Posted in นิทานก่อนนอนสั้น ๆ, นิทานชุดใหม่ล่าสุด, นิทานสอนใจ, นิทานเจ้าชายเจ้าหญิง

เจ้าหญิงสายลมกับเจ้าชายทั้งสาม – นิทานความรักที่จบไม่เหมือนใคร

นิทานเรื่อง “เจ้าหญิงสายลมกับเจ้าชายทั้งสาม” เป็นนิทานก่อนนอนสั้น ๆ ชุดใหม่ล่าสุดจากเว็บไซต์นิทานนำบุญ ที่แต่งขึ้นโดยนักเขียนนิทานอาชีพ ชื่อ นำบุญ นามเป็นบุญ ผู้เคยมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือนหลายเรื่อง นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาอบอุ่น สะท้อนแง่มุมของความรัก ความอิสระ และมิตรภาพ ที่ไม่ได้จบตามสูตรสำเร็จอย่างที่นิทานเจ้าหญิงทั่วไปมักเป็น ด้วยจุดเด่นของเนื้อเรื่องที่พลิกแพลงอย่างสร้างสรรค์ ผู้อ่านจะได้เห็นการเติบโตทางความคิดของตัวละคร พร้อมกับการเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของความรักผ่านมุมมองใหม่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มองหา “นิทานก่อนนอนสั้น ๆ” ที่มีสาระให้เด็กคิดตามและหลับสบายไปพร้อมกัน

เจ้าหญิงสายลมเป็นเจ้าหญิงแสนสวย ที่มีนิสัยน่ารัก ทั้งยังมีจิตใจดีงาม จนทุกคนที่ได้พบมักหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่แรกเห็น  ซึ่งรวมไปถึง เจ้าชายสามพระองค์ที่หญิงสาวจากทั่วทุกสารทิศต่างหมายปอง

เจ้าชายองค์ที่สองมีชื่อว่า “เจ้าชายแสงอาทิตย์”  พระองค์เป็นเจ้าชายรูปหล่อ ที่มีพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งความอบอุ่นและพลังความร้อนเพื่อใช้ทำลายล้าง

เจ้าชายทั้งสามพระองค์ต่างหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่แรกเห็น  เจ้าชายทั้งสามจึงรอเวลาที่พระราชาจะจัดงานเลือกคู่แบบที่เคยฟังในนิทานเรื่องต่าง ๆ

วันหนึ่ง เกิดเหตุร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะมีแม่มดใจร้ายตนหนึ่ง อยากได้เจ้าหญิงแสนสวยไปแต่งงานกับพ่อมดซึ่งเป็นลูกชายของตน    แม่มดจึงลักพาตัวเจ้าหญิงไปจากพระราชวัง  โดยตั้งใจจะบังคับให้เจ้าหญิงมาเป็นลูกสะใภ้ของตนให้จงได้

เมื่อพระราชาทราบว่าเจ้าหญิงถูกแม่มดลักพาตัวไป  พระราชาจึงประกาศขอความช่วยเหลือจากผู้คนทั้งหลายอย่างไม่รอช้า

เมื่อเจ้าชายทั้งสามไปถึงหอคอยของแม่มด   เจ้าชายแสงจันทร์ใช้พลังสร้างความเงียบสงบ ทำให้ทุกคนเข้าไปในหอคอยได้ โดยที่แม่มดและลูกชายไม่ได้ยินเสียงผู้บุกรุกเลยแม้สักนิด    

เมื่อเจ้าหญิงปลอดภัย เจ้าชายต่างคาดหวังว่าเจ้าหญิงอาจเลือกแต่งงานกับเจ้าชายสักพระองค์ เพื่อให้เรื่องราวของนิทานจบลงอย่างมีความสุข

เจ้าชายแสงจันทร์ เจ้าชายแสงอาทิตย์ และเจ้าชายแสงดาว ต่างรู้สึกผิดหวัง เพราะเจ้าชายทุกพระองค์คาดหวังว่าตนเองอาจได้แต่งงานกับเจ้าหญิง 

เมื่อเจ้าชายทุกพระองค์ได้รับพลังแสงดาว  เจ้าชายผู้ผิดหวังก็ตระหนักได้ว่า  จริงๆ  แล้ว  มิตรภาพระหว่างเพื่อนที่เจ้าหญิงมอบให้ มีคุณค่าไม่แพ้การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงที่ตนหลงรัก  เพราะความเป็นเพื่อน คือการที่บุคคลมีความปรารถนาดีต่อกัน การสนับสนุนซึ่งกันและกัน  การคอยตักเตือนกัน  และการให้เพื่อนมีอิสระในการใช้ชีวิต   

เมื่อพลังแสงดาวช่วยทำให้เจ้าชายทุกพระองค์ได้สติและเกิดความเข้าใจ    เจ้าชายทั้งสามจึงยินดีเป็นเพื่อนกับเจ้าหญิง โดยพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน  พัฒนาตนเองไปด้วยกัน และใช้ความรู้ความสามารถในการช่วยเหลือผู้คนที่ลำบากเดือดร้อนไปด้วยกัน 

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • มิตรภาพที่แท้จริงมีคุณค่าไม่แพ้ความรักแบบคู่รัก
  • การช่วยเหลือควรเกิดจากใจที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่การคาดหวังผลตอบแทน
  • ความรักที่ดีควรมอบอิสระและความปรารถนาดีให้แก่กัน
เจ้าหญิงสายลมในชุดสีชมพูยืนอยู่กลางสวนกับเจ้าชายทั้งสามในชุดประจำตัว
ภาพประกอบท้ายนิทานเรื่อง ‘เจ้าหญิงสายลมกับเจ้าชายทั้งสาม’

Posted in นิทานความรัก, นิทานสอนใจ, นิทานอ่านให้แฟนฟัง

คู่รักกระต่ายน้อย : นิทานความรักก่อนนอนพร้อมข้อคิดที่ควรอ่านให้แฟนฟัง

ภาพที่แคปหน้าจอ ข้อความที่ผู้อ่านส่งมา  เล่าว่าอ่านตั้งแต่ ม.4 จนตอนนี้ขึ้นปี 3 อ่านให้แฟนฟัง

ก่อนที่จะแต่งงงาน  กระต่ายหนุ่มได้จ้างช่างมาสร้างเรือนหอเป็นบ้านแห่งความรักระหว่างมันกับกระต่ายสาวยอดดวงใจ 

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวได้จัดการหาสีมาทาแก้ไขจนรอยกระดำกระด่างหายไปจนหมด  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหา จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวตัดสินใจเก็บกวาดจัดสวนให้เรียบร้อย แถมยังจัดหาต้นไม้ดอกไม้มาปลูกเพิ่มเติมจนสวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการ “โมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน” ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหาจนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เมื่อพูดจบ กระต่ายสาวก็ชวนกระต่ายหนุ่มให้ช่วยกันจุดเทียนรอบ ๆ งานแต่ง  จากนั้น  พวกมันก็ชวนให้แขกเข้ามานั่งใกล้ ๆ กันอีกนิด เพราะในงานไม่มีไมโครโฟน   ส่วนเรื่องเพลงหรือดนตรี กระต่ายสาวก็ขอให้กระต่ายหนุ่มและแขกในงานช่วยกันร้องเพลง ซึ่งทั้งหมดให้บรรยากาศภายในงานดูอบอุ่นและทำให้พิธีแต่งงานดำเนินไปได้อย่างน่าประทับใจ

กระต่ายหนุ่มมองกระต่ายสาวด้วยสายตาที่เหมือนต้องการจะบอกว่า “ขอบคุณนะ”  ส่วนกระต่ายสาวซึ่งหันมาสบตากระต่ายหนุ่มพอดี กลับส่งยิ้มให้แล้วทำหน้าทะเล้นใส่  จากนั้น กระต่ายสาวก็บอกกระต่ายหนุ่มว่า “นับจากวันนี้ ถ้าเจออะไรไม่สมดังใจ ก็อย่างเพิ่งโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืนนะ  เพราะถึงจะขาดสิ่งนู้น ไม่มีสิ่งนี้ แต่ยังไง..เราก็ยังมีกันและกัน ที่จะช่วยกัน แก้ปัญหาในทุก ๆ เรื่องนะ”

