าก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้คุณ ๆ ได้แง่คิดดี ๆ นะครับ

วันหนึ่ง ในช่วงเย็นที่สระน้ำใหญ่ นกกระเรียนผู้เงียบขรึมเดินเข้ามาที่ริมสระ เม่นขดตัวอยู่บนดินพลางมองโลกผ่านหนามของตน หนูน้ำ (Water-rat) ออกมาเดินข้ามท่อนซุงด้วยท่าทีทะนง เมื่อหนูน้ำเห็นนกกระเรียนและเม่น มันจึงนั่งลงอย่างลำพอง

“ฉันคิดว่าคนดีควรเสียสละอย่างเต็มใจเพื่อเพื่อน” หนูน้ำเอ่ยขึ้น “เพื่อนที่ดีไม่ควรถามว่าจะได้อะไรตอบแทนจากความดี นั่นคือมิตรภาพที่แท้จริง”

นกกระเรียนไม่ได้ตอบอะไรในทันที มันได้แต่มองหนูน้ำด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่ฉันเคยฟัง อาจช่วยให้เธอเข้าใจ ‘ความดี’ และ ‘มิตรภาพ’ ได้ชัดเจนขึ้น”

หนูน้ำตกลงให้เล่าเรื่อง และเรื่องนั้นก็คือ “ฮันส์กับเจ้าของโรงสี”

……..

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน โลกช่างงดงามเหลือเกิน ดอกไม้แย้มบานทั่วแปลงสวนเล็กของลิตเติลฮันส์ ชูสีชมพู แดง และขาวเหมือนผ้าปักอันละเอียด เสียงนกขับขานจากพุ่มไม้ และผีเสื้อบินวนจากดอกหนึ่งสู่อีกดอกหนึ่ง

เจ้าของโรงสีผู้มั่งคั่งมาที่บ้านของฮันส์พร้อมตะกร้าใบใหญ่

“ฮันส์เพื่อนรัก” เขากล่าว “ดูสิว่าดอกไม้ของนายสวยเพียงใดในฤดูนี้ ขอดอกไม้สักช่อได้ไหม? ฉันอยากนำไปตกแต่งโต๊ะให้ภรรยาของฉันมีความสุข”

“ได้สิครับคุณฮิวจ์” ฮันส์ตอบ “ผมดีใจที่ดอกไม้เล็ก ๆ ของผมจะได้ทำให้คุณนายมีรอยยิ้ม”

เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าของโรงสีได้มายืมสิ่งต่าง ๆ จากฮันส์เป็นระยะ ทั้งกระถาง ปุ๋ย พลั่ว พร้อมกับคำว่า “เพื่อนแท้ย่อมช่วยเหลือกันได้เสมอ”

บางครั้ง เจ้าของโรงสีจะมาเยี่ยมฮันส์ พร้อมกับข้อเสนอใหม่ ๆ

“ฉันจะมอบล้อเกวียนเก่าของฉันให้เธอ เผื่อเธอจะเอาไปสร้างรถไว้ขนผลผลิต แต่ในฐานะเพื่อนที่ดี เธอช่วยฉันก่อนนะ ช่วยเอากระถาง 50 ใบใส่รถเข็น แล้วลากไปส่งที่โรงสีของฉันก่อน”

ฮันส์รับปาก แม้เขาจะต้องใช้เวลาทั้งวันในการนำกระถางไปส่ง แต่เขาก็ยินดีทำให้

ฮันส์ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือเจ้าของโรงสีทุกวัน จนไม่ได้วางแปลงสวนใหม่อย่างที่หวัง แต่เขาก็ยิ้มอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อว่า “ความดีคือสิ่งมีคุณค่า”

คืนหนึ่งฝนตกหนัก ลมพัดแรง และท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีเข้ม เจ้าของโรงสีนึกถึงล้อเกวียนที่เขาเคยให้ฮันส์ไว้เมื่อหลายเดือนก่อน แต่เขาต้องใช้ล้อเกวียนเพื่อขนของไปตลาดในวันพรุ่งนี้ เขาจึงเดินไปบ้านของฮันส์ แล้วเคาะประตูด้วยความรีบร้อน

“ฮันส์!” เขาตะโกน “ฉันมีเรื่องด่วน พรุ่งนี้ฉันต้องใช้ล้อเกวียนของฉัน อยากให้นายเอามันข้ามภูเขาไปไว้ที่โรงสีของฉันคืนนี้เลย”

“คืนนี้หรือครับ?” ฮันส์ถาม ขณะที่เปิดประตูและเห็นสายฝนเทอย่างต่อเนื่อง “ขอโทษนะครับคุณฮิวจ์ ฝนตกหนักมาก และทางก็ลื่น มันอันตรายนะครับ”

“เหลวไหล” เจ้าของโรงสีตะโกนกลับ “นายลืมไปหรือว่านายตกลงจะคืนมันแก่ฉันเมื่อฉันต้องการเพื่อนแท้ย่อมไม่ลังเลเมื่ออีกฝ่ายขอความช่วยเหลือนะ”

ฮันส์ก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าเถียง เขาสวมเสื้อกันฝนเก่า ๆ แล้วก้าวออกไปในความมืด พร้อมนำล้อเกวียนขึ้นรถลาก

กลางทาง มีลมกรรโชก ฮันส์เดินฝ่าความมืดอย่างมุ่งมั่น แต่ถนนเฉอะแฉะ น้ำท่วมขัง แล้วเขาก็ลื่นเสียหลัก

ล้อเกวียนหล่นจากรถลาก กระแทกหิน แล้วร่างของฮันส์ก็จมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยว

ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง และฝนยังก็ยังคงตกต่อไป

เช้าวันถัดมา เจ้าของโรงสีจิบกาแฟอย่างสบายใจ เขาเล่าเรื่องการเสียสละของฮันส์ให้ภรรยาฟังด้วยน้ำเสียงที่แฝงความภาคภูมิ

“เขาคือเพื่อนแท้ ยอมฝ่าฝนเพื่อนำล้อไปให้ฉัน แม้สุดท้ายเขาจะจมน้ำตาย…แต่ก็เป็นเพราะเขาทำหน้าที่ของคนดีอย่างสมบูรณ์”

ภรรยาไม่ได้กล่าวอะไร เธอแค่มองสามี ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ

……….

เมื่อนกกระเรียนเล่าเรื่องจบ หนูน้ำเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า:

“ฮันส์โง่เอง ไม่ใช่ความผิดของเพื่อนเขาหรอก ถ้าฮันส์ใช้สมองมากกว่านี้ เขาก็คงไม่มีต้องจมน้ำตาย ฉันไม่เห็นว่าจะได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้เลย” หนูน้ำกล่าว แล้วเดินจากไป

นกกระเรียนไม่พูดอะไร เม่นพลิกตัวและกลับสู่ความเงียบ เหลือเพียงเสียงน้ำกระเซ็นเบา ๆ และดอกไม้แห้งหนึ่งดอกที่ร่วงลงจากท้องฟ้า

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความดีที่ไม่มีขอบเขต อาจทำร้ายตัวเอง
  • มิตรภาพที่แท้จริงต้องมีความเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่าย
  • การกระทำสำคัญกว่าคำพูดหวาน ๆ