“ใช่แล้ว มีกันและกัน” กระต่ายสาวยิ้มเขิน   จากนั้น กระต่ายสาวก็อ้อนกระต่ายหนุ่มว่า “ว่าแต่คืนนี้ เธอลืมอะไรไปรึเปล่า”

กระต่ายหนุ่มยิ้มให้กระต่ายสาวด้วยความรัก  ส่วนกระต่ายสาวก็ยิ้มตอบ พร้อมกับหัวเราะ “แหะ ๆ” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากระต่ายสาวคิดอะไรอยู่

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ฝากกดดูแบนเนอร์โฆษณาอัตโนมัติที่เด้งขึ้นมาด้วยนะครับ (บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น) มันจะช่วยทำให้เว็บไซต์มีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป

กระต่ายกับเต่า: นิทานอมตะก่อนนอนที่ให้ข้อคิดเรื่องความพยายามและมิตรภาพ

นิทานอมตะเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” เป็นนิทานก่อนนอนยอดนิยมที่เด็ก ๆ ทั่วโลกรู้จัก นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดสอนใจที่เหมาะกับเด็ก แถมไม่มีฉากรุนแรงใด ๆ นิทานเรื่องนี้จึงเป็นขวัญใจของคุณพ่อคุณแม่และคุณครูอีกด้วย การนำนิทานเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” มาเล่าใหม่ในแบบนิทานนำบุญ ถือว่าเป็นเกียรติของเว็บไซต์นิทานนำบุญ ที่ได้มีโอกาสแสดงความเคารพต่อผู้แต่งดั้งเดิม คือ อีสป (Aesop) นักเล่านิทานชาวกรีกในสมัยโบราณ หวังว่านิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่าที่เล่าในแบบนิทานนำบุญ จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขกันนะครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายตัวหนึ่งเป็นกระต่ายที่มีนิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คือว่า มันเป็นกระต่ายที่ขี้โอ่ ชอบโอ้อวด แล้วก็ชอบท้าคนนู้นคนนี้แข่งขันอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย และที่แย่ที่สุดก็คือว่า มันค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ คือว่า มันจะคอยไปท้าคนนู้นคนนี้แข่ง ในสิ่งที่แข่งอย่างไรมันก็ชนะอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น มันเคยไปยั่วช้าง ท้าทายนู่น ท้าทายนี่ ให้ช้างแข่งขันด้วย พอช้างรับคำท้า มันก็ท้าช้างแข่งขันกันว่า ใครจะขนนุ่มกว่ากัน! หือ…แข่งขนนุ่มเนี่ยนะ! พอให้คนอื่นตัดสิน ยังไง้ ยังไง กระต่ายก็ชนะ เพราะกระต่ายมันขนนุ่มกว่าช้างอยู่แล้ว พอกระต่ายมันชนะ มันก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกช้าง “บรู้ว ๆ ” พร้อมกับพูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” และนี่ก็คือนิสัยของเจ้ากระต่าย

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้ากระต่ายมันแสบมาก มันไปท้าเด็ก ๆ ท้าแข่งขันกับเด็ก ๆ มันก็จะเริ่มจากการไปพูดจาดูถูกเด็ก ๆ เพื่อท้าทายให้เด็ก ๆ ยอมแข่งขันด้วย พอเด็ก ๆ หลงกลทนไม่ไหว เผลอไปรับคำท้าของมัน มันก็บอกเด็ก ๆ ว่า “งั้นเรามาแข่งกินแครอทกันดีกว่า”

โถ! ใคร ๆ ก็รู้ดีอยู่แล้วว่า เจ้ากระต่ายมันเชี่ยวชาญเรื่องการกินแครอทมากกว่าใคร ๆ ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญการกินแครอทสักเท่าไร สุดท้าย เด็ก ๆ ก็แพ้กระต่าย พอแพ้แล้ว เจ้ากระต่ายก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก “บรู้ว ๆ” จากนั้น มันก็พูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” ดูสิ กระต่ายมันช่างร้ายจริง ๆ

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ากระต่ายจอมซ่า มันก็ไปเจอเต่าตัวหนึ่ง คลานต้วมเตี้ยม ต้วมเตี้ยม มันก็คิดแผนในใจว่า “เราจะต้องท้าแข่งกับเจ้าเต่า”

เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว มันก็เลยไปล้อเลียนเต่าว่า “เต่าต้วมเตี้ยมติงต๊องตุ๊ต๊ะตุ้งติ้งตุ๊ดตู่ตึ่งตึงตึ๊ง มาแข่งอะไรกันหน่อยมั๊ยล่ะ”

เจ้าเต่ามองกระต่ายด้วยความงุนงง แล้วก็ถามกลับไปอย่างยานคางว่า “จะมาท้าแข่งอะไรเหรอ” เต่าคลานก็ช้า พูดก็ช้า

กระต่ายฟังจบก็หลอกเต่าให้หลงกลต่อไปว่า “กล้ามาแข่งมั๊ยล่ะ”

“ก็ได้ ก็ได้ แข่งก็ได้” เต่าตอบ

เมื่อเต่าหลงกลยอมแข่ง กระต่ายจึงบอกว่า “งั้นเรามาวิ่งแข่งกัน โอ่ย โอ๊ย โอย”

เต่าหลงกลตกปากรับคำไปแล้ว พอมันรู้ว่าต้องวิ่งแข่ง แล้วมันจะชนะได้อย่างไร แต่ในเมื่อรับปากแล้ว มันจึงต้องยอมแข่งด้วย

เมื่อเต่ายอมแข่ง กระต่ายจึงเรียกให้สัตว์ต่าง ๆ มาเป็นพยานในการแข่งขัน โดยเจ้าหมาจิ้งจอกมาทำหน้าที่ให้สัญญาณเริ่มแข่งขันที่จุดเริ่มต้น ส่วนสิงโตเจ้าป่าทำหน้าที่ดูว่าใครถึงเส้นชัยก่อน

เมื่อหมาจิ้งจอกให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน กระต่ายก็วิ่งปรู้ดนำหน้าออกไปจนเกือบจะถึงเส้นชัย ส่วนเต่าก็ยังคงคลานต้วมเตี้ยม ๆ อยู่บริเวณจุดเริ่มต้น

แต่กระต่ายมันประมาท ยังไม่ยอมเข้าเส้นชัย เพราะมันมีนิสัยชอบล้อเลียนเย้ยหยันคนอื่น มันจึงวิ่งปรู้ดกลับมาหาเต่า แล้วก็กระโดดดึ๋ง ๆ ๆ รอบตัวเต่า จากนั้น มันก็กระโดดข้ามกระดอง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ข้ามกระดองไป ข้ามกระดองมา โชว์ลีลาท่ายากสารพัด แหม! ก็มันรู้อยู่แล้วว่า ยังไง้ ยังไง มันก็ต้องชนะ เพราะว่าเต่ามันคลานช้ามาก ๆ

กระต่ายกระโดดไปกระโดดมา กระโดดมากระโดดไป กระโดดไปกระโดดมา กระโดดมากระโดดไป กระโดดจนเบื่อ เพราะขนาดกระต่ายวิ่งไปวิ่งกลับ แล้วมากระโดดเล่นแบบนี้ เต่าก็ยังคลานไปไม่ถึงไหน กระต่ายกระโดดไปนาน ๆ เข้า ก็ชักเหนื่อย มันจึงบอกเต่าว่า “เธออยากคลานก็คลานไปก่อนนะเจ้าเต่าต้วมเตี้ยม เดี๋ยวฉันนอนพักเอาแรงสักชั่วโมงสองชั่วโมงนะ ยังไงเธอก็ยังไปไม่ถึงไหนหรอก”

พอคิดเช่นนั้น กระต่ายจึงไปหาที่เหมาะ ๆ ตรงโคนต้นไม้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเกาพุงแกรก ๆ ด้วยความสบายใจ ลมพัดมาเย็น ๆ เอื่อย ๆ กระต่ายก็เริ่มเคลิ้ม ประกอบเจ้ากระต่ายวิ่งไปจนเกือบถึงเส้นชัยแล้วก็วิ่งกลับมา แถมยังมีการกระโดดรอบตัวเต่า มันจึงเริ่มเหนื่อยเริ่มล้า พอมันเหนื่อยมันล้า มันจึงหลับ แต่ไม่ใช่การหลับแบบนอนกลางวัน มันหลับลึก หลับสนิทเหมือนนอนอยู่ที่บ้านเลย แถมมันยังฝันอีกว่า มันวิ่งชนะเต่า แล้วมันก็ล้อเลียนเต่าด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตา “บรู้ว ๆ ” จากนั้น มันก็พูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” ดูสิ ขนาดตอนหลับ กระต่ายก็ยังไม่ทื้งนิสัยชอบเยาะเย้ยผู้อื่น

ครั้นเวลาผ่านไป กระต่ายก็ตื่นขึ้นมา มันมองไปรอบ ๆ ตัว แสงก็ยังสว่างเหมือนช่วงก่อนที่มันจะนอนหลับ มันจึงคิดว่า มันคงหลับไปไม่เกินชั่วโมงแน่ ๆ แต่เมื่อมันหันไปมองที่เส้นชัย มันก็ตกใจจนหูตั้งโด่ เพราะว่า เต่าคู่แข่งของมัน คลานจนเกือบไปถึงเส้นชัยอยู่แล้ว

กระต่ายจึงรีบสอบถามหมาจิ้งจอกที่อยู่ใกล้ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นเมื่อหมาจิ้งจอกบอกกระต่ายว่า กระต่ายเผลอนอนหลับไปข้ามวันข้ามคืน ในขณะที่เจ้าเต่าคลานไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ข้ามวันข้ามคืนเช่นกัน กระต่ายจึงตระหนักว่ามันประมาทพลาดท่า มันจึงรีบวิ่งปรู๊ดตรงไปที่เส้นชัยทันที

แต่อนิจจา ในขณะที่เจ้ากระต่ายไล่หลังไปจนเกือบถึงเส้นชัย เจ้าเต่าก็ยืดหัวจากกระดองเข้าแตะเส้นชัย และชนะเจ้ากระต่ายไปอย่างหวุดหวิดแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เมื่อกระต่ายแพ้ สัตว์ต่าง ๆ ก็เดินมาหากระต่าย แล้วก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก “บรู้ว ๆ” จากนั้น สัตว์ต่าง ๆ ก็พูดพร้อมกันว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้”

กระต่ายเจ็บใจที่ถูกเย้ยหยัน มันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่แพ้และถูกคนอื่นเยาะเย้ยเป็นครั้งแรก มันรู้สึกผิดที่ตลอดมา มันมักเยาะเย้ยผู้อื่นโดยไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจตัวเองเลย

ส่วนเจ้าเต่า ถึงมันจะชนะ แต่มันก็ไม่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่กระต่ายเลย มันกลับหันมาหากระต่าย แล้วบอกกระต่ายว่า “เราแข่งกันเสร็จแล้ว ฉันว่านะ อย่าคิดมากเลย ว่าใครแพ้ใครชนะ ฉันว่านะ แทนที่เราจะเป็นคู่แข่งกัน เรามาเป็นเพื่อนกันน่าจะดีกว่านะ”

กระต่ายยิ้มและขอบใจเต่าที่เต่าไม่ล้อเลียนมัน แม้ความประมาทของกระต่าย จะทำให้กระต่ายพ่ายแพ้ก็จริง แต่การพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทำให้กระต่ายได้บทเรียนครั้งสำคัญ ดังนั้น กระต่ายจึงตกปากรับคำเป็นเพื่อนกับเต่า และหลังจากนั้นเป็นต้นมา กระต่ายก็พยายามปรับปรุงนิสัยของตัวเอง และไม่เคยท้าใคร ๆ แข่งขันอะไรอีกเลย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าดูถูกผู้อื่น เพราะทุกคนมีคุณค่าในแบบของตนเอง
  • ความพยายามอย่างสม่ำเสมอ ย่อมชนะความเก่งที่ขาดวินัย
  • ความพ่ายแพ้สามารถเป็นครูที่ดีที่สุด
  • มิตรภาพสำคัญกว่าการเอาชนะ

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานกริมม์, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว | นิทานเด็กจากพี่น้องกริมม์ | นิทานนำบุญ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่แพะตัวหนึ่ง มีลูกมากถึง 7 ตัว  

วันหนึ่ง แม่แพะบอกกับลูก ๆ ว่า “ลูกจ๋า ลูกจ๋า แม่จะเข้าป่าไปหาอาหาร พวกหนูอยู่เฝ้าบ้าน  ต้องระวังหมาป่าให้ดี  หมาป่าชอบปลอมตัวมาจับเด็ก ๆ กิน  ถ้ามีใครเสียงห้าว แหบแห้ง และมีเท้าดำปิ๊ดปี๋มาเคาะประตู  นั่นล่ะ…คือหมาป่าที่ปลอมตัวมา”  

เมื่อได้ฟังคำเตือนของแม่  ลูกแพะทั้งเจ็ดก็ตอบว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราทั้งเจ็ดจะช่วยกันระวังตัวให้ดีที่สุด” 

เมื่อแม่แพะได้ฟัง แม่แพะก็สบายใจ  จากนั้น  นางก็ออกเดินทางเข้าไปในป่า 

ในเวลาต่อมา มีเสียงคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก  เปิดประตู

เปิดออกดู  ว่าแม่มา 

เหนื่อยจะตาย แล้วนี่นา 

ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”

เมื่อลูกแพะได้ฟังเสียงของคุณแม่ตัวปลอม ลูกแพะทั้งเจ็ดก็จับได้ว่า เสียงนั้นน่าจะเป็นเสียงของหมาป่า เพราะมันทั้งห้าว ทั้งแหบแห้ง  ลูกแพะจึงตอบกลับไปว่า 

“ล็อก ล็อก ล็อก ปิดประตู 

ไม่ต้องดู ก็รู้ว่าใคร 

เสียงแหบห้าว หมาป่านั่นไง 

พวกเราพร้อมใจ ใส่กลอนประตู”

ลูกแพะร้องต่อไปว่า “เสียงของแม่ทั้งสดใสและอ่อนโยน ไม่ใช่เสียงห้าว ๆ แหบแห้งแบบนี้  ไปเถอะไป ไปซะไปสิ ไปให้ไกล ๆ เจ้าหมาป่า”

หมาป่าโมโหที่ถูกลูกแพะไล่  มันจึงไปหาน้ำผึ้งผสมมะนาวมากิน  เพื่อทำให้เสียงใสขึ้นจากนั้น  มันก็กลับมาที่บ้านของลูกแพะ แล้วเคาะประตูพร้อมกับดัดเสียงร้องว่า

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก  เปิดประตู

เปิดออกดู  ว่าแม่มา 

มีของกิน ล้นเหลือคณา 

ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”

ในขณะที่ร้องเรียก หมาป่าบังเอิญยกขาเกาะที่หน้าต่าง  ทำให้ลูกแพะเห็นเท้าสีดำปิ๊ดปี๋ของมัน  ลูกแพะจึงตอบว่า

“ล็อก ล็อก ล็อก ปิดประตู 

ไม่ต้องดู ก็รู้ว่าใคร 

เท้าดำหนักหนา หมาป่านั่นไง 

พวกเราพร้อมใจ ใส่กลอนประตู”

เมื่อลูกแพะจับได้  หมาป่าจึงวิ่งไปที่ร้านขนมปัง แล้วขโมยแป้งมาโรยที่เท้าจนหนาเตอะ   จากนั้น  มันก็เดินกลับไปที่บ้านของลูกแพะอีกครั้ง แล้วร้องเรียกลูกแพะทั้งเจ็ดว่า

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก  เปิดประตู

เปิดออกดู  ว่าแม่มา 

มีของกิน ล้นเหลือคณา 

ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”

ลูกแพะเริ่มหิวและคิดว่าแม่แพะน่าจะกลับมาแล้วจึงพูดว่า “ลองยกเท้าขึ้นมาให้ดูหน่อยพวกเราจะได้รู้ว่าเป็นคุณแม่ตัวจริงหรือเปล่า”  หมาป่าจึงยกเท้าเกาะที่หน้าต่าง  ซึ่งเมื่อลูกแพะเห็นเท้าสีขาว  ลูกแพะจึงหลงกลและเปิดประตูให้  แต่ทันทีที่ประตูเปิด  หมาป่าก็กระโจนเข้ามาในบ้าน ทำให้ลูกแพะแตกกระเจิงต้องวิ่งหาที่ซ่อนตัวกันอย่างจ้าละหวั่น  

ลูกแพะบางตัวหนีไปซ่อนใต้โต๊ะ  บางตัวไปหลบใต้เตียง  บางตัวแอบไปอยู่ในเตาผิง  บางตัววิ่งไปซ่อนในห้องครัว  บางตัวรีบหนีไปอยู่ในตู้  บางตัวหนีไปอยู่ใต้อ่างล้างหน้า  ส่วนลูกแพะตัวสุดท้องน้องสุดท้ายหนีไปอยู่ในตู้นาฬิกา

หมาป่าพยายามตามหาลูกแพะทีละตัว  พอเจอลูกแพะตัวไหน มันก็จะจับลูกแพะตัวนั้นกินก่อน  หมาป่าจับลูกแพะกินได้ 6 ตัว  เหลือแต่ลูกแพะตัวสุดท้องเพียงตัวเดียวที่รอดเพราะหมาป่าหาไม่เจอ

เมื่อหมาป่ากินลูกแพะทั้ง 6 ตัวจนหนังท้องตึง  หนังตาของมันก็หย่อน  มันจึงเดินออกไปจากบ้านจนถึงทุ่งหญ้าที่ไม่ไกลนัก จากนั้น มันก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นไม่นาน แม่แพะก็กลับมาถึงบ้าน  เมื่อแม่แพะเห็นประตูเปิดอยู่ และข้าวของในบ้านกระจุยกระจายระเนระนาด แม่แพะก็เดาได้ว่าลูก ๆ คงโดนหมาป่าหลอกให้เปิดประตูและอาจถูกหมาป่าจับกินจนหมด แม่แพะใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่แม่แพะไม่ยอมหมดหวัง  นางจึงเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านเผื่อว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่นางคิด

เมื่อแม่แพะเดินมาถึงนาฬิกาที่ลูกแพะตัวสุดท้องซ่อนอยู่ แม่แพะก็ได้ยินเสียงพูดอันสั่นเครือของลูกแพะดังขึ้นว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า หนูซ่อนอยู่ในนาฬิกานี่จ้ะ” 

เมื่อแม่แพะอุ้มลูกแพะออกจากนาฬิกา  ลูกแพะก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่แพะฟัง  เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว แม่แพะซึ่งรักลูก ๆ มาก จึงบอกตัวเองว่า  “ในโลกนิทาน อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ”  ดังนั้น แม่แพะจึงฮึดสู้ แล้วเดินออกไปนอกบ้าน เพื่อตามหาหมาป่าที่บังอาจมากินลูก ๆ ของนาง

เมื่อแม่แพะกับลูกน้อยตามหมาป่ามาถึงทุ่งหญ้า  พวกมันก็เห็นหมาป่านอนกรนอยู่  แม่แพะค่อย ๆ ย่องไปดูที่ท้องของหมาป่าที่บวมเป่งแทบปริเพราะอุตริกินลูกแพะเข้าไปถึง 6 ตัว แม่แพะจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์  นางเห็นว่าท้องของหมาป่ามีอะไรกระดุกกระดิกอยู่ข้างใน  และแล้ว  แม่แพะก็อุทานออกมาว่า  “อุเหม่ ลูก ๆ ของฉันที่ถูกหมาป่ากินเข้าไป ยังคงมีชีวิตอยู่นี่นา  นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ” 

เมื่อเห็นดังนั้น  แม่แพะจึงใช้กรรไกรจัดแจงผ่าท้องหมาป่า ซึ่งหลังจากคุณแม่ผ่าได้ไม่ทันไร  ลูกแพะก็กระโจนออกมาจากท้องหมาป่าทีละตัว ทีละตัว ลูกแพะตัวสุดท้องจึงรำพึงว่า “อุเหม่  นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”

หลังจากที่ลูกแพะทั้ง 6 ตัวกระโจนออกมาจากท้องของหมาป่าจนครบ โดยที่ทุกตัว ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย  เพราะหมาป่ากลืนลูกแพะข้าไปทั้งตัวโดยไม่ได้เคี้ยว  แม่แพะและลูกแพะทุกตัวต่างดีใจที่ได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง  แต่ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะจบลง  แม่แพะบอกกับลูกแพะว่า  “บางที หมาป่าอาจไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ในโลกนิทาน ดังนั้น เพื่อหลอกหมาป่าให้มันไม่สงสัย เราจะต้องหาหินมาใส่เข้าไปท้องหมาป่าก่อนที่มันจะตื่น” 

เมื่อแม่แพะพูดจบ ลูกแพะก็แยกย้ายกันไปหาก้อนหินมาใส่ในท้องของหมาป่า  เมื่อลูกแพะยัดก้อนหินไปจนเต็มท้อง  แม่แพะก็รีบเย็บท้องหมาป่าด้วยการสอยซ่อนด้ายจนแทบไม่เหลือร่องรอยให้หมาป่าสังเกตเห็น จากนั้น  แม่แพะก็พาลูกแพะทั้งเจ็ดกลับบ้านทันที

เมื่อหมาป่าตื่นนอน  มันก็กระหายน้ำ  มันจึงเดินไปที่บ่อน้ำ พลางรำพึงว่า “การกินลูกแพะนี่มันทำให้อิ่มนานดีจัง” 

แต่เมื่อหมาป่าเดินไปถึงบ่อน้ำแล้วก้มลงดื่มน้ำ  ก้อนหินในท้องหมาป่าก็ถ่วงให้หมาป่าเสียหลัก จากนั้น มันก็ตกลงไปในบ่อน้ำ และไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวของมันอีก

ลูกแพะทุกตัวที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงรำพึงออกมาพร้อม ๆ กันว่า “อุเหม่  นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”

ในที่สุด “นิทาน” เรื่อง “หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว” ก็จบลงด้วยดี

“ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้”

  • อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า
  • ฟังคำเตือนของผู้ใหญ่
  • ความกล้าหาญและไหวพริบช่วยให้เอาตัวรอดได้
  • การช่วยเหลือกันในครอบครัวคือพลังที่สำคัญ

#นิทานกริมส์

…………………………..

ลูกแพะเจ็ดตัวเล่นกันในบ้าน หมาป่าแอบมองผ่านหน้าต่าง ภาพในนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน เจ้าบ่าวของหนูสาว – เรื่องของความรักที่อยู่ใกล้กว่าที่คิด

“เจ้าบ่าวของหนูสาว” (The Mouse Bride หรือ The Most Powerful Husband) คือหนึ่งในนิทานพื้นบ้านจีนโบราณที่มีชื่อเสียง และถูกเล่าต่อกันมาอย่างยาวนานทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เล่าถึงครอบครัวหนูที่แสวงหาว่าที่เจ้าบ่าวที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ให้กับลูกสาวแสนสวย และในการเดินทางตามหาว่าที่เจ้าบ่าว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า “พลังที่แท้จริง” อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด

ในเวอร์ชันนี้ — ซึ่งจัดทำขึ้นใหม่ในรูปแบบ “นิทานก่อนนอน” ที่เหมาะกับเด็ก ๆ สมัยใหม่ — ผู้เขียนได้ปรับภาษาให้นุ่มนวล อ่านง่าย และเพิ่มเสน่ห์ด้วยภาพประกอบแสนน่ารักที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก ๆ ทั้งยังคงรักษาแก่นของนิทานต้นฉบับไว้ครบถ้วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่านิทานก่อนนอน เพื่อสร้างบทสนทนาที่อบอุ่นระหว่างพ่อแม่กับลูก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูสาวตัวหนึ่งเป็นหนูสาวที่มีหน้าตาน่ารักที่สุดในโลก เมื่อหนูสาวเติบโตถึงวัยที่ควรจะมีครอบครัว พ่อกับแม่ของหนูสาวจึงคิดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก

เจ้าบ่าวคนแรกที่พ่อหนูนึกถึงก็คือพระอาทิตย์ผู้มีแสงเจิดจ้า แต่เมื่อพ่อหนูกับแม่หนูไปบอกกับพระอาทิตย์ว่าพวกตนกำลังตามหาเจ้าบ่าวที่เก่งกาจให้ลูกสาว พระอาทิตย์ก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาให้เหตุผลว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ก้อนเมฆต่างหากที่เก่งกาจกว่าฉัน ดูสิ..เพียงแค่เมฆลอยผ่านมา มันก็บดบังฉันจนมิด ฉันว่า..เมฆน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามที่พระอาทิตย์ชี้แจง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหาก้อนเมฆ เพื่อขอให้ก้อนเมฆแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อก้อนเมฆได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู ก้อนเมฆก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขากล่าวว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของก้อนเมฆ ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา สายลมเพื่อขอให้สายลมแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อสายลมได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู สายลมก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของสายลม ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหากำแพง เพื่อขอให้กำแพงแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อกำแพงได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู กำแพงก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ยังมีคนอื่นที่เก่งกาจมากกว่าฉัน ดูสิ..เขาใช้ฟันเจาะตัวฉันจนเป็นรูได้ด้วย ฉันว่า..เขาน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมมากกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูดูรูที่กำแพง แล้วก็รู้สึกคล้อยตามคำพูดที่ได้ฟัง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา “ผู้เก่งกาจ” เพื่อขอให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของตน และมันก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับพรหมลิขิต! เพราะผู้เก่งกาจที่กำแพงพูดถึงก็คือหนูหนุ่มคู่รักของหนูสาวนั่นเอง

หนูหนุ่มดีใจมากที่จู่ ๆ พ่อกับแม่ของหนูสาว ก็มาขอให้มันแต่งงานกับหนูสาวที่มันเฝ้าฝันถึง หนูหนุ่มรีบตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข ส่วนพ่อหนูกับแม่หนูก็ดีใจ ที่พวกมันสามารถหาเจ้าบ่าวผู้เก่งกาจ ให้แก่ลูกสาวได้เป็นผลสำเร็จ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าตัดสินใครจากฐานะหรือรูปลักษณ์ภายนอก
  • การมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่น คือสิ่งสำคัญยิ่งในความสัมพันธ์
  • ผู้ปกครองควรฟังความรู้สึกของลูก ไม่ใช่ตัดสินใจแทนโดยลำพัง

#นิทานโบราณ

หนูสาวในชุดกระโปรงชมพูยืนเคียงข้างหนูหนุ่มในชุดเอี๊ยมฟ้า ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสและแสงอาทิตย์ สื่อถึงความรักและการแต่งงานในนิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว”
เพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” เพลงสนุก ฟังเพลิน ถ่ายทอดความรักแท้ผ่านตัวละครหนูสาวและหนูหนุ่ม
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสุขภาพ, นิทานเด็ก

บทเรียนของเจ้าหญิง | นิทานสอนเด็กดูแลฟัน ที่อ่านสนุก ได้ข้อคิด

“บทเรียนของเจ้าหญิง” คือนิทานแฟนตาซีที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เพื่อสอดแทรกบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในช่องปาก โดยไม่ใช้วิธีสั่งสอนตรง ๆ

ในขณะที่เด็ก ๆ จะเพลิดเพลินกับเรื่องราวของเจ้าหญิงผู้รักขนมหวานและนางฟ้าน้ำทิพย์ ผู้ใหญ่อย่างเรา จะเห็นถึงเทคนิคการเล่าเรื่องที่แยบคาย ทั้งเรื่องการควบคุมพฤติกรรมการกินน้ำอัดลม การฝึกนิสัยแปรงฟัน และแม้แต่เรื่องการรักษาสัญญาและความรับผิดชอบในคำพูดของตนเอง

สิ่งเหล่านี้ถูกเล่าออกมาอย่างมีอารมณ์ขัน มีสีสัน และไม่สร้างความกลัว แต่กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้จาก “ตัวละครในนิทาน” แทนที่จะเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่

นิทานเรื่องนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการอ่านให้เด็กฟังก่อนนอน หรือใช้เป็นสื่อการสอนในห้องเรียนอนุบาลและประถมต้น เพื่อปลูกฝังแนวคิดเรื่อง “การดูแลตัวเองและการรักษาสัญญา” อย่างนุ่มนวลและได้ผลจริง

ครั้นเมื่อเจ้าหญิงถึงวัยต้องไปโรงเรียน  เพื่อน ๆ ในห้องก็พากันล้อเลียนเจ้าหญิงด้วยการตั้งสมญาให้พระองค์ เช่น เจ้าหญิงฟันดำ, เจ้าหญิงขี้ฟันหนา, เจ้าหญิงขี้ฟันมหาประลัย ฯลฯ  ซึ่งเจ้าหญิงทรงไม่ชอบสมญาที่เพื่อน ๆ ตั้งให้เอาเสียเลย  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงไปขอร้องให้นางฟ้าประจำตัวหาหนทางช่วยเหลือ

เมื่อนางฟ้าได้ฟังคำขอร้องของเจ้าหญิง  นางฟ้าจึงเนรมิตน้ำทิพย์ขึ้นมาขวดหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ฟันสะอาดสดใสได้อย่างวิเศษ  แต่แทนที่นางฟ้าจะมอบน้ำทิพย์ให้แก่เจ้าหญิงไปเปล่า ๆ  นางฟ้ากลับตั้งเงื่อนไขให้เจ้าหญิงปฏิบัติตามสามข้ออันได้แก่  ข้อแรก…เจ้าหญิงจะต้องกินขนมให้น้อยลง   ข้อสอง…เจ้าหญิงจะต้องแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร  และข้อสาม…เจ้าหญิงห้ามใช้น้ำทิพย์มากกว่าหนึ่งครั้ง 

 เจ้าหญิงทรงให้สัญญาว่าจะทำตามเงื่อนไขของนางฟ้าแต่โดยดี  และเมื่อเจ้าหญิงทรงบ้วนปากด้วยน้ำทิพย์ที่แสนมหัศจรรย์   ฟันของพระองค์ซึ่งมีคราบสีดำคล้ำแถมมีขี้ฟันหนาเตอะก็กลับกลายเป็นฟันที่ขาวสะอาดสดใสและเปล่งประกายราวกับไข่มุก

เจ้าหญิงทรงมีความสุขมากเหลือเกินที่พระองค์มีฟันขาวสะอาดยิ่งกว่าเพื่อนคนใดในห้อง  เจ้าหญิงทรงยิ้มไม่หุบอยู่หลายวัน  จนกระทั่งวันหนึ่ง  พระองค์ก็รู้สึกอยากกินลูกกวาด, ขนมกรุบ-กรอบและน้ำอัดลมขึ้นมาอีก

แม้เจ้าหญิงจะทรงให้คำมั่นสัญญากับนางฟ้าเอาไว้แล้ว  แต่เมื่อเจ้าหญิงมองดูน้ำทิพย์ที่เหลืออยู่อีกตั้งครึ่งค่อนขวด  พระองค์ก็รู้สึกมั่นใจไร้ปัญหาและพร้อมที่จะกินขนมสะสมขี้ฟันอีกครั้ง 

ไม่นานนัก  เจ้าหญิงก็กลับมามีฟันสีดำคล้ำและมีขี้ฟันหนาเตอะดังเดิมอีก  นอกจากนี้  กลิ่นปากของเจ้าหญิงยังทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดอยากจะเป็นลมวันละหลาย ๆ หน   เจ้าหญิงทรงสะสมขี้ฟันอยู่นานหลายเดือน   จนเมื่อวันคล้ายวันเกิดของพระองค์มาถึง  เจ้าหญิงจึงคิดที่จะทำฟันให้สะอาดสดใสเพื่อเตรียมไว้ยิ้มต้อนรับเพื่อน ๆ ในงานเฉลิมฉลอง

แต่อนิจจา…สิ่งที่เจ้าหญิงหวังกลับไม่เป็นดังคาด  เพราะเมื่อเจ้าหญิงทรงใช้น้ำทิพย์บ้วนปากเป็นครั้งที่สอง  แทนที่ฟันของพระองค์จะสะอาดสดใสเปล่งประกายเหมือนคราวก่อน  การบ้วนปากครั้งนี้กลับทำให้ฟันทุกซี่ของเจ้าหญิงละลายหายไปในชั่วพริบตา!

เจ้าหญิงทรงตกใจมากต่อสิ่งที่เกิดขึ้น   ผลแห่งการไม่เชื่อข้อห้ามของนางฟ้าและการไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ทำให้เจ้าหญิงองค์น้อยต้องสูญเสียฟันไปจนหมด  เจ้าหญิงฟันหลอทรงร้องไห้แง ๆ เพราะสำนึกในความผิด  แต่ในขณะเดียวกัน  พระองค์ก็ทรงละอายใจเกินกว่าที่จะไปขอร้องนางฟ้าให้มาช่วยเหลือพระองค์อีก

บทเรียนที่ได้รับในครั้งนี้ทำให้เจ้าหญิงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยของพระองค์เสียใหม่  เจ้าหญิงทรงยอมฟันหลอและรอเวลาให้ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่  หลังจากนั้น  เจ้าหญิงก็คอยดูแลฟันของพระองค์เป็นอย่างดีพร้อม ๆ กับเปิดใจฟังคำแนะนำของผู้ใหญ่เพื่อใช้ปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ ๆ

ในที่สุด  เจ้าหญิงองค์น้อยก็เติบโตขึ้นเป็นเจ้าหญิงที่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจและเป็นที่รักของผู้คนทั้งหลาย  

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การกินขนมหวานมากเกินไป และไม่แปรงฟัน จะทำให้ฟันผุและมีกลิ่นปาก
  • การรักษาคำพูดและสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ
  • การไม่เชื่อฟังคำเตือนของผู้ใหญ่ อาจนำไปสู่ผลเสียที่เราคาดไม่ถึง
  • ถ้าเคยทำผิด ก็ยังมีโอกาสปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้เสมอ

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอนเด็กไทย: เจ้าหนูธนูวิเศษ นิทานสอนใจแนวแฟนตาซี

เมื่อราว 20 ปีก่อน ผม—นำบุญ นามเป็นบุญ—เริ่มแต่งนิทานเรื่อง เจ้าหนูธนูวิเศษ ด้วยแรงบันดาลใจจากความชอบส่วนตัวที่อยากให้ตัวเอกใช้ “ธนู” เป็นอาวุธ และรู้สึกสนุกกับชื่อที่มีเสียงคล้องจองระหว่างคำว่า “ธนู” กับ “เจ้าหนู” จนกลายเป็นชื่อเรื่องที่ฟังดูเท่ราวกับวรรณกรรมเยาวชนระดับโลก

นิทานเรื่องนี้เริ่มต้นจากชื่อเรื่อง โดยยังไม่มีโครงเรื่องหรือแก่นเรื่องชัดเจน ผมค่อย ๆ ต่อเรื่องราวเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ในสมอง—ต่อถูกก็ไปต่อ ต่อผิดก็ดึงออก แล้วคิดใหม่ จนกลายเป็นนิทานที่มีทั้งความอ่อนโยนและฉากตื่นเต้นเล็ก ๆ คล้ายกับนิทานก่อนนอนเรื่องยาวอย่าง กระต่ายแสงจันทร์

ผมหวังว่าเด็ก ๆ จะชอบนิทานเรื่องนี้ และได้รับทั้งความสนุกและแรงบันดาลใจจากการอ่านครับ

หมายเหตุสำคัญ: นิทานเรื่อง เจ้าหนูธนูวิเศษ ถูกละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยครั้ง เช่น การนำไปทำคลิปลง YouTube/TikTok หรือจัดทำเป็น e-book บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต หากตรวจพบการละเมิด จะมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา ผมดำเนินการจริง ฟ้องจริง ขอความกรุณาอย่าทำผิดลิขสิทธิ์ครับ

“ปันปัน” เป็นหลานของช่างทำธนูฝีมือเยี่ยม  พ่อกับแม่ของปันปันฝากเขาเอาไว้กับคุณปู่ก่อนที่พวกท่านจะลาขึ้นสวรรค์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ  ปันปันเสียใจที่เขาไม่มีโอกาสได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่  แต่เขาก็ยังรู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็ยังมีคุณปู่ผู้คอยเฝ้าห่วงใยเขาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

ปันปันรักคุณปู่มาก  และแน่นอน…คุณปู่ก็รักปันปันด้วยเช่นกัน  ปันปันมักจะเฝ้ามองคุณปู่ในขณะที่ท่านกำลังลงมือทำธนูด้วยความตั้งอกตั้งใจ  เมื่อปันปันเห็นคุณปู่ทำธนูอยู่บ่อย ๆ ปันปันจึงนึกอยากที่จะทำธนูขึ้นมาบ้าง  ด้วยเหตุนี้  ปันปันจึงเริ่มต้นฝึกทำธนู  โดยเขามักจะขอให้คุณปู่ช่วยชี้แนะวิธีการทำธนูให้กับเขา

ธนูคันแรกของปันปันเสร็จสมบูรณ์ขึ้นในวันที่ปันปันมีอายุ 7 ขวบ  ปันปันภูมิใจในผลงานการทำธนูของเขามาก  และเมื่อปันปันอายุ 12 ขวบ  ปันปันก็กลายเป็นช่างทำธนูที่มีฝีมือในการทำธนูและยิงธนูไม่เป็นสองรองจากใคร

อยู่มาวันหนึ่ง  คุณปู่ของปันปันล้มป่วยลงด้วยอาการที่น่าเป็นห่วง  คุณหมอประจำหมู่บ้านต่างพากันถอนใจ เพราะอาการป่วยของคุณปู่หนักเกินกว่าที่แพทย์ประจำหมู่บ้านอย่างพวกเขาจะช่วยเยียวยาเอาไว้ได้

คุณหมอท่านหนึ่งได้เปรยกับปันปันว่า  หากได้หมอที่เก่งกว่านี้ อย่างเช่นหมอหลวงของพระราชามาช่วยทำการรักษา คุณปู่ก็น่าจะหายป่วยได้ไม่ยากนัก  ปันปันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาคงไม่อาจช่วยให้คุณปู่หายจากอาการป่วยที่แสนทรมานนี้ได้  ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าหมอหลวงคือหมอของพระราชา  ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่หมอหลวงจะมารักษาคุณปู่ให้กับเขา

แต่โชคดีก็ยังเป็นของคุณปู่และปันปัน  เพราะในช่วงเวลานั้น  พระราชาได้จัดการแข่งขันการยิงธนูระยะไกลขึ้น  พระราชาทรงประกาศว่า  ผู้ที่ชนะ สามารถขอรางวัลอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา   ปันปันรู้ดีว่าเขาต้องการจะขออะไรจากพระราชา  ปันปันจึงรีบสมัครเข้าร่วมแข่งขันอย่างไม่ลังเล

เหล่าขุนนางต่างพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นเด็กน้อยอย่างปันปันแบกธนูไม้คันใหญ่ยักษ์เข้ามาสมัครร่วมแข่งขัน  ด้วยความที่มีผู้สมัครเข้าแข่งขันอยู่ก่อนแล้วเพียง 3 คน คือชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลสูง  นักรบร่อนเร่ผู้หยาบช้า  และอัศวินจากประเทศตะวันตก  ดังนั้น  พวกขุนนางจึงยินยอมให้ปันปันเข้าร่วมการแข่งขันได้  โดยพวกเขาจัดลำดับให้ปันปันยิงธนูเป็นคนสุดท้าย เพื่อให้ปันปันกลายเป็นตัวขบขันและสร้างสีสันให้กับงาน!

เมื่อเวลาของการแข่งขันมาถึง  เหล่าทหารก็พากันผูกด้ายแดงเข้ากับปลายลูกธนูของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 4 คน  ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมีโอกาสในการยิงธนูคนละ 1 ครั้ง ซึ่งหากลูกธนูของใครพาด้ายแดงไปได้ไกลที่สุด  บุคคลนั้นก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะของการยิงธนูระยะไกลในครั้งนี้

บุคคลแรกที่ยิงธนูก็คือชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลสูง  ชายหนุ่มคนนี้สามารถยิงธนูไปปักที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลถึง 500 ก้าว   ส่วนนักรบร่อนเร่ผู้หยาบช้านั้น  เขาตั้งใจอวดฝีมือด้วยการยิงธนูทะลุผ่านธนูลูกแรก  แล้วปล่อยให้ลูกธนูทะลวงผ่านต้นไม้ไปตกอยู่ในป่าทึบซึ่งห่างออกไปวัดได้ 1000 ก้าว  แต่ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือฝีมือการยิงธนูขออัศวินจากประเทศตะวันตก  เพราะเขาสามารถยิงธนูข้ามป่าทึบไปตกที่ด้านหลังของภูเขา  ซึ่งเมื่อวัดระยะทางแล้ว  เขาเป็นผู้ที่ยิงธนูได้ไกลที่สุด คือไกลถึง 2000 ก้าวเลยทีเดียว

และแล้ว…โอกาสในการยิงธนูของปันปันก็มาถึง  ผู้คนต่างพากันหัวเราะขบขันเมื่อเห็นเด็กน้อยแบกธนูคันใหญ่ยักษ์เข้ามาตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จุดตั้งต้น  และเมื่อทหารให้สัญญาณในการยิงธนู  ปันปันซึ่งตั้งสมาธิและจรดหัวใจไว้ที่ปลายธนูอยู่แล้ว ก็ค่อย ๆ ทำการเหนี่ยวสายธนูอย่างช้า ๆ  จนคันธนูโค้งเกือบเป็นรูปวงกลม  และเมื่อปันปันปล่อยมือจากสายธนู  คันธนูก็ดีดตัวกลับ  ทำให้ลูกธนูพุงฉับตัดอากาศไปว่องไวราวกับสายลม

ผู้คนต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก  ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า  เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างปันปันจะสามารถยิงธนูได้แรงถึงเพียงนี้  แต่เมื่อทหารลงมือค้นธนูเพื่อวัดระยะ  สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น   เพราะแทนที่ทหารจะพบลูกธนูตกไกลออกไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง  ลูกธนูกลับตกอยู่ในพุ่มไม้ห่างจากจุดตั้งต้นเพียงแค่ 10 ก้าวเท่านั้น!  และนี่คือความจริงที่ปันปันไม่อาจปฏิเสธได้

แต่โชคของปันปันก็ยังคงมีอยู่  เพราะในขณะนั้น  พระราชาผู้ทรงความยุติธรรมได้ชมการแข่งขันมาโดยตลอด  พระราชาทรงสงสัยว่า เพราะเหตุใดลูกธนูของเด็กน้อยจึงพุ่งไปได้ไม่ไกลอย่างที่ควรจะเป็น  ดังนั้น ก่อนที่พระองค์จะทำการประกาศตัวผู้ชนะ  พระองค์จึงสั่งให้ทหารลองวัดความยาวของด้ายสีแดงที่ผูกติดอยู่กับปลายลูกธนูของปันปันให้แน่ใจเสียก่อน

เมื่อทหารลงมือวัดความยาวของด้ายสีแดงโดยเริ่มวัดจากจุดตั้งต้น  ผลที่เกิดขึ้นก็คือ…ทหารต้องเดินวนรอบโลก 1 รอบจนกระทั่งกลับมาที่จุดตั้งต้นอีกครั้ง  แล้วเดินต่อไปอีก 10 ก้าว จึงวัดความยาวทั้งหมดได้ครบถ้วน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ลูกธนูของปันปันพุ่งทะยานไปได้ไกลที่สุด  โดยเดินทางไปรอบโลกภายในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว

ในที่สุด  ปันปันก็ได้เป็นผู้ชนะ และเมื่อพระราชาทรงถามว่า ปันปันต้องการอะไรเป็นรางวัลสำหรับชัยชนะในครั้งนี้  ปันปันจึงรีบตอบพระราชาด้วยความมุ่งมั่นว่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเขาอยากขอยืมตัวหมอหลวงให้ช่วยไปรักษาคุณปู่ผู้เป็นที่รักของเขา

พระราชาทรงชื่นชมในความสามารถและความกตัญญูของปันปัน  ดังนั้น  หลังจากที่หมอหลวงทำการรักษาคุณปู่จนหายป่วยแล้ว  พระราชาจึงรับปันปันกับคุณปู่ให้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง โดยมอบหมายให้ปู่หลานทั้งสองคอยฝึกฝนพลธนูของกองทัพให้มีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ

และแล้ว..นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความกตัญญูคือพลังที่ยิ่งใหญ่
  • อย่าตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก
  • ความพยายามและความตั้งใจสามารถพาเราไปไกลกว่าที่ใครคาดคิด

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

หนูน้อยหมวกแดง | นิทานก่อนนอน นิทานสอนใจสำหรับเด็ก | นิทานนำบุญ

มาอ่านนิทานเรื่อง “หนูน้อยหมวกแดง” กันเถอะ…

Continue reading “หนูน้อยหมวกแดง | นิทานก่อนนอน นิทานสอนใจสำหรับเด็ก | นิทานนำบุญ”
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานสัตว์, นิทานอบ, นิทานเด็ก

แมวล่องหน

นิทานก่อนนอนเรื่อง “แมวล่องหน” เป็นหนึ่งในนิทานที่อบอุ่นหัวใจที่สุดจากคอลเลกชันนิทานนำบุญ เล่าเรื่องแมวน้อยชื่อ “ศูนย์” ที่ไม่มีใครมองเห็นตัวตน จนวันหนึ่งได้พบคนใจดีที่มอบความรักและความเมตตาให้ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างรอยยิ้มและความประทับใจ แต่ยังแฝงแง่คิดสำคัญทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่อง ความเมตตาต่อสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะแมว ส่วนผู้ใหญ่หลายคนอาจรู้สึกเชื่อมโยงกับความรู้สึกของ “ศูนย์” — ความเหงา ความโดดเดี่ยว และความต้องการใครสักคนที่มองเห็นและรักเราอย่างแท้จริง

แมวล่องหน ไม่ใช่เพียงแค่นิทานแมวธรรมดา แต่เป็นนิทานที่เต็มไปด้วยความหวังและกำลังใจ บอกเล่าว่าแม้เราจะรู้สึกว่าไม่มีใครมองเห็นตัวตนของเรา วันหนึ่งอาจมีใครบางคนที่เห็นคุณค่าและโอบกอดเราไว้ด้วยความรัก ความสัมพันธ์ที่จริงใจเพียงครั้งเดียวก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ เหมือนที่หญิงสาวเจ้าของร้านหนังสือเปลี่ยนชีวิตของแมวศูนย์ให้กลับมามีตัวตนอีกครั้ง

นี่คือนิทานภาพก่อนนอนที่เหมาะทั้งสำหรับ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน หรืออ่านเองเพื่อปลอบประโลมใจในวันที่รู้สึกเหนื่อยล้า เนื้อเรื่องดำเนินอย่างสนุก อ่อนโยน และมีตอนจบที่ทำให้หัวใจอุ่นขึ้น นิทานเรื่อง “แมวล่องหน” จะช่วยเตือนเราว่า ความรัก ความเมตตา และการเห็นคุณค่าของกันและกัน คือสิ่งที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น

ผมชื่อศูนย์  ผมเป็นแมวล่องหน   ผมแทบไม่มีตัวตน   แต่บางคนอาจสังเกตเห็นผมในบางเวลา

วันหนึ่ง  ผมรู้สึกว้าเหว่อย่างประหลาด  ผมคิดว่าถ้าใคร ๆ เห็นตัวผมได้ง่ายกว่านี้ บางที…ผมอาจไม่เหงาอย่างที่เป็นอยู่   ผมจึงตัดสินใจไปยังร้านตัดเสื้อในตัวเมือง แล้วบอกเจ้าของร้านว่า
“ช่างครับ ผมเป็นแมวล่องหน   ช่างช่วยตัดชุดให้ผมหน่อยได้ไหม   ผมอยากให้คนอื่นมองเห็นผมได้ง่ายขึ้น”

ช่างผู้มีงานล้นมือได้ยินเสียงของผม   แต่เขามองไม่เห็นผม   เขาทำหน้าเหนื่อย ๆ พร้อมกับพูดว่า
“ฉันมองไม่เห็นเธอ  แล้วฉันจะตัดชุดให้เธอได้ยังไง   เธอไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เก่งกว่าฉันเถอะนะ”

ผมผิดหวังแต่ก็ทำอะไรไม่ได้   ผมจึงเดินไปยังร้านหมอ  ที่อาจจะพร้อมช่วยผมมากกว่าช่างตัดเสื้อ   “หมอครับ  ผมเป็นแมวล่องหน   หมอช่วยรักษาให้ผม   หายจากการเป็นแมวล่องหนจะได้ไหม”

คุณหมอได้ยินเสียงผม แต่มองไม่เห็นผม   คุณหมอพูดลอย ๆ ว่า   “ถ้าจะรักษาจริง ๆ   อาจต้องมีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ,   ผ่าตัดและทำอีกสารพัดวิธี   ว่าแต่เธอมีเงินจ่ายเป็นค่ารักษารึเปล่าล่ะ”

แมวน้อยอย่างผมไม่มีเงินหรอก   ผมจึงตัดใจ   แล้วเดินไปที่บ้านของแม่มดจอมคาถา   ผมคิดว่าบางทีแม่มดอาจมีคาถาฟรี ๆ   ที่พอจะช่วยเหลือผมได้บ้าง  “แม่มดครับ ผมเป็นแมวล่องหน   แม่มดช่วยร่ายคาถาให้ผม  หายจากการเป็นแมวล่องหนจะได้ไหม”  ผมเอ่ยปากขอร้องแม่มด ด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารที่สุด

แต่แม่มดไม่สนใจผมเลย  แม่มดได้แต่เปรยด้วยความเบื่อหน่ายว่า “แม่มดไม่ได้เกิดมาเพื่อช่วยเหลือครหรอกนะ   ฉันใจดีไม่พอที่จะช่วยใคร ๆ ทั้งนั้น”

ดูเหมือนว่าโอกาสที่ผมจะหายจากการเป็น  แมวล่องหนแทบจะไม่มีเลย   ผมคงต้องเหงาและเป็นแมวล่องหนแบบนี้ ไปตลอดชีวิตแน่ ๆ

ในขณะที่ผมกำลังเดินคอตกด้วยความหมดหวัง ผมเดินผ่านร้านหนังสือเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านที่ดูน่ารัก, อ่อนโยนและอบอุ่นที่สุด  “ในร้านจะมีหนังสือ แนะนำวิธีเปลี่ยนแมวล่องหน ให้กลายเป็นแมวปกติบ้างรึเปล่านะ”   ผมยืนลังเลอยู่ที่หน้าร้านหนังสือนานมาก  นานจนฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ   และหญิงสาวเจ้าของร้านก็สังเกตเห็นผม!    ทันทีที่เธอเห็นผม  เธอก็รีบเดินออกมาจากร้าน  แล้วอุ้มผมเข้าไปหลบฝน  โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

พอผมตั้งสติได้ ผมจึงบอกเธอว่า   “สวัสดีครับ ผมเป็นแมวล่องหน   คุณเจ้าของร้านมีหนังสือที่พอจะช่วยให้ผมหายจากการเป็นแมวล่องหนบ้างไหม   ผมอยากให้คนอื่นมองเห็นผม   เพราะตอนนี้ผมไม่มีใครเลย   ผมเหงามากจริง ๆ”

หญิงสาวเจ้าของร้านมองผมด้วยความเอ็นดู เธอเอ่ยกับผมอย่างใจดีว่า  “ฉันไม่มีหนังสือแบบนั้นหรอก  แต่ถ้าเธอเหงาและไม่มีใคร  เธอจะมาอยู่ที่ร้านหนังสือกับฉันก็ได้นะ”

“แต่ผมไม่มีเงินจ่ายเป็นค่าที่พักหรอกนะครับ” ผมรีบบอก

หญิงสาวยิ้มแล้วจัดแจงเอาผ้าขนหนู  มาเช็ดหัวของผมที่เปียกฝนอย่างแผ่วเบา  จากนั้น เธอก็เอานมอุ่น ๆ มาเทใส่จาน   แล้วกอดผมไว้ในอ้อมอกพร้อมกับพูดว่า

“แมวน่ะตัวเล็กนิดเดียว กินก็ไม่จุ  แถมไม่ได้ใช้พื้นที่อะไรสักเท่าไหร่   ถ้าจะคิดเงินจากแมว
ก็คงใจร้ายเกินไปหน่อยแล้วล่ะ  ถ้าเหงาก็มาอยู่ด้วยกันเถอะนะ”   

ผมดีใจจนน้ำตาไหล ถ้าได้อยู่กับคนที่ใจดีแบบนี้  ผมก็คงจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น   สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  เพราะจู่ ๆ เนื้อตัวของแมวล่องหนอย่างผม   ก็ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  จนผมกลายเป็นแมวปกติ  ที่ไม่ใช่แมวล่องหนอีกต่อไป!

ความรักและความเอาใจใส่  ทำให้แมวล่องหนกลายเป็นแมวปกติ  ได้อย่างน่าอัศจรรย์   ผมดีใจเหลือเกินกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น  ผมตั้งใจจะอยู่ในร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้   และขอมอบความรัก  ตอบแทนหญิงสาวผู้แสนดีคนนี้… ตลอดชั่วชีวิตของผม

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความเมตตาเพียงเล็กน้อยสามารถเปลี่ยนชีวิตใครบางคนได้
  • ความรักและการดูแลเป็นพลังที่ทำให้หัวใจและชีวิตเปลี่ยนแปลง
  • ไม่ว่าวันนี้จะเหงาแค่ไหน วันหนึ่งคุณจะพบคนที่มองเห็นตัวคุณ

#นิทานนำบุญ